ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC INFINITE] MAN IN LOVE

    ลำดับตอนที่ #3 : MAN IN LOVE : EP3

    • อัปเดตล่าสุด 21 เม.ย. 56


    Calista Small Cute Blue Gray Pointer theme

    เช้าที่สดใสของอีซองยอลกำลังจะเริ่มขึ้นรึเปล่านะ  แล้วท้องฟ้าที่มืดครึ้มก่อนหน้านี้จะกลับมาอีกรึเปล่า เขากำลังสงสัย  มันจะเป็นได้ไหมกับการเริ่มต้นครั้งใหม่นี้  เขาไม่อาจรู้ได้เลย

     


     

    “อีซองยอล เสร็จรึยัง”  เสียงคิมซองกยูดังเข้ามาในห้อง  อีซองยอลเพิ่งจะรู้ว่าบ้านนี้สุดยอดก็เมื่อตอนที่ลงไปโวยคิมซองกยู  ว่า..เหตุใดหนอเสียงจึงเล็ดลอดเข้ามาในห้องเขาได้ทั้งที่ตัวเองคุยนักคุยหนาว่า ห้องเก็บเสียง ก็ได้ความว่า ทุกห้องเก็บเสียง  แต่คิมซองกยูได้ติดตั้งระบบพิเศษ ต่อไมค์เข้ากับลำโพงที่ติดตั้งในห้องทุกห้อง  ช่างเป็นพี่ที่น่าประทับใจอะไรเช่นนี้ 



     

              “เสร็จแล้ว  ไม่ต้องพังประตูเข้ามา”


                อีซองยอลเปิดประตูด้วยชุดสุดแสนจะเรียบร้อย  เสื้อไหมพรมแขนยาวสีฟ้าสะอาดตา  กับกางเกงขาสั้นสีขาว 


                “ไป..เสร็จแล้วก็ดี จะได้รีบพาไปเจอสปอนเซอร์  เดี๋ยวเขาจะไม่ปลื้มเอา”


              “รู้แล้วน่าพี่ชาย  อย่าเร่งเร้าฉันมากได้ไหม”


                “เออ รีบๆ เดินตามมาได้แล้ว”


                อีซองยอลไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีคนคนหนึ่งกำลังมองเขาอยู่  ด้วยสายตาที่ดูไม่ออก

     




                “มองอะไรอยู่หรือแอล??”

                “ไม่มีอะไรครับ”  คนถูกถามหันหลังกลับเดินเข้าห้องซ้อม  ทิ้งให้คนถามได้แต่งง  นี่เขาพลาดอะไรไปสักอย่างรึเปล่า  แค่เขาไม่มาวันเดียว  ดูจะมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย



                นัม อูฮยอนเป็นผู้จัดการของไอดอลคู่ดูโอ้สุดฮอตที่กำลังดังที่สุดอยู่ในขณะนี้  เขาเป็นคนดูแลงานทั้งหมดให้กับคิมจงอินและคิมมยองซู  นอกจากนั้นยังคอยเป็นพี่เลี้ยงดูแลทั้งสองคนได้อย่างดี 


                เมื่อวานมีเหตุให้เขาจะต้องกลับบ้านกะทันหันจนไม่ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ในบ้านหลังนี้  แต่เขาก็พอรู้มาบ้างว่าคิมซองกยูคนใจร้ายพาน้องชายที่เคยทำงานด้วยกันตั้งแต่สมัยเรียนมาเพื่อโปรเจคละครร้อยล้านของเจ้าตัว  ดูไปแล้วน้องชายคนนั้นก็น่ารักดี  หน้าหวาน  ตาเฉี่ยวคม  แถมยังสูงมากอีกด้วย


                ไม่ใช่เวลาที่จะมาพินิจพิเคราะห์การจากไปของสองคนนั้น  สิ่งที่เขาจะต้องทำวันนี้คือการเข็นไอเด็กสองคนให้ซ้อมสำหรับเตรียมคัมแบคอัลบัมใหม่ที่จะออกภายในเร็วๆ นี้


                “วันนี้พวกนายตั้งใจซ้อมนะ ซ้อมดีมีรางวัล”  เอ่ยขึ้นอย่างใจดี  จนเด็กชายคิมจงอินตาตั้งรีบลุกขึ้นมาซ้อมท่าเต้นสุดพิสดารทันที




              แต่ผิดกับอีกคนที่เอาแต่นั่งเงียบเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูดอย่างนั้นแหละ

     







                บริษัทนักลงทุนยักษ์ใหญ่ที่มาจากประเทศญี่ปุ่นอยู่ในสายตา  ก่อนที่พวกเขาสองคนจะเดินก้าวเข้าไป


                “นี่คุณอีโฮวอน  ลูกชายของท่านประธานอีเป็นผู้ดูแลโปรเจคนี้”


                “สวัสดีครับผมคิมซองกยู  และนี่ก็ผู้ประพันธ์เวลาที่หายไป  อีซองยอลครับ”


                “สวัสดีครับ”  อีซองยอลกล่าวทักทายเพียงแค่สวัสดี  เพราะไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ อีโฮวอนเป็นคนภูมิฐาน  ดูท่าจะเอาการเอางานมาก  สมกับเป็นลูกของท่านประธาน  แต่สายตาที่มองมาที่เขา..ทำให้ต้องหลบตา  มองมาเหมือนเขาเป็นตัวประหลาดทำอะไรผิดไปอย่างนั้น


                “ยินดีที่ได้พบนะครับผู้อำนวยการคิม  ได้ยินชื่อเสียงของคุณมานาน  วันนี้ได้เจอสักทีนะครับ”


                “ครับ”


                “คุณอีซองยอล  ได้อ่านบทของคุณแล้ว  ทำให้ผมรู้สึกว่ามันจะเป็นละครที่ยอดเยี่ยมเลยนะครับ”


                “คุณพูดเกินไปครับ”


                “ฮ่าๆ ไม่หรอกครับ  เดี๋ยวเซ็นสัญญากันเลยดีกว่านะครับ”


                และการเซ็นสัญญาก็ผ่านไปอย่างเรียบร้อย  อีซองยอลรู้สึกดีขึ้นมานิดนึง  ที่ไม่มีอุปสรรคใดๆ เว้นแต่สายตาของอีโฮวอนนั่นแหละที่เขาไม่เข้าใจ

     

                “กลับมาแล้ว”  คิมซองกยูเอ่ยเสียงดัง


                “นี่  คิมซองกยู  นายช่วยขึ้นเงินเดือนให้ฉันหน่อยได้ไหม  ดูเด็กของนายสิ  จะทำฉันหมดตัวแล้ว”


                “แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะ”


                “พี่อูฮยอนบอกว่า  ถ้าวันนี้ซ้อมดีจะเลี้ยงครับ”  เสียงใสจากคิมจงอินที่มือหนึ่งข้างกำลังถือไก่ทอด  ส่วนอีกข้างก็มีแก้วโคล่า  พูดจบก็กระดก เอื้อกๆ เหมือนคนขาดน้ำ

     
              
    “นั่นมันสัญญาของนายนะอูฮยอน  ไม่เกี่ยวกับฉัน”  คิมซองกยูพูดจบก็เดินเข้าห้องตัวเอง


                “คิมซองกยู  คนใจร้าย”  นัมอูฮยอนมองตามผู้ชายที่เขามักจะเรียกว่าคนใจร้ายที่เดินเปิดประตูเข้าไปในห้อง  แล้วหันมาพบกับสมาชิกใหม่ของบ้าน


                “นัม อูฮยอนยินดีที่ได้รู้จัก”


                “อีซองยอลครับ”


                “ไม่ต้องเขินฉันนะ  ทำตัวสบายๆ ฉันเป็นผู้จัดการของลิงสองตัวนี้”


                “อ๋อ”


                “ไปพักผ่อนนะ  ฉันรู้ว่านายเหนื่อย” 


                “ครับ”


                “พี่ซองยอลอย่าลืมออกมาทานข้าวนะ  หมดไม่รู้ด้วย”  เสียงของคิมจงอินตะโกนตอนที่เขาเดินผ่านเพื่อจะไปพักผ่อนในห้อง  ขณะที่อีกคนไม่ได้สนใจว่าใครจะไปจะมาแม้แต่น้อย  ยังคงนั่งดีดกีตาร์โปร่งอยู่ที่โซฟา

                วันนี้บรรยากาศของการทานอาหารดีขึ้น  นัมอูฮยอนเป็นคนพูดเก่ง  ขี้แกล้ง  อัธยาศัยดี  ชวนเขาคุยตลอด  มันทำให้เขาอึดอัดน้อยลงบ้าง  แถมวันนี้ยังได้รู้เรื่องของ ยูกัน เพิ่มขึ้นด้วย
     

                “นี่ซองยอล  นายรู้ไหมว่ามยองซูน่ะชอบสีดำมาก”


                “เหรอครับ”


                “ชอบถึงขนาด  ใส่เสื้อสีดำทุกวัน  ดูอย่างวันนี้สิ  ร้อนจะตายชักยังจะใส่เสื้อสีดำอีก”


                “ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะดังมาจากคนอายุน้อยที่สุดในบ้าน  คิมจงอินกำลังขำมากที่มีคนพูดเรื่องพี่ชายตัวเอง


                “แต่ก็นะ  เวลามยองซูร้อน  เขาจะกลายเป็นบ้าอย่างนี้เสมอแหละ”


                “แบบไหนที่เรียกว่าบ้าเหรอครับ” 


                “ก็อย่างเช่น  อยู่ดีๆ ก็จับกีตาร์ขึ้นมาเล่นเพลงร็อคสุดแสนจะ….


                “จะนินทาอะไรก็ให้ผมออกไปก่อนสิครับ”  มยองซูเอ่ยขึ้นมา อย่างเสียไม่ได้  เขาพอจะเข้าใจนะโดนแฉเรื่องที่ตัวเองทำบ้าๆ บอๆ เป็นเขาก็ไม่ชอบเหมือนกันแหละ   แต่จะเป็นอะไรล่ะ  สนุกดีออก

                “ปกติไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้หนิ”

                “ผมขอตัวครับ” คิมมยองซูวางช้อนแล้วเดินออกไป

                สร้างความเงียบไว้เพียงระยะหนึ่งแต่ก็ไม่นาน

                “อาจจะเป็นเพราะอากาศร้อนมั้ง อย่าไปสนใจเลยซองยอล”

                “ครับ”

     

                หลังจากทานข้าวเสร็จทุกคนก็แยกย้าย  เป็นเพราะเด็กสองคนนั้นต้องซ้อมต่อ  คิมซองกยูจึงขอให้อีซองยอลช่วยล้างจาน  นี่ไม่รู้หรือไงว่าเมื่อวานเขาทำจานแตก  แต่เห็นว่าคนอื่นมีงานที่จำเป็นต้องทำจริงๆ อีซองยอลถึงลงมาล้างให้หรอก

      
             
    “ยูกัน
    ..นายไม่เห็นใจฉันเลย”


                “บ่นอะไรคนเดียว” 


                เพล้ง


                เฮ่ย


                “เฮ้อ”


                “จะขวัญอ่อนอะไรกันนักหนา  นายนี่ทำตัวน่ารำคาญจริงๆ”  ใครจะรู้ว่า คนที่คิดถึงจะมาอยู่ข้างหลังกันเล่า  คนบ้านนี้ชอบทำให้เขาตกใจเป็นบ้า


                อีซองยอลกำลังก้มลงเก็บเศษจานที่แตกเป็นใบที่สองตั้งแต่วันที่เขาเข้ามา


                ก็แค่สองวัน  จานแตกไปสองใบ


                “นี่..


                “อะไร  ถ้าจะไม่ช่วยเก็บนายก็ควรจะถอยไปนะ”


                “นายต่างหากควรจะถอยไปอยากเจ็บตัวอีกหรือไง”


                “ก็ฉันทำแตกเองนี่  ฉันก็ต้องเก็บสิ”


                “กลับห้องไปซะ”


                “แต่..


                “ไม่มีแต่


                “เออ  ไปก็ได้”  เอาอีกแล้วนะ  พวกเผด็จการ


                “นี่..จะบอกอะไรไว้อย่างนะ  นายไม่คิดว่าเสื้อตัวนั้นคอมันไม่กว้างไปหน่อยรึไง”


                “เสื้อไม่เห็นจะเป็นไรนี่  ฉันก็มีแต่เสื้อผ้าแบบนี้”


                “มันจะไม่เป็นไรก็ได้ถ้านายจะไม่ห่วงตัวเอง  ให้คนอื่นเขามองไปถึงไหนต่อไหน”


                “นี่พูดบ้าอะไรฮะ  คงมีแต่นายคนเดียวแหละที่มอง  คนอื่นเขาก็ปกติกัน”  พี่ซองกยูยังไม่ทักเลยนะ  โรคจิตเอ้ยยย


              “อย่านับว่าซองกยูเป็นคนปกติ  คนปกติเขาก็มองกันทั้งนั้น”


                “บ้าเอ้ยยยยย”  อีซองยอลร้องเสียงดัง  วิ่งออกไป  พร้อมกับใบหน้าที่เห่อร้อนขึ้นมา 





     

                บ้า บ้าบอที่สุด เขาได้แต่คิดอยู่อย่างนี้ 

     

    แต่จะให้คิดดูดีๆ แล้ว  ก็จริงเหมือนกันที่เด็กนั่นพูด  อีโฮวอนมองเขาด้วยสายตาที่เขาดูไม่ออก  แถมพอมานึกอีกที หมอนั่นมองแต่คอเขา  เฮ้อ..นี่มันเรื่องอะไรกัน  แล้วทำไมเขาจะต้องกลัวผู้ชายมองด้วย  มองก็ไม่เห็นจะแปลก  ไม่เห็นต้องรู้สึกอะไร  ไม่เห็นต้อง

     
     

    เขินอะไร


     

    อีซองยอลกำลังจะทำตามแผนที่เขาได้วางไว้  โดยมีเด็กชายจงอินคอยเป็นผู้ช่วย  เขาเอาบทขนาดย่อ  ข้อความหลายๆ ข้อความที่อยู่ในเรื่อง เวลาที่หายไป มาเขียน  และติดตามที่ๆ มยองซูชอบไปขลุกเวลาอยู่ในบ้าน  เขาอยากให้เด็กนั่นได้อ่านบทของเขาที่ใครๆ ก็ต่างว่าดีนักดีหนา  เผื่อว่าคนคนนั้นจะสนใจบ้าง 

    แต่

    คนคนนั้นกลับเอามันมาพับเป็นนกกระเรียนบ้าง  ดาวบ้าง  แล้วเก็บใส่โหล 

    ตั้งไว้เป็นอนุสรณ์ความงี่เง่าของอีซองยอล

    จะติสท์ไปไหนน้องพี่ตามไม่ทันนนนน….




     

    “นี่..นายทำอย่างนี้ได้ยังไง”

    “ทำอะไร?”

    “ก็ฉันฉัน  ฉัน”

    “ฉันอยากให้นายได้อ่านบทที่ฉันเขียนด้วยความตั้งใจและได้โปรดเป็นพระเอกให้ฉันงั้นเหรอ?”

    “เอ่ออ..คือ”

    “ผมไม่สนหรอกนะ  บทจะดีแค่ไหนแต่คนแต่ง  ไม่ได้รู้จริงๆ ว่าผมเป็นยังไงน่ะ  ผมไม่มีทางเล่นหรอก”

    “มันเกี่ยวกันเหรอ??”

    “คุณเคยได้ยินเรื่องเพลงที่ถูกสร้างมาเพื่อคนคนหนึ่งไหม  แม้ว่าเพลงจะถูกถ่ายทอดออกมาโดยนักร้องที่เก่งขนาดไหน  แต่เมื่อมันไม่ใช่เพลงของเขาแล้ว  ก็ไม่มีวันหรอกที่ให้ความรู้สึกสมบูรณ์  มันยังคงขาดอยู่เสมอ”

    อีซองยอลนิ่ง….

    เด็กคนนั้นกำลังเดินจากไป






    “นายก็ให้โอกาสฉันได้รู้จักนายมากขึ้นสิ

      




     

    ความเงียบที่ก่อตัวขึ้น  ไม่ได้ทำให้อีซองยอลสบายใจเลยแม้แต่น้อย เจ้าตัวออกอาการเหลอหลา พูดไม่ออก บอกไม่ถูก มีความรู้สึกหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นตีวนกันอยู่ในใจของเขามากมายเหลือเกิน  โดยเฉพาะความรู้สึกกลัว 

    ความกลัวเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้

    ความกลัวจะมาเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้

    และ..หลายๆ คนบอกว่า ความกลัว เป็นสิ่งหนึ่งที่ใจเราสร้างขึ้นมาเอง

    แต่ไอความกลัวระคนตื่นเต้นที่เต็มตื้นขึ้นมาด้วยนี่ล่ะคืออะไร??




     

    คนพูดแสร้งทำหน้าขึงขัง  จริงจัง  กอดอก  เม้มปากแดงๆ จนเป็นเส้นตรง

    ชายหนุ่มยังคงจ้องมองสักพัก  แล้วก็ยิ้มมุมปาก






     

    ยิ้ม..แบบที่ใครเห็นเป็นต้อง หลง







     

    และ อีซองยอล ก็ไม่ใช่คนเข้มแข็งอะไรขนาดนั้น






     

    คนอะไร..หล่อ ชิบบบ





     

    “ตาหวานเยิ้มขนาดนี้..จริงจังสุดๆ”  ขอถอนความรู้สึกที่หลงไปชั่ววูบ

    “ตาย้ง  ตาเยิ้ม  อะไร??  อย่าเปลี่ยนประเด็นได้ป่ะ?” 

    “ไม่มีใครเปลี่ยนประเด็นเลยนะ  เอาเป็นว่าก็แล้วแต่คุณแล้วกัน”  คนพูดกำลังจะเดินจากไป  แต่ความปากไวของอีซองยอลได้ฉุดคนคนนั้นให้หันกลับมาเสียก่อน

    “นี่ถ้าเป็นคนรู้จักกันแล้วอ่ะ  มันต้องนับถือกันดิ”

    “หืมม”

    “ก็นายอายุน้อยกว่าฉัน..นายต้องเรียกฉันว่าพี่”  เด็กชายอีซองยอลทำตัวโต  วางท่า  ยืนอก  เอามือแตะๆ ประมาณว่า ฉันนี่แหละ..พี่ใหญ่

    “ก็คงงั้น”  พูดจบร่างสูงก็เดินเข้าห้องไปอย่างเท่  ทิ้งให้คนยืนวางท่าต้องกลายเป็นหมาหงอยในชั่วพริบตา

     

    ใครอยากรู้จักไอเด็กนั่นกันนะ

    ไอปากของเขาก็ไวเหลือเกิน  แล้วจะทำอย่างไรกันล่ะทีนี้  เวลาก็เหลือไม่เยอะแล้วนะ อีซองยอล!

     




     

    จากปากคำของคิมจงอิน….

    คิมมยองซูเป็นคนยิ้มยาก  ใครเล่าเรื่องที่สุดแสนตลกขนาดไหน  ผู้ชายคนนี้ไม่เคยสะดิ้งกับมุขนั้นๆ เลย  แม้ว่าคิมซองกยูจะขำจนตกเก้าอี้ไปแล้วก็ตาม

     

    อีซองยอลก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริงเลยจนกระทั่งหลายวันมานี้  เขาตระหนักได้ว่า เขาไม่เคยเห็นใครในโลกแคบๆ ของเขา ที่จะไม่มีอารมณ์ขันได้อย่างน่าสะพรึงเท่ากับคิมมยองซูอีกแล้ว

    บนโต๊ะอาหารของบ้านจะมีเรื่องราวที่เขาสุดแสนจะฮาเกิดขึ้นมากมาย

    ทั้งคิมจงไคเล่าเรื่องที่พี่ซองกยูเอากางเกงในของจงอินไปใส่  และพบว่า กางเกงในตัวนั้นมันเป็นของที่จงอินไม่ได้ซักและทิ้งไว้จนขึ้นราแล้ว  ==’

    ทั้งเรื่องที่อูฮยอนพูดมากจนถูกครูประจำชั้นให้คัดลายมือคำที่พูดในคาบเมื่อตอนอยู่ประถม  (อูฮยอนได้คัดทั้งหมด 7 หน้า)

    ซองกยูชอบดวงตามากที่สุดบนใบหน้า  ทั้งๆ ที่ตาของเขาแทบจะเป็นส่วนที่เล็กที่สุดของร่างกาย

    และตอนเด็กๆ ถ้าอูฮยอนชอบใคร  เขาจะพับดาวกระดาษส่งไปให้คนๆ นั้น






     

    ไม่มีเรื่องไหนที่เขาไม่ขำ  และไม่มีเรื่องไหนที่คิมมยองซูจะขำ?



     

    เขาคงต้องยอมรับในข้อนี้ของ ยูกัน อย่างไม่ต้องสงสัย

     

    “เฮย์  คิมมยองซู”  เขาทักขณะที่เด็กนั่นกำลังดื่มนมอยู่ที่โต๊ะอาหาร  ช่างเป็นมื้อก่อนนอนที่อนามัยเสียจริง!

    “หืมม”

    “นายเคยยิ้มบางป่ะ”  ร่างบางทำตาแป๋วอย่างใคร่รู้

    “เคย”  คำพูดนั้นทำให้คนที่ห่อเหี่ยวใกล้จะหมดความหวัง  กลับขึ้นมามีพลังอีกครั้ง

    “ยิ้มเพราะอะไร?” 

    “ไม่เห็นยาก 

    คนดื่มนมอยู่ผละมาตอบคำถาม  ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้หน้าขาวๆ ที่เริ่มจะมีสีเลือดสูบฉีดขึ้นมาบ้างแล้ว

    “ผมจะยิ้มก็ต่อเมื่อมีเรื่องที่ทำให้ผมมีความสุข  ก็แค่นั้น  ริมฝีปากที่ขยับ อยู่ข้างหน้าเจ้าของคำถาม อยู่ในระยะประชิด  ..ช่างใกล้เหลือเกิน

     
     

    ใกล้..จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ

    ใกล้..จนรู้สึกเหมือนว่าปากกำลังจะสัมผัสกัน



     

    และเมื่อคนๆ นั้นพูดจบ  รอยยิ้มที่สวยงามก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก



     

    สายตากลมโตที่จ้องออกไปนั้นมีแต่ความหวั่นไหว  มันสั่นระริกจนน่ากลัว

    กลัวว่าสักวันจะมีความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วขึ้นมาอีก

    ริมฝีปากบางแดงช้ำเพราะเจ้าตัวกัดเม้มจนใกล้จะแตก  กำลังจะอ้าปากพูดบางอย่าง..แต่ก็พูดไม่ออก

    “มีอะไรสงสัยอีกไหมครับซองยอลลี่??”  พูดพลางเลียคราบนมที่เลอะอยู่บนริมฝีกปาก  และยังคงรอยยิ้มมุมปากไว้เหมือนเดิม

    “มะ  มะ  ไม่  ไม่มีอะไรสงสัย”  ปากบางเอ่ยเสียงสั่นติดอ่างอย่างช่วยไม่ได้  เพราะเขาก็พบความจริงอย่างหนึ่งว่า………..
















     

    อีซองยอลที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ไหวแล้วววววววววววววววววววววว

















    MAN IN LOVE!!

     

    SompanmO ; เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ ในที่สุดเราก็ได้เจอกันแล้วว เย่ๆ ฟิคเรื่องนี้มันไม่มีอะไรมากหรอกค่า ลองเดาๆ ดูเดี๋ยวก็ออก ๕๕๕ ไม่จริงมั้งงง?? มันเป็นความชั่ววูบ ป่วงๆ ขออภัยในความไม่งดงามของภาษาเท่าไหร่นะคะ
                จริงๆ เราอยากท๊อคนานแล้ว  แต่ไม่มีโอกาสได้พิมพ์สักที  ว่างก็มาทักทายเซย์ไฮกันได้ที่


     

    @SompanmO นะแจ๊ะ


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×