คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ ๐๑
บทนำ
วินธรเขตร
เชิงผาอัสกรรณ ณ หิมวันต์ประเทศ
หมู่นกกรวิกกรีดเสียงโกรธา ราวแค้นเคืองนักหนากับสำเนียงคีตาที่ได้ยิน
“ไม่! ไม่นะ! อีกแล้วหรือนี่!”
ต้นเหตุแห่งเสียงนั้นรีบหยุดบรรเลง เลื่อนพิณในโอบประคอง ถอยออกไปสุดมือเพื่อพิจารณา
‘คีตธร’ เป็นนักดนตรีเดียวในวินธรเขตร นอกจากเขาแล้ว ไม่มีใครอื่นได้รับอนุญาตให้เข้ามาบรรเลงเพลงในเขตนี้อีก ที่สำคัญคือ เพราะเขาเป็นผู้ได้รับเลือก ได้รับความไว้วางใจจากวินธรเจ้า ให้ช่วยสร้างสรรค์สรรพสำเนียงคีตา บรรเลงร่ายเพื่อสุนทรี สร้างสมดุลแห่งศานติ ให้เกิดแก่ธาตุอารมณ์เจ้าเรือนของผู้อาศัยในแดนหิมพานต์เขตนี้ทุกตน
“เป็นไปไม่ได้หรอกน่า มีหรือที่คีตาของเรา จะทำให้อารมณ์แห่งธาตุเจ้าเรือน ต้องมีอันเป็นไปเช่นนั้น”
แล้วมือและนิ้วอันเรียวงามก็เริ่มร่ายมนตราแห่งเสียงดนตรีอีกคราว ท่วงทำนองนั้นวิเวกหวาน... แว่วแผ่ว...
ทว่า...
เมื่อทำนองแผ่วแว่วไป มวลปักษาสวรรค์ทั้งนั้นก็ยิ่งกราดเกรี้ยว แล้วในความอลหม่านของฝูงวิหค ที่บ้างก็เริ่มรำป้อกับนางนก บ้างก็เริ่มกรีดปีกจิกตีเข้าตะลุมบอนกันเพื่อหมายจะแย่งชิงตัวนางที่หมายตา
คีตธรยังฝืนบรรเลงเพลง ปลายนิ้วที่ดีดสายพิณพลิกพลิ้วไปนั้น เริ่มกระตุกเต้นเกินควบคุม ไฟในกายผ่าวขึ้นจนร้อนรุ่ม ยิ่งจังหวะทำนองยิ่งระรัวเร่ง ทั้งร่างก็ราวตื่นฟื้น ส่วนอันเคยแนบนิ่งยังเคลื่อนขยาย คลี่กายให้แข็งขันขึ้นเต็มตัว
ที่สุด... เมื่อนักดนตรีหนุ่มนึกละอายอยู่นัก กับอาการกามจริตกำเริบแห่งตน เขาก็จำเป็นต้องกระชากมือของตน ให้พ้นจากการดีดสาย
ชายหนุ่มผู้เป็นเชื้อสายภาคบูรพทิศแห่งจาตุมหาราชิกาสวรรค์ ได้รับมอบหมายจากท้าวธตรตเจ้าแห่งเหล่าคนธรรพ์ และได้รับเลือกจากผู้ครองวินธรเขตร รู้สึกหนักใจนัก ที่ขณะนี้ เป็นตนเองนั่นละ ที่ภาวะธาตุเจ้าเรือนเสียสมดุล ไฟโมหะตัณหาคุโชน แม้จิตสำนึกจะพยายามควบคุม แต่ก็ยังพ่ายแพ้ให้แก่แรงกำเริบภายใน
คีตธรรวมรวบสมาธิจิต แล้วเริ่มบรรเลงเพลงคีตาแห่งสรวงสวรรค์อีกครั้ง
ในใจนั้นนึกว่า เอาเถิด... แม้นในกายจะปั่นป่วน แม้นเหล่ากรวิกปักษาสวรรค์จะออกอาการเกรี้ยวกราดทุรน แต่ก็เพราะตนและบรรดาวิหคเหล่านั้น ล้วนประสาทสัมผัสอ่อนไหว ว่องไวต่อการดื่มด่ำเสวยอารมณ์ทำนองดนตรี อันยากนักที่ผู้คนอื่นใดจะเทียบเคียง
คราวนี้สายตาของคีตธรแลรอบ นอกจากเหล่ากรวิกนั่นแล้ว ตามโขดเขินและขอนไม้ ร่มพฤกษาและตามยอดหญ้าระบัดใบ ย่อมมีเทพดาและนางอัปสร นั่งนอนทอดกายทอดอารมณ์ คอยสดับฝีมือของเขา เพื่อช่วยปรับสมดุลธาตุภายในจิต
สีหน้าของเทพดาและสาวสวรรค์ทั้งหลาย ไม่ได้แสดงว่ากำลังรื่นรมย์ ผ่อนคลายหรือสบายจิตใจอย่างที่เคย ยิ่งเขาดีดสายพิณต่อไป ชาวทิพย์เหล่านั้นกลับยิ่งเหมือนมีวี่แววกระวนกระวาย บางเริ่มส่งเสียงพึมพำ บ้างเริ่มชม้ายชายตาแล สบสายตาไปมาระหว่างกัน
คีตธรต้องชั่งใจ ก็นี่ไม่ใช่หรือยอดอันติมะแห่งเทพดนตรี บันดาลแรงปรารถนาให้เป็นไป ปลดปล่อยดำฤษณาในส่วนลึกที่สุดแห่งหัวใจ ให้แผ่ซ่านเพื่อดื่มด่ำ กับผัสสะแห่งโลกียวิสัย
เทพบุตรและเทพธิดาหลายองค์เคลื่อนองค์เข้าใกล้กัน หลายคู่เริ่มคลอเคลีย และหลายคู่มีท่วงทีละม้ายจะเริ่มเสพรสสมพาส
ส่วนร่างตนนั้น เขายังรู้สึกได้ ความชูชันขันแข็ง ขมึงตึงจนเจ็บปวด ยิ่งความรู้สึกนั้นเครียดเกร็ง ก็ยิ่งเหมือนกำลังหาญของท่วงดนตรีจะยิ่งฮึกเหิม ปลายนิ้วพลิ้วพลิก กรีดร่ายสายสะบัด ให้เสียงแห่งสรรพคีตา อัญเชิญสัญญาณแห่งวิญญาณ์ ให้ระริกเร่าร้อนขึ้นด้วยกามตัณหา
สายฟ้าแลบแปลบอยู่ปลายฟ้า หรือว่าผู้เป็นใหญ่ในดาวดึงส์สวรรค์ก็รับรู้ จึงได้ส่งแสงอินทรธนูให้แทรกแซงไปตามหมู่เมฆ เพิ่มความสว่างหวาดไหวให้แก่มวลเมฆาที่เริ่มโกลาหล ตีเกลียวพุ่งม้วน หมุนวนจนและเหมือนกำลังอลหม่านไปทั้งฟ้า
ฟากมหานทีนั้นก็เริ่มโหมแรงคลื่น หาดทรายทองส่งสีเข้มจัด ใบพฤกษ์สะบัดใบระริก วายุกระโชกรุนแรง
“อาจเป็นช่วงผลัดสมดุล หากเราพาให้วินธรเขตรผ่านจุดนี้ไปได้ ไม่แน่... เหล่าเทวาในเขตแดนนี้จะขอบใจเรา”
คีตธรนึกไปว่า อาจเป็นอำนาจมาร ส่งกำลังมาทดสอบตบะของเหล่าเทพดา กระทั่งตนเองก็อาจถูกลองกำลัง เส้นสายในกายที่ตื่นตัวเต็มที่อยู่ในขณะนี้ ขอเพียงแค่ให้อดทนจนพ้นผ่าน กำลังจิตกำลังญาณน่าจะเพิ่มพูน
กลิ่นหอมโชยฉม ราวปาริชาตบุปผาสวรรค์กำลังแย้มกลีบ กลิ่นนั้นคล้ายกรุ่นอวลอยู่รอบกาย คีตธรยังไม่หยุดดีดสายพิณ ขณะสายตาแลเห็นคล้ายมายาภาพ
อัปสรสวรรค์ล้วนเปล่าเปลือย ตรงเข้ามาหาด้วยท่วงท่าย่างเยื้องยวนยั่ว เมื่อเผลอรู้สึกว่านางนั้นไม่ต้องจิต นางใหม่ก็โผหา ราวพร้อมให้เขาเลือกเฟ้นจนพอใจ
ทะเลยิ่งคลั่งโหมคลื่น นภากาศยิ่งกราดเกรี้ยว ทั้งสายฟ้าทั้งเสียงครางครืน หมู่นกกรวิกนั้น พาฝูงบินหายลับไปนานแล้ว รอบกายตามโขดเขิน ร่มพฤกษ์และยอดหญ้า บัดนี้มีกลุ่มหมอกทึบสีชมพูอวลนวลละออง ผุดคลุ้งอยู่ตรงนั้นตรงนี้ จนระดะระดาดตา
นี้คือคราวเทพเข้าชมสมพาสแก่กัน กระแสหมอกนวลชมพู คือกระแสแห่งความรักจึงชโลมริน โอบกลุ่มชาวทิพย์ไว้อย่างแนบเนียน
นึกว่าตนเองน่าจะปรากฏอวลอายเช่นนั้นบ้าง แต่เปล่า...
รอบกาย หมอกควันที่ฟุ้งซ่าน กลับเป็นสีแดงราวเมล็ดทับทิมสุกปลั่ง มีริ้วสีไพลินและนิลกาฬสลับแทรก
รูป รส กลิ่น เสียง คล้ายระดมมาจนครบ เหลือเพียงแค่ผัสสะละกระมัง ที่ยังไม่บังเกิด พอคิดถึงตรงนี้ ส่วนที่แข็งขึงของชายหนุ่มยิ่งตึงหนัก รู้สึกเหมือนมันสามารถขยับขยายตัวตน ให้ยิ่งใหญ่ได้คับฟ้า
แล้วอาภรณ์ที่หุ้มร่างก็ขาดผึงเหมือนถูกกระชากฉีก ทั้งเรือนกายแม้ไม่อุดมด้วยมัดกล้ามเนื้อ แต่ยังทรงเสน่ห์อย่างยิ่งจากรูปทรงสมส่วน คีตธรต้องกดอกพิณลงแนบล่าง ขณะใจยังคิดจะบรรเลงคีตาต่อไป
“หยุด! จงหยุดในบัดดล!”
เสียงตวาดก้องราวฟ้าคำราม วชิรสายหนึ่งพุ่งปลาบลงตรงหน้า ละอองแห่งสายฟ้าปลิวมากระทบร่าง แล้วทิพยอาภรณ์ก็สวมอยู่บนกายของคีตธรอีกคราว
จ้าวแห่งวินธรเขตรต้องรีบเสด็จลง เพราะนักดนตรีประจำเขตกำลังเสียสมดุล ธาตุเจ้าเรือนกำลังระเริงร้อนด้วยไฟราคะ หากไม่มีผู้ใดยับยั้ง แถบถิ่นอันเคยสงบงดงาม เป็นที่หย่อนใจของเหล่าเทวาและสาวสวรรค์ อาจจะกลายเป็นแหล่งซ่องสุมเสพกามกิจ
“คีตธร เจ้าทำอะไร”
เสียงของผู้เป็นจ้าวยังปรานียิ่ง
และเมื่อผู้เป็นใหญ่แห่งอาณาเขตปรากฏร่าง บรรดาเทวาและเทวีก็พากันได้สติ ต่างมองกันไปมาอย่างงุนงง ที่ไม่เคยถูกกันแต่ตอนนี้กลับนั่งสนิทแนบชิด ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง ที่เป็นฝ่ายหายวับ ด้วยความอับอายนั่นละเป็นสำคัญ
“คีตาของเจ้า เหตุไรจึงอุดมไปด้วยไฟแห่งราคะ”
ในห้วงคำนึงแรก คีตธรคิดจะเมินเฉยต่อคำถามนั้น หากเขาไม่ตอบ ก็ยากที่จ้าววินธรจะหยั่งรู้ถึงจิตใจ ที่จริงทิพยจิตของเขาอาจละเอียดอ่อนกว่าของผู้ยืนอยู่ตรงหน้านี้ด้วยซ้ำ
“คีตธร...”
แต่เสียงเรียกย้ำยังไม่ได้บอกว่ากำลังแสดงอำนาจในฐานะผู้เป็นใหญ่ ทั้งหมดที่ได้ยิน ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา
“ก็... แค่บรรเลง...”
มือของคีตธรกำกระชัดอยู่กับด้ามพิณ บัดนี้แม้อาการในกายจะยังไม่อ่อนลงเป็นคืนสภาพ แต่จังหวะใจหัวใจก็ราบเรียบจนแทบกลับเป็นปกติ
“ไม่ คีตาของเจ้าไม่เคยเป็นเยี่ยงนี้ แต่เดิมคีตาของเจ้าหล่อเลี้ยงธาตุเจ้าเรือนของปวงเทวาให้สมดุล แต่นี่... กระไร... รู้หรือไม่ มีแต่เจ้าที่จะทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นความราบรื่นดุจเดิม”
“ข้า... ข้าไม่เข้าใจ”
“ชั่วครูนี้ สิ่งที่เกิดจะสืบทอด พลังที่พลาดเผลอสัมผัสสมพาสกันนั้น ทำให้ข่ายพลังงานของทิพยภพยุ่งเหยิง และ... มีแต่เจ้าที่จะแก้ไข!”
“แต่... ข้าทดลอง ลองดูแล้วถึงสามครั้งสามครา”
คีตธรบอกความไปตามที่คิด
“นึกว่าพวกทางอสูรภพจะมาลองดี...”
“ดรุณ! ราวกับเจ้าเพิ่งล่วงพ้นวัยเด็กมาเช่นนั้น!”
เสียงของจ้าววินธรเข้มขึ้นนิดหนึ่ง แต่ก็ยังจับได้ว่าเป็นแววหยอกเย้าเสียมากกว่า
“นั่นอย่างไร นางอัปสรที่ต้องมนตร์คีตา มายาแห่งเสียงพิณของเจ้า”
ผู้พูดผายมือไปด้านหนึ่ง หลังพฤกษาใบทอง ค่อยมีสาวสวรรค์นางหนึ่งเคลื่อนออกมาจากที่ซ่อน
“หากเจ้าจะปรับธาตุเจ้าเรือนให้กลับสู่สมดุล ก็ชื่นชมสมพาสกับนางเสีย ก่อนที่จะสายเกินการณ์ ทำให้ข่ายพลังงานทิพยาของวินธรเขตรต้องมีอันเป็นไป...”
ขาดคำ ร่างตรงหน้าก็พุ่งวาบขึ้นฟ้า ทิ้งโค้งลงตรงยอดผา วินธรจ้าวสถิต ณ ที่นั้น
นางอัปสรคงไม่ได้แลตามเลยด้วยซ้ำ เพราะนางจ้องชายหนุ่มตรงหน้าราวต้องมนตร์สะกด กว่าเขาจะหันหน้ากลับมาจากสายวชิรกำลังที่พุ่งหาย สาวสวรรค์นางนี้ก็เปลื้องอารมณ์ และแนบกระชับชิดอยู่กับเขาได้แล้วทั้งเรือนกาย
คีตธรตั้งตัวไม่ติด ได้แต่เพียงก้มลงจุมพิตที่หน้าผากมนสวยเบาๆ
“นี่หรือที่เจ้าต้องการ...”
แววตาที่ส่งกลับมาแทนคำตอบนั้น เขารู้ชัด ว่านางต้องการมากกว่านั้นขนาดไหน
ชายหนุ่มต้องค่อยเป็นฝ่ายถอย ผละกายออกจากกายเปล่าเปลือย
“ได้โปรด... โปรดประทานมันแก่ข้า...”
นางสวรรค์คุกเข่าลงแล้วไขว่คว้า เห็นชัดว่าจุดหมายของนางคือสิ่งไร
“เจ้าแค่ต้องการ... ไม่ได้ต้องการหัวใจข้า”
คีตธรก้มลงนิดหนึ่ง ให้นางรู้ว่าเขาก็รู้ ถึงสิ่งที่นางกำลังต้องการมันอย่างยิ่งยวด
“ก็... เรือนกายเจ้างดงามยิ่งนัก ราวกับเทพวิศนุกรรมบรรจงสลักเสลา ไยเจ้าไม่แบ่งปันให้เราสักส่วนเศษ...”
“หึ!” ฝ่ายที่ถูกโอ้โลมทั้งด้วยสายตาและวาจา ต้องขยับหลบสองมือที่ไขว่คว้าใกล้เข้ามา
คีตธรเห็นชัดว่านางอัปสรกำลังคลั่งราคะ และคิดเพียงแค่จะใช้ส่วนสำคัญของเขาช่วยปลดเปลื้อง
“รับรองว่าท่านจะต้องพึงพอใจ นะ...ได้โปรด ท่านคีตธร...”
นางยังพร่ำ ฉกมือวูบมาตรงส่วนสำคัญ ดีที่ชายหนุ่มเอาเครื่องดนตรีของตนป้องกันไว้ได้ทัน
พอคว้าได้ด้ามพิณ นางอัปสรก็จับกระชับมัน ไล่ไล้ไปราวกับได้พบกับวัตถุล้ำค่า ที่สามารถช่วยปลดเปลื้องอาการแห่งตน
“อย่าแตะต้องพิณของข้า!”
เพราะท่าทางของนางนั้นน่าสะอิดสะเอียน แววตาหื่นกระหายนั้นลามเลยกระทั่งกับคันพิณ
“อย่างนั้น ท่านอยากให้ข้าแตะต้องส่วนใด”
“ไม่มีทั้งนั้น!”
“ท่านแน่ใจหรือ”
“ใช่ ถึงเวลานี้ข้าจะต้องการมันอย่างไร ก็ไม่ใช่กับพวกเจ้า”
ครั้งนี้เสียงของคีตธรดังกร้าว แน่ใจว่าทั้งรอบบริเวณต้องได้ยิน
แล้วบรรดานางสุรางค์ นางอัปสรสาวสวรรค์อีกหลายตนก็ปรากฏตัว แต่ละนางล้วนหมายตามายังจุดเดียว คือตัวเขา
คีตธรกวาดสายตากราดไป กระทั่งนางสวรรค์หลายสิบ ยังไม่มีสักตนที่ตนเองจะนึกปฏิพัทธ์
“ไปเถอะ พวกนางจงไปเสียจากข้า”
“เราไม่เคยเกี่ยงงอน หากท่านต้องการเราพร้อมๆ กัน”
เป็นอัปสรนางแรกที่ยื่นข้อเสนอ
“อย่าให้ถึงกับต้องใช้คีตาขับไล่... ได้โปรด”
เขาต้องยกพิณขึ้นกระชับที่ เตรียมจะดีดสายด้วยบทเพลงทำลายพลังทิพย์นั่นละ บรรดาสาวสวรรค์ยอมหลีกลี้... ลับหาย
คีตธรกลับมายังที่พำนักพร้อมกับไฟในกายที่ลุกโหม...
ธาตุเจ้าเรือนกำลังปั่นป่วนหนัก ราคจริตกำลังพลุ่งพล่าน กระทั่งมิได้นึกถึงเรื่องราวของเพศรส ร่างกายยังแข็งขึงไม่หย่อนหยุด
ในที่สุดเขาก็ต้องเปลือยร่างให้เปล่า พินิจภาพร่างแห่งตนในกระจกหิรัญย์บานใหญ่ เรือนผมยาวลุ่ยรายแผ่ลงเต็มแผ่นหลัง ดวงหน้าคมงามนั้นตนเห็นตนจนชินชา อีกทั้งเรือนกายที่เปล่านางฟ้านางสวรรค์แถบวินธรนี้ถวิลหา แม้เขาจะเห็นว่ามันได้สัดส่วนบริบูรณ์เพียงไร ก็ไม่ทำให้เขาอยากจะเปิดเผยความเปล่าเปลือยทรงเสน่ห์เหล่านี้ให้กับนางสวรรค์ผู้ใดได้สัมผัส
สายสุวรรณคล้องศอและจี้ห้อยรูปอุณาโลม คล้ายขยับวูบ คีตธรค่อยระลึกขึ้นได้ จึงกล่าววาจา
“หิรัณย์เอย... จงชี้แจงให้แจ้งแก่ใจ นางผู้ใดคือผู้อันคู่ควรกับเรือนกายแห่งข้านี้”
พร้อมกับที่เอ่ย คีตธรก็รวบรวมกำลังญาณ เพ่งสมาธิลงตรงเงาแสง อันวาวขึ้นจากกระจกหิรัญย์วิเศษ สามารถสอดส่องได้ทั้งไตรภพ
คงเป็นกระแสเสียงที่เคลื่อนไหว ทำให้ภาพพร่าที่สะท้อนไม่แจ่มชัด
รอจนผู้ร้องขอค่อยลำดับความคิด กระแสเสียงที่เคลื่อนไหวเป็นเส้นสีนั้น จึงค่อยเข้าระเบียบ
ที่คีตธรนึกรู้ คือคลื่นของนางจักต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเขา ในฐานะภารยาและนางนาฏยา ผู้ที่มีเขาเป็นภารดาและร่ายจังหวะคีตาให้นางได้ร่ายรำบำบวงแก่มหาเทวา
คลื่นนั้นค่อยคลี่คลาย คราวนี้คีตธรเริ่มเป็นภาพเลือนราง เริ่มแรกเป็นเรือนผมที่สยายที่ถูกรวบ มุ่นเกล้าไว้เป็นมวยต่ำ เผยแผ่นหลังที่เนียนลออเปล่าเปลือย
ไฟกามในกายกลับมาเริงโรจน์!
“เป็นนาง เป็นนางใช่หรือไม่... ต้องเป็นนาง ต้องเป็นนาง ร่างกายข้าจึงมีปฏิกิริยาถึงเช่นนี้ ใช่หรือไม่ ใช่หรือไม่...”
พอจิตกลับฝันฟุ้ง ภาพเงาก็กลับเจื่อนจาง เขาเผลอตัวยื่นมือเข้าแตะ แต่สติเตือนไว้ว่า หากสัมผัส เงาภาพนั้นต้องมลายหายเป็นแน่
“นาง... นางเป็นใคร”
คีตธรทำได้แต่เพียงกระซิบถาม
“ราศี ราศี ทักษิณาวรรณ”
“ไม่ใช่อัปสรงั้นรึ หรือเป็นสาวสวรรค์ชั้นใด”
ภาพนั้นยิ่งรางเลือน เป็นการตอบคำ ชี้ชัด... ไม่ใช่นางฟ้าหรือนางสวรรค์
“ไม่... ไม่ใช่ชาวฟ้า”
เสียงในจิตตอบกลับแจ่มชัด
“แล้วนางเป็นใคร นางอยู่ที่ไหน”
แล้วภาพที่คลี่คลายเจือจางก็กลับแจ่มชัด คราวนี้แลคล้ายวิมานสถาน เป็นเจดีย์และปรางค์ปราสาทงดงามอลังการ ถัดมาเป็นลำน้ำกว้างกวาง อีกฟากเป็นตึกรามและถนนหนทาง ภาพที่เห็นแต่ไกลนั้นค่อยๆ ชัด และชัดเจนขึ้น จากถนนหนทางที่มีเครื่องกลเคลื่อนไล่กันไปมา จนถึงสี่แพร่งอันหนึ่ง ภาพนั้นก็เลี้ยวตาม...
ภาพนิมิตจากกระจกหิรัญย์ย้อนขึ้นเป็นมุมสูง ณ ซอยเปลี่ยวสุดซอยคือบ้านโบราณ ไม่ซอมซ่อแต่เงียบเหงา ยายแก่ที่โผล่ระเบียงออกมานั่นทำให้ผู้กำลังเพ่งพินิจตามภาพนิมิตได้ยิ้มออก
ก่อนที่ภาพจะวาบหาย คีตธรยังทันได้เห็น แผ่นป้ายหน้าซอยจารอักษรไว้ให้เป็นที่หมาย
“เรือนมณฑา”
***************
ความคิดเห็น