ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อรุณสวัสดิ์รัตติกาล

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๒

    • อัปเดตล่าสุด 18 ก.ย. 54



    บทที่ 02




    กามเทพทนงองอาจ ผาดแผลงศรแกมบุปผา

    ศรศักดิ์ปักอยู่แทบอุรา หอมชื่นนาสาน่ายินดี

    ตั้งแต่ประสบพบสมร จิตพี่นี้ร้อนดั่งไฟจี้

    กลัวแต่เจ้าจะไม่ไยดี พี่จึ่งไม่กล้ามาวอน*





    ความมืดนั้นมัวหม่นอยู่เพียงแค่อึดใจ แล้วทั้งเรือนที่สะเทือนไหวก็นิ่งสนิท บานหน้าต่างเผยออกโดยตัวของมันเอง ในที่สุดความสว่างของยามเช้าก็กลับคืนมา

    “นางไม่พบเรา”

    สีหน้าของชายหนุ่มนั้นยังมีแววตื่นเต้น จนมธุรดาต้องนึกขำ เพราะสีหน้าท่าทีอย่างนั้น คงยากนักที่จะเป็นพระเอกในดวงใจของใครสักคน อย่างดีก็แค่อาจจะตกหลุมรักในนาทีแรก แล้วนาทีที่สอง พอเห็นบุคลิกท่าทางอย่างนี้ มีหรือที่ใครจะอยู่รอให้เขามาปกป้องคุ้มครอง

    “ทำไมมันรุนแรงนักเล่าคะ ราวกับฟ้าจะถล่ม”

    นมแจ่มเองก็ยังมีแววกังวล คงจะห่วงผู้เป็นนายหนักขึ้นเป็นแน่

    “ฤทธิ์นางมาก แต่ก็แค่ผ่านมาหรอกครับ...”

    ตอนจบประโยค เหมือนเขาจะรีบกลืนบางถ้อยคำลงในลำคอ

    “แล้วคุณมุ...”

    “ผม ผมก็ไม่แน่ใจ ไม่นึกว่านางจะมา”

    “ช่วยอธิบายให้กันฟังหน่อยได้ไหมคะ ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณพ่อหรือเปล่า”

    เพราะสองคน หนึ่งหนุ่มหนึ่งหญิงชรา เหมือนจะพูดจาให้พอเข้าใจกันอยู่เพียงสองคน มธุรดาจึงต้องถามหาความกระจ่าง

    “งั้นป้าแจ่มก็อธิบายไปเถอะครับ จะว่าเป็นพายุไล่ช้างหรือลมไล่มดอะไรก็ว่าไป ผมจะรีบไปดูคุณลุง อาจจะหลบอยู่กับคุณอา”

    “ฉันไม่ใช่เด็กสองขวบนะยะ ก็เห็นอยู่ตำตา จะสักแต่ว่าเล่าๆ ออกมาได้ยังไง”

    เธอหมั่นไส้เขานัก พออันตรายตรงหน้าพ้นไป ก็ทำเหมือนเป็นท่านผู้นำขึ้นมาทีเดียว ทั้งที่สีหน้าหวั่นๆ ยังไม่ได้จางหายไปหมดด้วยซ้ำ

    “แล้ว... ที่คุณมุให้คุณหลบอยู่ในนี้...”

    แล้วดูเถอะ นมแจ่มก็ยังไม่วายเป็นห่วง คนที่กำลังพยายามทำตัวเป็นลูกผู้ชาย

    “คงแค่มาลาดตระเวนละมังครับ ทางไม่ไกลมาก เดี๋ยวผมให้แก้วไปเป็นเพื่อนก็ได้”

    หน้าซื่อๆ กับคำพูดซื่อๆ ของรัตติกร ไม่น่าทำให้มธุรดาถึงกับขำ แต่เธอก็ขันพรืดออกมาจนได้

    “ฟังดูเหมือนนายจะเก่งกล้าสามารถมากเลยนะนั่น”

    “ขอบคุณครับ”

    รัตติกรยังรับคำกับการประชดประชันนั้นได้อย่างหน้าตาเฉย

    “นี่จะแกล้งยวนกันหรือไง”

    คราวนี้ชายหนุ่มทำสีหน้างุนงงจริงจัง

    “อย่ามาทำหน้ามึนใส่ฉันนะ แล้วยังไง ถ้าจะไปช่วยคุณพ่อ ทำไมไม่ให้พวกคนในไร่ตามไปด้วย”

    จนในที่สุดเธอก็ไม่รู้ว่าจะแกล้งถากถางเขาต่อไปเพื่ออะไร น้ำเสียงของประโยคท้าย จึงเป็นการเป็นงานยิ่งขึ้น

    “มากคนก็มากความเปล่าๆ แค่คุณคนเดียวก็เกินพอแล้ว”

    “ไอ้...”

    เขาคงไม่ทันได้ยินหรอกนั่น กับถ้อยคำประดามีที่พรั่งพรูออกไปอย่างไม่เกรงใจ เพราะแค่จบคำของตัว เขาก็เผ่นแผล็วออกไปทางหน้าต่าง

    เดี๋ยว!!!

    ออกทางหน้าต่าง!

    สติดีหรือเปล่า นี่มันชั้นสอง!

    มธุรดารีบโผไปทางหน้าต่างที่เขาเพิ่งโดดข้ามแล้วผลุบหายไป

    “อีตาบ้า!”

    แล้วก็ต้องโวยใส่อีกรอบ เพราะเหมือนรัตติกรจะเงยขึ้นมารอรับคำนี้อยู่แล้ว

    และก็เป็นอันว่า ความเป็นห่วงชั่ววูบก็มลายหายไป พร้อมกับคำนั้นของตัวเธอเองในทันที

    แม้อดไม่ได้ที่จะต้องมองตาม ตอนที่เด็กแก้ววิ่งตามไปสมทบ แต่พอหันกลับ มธุรดาก็ตั้งคำถามกับหญิงชราทันที

    “ใครกันคะ เข้ามานอนในห้องนี้ได้ยังไงคะนม”

    น้ำเสียงติดจะกระด้างๆ เสียด้วยซ้ำ

    “หลานชายเพื่อนเก่าคุณมุน่ะค่ะ”

    หญิงชราเลยอึกอักแทบตอบไม่ถูกอย่างช่วยไม่ได้

    “ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นคุณพ่อจะคบหาใครสนิทสนมถึง... ขนาดนี้”

    “เป็นเกลอเก่ากันค่ะ ตั้งแต่คุณแม่ของคุณน้ำผึ้งยังอยู่ คุณธรรพเพิ่งข้ามมาจากฝั่งข้างโน้น”

    “จากพม่า... อีตานั่นเป็นกระเหรี่ยงหรอกหรือคะ”

    พอพูดถึงฝั่งโน้น มธุรดาก็ต้องนึกไปถึงฟากเขตแดนของประเทศเพื่อนบ้านทันที เพราะระยะทางจากที่ดินตรงนี้ ข้ามไหล่เขาแคบๆ ที่มีแต่เฉพาะคนย่านนี้เท่านั้นที่จะรู้ทาง ก็จะข้ามเขตประเทศไทย จากบ้านนี้ไป อย่างไรก็ไม่เกินสามสิบกิโลโมตร

    ถึงตอนนี้ บุตรสาวคนเดียวขอนายมุรธา เจ้าของไร่อัปสรสวรรค์อันกว้างใหญ่ ก็ลืมไปแล้วว่า ตอนที่เธอโวยวาย ทำไมนายนั่นถึงไม่ยอมขยับเขยื้อน จะนึกถึงก็เพียงตรงที่ว่า

    “ท่าทางอย่างนั้น เราจะพึ่งพาได้หรือคะ แค่พูดจากันก็แทบจะไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว”

    พอรู้ว่ามาจาก “ฝั่งโน้น” มธุรดาก็ตีความไปว่า ที่เขาทำหน้าซื่อขอบคุณในคำประชดประชันนั้น ก็เพราะไม่ได้เข้าใจภาษาไทยดีนักนั่นเอง

    “แถมยังอวดเก่ง ที่ว่ามากคนก็ยิ่งมากความอะไรน่ะ หรือเขาหาว่าหนูเป็นคนทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้น ...หรือเปล่าคะนม”

    หญิงชราแกล้งเมินไปทางอื่น แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำถาม จนหญิงสาวต้องสะกิด ถึงจะหันมาตอบ

    “เขาคงพูดไปงั้นเองมังคะ ก็คุณหนูยังว่า พูดจากันยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องไม่ใช่หรือ”

    “เขาเป็นกระเหรี่ยงจริงๆ หรือคะ ที่คุยๆ กับพวกในไร่ เขาพูดกันไม่ชัด แต่นี่พูดไทยชัดเปรี๊ยะ”

    หญิงชราแกล้งนิ่งไปอีกอึดใจใหญ่ อมยิ้มให้จนหญิงสาวออกจะงง

    “ดูเหมือนคุณหนูจะสนใจเขามาก...”

    “โธ่! นม... อยู่ๆ ก็เข้ามาในบ้าน แล้ว... ยัง... มานอน...”

    “เป็นอุบัติเหตุหรอกค่ะ คุณรัตติเธอคงไม่คิดอะไรมากมังคะ”

    นมแจ่มยิ้มๆ ตอนพูดจบ

    “คุณนมเจ้าขา เป็นหนูหรอกนะคะที่จะเสียหาย อยู่ๆ ก็...”

    “คุณรัตติเธอศีลมั่นคงดีนักล่ะค่ะ คุณน้ำผึ้งไม่ต้องเป็นห่วง ข้อหนึ่งถึงห้ารักษาครบ โดยเฉพาะข้อสามข้อสี่”

    “หมายความว่ายังไงคะ”

    “คุณหนูละก็ สรุปว่าเขาไม่ได้สนใจคุณหรอกค่ะ ก็นมบอกแล้วว่าเป็นแค่อุบัติเหตุ”

    กับคำตอบแบบตัดบทนี้ มธุรดายังงงๆ ว่าตนกำลังถูกกล่าวหาว่าไร้เสน่ห์อยู่หรือไม่

    “คุณหนูจะรับของเช้าเลยไหมคะ”

    แล้วหญิงชราก็เปลี่ยนเรื่องไปง่ายๆ

    “นมจ๊ะ...”

    แต่เธอรู้ทัน จึงรั้งแขนของแม่นมคนเก่าแก่เอาไว้ ก่อนที่นางจะผละไป

    “อธิบายมาก่อน อธิบายมาให้ครบทุกเรื่อง แค่สองอาทิตย์เองนะคะเนี่ย ทำไมมันเหมือนเกิดอะไรขึ้นมากมาย”

    ปกติมธุรดาจะอยู่ในกรุงเทพฯ รับงานวาดภาพประกอบ ทั้งนิตยสารและหนังสือเล่ม สองสัปดาห์ที่ผ่านมา รับงานใหญ่ต้องวาดปกซีรี่ย์นิยายแปลของนักเขียนอินเดีย เป็นเรื่องราวยืดยาวของมหากาพย์แห่งหิมพานต์ เธอต้องเสียเวลาค้นคว้าข้อมูลมากมาย แก้ไขงานครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าที่นักเขียนเจ้าของลิขสิทธิ์จะยอมผ่านการพิจารณา

    จึงเป็นสองสัปดาห์ที่เธอต้องปิดตัวจากโลกภายนอก กระทั่งในวันเกิดยังได้แต่หมกตัวอยู่หน้าโต๊ะทำงาน เพราะต้องสร้างโลกขึ้นอีกโลกหนึ่งในจินตนาการ โดยใช้มหากาพย์เรื่องนั้นเป็นหนทาง ซึ่งการเข้าไปสู่โลกแห่งจินตนาการนั่นไม่ยากเลย เพราะคนแปล แปลได้อย่างละเมียดละไมงดงาม และสามารถแปลให้คนไทยเข้าใจได้อย่างง่ายที่สุด ยิ่งเมื่อเทียบกับต้นฉบับภาษาอังกฤษ ก็ยิ่งเห็นว่า คนแปลเรื่องนั้น มีความสามารถสูงส่งเพียงใด...

    เพียงแต่เธอไม่เคยได้เจอกับเขาเลย... กับผู้แปลผู้มีนามปากกาว่า... รัตติกาล...

    แต่ก็แค่สองสัปดาห์ที่หายไป ซึ่งผู้เป็นบิดาย่อมรู้ดีว่าเธอมักเป็นเช่นนี้เวลา “งานเข้า” และที่จริง พอปิดงานได้เมื่อเย็นวาน เช้านี้มธุรดาก็ตั้งใจจะมาค้างที่บ้านนี้สักสามสี่คืนอยู่แล้ว

    “นมอธิบายไม่ถูกหรอกค่ะ คงต้องรอคุณมุเธอมาเล่าให้ฟัง”

    เมื่อเข้าตาจน นมแจ่มก็ตอบแบบตัดปัญหาให้พ้นตัวเช่นนี้ตามเคย

    “แสดงว่าที่จริงคุณพ่อไม่ได้เป็นอันตรายอะไรหรือคะ”

    “ก็... เอ่อ...”

    พอถูกไล่เบี้ย หญิงชราก็ถึงกับออกอาการตะกุกตะกัก

    “ก็... เมื่อคืน นมไม่รู้ว่าคุณรัตติ กับ... กับคุณธรรพกลับมาแล้ว”

    “ตกลงสองคนนั่นเขาเป็นใครกันแน่คะ ดูเหมือนนมจะไว้ใจเขามาก”

    ยิ่งถูกไล่เรียง สีหน้าของคนถูกซักก็ยิ่งซีดลงๆ

    “เกลอเก่าของคุณมุน่ะค่ะ”

    “ไม่เอาละ บอกให้มันกระจ่างกว่านี้หน่อยได้ไหมล่ะคะ แค่เกลอเก่าๆ อยู่เท่านี้เอง”

    ก่อนที่จะถูกคาดคั้นซักถามอะไรได้มากกว่านั้น หญิงชราก็เรอออกมาดังเอิ้ก ก่อนจะล้มพับไป ดีที่ว่าพามานั่งคุยบนเตียงกันตั้งแต่แรก

    “อ้าว! นมคะ... นม... แวว แวว... ขึ้นมาช่วยกันหน่อย นมแจ่มเป็นลม”

    คำท้าย มธุรดาตะโกนเรียกสาวใช้อีกคน ที่อายุมากกว่าตนไม่กี่ปี

    แววขึ้นมาได้เร็วทันใจ ในมือมีถ้วยยาลมติดมาด้วยอย่างรู้งาน

    คนประคองอยู่ก่อนค่อยๆ ป้อนให้จิบ ขณะอีกคนเริ่มนวดที่ปลายมือปลายเท้า

    “ยังไงพี่แวว นมเป็นอย่างนี้บ่อยไหม”

    “พักหลังๆ นี่ก็ถี่เหมือนกันค่ะ เมื่อวันก่อนคุยกันเรื่องฟ้าเรื่องฝนอยู่ดีๆ นมแกก็ลมจับ โวยวายว่าเห็นนกยักษ์ๆ โฉบลงหลังยอดเขา แล้วก็ลมพับไป”

    ขณะที่ต่างคนต่างช่วยปฐมพยาบาลหญิงชรา มธุรดาจึงถือโอกาสซักถามเรื่องราวเอากับแวว

    “นกอะไรคะ โฉบลงหลังยอดเขาไหน”

    “โน้นไงคะ หลังเขาเปลว”

    หญิงรับใช้ชี้มือประกอบ ไปยังแนวสันเขาที่มีริ้วผาหลั่นกันขึ้นไปจรดยอด จนแลคล้ายเป็นแนวของเปลวศิลาอัคคี ซึ่งนั่นก็คือทิศทางเดียวกับที่นมแจ่มชี้ทิศทางที่มาของเกลอเก่าของบิดานั่นเอง

    “เขาเปลว ข้ามลงไปก็เขตพม่า”

    “ค่ะ นมแกเห็นอยู่คนเดียว แต่ก็เชื่อเป็นตุเป็นตะ ว่าตาไม่ฝาดแน่ๆ”

    “แล้วนายรัตติอะไรนั่นละ กับคุณอะไรนะ ทับๆ”

    “คุณธรรพค่ะ พ่อเลี้ยงเหมืองแร่แถวเมาะตะมะ”

    “เพื่อนเก่าคุณพ่อ...”

    “ไม่ทราบซีคะ เห็นนมก็ว่าอย่างนั้น”

    “แล้วนายรัตติกรล่ะ”

    คนถามสังเกตเห็นว่าคนกำลังจะตอบมีสีหน้าระเรื่อขึ้นนิดหนึ่ง

    “ก็... น่ารักดีค่ะ อัธยาศัยใจคอก็ดี”

    “ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นค่ะพี่แวว ผึ้งหมายถึงว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน”

    “อ๋อ...”

    แววทำท่าเขินอายอย่างกับสาวรุ่น ก่อนจะตอบคำอีกรอบ

    “คุณรัตติมาถึงก่อน ตอนแรกก็มาส่งข่าว แล้วก็คุยกันถูกคอกับคุณมุ เลยแวะมาบ่อยๆ”

    “นานแล้วหรือ ทำไมคุณพ่อไม่เคยบอก”

    “คลาดกันกระมังคะ พอคุณน้ำผึ้งมาทีไร คุณรัตติก็เงียบหายไปทุกที”

    “ไหนบอกว่าแค่สองอาทิตย์”

    “ใครว่าคะ”

    “ก็...”

    มธุรดาปลายตาลงยังหญิงชรา ที่ตอนนี้เหมือนคนกำลังหลับมากกว่าคนเป็นลม

    “คุณธรรพค่ะ เพิ่งมาถึงเมื่อสองอาทิตย์ก่อน มาค้างอยู่สองคืนแล้วก็เงียบไป”

    “เขาไปพักอยู่ที่ไหนกันล่ะ ไกลไหม”

    “ไม่ไกลมังคะ พี่แววกับเจ้าแก้วก็ไม่เคยไปสักที แต่คุณรัตติแกก็ไปๆ กลับๆ มาตั้งนานแล้ว คงมาซื้อที่ทางถัดจากไร่เราไปหน่อยมังคะ”

    “อะไรๆ ก็มังคะๆ ไม่เห็นแน่นอนสักอย่าง”

    มธุรดาแกล้งกระแทกเสียงใส่ กับแวว เธอก็เห็นกันมาตั้งแต่เล็กๆ เช่นกัน ยังจำได้ดีว่าแววนั้น รักและทะนุถนอมตัวเธอมากแค่ไหน และก็แววนี่แหละที่ติดตามมารดาของเธอมา แล้วพอท่านหายไป แววก็อาศัยอยู่กับคุณพ่อ อยู่กับนมแจ่มเรื่อยมา มีหน้าที่รับคำสั่งดูแลเธอมาจนโต

    “เรื่องของเจ้านายก็ต้องมังคะๆ อย่างนี้ละค่ะ ถ้าอยากรู้รายละเอียด คุณน้ำผึ้งคงต้องรอถามคุณมุท่านเอาเอง”

    “มาลูกไม้เดียวกันเลยนะพี่แวว คนที่นอนนิ่งอยู่นี่ ก็... เอะอะก็ให้รอถามคุณพ่อๆ”

    พอพูดจบ ก็เขย่าปลุกหญิงชราที่หลับตาพริ้ม

    “ลืมตาเถอะค่ะ อย่ามาแกล้งอู้เอาตัวรอดเลย หนูรู้หรอกค่ะว่านมแกล้ง”

    “คุณหนูละก็ คนแก่ก็อย่างนี้ จะถือสาอะไรกันคะ”

    หญิงชราพูดโอดโอยไปอย่างนั้นเอง เพราะพอถูกเรียก ก็หยัดตัวขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง

    “ไปเตรียมของเช้าเถอะแวว ตั้งไว้สี่ที่เลยก็ได้ เผื่อคุณธรรพจะมากับคุณท่านด้วย”

    “อย่าเฉไฉสิคะนม... อะไรๆ ก็จะปิดปากกันด้วยของกิน”

    “ก็นมบอกแล้วว่าให้รอถามคุณพ่อ”

    “แต่เมื่อคืน นมนั่นละ ที่โวยวายกว่าใครๆ”

    “ก็ตอนนั้นมันไม่รู้ ไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร”

    “แล้วโทร.ไปบอกคุณย่าหรือเปล่าล่ะคะ”

    มธุรดาค่อยนึกขึ้นได้ตอนนี้ว่า ถ้าเมื่อคืนเกิดเรื่องร้ายแรงขนาดนั้น นมแจ่มก็น่าจะต้องโทร.ไปรายงานคุณย่าเสียด้วย

    “คุณมุขท่านก็เล่นงานนมแย่ไปน่ะสิคะ”

    สีหน้าท่าทางของหญิงชรานั้น เห็นได้ชัดว่าทั้งเกรงทั้งกลัว คุณหญิงมุขมณีอยู่เต็มที่

    “แล้วถ้าเกิดเหตุร้ายขึ้นมาจริง”

    “นมถึงโทร.ตามคุณหนูไงคะ”

    นัยน์ตาของหญิงชราฉายแววเจ้าเล่ห์ขึ้นมานิดหนึ่ง

    “จะใช้หนูเป็นกันชนงั้นสินะ”

    “ไม่ต้องหรอกค่ะ ไม่ต้องแล้ว... ก็... คุณมุเธอคงไม่ได้เป็นอะไรแล้ว”

    หญิงชรารีบโบกไม้โบกมือให้กับคนรู้ทัน

    “ก็อย่างที่นมบอก พอเห็นหน้าคุณรัตติ รู้ว่าคุณธรรพมา ก็แสดงว่าปลอดภัยแน่”

    รู้สึกว่าคำตอบนี้จะถูกย้ำเป็นครั้งที่สาม มธุรดาจึงอดนึกหมั่นไส้อีตารัตติกรนั่นไม่ได้

    “เชื่อใจ ไว้ใจกันเหลือเกินนะคะ กับคนท่าทางหาสาระไม่ได้อย่างนั้น...”




    เจ้าแก้ว หลานชายของนมแจ่มโหวกเหวกนำมาก่อน ตามด้วยชายสูงวัยแปลกหน้าซึ่งประคองบิดาของมธุรดามาด้วย ขณะที่นายรัตติกรนั่นเดินรั้งท้าย

    “หิวชิปเป๋ง พี่แววๆ เจ้าขา พี่แววมยุราของเจ้าแก้ว ขอข้าวต้มร้อนๆ ให้ข้าน้อยสักสองชามเถอะเจ้าค่า”

    สำเนียงคำหัวคำท้ายของเจ้าแก้วเพี้ยนๆ กว่าภาษาปกติเช่นนี้เสมอ ซึ่งเจ้าตัวก็รู้ดี แถมยังออกจะภาคภูมิใจภาษากึ่งๆ ลิเกของมันมากเสียด้วย

    “เรียกหาทำไมตั้งสองชามสามชาม ตะกละตะกลามไม่เข้าเรื่อง”

    “ธ่อ! ยาย...”

    เจ้าแก้วยานคาง เหมือนเหลือระอากับญาติผู้ใหญ่คนเดียวของมันเต็มที

    “จะให้มันร้อนลวกปากทั้งสองชามหรือไงเล่า ก็ตักมาพร้อมกันทั้งสองชาม ชามแรกร้อนหน่อย พอหมดชาม พอจะต่อชามสองก็เหลือแค่อุ่นๆ กะลังกินไงเล่า”

    แต่แปลกตรงที่ กับยายมันเองแท้ๆ กลับไม่เคยใช้สรรพนามแปลกๆ เหล่านั้นด้วยเลยสักครั้งเดียว

    ระหว่างที่สองยายหลานต่อปากต่อคำกัน มธุรดาโผเข้าไปช่วยประคองบิดาตั้งแต่แรกแล้ว ชำเลืองไปมองชายหนุ่มนิดหนึ่ง ก็เห็นสีหน้าท่าทางของเขาเคร่งขรึมแทบจะเป็นคนละคนกับคนเมื่อเช้า

    ชายสูงวัยที่ช่วยประคองนายมุรธามาถึงใต้ร่มชานเรือนนั้น มีท่าทางภูมิฐาน สีหน้ายังผ่องใส ทั้งที่ผมและหนวดเคราเป็นสีขาววาวๆ ไปหมดแล้ว

    มองไปก็มีเค้าคลับคล้ายกันรัตติกร แต่นายนั่นไม่มีท่าทางน่านับถืออย่างนี้

    “หนูมธุรดา...”

    ชายสูงเป็นวัยเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายขึ้นก่อน จนหญิงสาวต้องรีบยกมือไหว้

    “ขอบพระคุณคุณลุงมากค่ะ คุณพ่อ... เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”

    ด้วยความเป็นห่วงบิดา จึงต้องถามออกมาเช่นนั้น

    “ไม่เป็นไรมากหรอกหนู พักสักประเดี๋ยวก็ค่อยยังชั่ว”

    น้ำเสียงของชายสูงวัยที่ มธุรดาได้ยินนมแจ่มเรียกว่า “คุณธรรพ” เต็มเปี่ยมไปด้วยแววปรานี และช่วยให้อบอุ่นใจได้ดียิ่ง คงอย่างนี้ ที่ทำให้หญิงชรามั่นใจนักว่าบิดาของเธอจะปลอดภัย

    “ลุงชื่อคันธรรพะ คงมีคนแนะนำให้รู้จักแล้ว”

    ส่วนสำเนียงภาษานั้น แปร่งๆ ไปเล็กน้อย โดยเฉพาะตรงชื่อของตนเอง

    “เชิญคุณลุงรับประทานอาหารเช้าด้วยกันนะคะ”

    ที่ออกปากเชิญทันที ก็เพราะเห็นว่าแววเริ่มตักข้าวต้มใส่ชามแก้วรอไว้แล้ว

    กลิ่นหอมของข้าวใหม่ อวลมาให้สูดเก็บเข้าไว้ในอก และเหมือนกับมีมนตรายาวิเศษตรลบมาพร้อมกัน เพราะพอกลิ่นอ่อนๆ ลอยมาแตะจมูก นายมุรธาก็ดูเหมือนจะมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที

    “เชิญเลยครับคุณธรรพ น่าจะพอรับประทานได้”

    และก็เป็นนายมุรธา ที่รีบเชื้อเชิญแขกผู้มีท่าทางภูมิฐานนั้นอีกครั้ง

    “รับประทานได้ค่ะ มื้อนี้ไม่มีของคาว ข้าวใหม่เจือข้าวกล้องข้าวเหนียวนิดหนึ่ง กับผักฝานราดน้ำผึ้งผสมมะนาว เรียกกำลังตอนเช้าๆ ดีออกค่ะ”

    คราวนี้เป็นนมแจ่มที่สาธยายรายการอาหารตอนตักกับดังว่า ใส่จานแก้วเล็กๆ แยกเป็นสำรับสำหรับแต่ละคนเลยทีเดียว

    “มีแต่ผักกับผัก แล้วเมื่อไหร่มันจะโตกันซักกะทีล่ะเนี่ย”

    เสียงเจ้าแก้วบ่นออดแอดอยู่ตรงหัวโต๊ะอีกฝั่ง มันได้รับสิทธิพิเศษในการร่วมโต๊ะกับคุณๆ ด้วยการแลกกับต้องจัดการเก็บล้างภาชนะทั้งหมดหลังมื้ออาหาร

    “จะกินกับผัก หรือจะกินกับไม้เรียวล่ะ”

    ผู้เป็นยายไม่ยอมอ่อนข้อ

    “ไข่เค็มสักใบก็ยังดี”

    มันจึงได้แต่บ่นอุบๆ อิบๆ ของมันต่อไป

    ตั้งแต่กลับมา มธุรดายังไม่ได้ยินเสียงของรัตติกรเลยสักคำ พอทุกคนเข้าที่สำหรับมื้อเช้าเรียบร้อย เขาก็นั่งลงเงียบๆ แล้วเริ่มรับประทานโดยสายตาไม่ได้เงยขึ้นสบหน้าใครอีกเลย และก็เหมือนว่าทุกคนต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน จนมธุรดาเริ่มรู้สึกอึดอัด

    “เมื่อเช้า นกอะไรก็ไม่รู้พี่แวว ตัวใหญ่ยังกะอะไรดี”

    เป็นเจ้าแก้วที่ส่งเสียงทำลายความเงียบ มันหันไปคุยกับแววที่ยืนคอยดูแลสำรับอยู่ด้านข้าง

    “นกเนิกอะไรกันล่ะ เครื่องบินของหลวงนั่นหรอก คงบินต่ำละมั้ง เลยสนั่นหวั่นไหวขนาดนั้น”

    “เครื่องบินอะไรจะกระพือปีกพึ่บๆพั่บๆ”

    “เฮลิคอปเตอร์ไงล่ะ”

    “แล้วทำไมใหญ่นัก ฟ้ามืดเลยไม่เห็นหรือ”

    “พอเถอะน่ะเจ้าแก้ว พูดไปกินไปไม่มีมรรยาท”

    มันเถียงกับแวว จนนมแจ่มต้องออกปากปราม

    “ก็เด็กมันไม่มีพ่อแม่ค่อยสั่งสอน”

    เจ้าแก้วเลยได้ทีหันมาต่อล้อต่อเถียงกันหญิงชราแทน

    “แล้วยายเอ็งไม่ได้สั่งสอนหรือไงล่ะ”

    นมแจ่มเอาหางทัพพีชี้เข้าที่หน้าอกตนเอง

    “ยายก็สอน แต่มันไม่รู้จักจำ”

    “ไอ้เด็ก...”

    ไม่ทันที่จะได้ออกเพลงยุทธทัพพีบินหรอก ตอนที่เจ้าแก้วโดดหายไปหลังจากจบคำ ความไวของมันนั้นสุดที่นมแจ่มจะเอ็ดตะโรตามไปให้รู้สำนึก

    พอสถานการณ์ของสองยายหลานสงบลง มธุรดาก็หันกลับมาทางชายทั้งสามอีกครั้ง และก็ต้องหันกลับมาพบความเงียบขรึมเช่นเดิม

    “มารอตั้งแต่สองสัปดาห์ก่อน”

    ในที่สุด เมื่อชายสูงวัยวางช้อน เขาก็หันมาเอ่ยกับเธอ

    “มารอ...”

    มธุรดายังเดาเจตนาในคำถามของเขาไม่ออก

    “นี่เลยอายุเก้าสิบเก้าสิบวันมาเท่าไร”

    และเธอเพิ่งสังเกตว่า หางเสียงของนายคันธรรพ แม้จะไม่มีคำท้าย แต่ก็ฟังไพเราะเป็นยิ่งนัก

    “คะ... เก้าสิบเก้าสิบ...”

    “ใช่... หนูมธุรดาอายุเลยเก้าสิบเก้าสิบวันมากี่วันแล้ว”

    “เพิ่งครบยี่สิบสองเมื่อสัปดาห์ก่อนค่ะ... ถ้า... คุณลุงหมายความว่าอย่างนั้น”

    เธอพยายามเรียบเรียงถ้อยคำให้ดีที่สุด แม้จะยังไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตาม...



    **************************



    * ศกุนตลา พระราชนิพนธ์ในล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×