ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF 2PM] For a short time : Khun x Dong

    ลำดับตอนที่ #8 : [SF] I give my first love to you {Khun ♥ Dong} ,, 02 END

    • อัปเดตล่าสุด 15 มี.ค. 54





    author : CloudWorld
    pairing : khunwoo
    I give my first love TO YOU 01
    ------------------------------







    สนามบินยังคงคาคั่งไปด้วยผู้คนจำนวนมากเหมือนเคย ... 
    ทันทีที่กลับมาเหยียบประเทศเกาหลีแล้วรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้จะไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนแต่ผมก็เติบโตที่นี่ ผูกพันกับที่นี่อยู่ดี 
    ผมจะกลับมาเกาหลีเพื่อเยี่ยมพ่อทุกครั้งที่ปิดภาคเรียนหรือไม่ก็ถ้าทางมหาลัยมีเทศกาลหยุดยาว 
    ที่จริงผมน่ะอยากจะกลับมาให้บ่อยได้เท่าที่ใจต้องการเลยแต่มันคงจะดูเป็นเรื่องเพ้อฝันสำหรับนักศักษาแพทย์คนนึง ... 
    ใช่ครับ ...นักศึกษาแพทย์ ฤดูร้อนปีที่แล้วผมสอบติดคณะแพทย์ศาสตร์ที่มหาลัยแห่งหนึ่งในอเมริกาจึงเป็นเหตุให้ผมต้องเทียวไปเทียวมาจนแทบจะซี้กับเครื่องบินอยู่แล้ว

    ผมนั่งแท็กซี่จากสนามบินไปยังปูซาน นับว่าที่นั่นเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของผมเลยก็ว่าได้เพราะเรื่องราวต่าง ๆ มากมายล้วนเกิดที่นี่ 
    อย่างในปีที่แล้ว ...ผมถูกบอกเลิกจากคนที่ผมรักมากที่สุด ...อูยอง 
    ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีเต็ม ๆ ที่เราไม่ได้ติดต่อกันเลย ไม่รู้ข่าวคราวเลยว่าคน ๆ นั้นเป็นยังไงบ้าง 
    แม้จะอยากให้เรากลับไปเป็นอย่างเดิมก็ดูจะเป็นการฝันลม ๆ แล้ง ๆ มีหลายครั้งที่พยายามตัดเขาออกไปจากใจแต่ก็ไม่สามารถทำได้ซักที 
    มาจนถึงตอนนี้ ความรู้สึกของผมที่มีต่อเขาก็ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ...

    รถแท็กซี่ขับมาถึงบ้านในที่สุด ... ไม่มีใครอยู่บ้านเพราะพ่อยังไม่เลิกงาน และสาเหตุสำคัญที่ไม่อยากไปหาพ่อที่โรงพยาบาลก็เพราะอูยอง 
    ถึงจะรักแต่ก็เกลียดความเจ็บปวด ผมอาจจะบังเอิญเจอเขาที่นั่น ตัวผมเองไม่อยากเจ็บไปมากกว่านี้แล้ว

    ไม่รู้ว่าปล่อยให้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ผมที่นั่งหลับสัปงกอยู่บนม้าหินหน้าบ้านถูกปลุกให้ตื่นขึ้น

    "พ่อ ...!" เมื่อเห็นว่าคนที่ปลุกนั้นคือพ่อ ผมก็กระโจนกอดทันที

    "จะมาทั้งทีทำไมไม่โทรบอกให้ไปรับเลย"

    "ผมโตที่นี่ ... คิดว่าผมจะหลงรึไง ?" ด้วยความที่ไปกวน พ่อเลยเบิร์ดกะโหลกเข้าให้ 
    พ่อยังหนุ่มเหมือนเดิมไม่ได้แก่ลงอย่างกับโดนสตาร์ฟอายุไว้น่ะ ผมเดินตามพ่อเข้าไปในบ้าน คิดว่าช่วงระหว่างมื้อเย็นตลอดจนหัวค่ำคงมีเรื่องให้คุยตามประสาพ่อลูกอีกยาว

    ผมจัดการกับมื้อเย็นในเวลาอันรวดเร็วพลางคุยกับพ่อไปด้วย

    "งานเป็นยังไงมั่งครับ ?"

    "ก็ ... ดี คนป่วยเยอะเหมือนเคย" พ่อยักไหล่เบา ๆ ก่อนจะหั่นสเต็กเข้าปาก

    "ไว้เรียนจบแล้วผมจะมาช่วยพ่อ" ผมยิ้มอย่างภูมิใจเมื่อคิดถึงอนาคตของตัวเองในวันข้างหน้า มันคงจะมีความสุขมาก ๆ ถ้าได้ทำงานกับพ่อที่ผมรัก

    "จนกว่าจะถึงตอนนั้นฉันคงเกษียณไปแล้ว"

    "อะไรกัน พ่อเพิ่งจะห้าสิบต้น ๆ"

    "ฉันหมายถึงว่ากว่าแกจะจบน่ะ มันไม่ใช่ง่าย ๆ เลยต่างหาก" อืม ... ไม่ง่ายอย่างที่พ่อว่าจริง ๆ นั่นแหล่ะ ขนาดเพิ่งผ่านไปปีเดียวผมยังแทบจะเอาตัวไม่รอด = =;; 
    เอาน่ะ ยังไงพ่อก็ต้องอยู่ค้ำฟ้าในวงการแพทย์อีกนานล่ะ ว่าแต่ ...

    "พ่อ ! แล้วนี่พ่อ ..."

    "ยังโสด !! รับรอง" 
    โอเค ... ได้ฟังพ่อแทรกขึ้นมาอย่างรู้ทันแบบนี้ค่อยโล่ง พ่อคงจะชินที่ผมเอาแต่ถามแบบนี้ทุกทีที่เจอกัน

    -มีใครมายุ่งกับพ่อมั้ย-

    นี่ล่ะคำถามยอดฮิต ... ผมน่ะเป็นโรคอย่างนึงคือไม่ชอบให้ผู้หญิงคนไหนก็ตาม(ที่ไม่ใช่แม่)เข้ามาวุ่นวายกับพ่อเลย 
    เป็นเอามากขนาดที่ว่าเคยแกล้งพวกพยาบาลคนสนิทของพ่อจนเขาย้ายแผนกหนีเพราะทนฤทธิ์ผมไม่ไหว ... 
    เป็นมานานตั้งแต่เด็ก ๆ ยิ่งตอนช่วงที่แม่จากเราไปใหม่ ๆ ผมแทบจะเฝ้าพ่อตลอดเวลา .... อาการหนักเนอะ

    "ว่าแต่แกเถอะ ... อยู่โน่นมีใครมาติดหรือไปติดใจใครมั่งรึเปล่า ~" พ่อถือส้อมชี้หน้าผมแล้วยิ้มกริ่มเป็นเชิงล้อ 
    แต่เมื่อเห็นสีหน้านิ่ง ๆ ของผมแล้วพ่อก็แทบจะเดาความคิดผมได้ในทันที

    "... อูยองโสด"

    .

    . 
    .

    ลมเย็น ๆ ยามบ่ายที่พัดผ่านทำให้ผมหวนนึกถึงวันวาน 
    ที่สวนสาธารณะแห่งนี้ผมชอบมาเดินเล่นเป็นประจำ ... อูยองเคยบอกผมหลายครั้งว่าเขาก็ชอบที่นี่เหมือนกัน 
    และเหนือสิ่งอื่นใด ... มันเป็นสถานที่ที่เราพบกันครั้งแรก ... 
    แปลกดีนะ ตั้งแต่ผมกลับมาที่นี่ผมมักจะคิดถึงความหลังพร้อมกับเรื่องของอูยองที่พ่วงมาด้วยเสมอ 
    มันเจ็บอยู่หรอกเมื่อนึกถึง หากแต่ในความเจ็บปวดนั้นบางครั้งมันก็ทำให้ผมยิ้มออกมาได้ ...

    ผมเดินไปตามทางเท้าในสวนสาธารณะไปเรื่อย ๆ มองทางฝั่งซ้ายและขวาซึ่งเป็นสนามหญ้า 
    ทุกอย่างที่นี่ยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน เมื่อก่อนเงียบสง่มและร่มรื่นเพียงใดตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปคือทุกครั้งที่ผมเดินบนทางเท้านี้ ผมจะได้ยินเสียงของอูยองฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีและจับมือผมไปตลอดทาง

    ... ไม่รู้ว่าผมปล่อยให้เรื่องราวของความหลังแล่นเข้ามาในหัวสมองนานแค่ไหน แต่เสียงเรียกเบา ๆ ของใครบางคนทำให้ผมหลุดจากภวังค์

    "นิคคุณ ... นิคคุณใช่มั้ย" เป็นเสียงของผู้หญิงที่กำลังเรียกชื่อผม

    "ครับ ... ?" หันไปหาพร้อมกับตอบรับสั้น ๆ 
    ในทีแรกผมไม่รู้หรอกว่าหญิงวัยกลางคนคนนี้เป็นใคร แต่เมื่อเพิ่งใบหน้านั้นนาน ๆ ทำให้ใจของผมแทบเต้นไม่เป็นจังหวะ

    "นิคคุณจริง ๆ ด้วย !" ตาของเธอเบิกกว้างเมื่อมองเห็นหน้าของผมชัด ๆ ส่วนผมเองก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกันจึงไค้แต่ครางออกมา

    "ค ... คุณน้า ?!" 
    เป็นปีแล้วที่ผมไม่ได้เจอเธอคนนี้ ถึงแม้ว่าคนตรงหน้าของผมจะเปลี่ยนไปมากแต่เมื่อเห็นดวงตาคู่นั้นของเธอแล้ว ... ช่างเหมือนกับดวงตาของใครคนนึงที่ผมคุ้นเคย 
    แน่นอน คนตรงหน้าผม ... แม่ของอูยอง

    "ไม่ได้เจอกันนานเลย เป็นยังไงบ้างน่ะลูก" แม่ของอูยอง หรือที่ผมเรียกติดปากว่าคุณน้าเข้ามาลูบแขนผมเบา ๆ ยิ้มหวานให้ผมอย่างเอ็นดู

    "สบายดรครับ" ผมยิ้มกว้างตอบคนตรงหน้า

    "น้าไม่นึกเลยว่าจะเจอเราที่นี่ ..." แล้วบทสนทนาอันยาวเหยียดระหว่างคนใกล้ชิดที่ไม่ได้เจอกันนานก็เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ 
    ผมเล่าเรื่องราวต่าง ๆ นานาถึงตอนที่ไปอยู่อเมริกาให้คุณน้าฟัง หากแต่บทสนทนาที่สร้างรอยยิ้มกลับต้องหยุดลงเมื่อผมถามคำถามนึงออกไป

    "คุณน้าครับ ... อูยองเป็นยังไงบ้าง ?" 
    บรรยากาศที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มนั้นถูกแทนที่ด้วยความเงียบซึ่งทำให้ผมเริ่มสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่าง ...

    "นิคคุณ ..." น้ำเสียงที่ค่อนข้างจริงจังแบบนั้นทำเอาผมเริ่มใจคอไม่ดี 
    คุณน้าถอนหายใจช้า ๆ ก่อนจะพูดต่อ "คือน้ามีเรื่องบางอย่างจะบอก ...เกี่ยวกับอูยองน่ะ"

    "....."

    "อย่าโกรธน้ากับคุณพ่อของหนูเลยนะที่ไม่ได้บอกอะไร จริง ๆ แล้วอูยองเขาขอให้ปิดเรื่องนี้เอาไว้เพราะกลัวหนูจะเสียใจ แต่มันคงถึงเวลาที่น้าต้องพูดซักทีเพราะน้าไม่อยากเห็นอูยองต้องทรมานแบบนั้นอีกแล้ว ..." 
    ลางสังหรณ์ของผม มันไม่เคยผิดพลาด 
    ผมคิดไว้อยู่แล้วว่าอาจจะได้ยินเรื่องเกี่ยวกับอูยองในทางที่ไม่ค่อยดีนัก ...

    แล้วเรื่องราวที่ผมไม่รู้มาตลอดหลายปีก็ถูกเปิดเผยพร้อมกับเรื่องต่าง ๆ ที่ตัวผมเองแทบไม่อยากเชื่อ ...

    . 
    .

    ผมอยู่บนแท็กซี่และกำลังมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล ... 
    สภาพจราจรที่ติดขัดบนท้องถนนทำให้ผมหงุดหงิดจนแทบบ้า ผมเสียเวลาอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไปไหนเกือบครึ่งชั่วโมง 
    อยากจะเปิดกระจกรถแล้วตะโกนระบายอารมณ์แต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องควักเงินจ่ายค่าแท็กซี่และลงวิ่ง 
    อะไร ๆ ก็ไม่สำคัญแล้วในตอนนี้ สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวคือ ...อูยอง

    'อูยองไม่ได้เป็นโรคหอบ แต่เป็นโรคหัวใจ'

    หลังจากที่ฟังประโยคนี้แล้วผมแทบจะล้มทั้งยืน ตัวของผมชาไปทั้งร่างด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ตีกันยุ่งเหยิงไปหมด 
    ความจริงทั้งหมดและเหตุการณ์ที่น่าสงสัยค่อย ๆ ประติดประต่อเป็นรูปเป็นร่าง 
    เขาเหนื่อยง่ายตั้งแต่เด็ก ... 
    เขาถูกสั่งห้ามไม่ให้เล่นกีฬา ห้ามออกกำลังกาย ... เพราะมันเสี่ยงต่อการหัวใจวาย 
    เขาไม่ยอมให้ผมนั่งอยู่ในห้องด้วยตอนที่พ่อตรวจ ... เพราะไม่ต้องการให้ผมรู้ความลับนี้ 
    เขาไม่เคยถอดเสื้อให้ผมเห็น ... คงเพราะต้องการจะปกปิดรอยแผลเป็นที่เกิดจากการผ่าตัดแน่ ๆ 
    ทั้งหมดนี้คือข้อยืนยันของความจริงที่ผมไม่อยากเชื่อ เขาปิดเรื่องนี้กับผมมาสิบกว่าปี ! 
    และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจ ...

    'อูยองยังรักหนูอยู่ ...'

    '... แทบทุกคืนที่น้าเห็นเขาแอบร้องไห้คนเดียว'

    ผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ... ตอนนั้นอูยองร้องไห้จะเลิกกับผมให้ได้ แต่ทำไมเขาถึง ...

    ในที่สุดผมก็พาร่างตัวเองมาถึงโรงพยาบาลจนได้ ผมตรงไปยังประชาสัมพันธ์และเอาแต่ทวนชื่ออูยองซ้ำไปซ้ำมาก่อนที่จะขึ้นลิฟท์แล้ววิ่งไปยังห้องที่พยาบาลบอกทันที 
    ผมเปิดประตูพรวดเข้าไปเจอพยาบาลสองสามคนนั่งเฝ้าอยู่ที่ประตูด้านในอีกห้องและพวกเธอดูตกใจไม่น้อย 
    อูยองเป็นคนไข้วีไอพีของพ่อจังเป็นธรรมดาที่จะมีพยาบาลคอยเฝ้าอย่างใกล้ชิด แต่เมื่อกวาดสายตาจนทั่วแล้วยังไม่เจอร่างลเกที่ตามหาผมเลยถามทันที

    "อูยองอยู่ในนั้นใช่มั้ย ?!" พวกพยาบาลไม่รอให้ผมได้เปิดประตูด้านในอีกบานที่เชื่อมไปยังห้องด้านใน พวกเธอวิ่งเข้ามาดึงแขนผมไว้

    "ขอโทษนะคะ ตอนนี้เลยเวลาเยี่ยมแล้วค่ะ"

    "ไม่ได้มาเยี่ยม มาหาเขา !" เสียงของผมแทบจะตวาด จากอารมณ์ที่กำลังเดือดยิ่งมาเจอกับพวกนี้แล้วยิ่งหงุดหงิดเป็นทวีคูณ 
    ผมไม่สนใจอะไรอีก กระโจนเข้าไปในห้องและกดล็อกประตูในที่สุด ถึงแม้ห้องข้างในจะเงียบแต่เสียงเจี๊ยวจ๊าวของพยาบาลก็ดังลอดเข้ามาอยู่ดี

    บนเตียงริมหน้าต่างที่มุมห้อง ผมเห็นร่างบางนั่งกอดเข่าหันหลังให้กับผม เงยหน้ามองท้องฟ้ายามโพล้เพล้ข้างนอกหน้าต่าง 
    อูยองนั่งอยู่ตรงนี้จริง ๆ ... นี่คือสิ่งที่ผมแทบไม่เชื่อตาตัวเอง 
    ถึงจะมองจากด้านหลังแต่ผมก็รู้ว่าตัวของเขาซุบผอมลงไป ผิวขาวเนียนนั้นดูซีดกว่าที่มันควรจะเป็น

    "ได้เวลาทานยาแล้วเหรอครับ ?" 
    อูยองถามทั้ง ๆ ที่ยังหันหลังให้ คงจะไม่รู้สินะว่าผมมายืนอยู่ตรงนี้แล้ว ...

    "... อูยอง"

    ดูเหมือนจะเริ่มรู้ตัวแล้วว่าที่พูดด้วยนั้นไม่ใช่พยาบาล เจ้าของชื่อค่อย ๆ หันมาตามเสียงเรียก

    "น .. นิคคุณ !?" เหมือนกับเขาก็ไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าผมยืนอยู่ตรงนี้เช่นกัน ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง ครางชื่อผมออกมาด้วยความตกใจ

    "ท .. ทำไมถึงได้ ... ?"

    "....."

    "นิคคุณ ...มาทำอะไรที่นี่ ?!" ไม่เปิดช่องว่างให้อูยองได้ถามอะไรอีก ผมเดินตรงเข้าไปหาอูยองพร้อมกับภาพตรงหน้าที่เบลอขึ้นเรื่อย ๆ เพราะม่านน้ำตา

    "ฉันต้องเป็นฝ่ายถามมากกว่าว่านายคิดจะทำอะไรกันแน่ !" อูยองเห็นท่าทีของผมแล้วถึงกับเหวอจนทำอะไรไม่ถูก

    "นาย ... ทำแบบนี้เพื่ออะไรอูยอง บอกฉันมา !!" ที่ขึ้นเสียง ที่ตะคอกไม่ใช่เพราะโกรธคนตรงหน้าแต่อย่างใด แต่ผมโมโหตัวเองต่างหากว่าผมเป็นแฟนประสาอะไรเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมถึงมองข้ามไปได้

    "นายปิดฉันไปตลอดไม่ได้หรอกนะ" ผมพูดตรงจุดทำให้คนตรงหน้าแสดงสีหน้าหวั่น ๆ ออกมาอย่างเห็นได้ชัด

    "นิคคุณรู้ ...?" สุ้มเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยินราวกับว่าเป็นการพึมพัมกับตัวเองมากกว่า 
    เสียงสะอื้นของผมเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด น้ำตาผมไหลอีกครั้งพร้อมกับอูยองที่กำลังจะร้องไห้ 
    ผมมองหน้าอูยองนิ่ง ๆ แต่เจ้านั่นกลับเอาแต่เช็ดน้ำตาและมองไปทางอื่น เอามือทั้งสองข้างยกขึ้นปิดหน้าแล้วร้องไห้เงียบ ๆ 
    ไหลบางไหวตามจำนวนครั้งที่สะอื้น ผมอยากจะพูดอะไรออกไปเพื่อเป็นการปลอบใจหากแต่กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างจุกอยู่ที่คอ 
    เราทั้งคู่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อย ๆ ร้องไห้ไปจนไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีน้ำตาหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่ 
    จนในที่สุด อูยองก็เริ่มพูดออกมา

    "นิคคุณ ... กลับไปเถอะ" เสียงแผ่วเบาของอูยองฟังดูอ่อนแรง "... ขอร้อง ฮึ่ก !" 
    เสียงสะอื้นของอูยองทำให้ผมปวดหัวใจดวงนี้มาก ๆ ผมส่ายหน้าและเอาแต่พูดคำว่า ไม่ 
    จะทิ้งอูยองไว้แบบนี้แล้วเดินจากไปเหมือนวันนั้นผมทำไม่ได้และจะไม่มีทางทำมันอีก

    "นายคงไม่รู้ว่าตั้งแต่เกิดมา สิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตที่ฉันเคยทำมาคือการตัดนายออกจากใจ ..."

    "...."

    "... ไม่ใช่ยากอย่างเดียว มันคือสิ่งที่ฉันทำไม่ด้วยต่างหาก !" 
    เสียงสะอื้นของอูยองดังขึ้นอีกครั้ง ในจังหวะที่มือขาวยกขึ้นเพื่อปาดน้ำตาของตัวเองอยู่นั้น แสงของโลหะบางอย่างที่มือนั่นกำลังสะท้อนเข้าตาผม 
    สิ่งนั้นถูกสวมไว้ที่นิ้วของอูยอง ...

    "แหวน ... นายใส่มัน" ทันทีที่ผมทักอูยองก็ชักมือหลบทันที 
    แหวนวงนั้นที่ผมให้อูยองในวันเกิดแล้วโดนปฏิเสธ ผมฝากพ่อให้เอาไปให้อูยอง ตอนนั้นคิดแล้วว่าถ้าอูยองจะทิ้งแหวนนั่นก็ไม่เป็นไร 
    แต่ตอนนี้เขาใส่มันอยู่ ... เหมือนกับผม

    "ออกไปแล้วไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก ลืมผมให้ได้ ..."

    "... ทำไมฉันต้องทำแบบนั้น ?"

    "นิคคุณก็น่าจะรู้ดีว่าทำไม"

    "......." สายตาเหวี่ยง ๆ ดุ ๆ แบบนั้นที่อูยองมองมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันคงใช้ได้ดีกับผม แต่ในวันนี้ ... ไม่อีกแล้ว

    "แค่เรื่องที่นายป่วยมันไม่ได้ทำให้ฉันไม่อยากรักนายนะอูยอง"

    "... มันไม่ใช่แค่นั้น"

    "....."

    "... ตอนเด็ก ๆ ผมเคยแอบได้ยินพ่อนิคคุณคุยกับแม่ผม"

    "....."

    "ผมเป็นโรคหัวใจ ..."

    'ไม่ใช้โรคหัวใจธรรมดา ไม่มีทางรักษาให้หายขาด ... ทำได้เพียงยื้อชีวิตไว้ให้ยืนยาวขึ้น' 
    ข้อนี้ผมรู้ดี แม่ของอูยองบอกผมหมดทุกอย่างแล้ว

    "แต่มันแย่หน่อยตรงที่ หัวใจของผมถูกจำกัดอายุไว้ ..." เหมือนกับว่าสิ่งที่อูยองกำลังจะพูดต่อไปนี้อยู่นอกเหนือจากที่ผมรู้ ... 
    แปลกจัง ทำไมพอผมฟังประโยคนี้แล้วรู้สึกขนลุกชอบกล ...

    "มันจะหยุดทำงาน เมื่อผมอายุ20ปี ..."

    "......" 
    ราวกับร่างกายของผมถูกสาปให้แช่แข็งทั้งเป็นแต่ในใจกลับร้อนรุ่มอย่างกับมีใครเอาเพลิงมาสุมในอก

    "เวลาของผม เหลืออีกไม่มากแล้ว ..." ถึงจะบอกทางอ้อมแต่ผมเข้าใจในสิ่งที่อูยองต้องการสื่อเป็นอย่างดี 
    ผมร้องไห้อีกครั้ง คราบน้ำตาที่อาบบนแก้มถึงจะยังไม่แห้งดีแต่ก็ต้องเปียกชุ่มอีกครั้ง 
    ความรู้สึกมันเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนที่อูยองบอกเลิกผมคราวนั้นซะอีก ...

    "... อูยอง ... นาย ..."

    "ผม ... ผมกำลัง ..." 
    อย่า อย่าพูดมันออกมา ! เสียงในใจสั่งผมให้พูดออกไปแบบนั้น แต่ปากกลับไม่สามารถขยับเอื้อนเอ่ยอะไรออกไปได้เลย

    "ผมกำลังจะตาย ..." 
    ผมรู้ว่าตัวเองกำลังสติหลุดไปแล้ว ผมเอาแต่ส่ายหน้าไปมา เสียงสะอื้นของผมดังไปทั้งห้อง

    ไม่จริงหรอก .... ผมอาจจะเจอเรื่องไม่คาดฝันมาตลอดทั้งวันจนสมองมันสั่งการผิดพลาดก็ได้ อูยองไม่ได้เป็นไรเลย เขาแข็งแรงดี ... นี่คือสิ่งที่ผมพยายามหลอกตัวเอง 
    แต่มันจะไปมีประโยชน์อะไรหากทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

    เวลาที่ผ่านมาผมปล่อยให้อูยองเผชิญโรคร้ายเพียงคนเดียว เก็บกลั้นทุกสิ่งทุกอย่างไว้เพียงคนเดียว 
    ผมเดินจากมาโดยที่ทิ้งให้อูยองต้องทรมาน

    'อูยองยังรักหนูอยู่ ...'

    '... แทบทุกคืนที่น้าเห็นเขาแอบร้องไห้คนเดียว'

    สำหรับผม สิ่งที่ทำได้ยากที่สุดคือตัดใจจากอูยอง 
    สิ่งที่เสียใจที่สุด คือการเห็นคนตรงหน้ากำลังร้องไห้ 
    สิ่งที่ทรมานที่สุด คือการถูกบอกเลิกจากคนที่ตัวเองรัก 
    สิ่งที่น่าใจหายที่สุด คือการที่ได้รู้ว่าเขากำลังจะจากผมไป 
    และสุดท้าย สิ่งที่ไม่น่าให้อภัยเลยจริง ๆ คือการปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างสูญเปล่า 
    ขอเพียงผมรู้ ถ้ารู้เร็วกว่านี้ ...

    นี่ผม ... ทำผิดอย่างร้ายแรงต่ออูยองโดยไม่คาดคิด 
    ผิดจนไม่น่าให้อภัย

    "ออกไปเถอะ ..." อูยองเบนหน้าไปทางอื่น เขากำลังไล่ผม แน่นอน เขาคงไม่อยากเห็นสภาพของผมที่น่าเวทนาซักเท่าไหร่

    "มาถึงขนาดนี้นายยังออกปากไล่ฉันอีกเหรอ !!"

    "....."

    "นาย ... นายมันแย่ที่สุดอูยอง นายคิดถึงความรู้สึกฉันบ้างรึเปล่า ! นายทำแบบนี้ได้ยังไง นายคิดว่าฉันจะอยู่ได้เหรอถ้าไม่มีนายน่ะ ..."

    "เพราะผมรู้ว่านิคคุณจะเป็นแบบนี้ผมถึงบอกให้ลืม"

    "แล้วเห็นฉันทำได้รึเปล่า ?" ผมแทรกขึ้นทันทีหลังจากที่อูยองพูดจบ 
    ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้นถึงอูยองจะหาสารพัดวิธีมาไล่ผมก็ตาม ผมต้องการอยู่กับอูยองและทำให้เขากลับมามีความสุขให้ได้ 
    ... ซึ่งผมมั่นใจว่าทำได้

    "อูยอง ... ฟังนะ ฉันจะอยู่กับนาย" ผมเดินเข้าไปใกล้อูยองมากขึ้นจับมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้

    "ฉันรักนายมาตลอด ..." ค่อย ๆ ใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาคนตรงหน้าอย่างเบามือ โดยไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น สิ่งที่ผมพยายามทำมาตลอดก่อนที่เราจะเลิกกัน ... ผมพยายามทุกวิถีทางให้อูยองยิ้มออกมา 
    และในตอนนี้ อูยองกำลังยิ้มให้ผม 
    ทุกอย่างกำลังเข้าที่เข้าทาง ... ทุกอย่างกำลังกลับไปเป็นเหมือนเดิม 
    ช่วงเวลาแห่งความสุขที่ขาดหายไปมาจนถึงตอนนี้มันกำลังประติดประต่อเข้าหากันอย่างช้า ๆ 
    "ผมก็รักนิคคุณ" 
    ก่อนที่น้ำตาของคนตรงหน้าจะไหลลงมาอีกรอบ ผมใช้มือทั้งสองข้างประคองแก้มของอูยองไว้แล้วก้มลงจูบที่ปากอิ่มนั่น 
    สัมผัสเดิมที่คุ้นเคย ... นานเหลือเกิน หากแต่ความรู้สึกยังไม่แปรเปลี่ยน 
    อูยองโน้มตัวเข้าหาพร้อมกับผมที่ค่อย ๆ ดันตัวเองขึ้นไปนั่งอยู่บนเตียงได้สำเร็จ มือเย็นลูบไล้ขึ้นมาที่ท้ายทอยก่อนที่แขนทั้งสองข้างจะโอบรอบคอของผมกระชับเราให้แนบชิดกันมากขึ้น 
    ริมฝีปากขบเม้มกลีบปากของอีกฝ่ายอย่างยั่วเย้า ทั้งต้องการ และโหยหา

    อูยอง ... สิ่งที่นายควรจะได้รับตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่เราทั้งคู่ต่างปล่อยให้มันสูญเปล่า ฉันจะชดเชยให้เอง ...

    เราผละออกจากกันในเวลาต่อมาเมื่ออูยองสะกิดที่ไหล่เป็นเชิงบอกว่าลมหายใจกำลังขาดห้วง 
    เสียงหอบถี่ดังผลัดกัน ปากอิ่มเผยอออกรับอากาศหายใจ เห็นแล้วมันอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะกดจูบลงไปเบา ๆ อย่างหมั่นเขี้ยว

    "กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย ... เป็นแฟนกันนะ ?" ถามคนตัวเล็กที่ช้อนตามองด้วยสายตาหวานเชื่อมเพราะแรงอารมณ์ที่ค่อย ๆ ก่อตัว 
    ริมฝีปากที่แย้มยิ้มนั่นถือเป็นคำตกลง

    อูยองโน้มตัวเข้าหาผมอีกครั้ง ผลัดกันถ่ายทอดความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เสียงครางอือในลำคอของคนตรงหน้าทำให้ผมไมสามารถรับรู้สิ่งใดและไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป 
    ทันทีที่รู้สึกว่าเข็มขัดกางเกงถูกถอดออก ผมค่อย ๆ กดไหล่ของอูยองลงแนบกับเตียงก่อนที่ไฟในห้องจะดับลง ...

    . 
    .

    ช่วงเวลาซัมเมอร์ของผมสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว ... 
    มันเป็นแบบนี้ล่ะ เวลาของผมผ่านไปเร็วเสมอเมื่อได้ใช้มันร่วมกับอูยอง แต่ใช่ว่าผมจะไปอเมริกาซะเมื่อไหร่ 
    ก็อย่างที่บอกไว้ตอนแรก การได้ใช้เวลาอยู่กับอูยองมาก ๆ เป็นสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุด ผมดร็อพเรียนที่มหาลัยเอาไว้และใช้ชีวิตอยู่ที่ปูซานไปก่อน 
    ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับอูยองเป็นไปด้วยดี ตอนนี้เราทั้งคู่มีความสุขมาก ๆ 
    อูยองคนที่น่ารักคนเดิมกลับมาแล้ว ไม่ใช่อูยองที่เย็นชาเหมือนตอนนั้น ... 
    ส่วนผมก็ทำตัวเป็นว่าที่แฟนแสนดี ตามใจอูยองสารพัด (แต่ก็มีดุบ้างเวลาที่เด็กดื้อ) ยอมให้อูยองแกล้งผมได้ตามใจชอบ 
    ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมจะหาเรื่องแกล้งกับให้ได้ แต่ตอนนี้ผมก็แค่อยากให้อูยองมีความสุขมาก ๆ กับสิ่งที่เขาทำ

    "อูยองงี ~ จะเสร็จรึยังครับ ?"

    "จะขยับปากทำไมเล่าปัดโธ่ วาดไม่ได้เลย" ถ้ามีอะไรอยู่ใกล้มืออูยองตอนนี้เขาคงจะหยิบมันมาเควี้ยงใส่ผมแล้วแน่ 
    อูยองนั่งหน้าดำคร่ำเครียดมาหลายชั่วโมงแล้วกับการนั่งสเก็ทภาพผม อูยองเป็นคนที่มีหัวทางด้านศิลปะ ผลงานแต่ละอย่างที่เขาทำตอนอยู่โรงเรียนล้วนอยู่บนบอร์ดผลงานดีเด่นทั้งสิ้น 
    แต่ดูเหมือนงานนี้อูยองจะทุ่มสุดตัว พอชะโงกดูอูยองก็ไม่ยอมให้ดู เขาบอกจะไม่ให้ผมดูจนกว่าจะวาดเสร็จ

    "อ้าา เสร็จแล้ววว ~~" อูยองบิดขี้เกียจแล้วยิ้มออกมาราวกับพอใจในผลงาน

    "ขอดูบ้างสิครับ" ผมแบมือขอกระดาษจากอูยองที่กำลังยิ้มอย่างพอใจให้กับผลงานของตัวเอง 
    อูยองยื่นมันมาให้ผมดูพร้อมกับรอยยิ้มมีเลศนัย ก็กระดาษแผ่นนั้นมันเป็นรูปการ์ตูนหัวกลม ๆ ที่หน้าตาเหมือนพระอาทิตย์มีหางเป็นจระเข้ 
    ไอตัวนี่มันคือผมใช่มะ - -

    "โห่ย วาดตั้งนานทำไมฉันออกมาเป็นเงี้ยะ" เมื่อเห็นหน้าแหยง ๆ ของผมอูยองยิ่งหัวเราะคิกคัก

    "ก็หัวนิคคุณเหม่งอย่างกะพระอาทิตย์" ดี ... ดีจริง ๆ เปรียบได้เหมือนมาก แฟนผมโคตรเก่ง ! 
    ท่าทางจะไม่ใช่เหม่งธรรมดาเพราะวาดอย่างนี้ให้กูหัวล้านเลยก็ได้ โอยยยย เส้นผมหายไปไหนหมด -*- 
    แต่ถึงมันจะเป็นผลงานที่ทุเรศทุกังยังไงผมก็ยัดมันใส่กระเป๋าเก็บไว้อยู่ดี 
    อูยองมักจะเป็นแบบนี้เสมอล่ะ เขาชอบวาดการ์ตูนล้อเลียนตัวผมเป็นรูปพระอาทิตย์ ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ... ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราพบกัน

    "โอเค เด็กดื้อ ... หมดเวลาสนุกแล้ว" ผมลุกขึ้นยืนพร้อมกับเก็บข้าวของในห้องให้เข้าที่ เมื่อนาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มปุ๊บก็ถึงเวลาที่เด็กดื้อต้องเข้านอน 
    อูยองกระเถิบตัวและนอนลงบนเตียงและห่มผ้าห่ม เมื่อจัดการกับข้าวของแล้วผมเดินมาหาอูยองที่หัวเตียง จูบลงบนหน้าผากมนเบา ๆ

    "ฝันดี ..."

    .

    .

    แสงสีส้มของดวงอาทิตย์ทอไปทั่วผืนฟ้าราวกับต้องการจะเปรยสั้น ๆ ว่า ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า 
    ผ้าม่านสีขาวสะอาดตาปลิวไปตามลมอ่อน ๆ ที่พัดเข้ามา เสียงลมคลอกับเสียงของโมบายเปลือกหอยที่แขวนอยู่ริมหน้าต่างกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง 
    อูยองนั่งกอดเข่าบนเตียง เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ 
    ร่างบางหันมาพร้อมกับรอยยิ้มหวาน ๆ เมื่อผมเดินเข้ามาและลงไปนั่งบนเตียง ข้าง ๆ กับอูยอง

    "ใกล้จะได้เวลากินมื้อเย็นแล้วนะ" ผมบอกพร้อมกับค่อย ๆ ปรับท่านั่งให้สบายโดยเอาหัวพิงกับขาของคนที่นั่งอยู่ก่อนหน้าทำให้เจ้าตัวเปลี่ยนท่านั่งเป็นขัดสมาธิแทนเพื่อให้ผมนอนหนุนตักได้สะดวกมากขึ้น 
    อูยองยิ้มและพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร มือบางค่อย ๆ ลูบบนกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนของคนที่กำลังนอนหนุนอยู่บนตักอย่างเบามือไปเรื่อย ๆ จนผมใกล้จะเคลิ้มหลับเต็มที

    "เดี๋ยวก็หมดเวลาแล้ว ..." เสียงของอูยองพูดขึ้นทำลายความเงียบ "ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ..." 
    ถึงอูยองจะไม่ได้พูดอะไรต่อแต่ผมก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเจ้าตัวหมายถึงอะไร

    "ไร้สาระหน่า"

    "....."

    "....."

    เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเรา ผมยังคงหลับตาต่อไป พยายามหาเรื่องอื่นมาคุยเปลี่ยนเรื่อง

    "ฉันว่า ... รักของเราเหมือนอากาศเลยเนอะ ว่ามั้ย" ผมหลับตาพริ้มยิ้มรับสัมผัสจากมือเย็นที่กำลังลูบใบหน้าผมช้า ๆ

    "จะบอกว่าขาดผมไม่ได้ ใช่มั้ยล่ะ ?"

    "เปล่า ..." ผมลืมตาขึ้น สบกับแววตาซุกซนของร่างบาง "ไปเอามุกเสี่ยว ๆ แบบนี้มาจากไหน" 
    พอแซวเข้าให้ผมก็โดนฝ่ามือพิฆาตตีดังแผะลงบนหน้าผากมนของตัวเองที่อูยองชอบบอกว่าเหมือนพระอาทิตย์นักหนา

    "ฉันหมายถึง ... ฉันสัมผัสได้ว่ามันอยู่รอบ ๆ ตัวฉันต่างหาก" พอพูดจบอูยองก็เบ้ปสกทันที

    "เสี่ยวกว่าเดิมมั้ย ? = =;;" อูยองลากมือไปเขย่าหัวของผมเบา ๆ อย่างหมั่นไส้

    "งั้นผม ... จะเป็นอากาศที่อยู่รอบตัวนิคคุณเอง ..."

    "...."

    "ถ้าวันไหนอากาศอบอุ่นแปลว่าวันนั้นผมมีความสุข ... อากาศเย็นแปลว่าผมกำลังยิ้ม"

    "....."

    "วันไหนหิมะตก แปลว่าผม ... เอ่อ ... กำลังจูบนิคคุณอยู่"

    ประโยคก่อนหน้านี้ทำให้ผมยิ้มออกมา แต่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมประโยคล่าสุดที่เพิ่งได้ยินผมถึงยิ้มกว้างกว่าปกติ ^ ^

    "... และเมื่อใดก็ตามที่มีลมพัดเบา ๆ แปลว่า ผมกำลังกอดนิคคุณ" 
    ผมยิ้มตอบอูยองที่กำลังยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน สัมผัสที่มือบางกำลังลูบเบา ๆ ที่ข้างแก้มทำให้ผมเคลิ้มจะหลับมากขึ้นเรื่อย ๆ จนปล่อยให้เปลือกตาที่หนักอึ้งปิดลงช้า ๆ 
    ถึงแม้ว่าสติกำลังจะหลุดลอยและดับวูบไปแต่ผมกลับรู้สึกที่สัมผัสอุ่น ๆ ที่ริมฝีปาก 
    อูยองโน้มตัวก้มลงมาจูบผม แผ่วเบา เนิ่นนาน และชัดเจนในความรู้สึก ... รู้สึกเช่นนั้นจนผมค่อย ๆ หลับไปและไม่รับรู้อะไรอีก
    ไม่ได้รู้เลยว่านั้นเป็นการจูบครั้งสุดท้ายของเรา ...

    ----------------------- 
    --------------

    ช่วงเวลาแห่งความสุขที่มีค่านั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วและผมรู้ดีว่าเราไม่สามารถย้อนกลับไปมีความรู้สึกดี ๆ แบบนั้นได้อีกต่อไป   ฤดูฝนและพายุที่โหมกระหน่ำเปรียบได้กับช่วงชีวิตของคนเราที่อยู่ในจุดต่ำสุด จนกระทั่งมันได้จากเราไปพร้อมกับสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของผม 
    ผมรำพึงรำพันถึงพระผู้เป็นเจ้า หากท่านเมตตา ... ผมต้องการให้อูยองมีชีวิตที่ยืนยาวเหมือนคนทั่ว ๆ ไปและขอให้ผมที่เป็นฝ่ายจากไปแทน 
    หากแต่ ... ท่านไม่ฟังคำขอร้องของผม ... 
    คืนสุดท้ายที่เราอยู่ด้วยกัน ผมกอดอูยองไว้ในอ้อมแขนเนิ่นนานจนรู้สึกว่าร่างนั้นค่อย ๆ หมดลมหายใจไปช้า ๆ 
    อูยองจากไปอย่างสงบ ... ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขในยามที่หลับใหลบอกผมว่าเขาจากไปในขณะที่ตัวเองกำลังมีความสุข

    ภาพในวันนั้นยังติดตา มันคือสิ่งที่ทรมานหัวใจของผมที่สุด เสียใจที่สุดในชีวิต 
    ใครบางคนเคยบอกเอาไว้ว่าคนที่จากไปแล้วไม่ใช่คนเบื้องหลังที่ถูกลืม แต่เป็นแรงบันดาลใจให้ชีวิตของเราก้าวเดินต่อไป ... 
    ถึงแม้ผมจะคิดถึงอูยองมากเพียงใดแต่เราก็ไม่สามารถพบกันได้อีก 
    ผมนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ระหว่างเรา สิ่งต่าง ๆ ที่อูยองเคยบอกกับผม

    ยิ้มรับในวันที่หิมะตก ... เป็นวันที่ผมชอบมากที่สุด 
    อูยองกำลังจูบผม ... 
    ผมรู้ ... เพราะอูยองยังอยู่กับผม ... 


    ... เขาไม่ได้จากไปไหน









    give my first love to you ...

    ความรู้สึกคิดถึงและโหยหากำลังกัดกินหัวใจ 
    นิชคุณปล่อยให้น้ำตาไหลไปตามร่องแก้มโดยไม่คิดจะเช็ดมันออก ในห้องนอนซึ่งเจ้าของห้องผู้ล่วงลับไปแล้วจึงดังก้องไปด้วยเสียงสะอื้นที่เป็นจังหวะ

    เสียงที่ดังพอ ... เรียกใครอีกคนให้ได้ยิน

    ร่างบางโปร่งแสงในชุดสีขาวยืนอยู่หน้าประตู มองคนที่ตนรักอย่างสุดหัวใจ

    "ผมรู้ ... ว่านิคคุณต้องมา" เสียงเล็กนั้นสั่นเทาจวนเจียนจะสะอื้นออกมาหากแต่อีกคนกลับไม่ได้ยิน อูยองกลั้นน้ำตาที่เพียรจะไหลออกมาอย่างยากเย็น เดินเข้ามาหาร่างสูงที่นั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง

    "อย่าร้อง .. ไห้" เสียงเล็กพยายามพูดแต่พยางค์หลังกลับขาดห้วงไปพร้อมกับเสียงสะอื้นคลอกับเสียงของอีกค น 
    มือเล็กแตะลงบนบ่าของร่างสูง หวังให้ความเศร้าในใจของคนตรงหน้ามลายหายไปจนหมดสิ้น

    นิชคุณร้องไห้ ... อูยองก็ร้องไห้ ...

    หากแต่ส่งที่ร่างสูงสัมผัสได้มีเพียงลมเบา ๆ พัดผ่านยามที่มือของอูยองเคลื่อนไหว

    ลมพัดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ผ้าม่านปลิวไว นิชคุณหันไปมองตามต้นทางของลม ในใจยังคงเหม่อลอย 
    ทันทีที่ลมอ่อน ๆ ปะทะเข้ากับร่างสูง ภาพเบลอ ๆ ของเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนฉายในห้วงความคิดทันที

    '... และเมื่อใดก็ตามที่มีลมพัดเบา ๆ แปลว่า ผมกำลังกอดนิคคุณ'

    ร่างสูงมองภาพถ่ายในมือของตน ภาพที่อูยองกำลังยิ้มสู้กล้อง

    คิดถึงเหลือเกิน ...

    ก่อนที่ภาพในมือนั้นจะค่อย ๆ เบลอลงเพราะน้ำตาที่คลอหน่วยไหลลงอาบแก้มอีกรอบ 
    ถึงจะร้องไห้อยู่ แต่นิชคุณก็ยิ้มออกมา

    ลมจากข้างนอกยังคงพัดเบา ๆ เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย และแน่นอน ร่างบางของอูยองกำลังโอบกอดนิชคุณจากด้านหลัง แก้มนิ่มซบลงกับแผ่นหลังกว้างที่อบอุ่น 
    กำลังสะอื้นจนตัวโยน

    "อย่าร้องไห้สิ ..."

    ย้ำอีกรอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม 
    รู้ทั้งรู้ว่าถึงอย่างไรก็ตามอีกฝ่ายจะไม่มีทางได้ยินมัน ...

    .

    .

    มันจะมีซักกี่เรื่องที่คนเราจะจำได้จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ... 


    ยังจำรักของเราได้ไหม ? 
    ... ฉันจำมันได้ดี

    แล้วจำความรู้สึกตอนนั้นได้หรือเปล่า ? 
    ... ถึงมันจะผ่านมานาน แต่ฉันไม่มีวันลืม 

    ความทรงจำทุกอย่างของนาย ฉันไม่มีทางลืมและไม่สามารถลบมันออกจากใจได้เลย 
    รักครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ... ฉันได้ให้มันไว้กับนาย

    .

    .

    .

    .




    .

    .

    ฤดูใบไม้ร่วง ในวันที่อากาศอบอุ่น 
    แสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้าที่สาดส่องลงมานั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกร้อนแต่อย่างใด แต่กลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด 
    ลมเย็น ๆ พัดใบไม้และกลิ่นของต้นไม้ ใบหญ้า และดินในสวนสาธารณะอบอวลไปทั่ว 
    เด็กชายที่เดินวนเวียนแถวนั้นอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็หามุมสงบได้

    เลือกนั่งที่ม้าหินริมแม่น้ำและหยิบกระดานวาดรูปที่ขนาดใหญ่เกินตัวสำหรับเด็กวัย5ขวบ ที่หอบมันมาอย่างทุลักทุเลตลอดทาง 
    เมื่อหามุมได้แล้วจึงเริ่มลงมือขีด ๆ เขียน ๆ ในกระดาษทันที แต่กลับต้องหยุดชะงักลงเมื่อรู้สึกถึงแรงกระแทกเบา ๆ บนม้าหินที่ตัวเองกำลังนั่ง 
    เหลือบสายตามองเพียงด้านข้างแว้บเดียว เห็นเด็กผู้หญิงผมสั้นอายุรุ่นราวคราวเดียวกันในชุดเสื้อยืดหลวม ๆ สบาย ๆ ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร หันกลับมาสนใจกับภาพวาดของตัวเองต่อ

    "นั่งด้วยได้มั้ย ?" เสียงเล็กของคนข้าง ๆ ถาม

    "ได้ ~" ตอบเสียงใส "ฉันใจดีกับเด็กผู้หญิงอยู่แล้วนะ พ่อสอนว่าต้องเป็นสุภาพบุรุษ" นิชคุณหรือเด็กชายที่กำลังตั้งอกตั้งใจวาดรูปพูดไปยิ้มไป ก้มหน้าวาดรูปโดยไม่ทันสังเกตว่าที่นั่งข้าง ๆ อยู่น่ะมัน ...

    "แต่ ผมเป็นผู้ชายนะ"

    ... ผู้ชายนี่หว่า 
    จริงอย่างที่เขาว่า เมื่อหันไปสบเข้ากับดวงตาเรียวเล็กของอีกฝ่ายแล้วจึงรู้ว่าที่มองผ่าน ๆ ในทีแรกนั้นตัวเองคิดผิดจึงได้แต่เกาหัวแก้เก้อ 
    นิชคุณรู้สึกว่าสายตาของตัวเองเบลอไปชั่วขณะ หรือไม่ก็ ตัวเขาเองคงมีความผิดปกติบางอย่างในร่างกาย เพราะตั้งแต่ที่สบตากับคนข้าง ๆ แล้วเขาไม่อาจละสายตาจากคน ๆ นี้ไปได้เลย ... 
    ไม่สามารถละสายตาจากพวงแก้มสีสุกปลั่งที่เหมือนผู้หญิงนั่นได้ ...

    "ผมนั่งได้ใช่มั้ย ?" เมื่อปากบางเฉียบราวกับผู้หญิงนั้นขยับถาม นิชคุณต้องใช้เวลาซักพักในการหาลิ้นตัวเองให้เจอ

    "ได้ ..." 
    ทันทีที่ได้รับคำอนุญาต เด็กชายเจ้าของพวงแก้มอูมก็ยิ้มกว้าง ซึ่งรอยยิ้มนี้ทำให้นิชคุณยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว

    "นาย ... ชื่ออะไรเหรอ ?" นิชคุณเป็นฝ่ายถามบ้าง

    "อูยอง" ร่างบางตอยเสียงใสพร้อมกับยิ้มแป้นแล้น

    "ฉันชื่อนิชคุณ"

    อูยองพยายามพูดทวนชื่อแปลก ๆ นั้น "นิ ... คุณ ?" 
    เห็นอูยองพูดผิด ๆ ถูก ๆ จึงต้องย้ำอีกรอบ

    "นิชคุณ"

    "นิค ..คุณ"

    "อืม นิคคุณ(ก็ได้)" นิชคุณหัวเราะน้อย ๆ ให้กับท่าทางน่ารักไร้เดียงสาที่เหมือนเด็กผู้หญิงไม่มีผิด "นายอยู่ที่นี่เหรอ ?"

    "ผมมาหาหมอที่โน่น" ชี้นิ้วไปยังตึกของโรงพยาบาลที่อู่ใกล้ ๆ ... ตึกที่พ่อของนิชคุณทำงานอยู่

    "จริงเหรอ !? พ่อฉันทำงานอยู่ที่นั่น" 
    อูยองยิ้มบาง ๆ และกระเถิบเข้ามาใกล้กับเพื่อนใหม่ที่ชื่อแปลก ๆ

    "นิคคุณวาดรูป ? ผมอยากวาดบ้าง ..." 
    แล้วคนตัวโตกว่าก็ปล่อยให้อูยองฉกชิงกระดานและดินสอมาไว้ในครอบครองก่อนจะลงมือวาดต่อ เติมจากรูปที่นิชคุณวาดค้างไว้

    แทนที่นิชคุณจะสนใจว่าเพื่อนตัวเล็กกำลังทำลายหรือสร้างสรรค์ผลงานของตน แต่เขากลับเอาแต่เหม่อมองทุก ๆ อิริยาบทของจิตรกรตัวจิ๋วพร้อมกับยิ้มตามไปด้วย

    "ผมวาดรูปเก่งนะ" จิตรกรตัวจิ๋วยังคงตั้งหน้าตั้งตาวาดรูปต่อไปโดยที่นิชคุณไม่ได้พูดอะไร เขาเอาแต่ยิ้มตามและยอมรับความจริงที่ว่าร่างกายของเขา ... อวัยวะที่เรียกว่าหัวใจนั้นเริ่มจะเต้นแรงจวนเจียนจะหลุดจากการควบคุมเข้าไปทุกที

    "ผมวาดหน้านิคคุณด้วย"

    "นายวาดพระอาทิตย์ทำไม ?"

    "หัวนิคคุณใสแจ๋วเหมือนพระอาทิตย์ : )"

    เสียงหัวเราะคิกคักของเด็กสองคนทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอดเดาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมบ รรยากาศในสวนสาธารณะแห่งนี้จึงดีกว่าทุก ๆ วัน ...

    มันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของบางสิ่งบางอย่างที่นิชคุณสัมผัสได้ แต่ยังไม่สามารถหาคำมาอธิบายได้ว่าความรู้สึกดี ๆ ที่ก่อตัวขึ้นในเวลาอันสั้นนี้เรียกว่าอะไร

    ไม่รู้เลยว่าไอความรู้สึกแบบนี้จะมีมากขึ้นไปตามจำนวนวันและเวลาที่ผ่านไป ...



    .
    .




    End.

    ----------------------


    +TALK
    เป็นไงล่ะเป็นไง ? 5555555
    แต่เราว่าไม่ค่อยเศร้าเท่าไหร่นะเพราะตอนที่พล็อตมันอยู่ในหัวคือจะเศร้ากว่านี้
    แต่ไป ๆ มา ๆ พอแต่งแล้วมันก็ไม่ถึงกับน้ำตาซึมอะไรงี้ (ออกจะน่าเบื่อด้วยละมั้งบางช่วง -*-)
    เดี๋ยวถ้าว่าง ๆ (เมื่อไหร่ก็ไม่รู้) ก็จะแต่งมาลงอีก หือ ๆๆๆๆ




    Qreaz. 10
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×