คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : MAN IN LOVE : EP2
อีซองยอลเปิดกล่องที่ คิมซองกยู ส่งมา
มันคือสัญญาฉบับใหม่เอี่ยมอ่อง กับบริษัทที่ชื่อว่า ‘อินฟินิท’ โดยมีผู้จัดการคือ คิมซองกยู นั่นแหละ
และละครเรื่อง ‘เวลาที่หายไป’ โดยมีผู้ประพันธ์คือ ‘อีซองยอล’ รายละเอียดสัญญาดูดีมาก ตั้งแต่เงินที่จะได้รับในแต่ละตอนที่ออกอากาศ รวมทั้งโบนัสเมื่อเรตติ้งขึ้น แต่ใครจะสนเรื่องนั้นกันล่ะ เขาไม่ใช่คนที่เห็นแก่เงินขนาดที่จะยอมให้ตัวเองต้องเสี่ยงกับความเจ็บช้ำอีกหนหรอกนะ ในเมื่อครั้งที่แล้ว
เขาก็เกือบ…
ไม่รอด
แต่เหนือสิ่งอื่นใด คำพูดของเด็กนั่นยังคงดังก้องในสมองและความคิด อาจจะรวมไปถึงจิตใจ ที่ปิดกั้นมานานของตัวเอง ในใจเขามันตะโกนอย่างแน่ชัดแล้วว่า ‘
ฉันต้องทำมัน’
และนั่นคือเหตุผลที่อีซองยอลต้องต่อสายถึงผู้อำนวยการคิม และรีบทำข้อตกลงเจรจาให้เร็วที่สุด
ก่อนผ่านพ้นคืนนี้ไป และโอกาสสุดท้ายที่จะทำให้ฝันเป็นจริงก็จะหมดลง
“พี่ซองกยู ผมเองนะ”
“อ่า ห๊ะ” คิมซองกยูที่กำลังดูเด็กเทรนของตัวเองซ้อมเต้นอยู่สะดุ้งตกใจ ร้องโวยวายเสียดัง แบบที่ใครก็ดูออกว่าตกใจ และไม่เชื่อหูตัวเองมากขนาดไหน
“ตกใจจนเต้นเลยล่ะสิ ผมเองนะ อีซองยอล”
“อ่า อีซองยอล นี่นายโทรหาฉันเองเลยเหรอเนี่ย”
เพียะ …
คิมซองกยูตบหน้าตัวเอง
“ไม่ต้องพยายามตบหน้าตัวเองหรอกพี่ซองกยู นี่ผมเอง จริงๆ”
“ร้อยวันพันปีไม่เคยโทรหาใคร แล้วทำไมวันนี้น้องพี่ถึงได้…”
“เอ่อ…คือ”
“เรื่องนั้นใช่ไหม พี่ว่าแล้วว่านายต้องติดต่อกลับมา ข้อเสนอดีใช่ไหมล่ะ”
“พี่พูดอย่างกับไม่รู้จักผม ข้อเสนอนั้นไม่มีวันทำให้ผมตกลงได้หรอก”
“ฉันจะไม่รู้จักนายได้ไง ถ้าฉันไม่รู้จักนาย ฉันจะส่งคนคนนั้นไปเหรอ”
“พี่รู้?”
“ทำไมฉันจะไม่รู้ ก็ลักษณะที่นายเขียนไว้ใน ‘เวลาที่หายไป’ แทบจะตรงกับคนคนนี้ทุกอย่าง”
“อ่า… เฮ่ย เราต้องพูดเรื่องสัญญากันสิ ไม่ใช่พูดเรื่องนั้น”
“โอเคๆ เข้าใจแล้ว ฮ่าๆ” คิมซองกยูหัวเราะอย่างอารมณ์ดีที่แซวคนในโทรศัพท์ได้
“ฉันยอมรับข้อเสนอ”
“แต่…”
“แต่อะไร”
“พี่ฉันอยาก..
ฉันอยากให้คนที่มาส่งของให้ผมเป็น ‘ยูกัน’ “
“อ่า ห๊ะ นายคิดว่าจะเอาเด็กนั่นเป็นพระเอกได้จริงๆ เหรอ”
“ก็ไหนพี่บอกว่าเขามีทุกอย่างที่เป็นตัวละครที่ผมเขียนไว้ไง แล้วทำไมถึงจะไม่ได้”
“เด็กคนนั้นเขาเพิ่งจะเดบิวต์เป็นไอดอลนะ ถึงจะมีแฟนคลับอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ดังพอจะมาเล่นละครแบบนี้หรอกนะ”
“แบบไหนกัน พวกไอดอลก็ชอบออกมาเล่นละครกันไม่ใช่เหรอ ผมเห็นออกบ่อยไป”
“ก็ถ้ามันเป็นแนวประโลมโลก กิ๊กกั๊กๆ ก็ว่าไป”
“ทำไมต้องทำละครแนวกิ๊กกั๊กๆ เดี๋ยวนี้มีละครแบบนี้เยอะแยะ”
“ก็นั่นน่ะสิ ฉันเลยคิดว่าละครของนายเนี่ย มันมีอะไรมากกว่านั้น แล้วก็อยากได้คนที่มีฝีมือมาเล่นจริงๆ ไม่ใช่เด็กที่ไหนก็ไม่รู้ และตัวนายก็จำเป็นต้องต้องการแบบนั้น เพราะคนที่จะได้รับโอกาสในวงการนี้ต้องเบิกทางด้วยความสำเร็จ ถึงมันจะเป็นละครที่ดี แต่เรตติ้งก็เป็นสิ่งสำคัญนะ”
“ถึงอย่างนั้น….” ร่างบางอึกอัก อยากจะพูดต่อ แต่ก็ไม่สามารถหาคำไหนมาให้เหตุผลที่เขาต้องการเด็กคนนั้นมาเป็นนักแสดงนำในเรื่องไม่ได้
“แค่ให้ผม… ลองดูก่อนได้ไหมครับ”
“ลองดู…โอเคถ้านายคิดอย่างนั้น ฉันก็จะให้นายลองดู ลองทดสอบเขาน่ะไม่ยากหรอก แต่ที่จะให้เขามาเล่นนี่สิยากกว่า ลองไปหาทางดูนะ”
“ครับ” ร่างบางรับคำ
“อ้อ..ถ้านายเซ็นสัญญาก็ต้องเข้ามาที่บริษัทนะ เดี๋ยวฉันไปรับวันเสาร์ละกัน”
“ครับ”
“แล้วอีกเรื่องนึง นายต้องย้ายเข้ามาในโซลนะ ไม่มีทางที่จะส่งบทจากปูซานมาที่นี่แล้วถ่ายทำกันทันได้หรอก”
“ครับ ห๊ะ ไม่นะ ผมไม่ย้าย”
“เอาอีกและ ทำตัวเป็นเด็กไม่เปลี่ยนเลยนะ ไอนิสัยไม่อยากออกจากบ้าน ไม่อยากพบเจอผู้คนนี่แก้ไม่หายใช่ไหม”
“โห พี่”
“นายไม่มีสิทธิ์พูด นายรับปากฉันแล้ว งั้นเจอกันนะ”
“เดี๋ยวสิพี่” ไม่ทัน… เขายังไม่ทันพูดอะไรออกไปเลย คิมซองกยูก็ตัดสายซะก่อน
เฮ่ยยย..อีซองยอลต้องออกจากบ้านจริงๆ เหรอเนี่ย
อีซองยอลออกจากบ้าน
อีซองยอลออกจากบ้าน
อีซองยอลออกจากบ้าน
“ไม่นี่เป็นบ้านที่ฉันปลูกเองนะ ฉันปลูกเองนะ” อีซองยอลสะดุ้งตื่นขึ้นมาหน้าตาเหรอหรา
วันนี้แล้วที่อีซองยอลต้องออกจากบ้านที่เขาหมกตัวอยู่มาเป็นเวลาหนึ่งปี ถนนข้างหน้าไม่ดี ตึกข้างหน้าไม่ดี รถที่เขานั่งก็ไม่ดี แล้วหนทางที่เขาจะไปข้างหน้านี่ เขารู้สึกไม่ดีเลย
“ซึมนะ”
“……….”
“อย่าเงียบสิ”
“……………”
“ไม่ใช่นายเลยนะอีซองยอล”
“พี่จะให้ผมพูดอะไรผมก็เป็นของผมอย่างนี้”
“เหรอ…แกไม่เห็นจะปากว่างสักวันตอนที่เรียนน่ะ”
“พี่ก็รู้ผมเปลี่ยนไปแล้ว” อีซองยอลก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วหลับตา ไม่อยากพูดอยากเถียงกับพี่ชายคนนี้ เพราะมันจะทำให้นึกถึงแต่เรื่องเก่า ที่เขาเองอยากจะลืมซะให้หมด
“เฮ้อ..เด็กน้อย นอนหลับซะนะ ตื่นมานายก็จะได้พบกับเรื่องดีๆ ในชีวิตแล้วล่ะ” คิมซองกยูลูบผมเด็กประถมที่ก้มหน้าก้มตานอนหลับอย่างอ่อนโยน เขารู้ดีที่สุดว่าเด็กน้อยคนนี้เจ็บปวด เขาเองก็เจ็บ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเรื่องมันผ่านไปแล้ว มันก็ควรจะเป็นอดีต จะให้หยุดตัวเองไว้กับอดีต แล้วเมื่อไหร่จะมีความสุข
“ถึงแล้ว..ตื่นได้แล้ว เด็กขี้เซา”
ร่างบางยกเปลือกตาขึ้น ใบหน้านิ่วเล็กน้อยเนื่องจากแสงไฟที่กระทบตา ภาพตรงหน้าที่เห็นคือ บ้านเล็กๆ สองชั้นหลังหนึ่งที่ดูอบอุ่น ต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นรอบๆ บ้าน รั้วสีฟ้าสะอาดตา ทั้งหมดนี้ดูดี และน่าอยู่ จนอีซองยอลอดยิ้มออกมาไม่ได้
“พี่ซองกยูมีบ้านแบบนี้ด้วยเหรอ?”
“แน่สิ นี่คือบ้าน และที่ทำงานของฉัน”
“ฮะ เป็นที่ทำงานด้วยเหรอ”
“อืม งบน้อยนะ” พูดจบก็ผลักเด็กขี้สงสัยเข้าบ้าน
หลังจากชมรอบๆ ตัวบ้านเสร็จ อีซองยอลก็พบว่า เขาไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้คนเดียว ก็ไม่คิดว่าพี่ซองกยูจะมีปัญญาหาที่ให้เขาอยู่คนเดียวหรอกนะ แต่ไม่นึกว่าจะอยู่เยอะขนาดนี้ โหย..ตั้งแต่ผู้อำนวยการ ยันเด็กฝึกอยู่ที่นี่กันหมด แล้วเขาจะเอาตัวเองไปยัดไว้ตรงไหนล่ะเนี่ย
“นายกำลังสงสัยใช่ไหมว่าจะอยู่กันได้ยังไง”
ร่างบางทำท่าพยักหน้าอย่างน่ารัก ตากลมมองไปรอบๆ เหมือนใช้ความคิด แต่ก็คิดไม่ตก
“ไม่ยาก ที่นี่มีห้องนอนสามห้อง ตรงนั้นเป็นห้องของฉัน” เจ้าของบ้านชี้ไปทางด้านซ้ายมือ
“ส่วนอีกฝั่งมีสองห้อง ตรงนี้คือห้องของเด็กเทรนของฉัน ส่วนอีกห้องก็เป็นของนาย”
“อ่า…อย่างนี้นี่เอง”
“และนายก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการอยู่อะไรหรอกนะเพราะฉันมีทุกอย่างให้นายอยู่ในห้องแล้ว รวมทั้งสมาธิในการเขียน ห้องของเราทุกห้อง เก็บเสียงหมด”
“หืมม”
“ประหลาดใจใช่ไหมล่ะว่าทำได้ไง”
“ไม่อ่ะ ผมรู้พี่เก่ง”
“แหม..ฉันกะจะบอกให้ฟัง ถือโอกาสอวยตัวเองซะหน่อย ฮ่าๆ”
คิมซองกยูยิ้มจนปากจะฉีกถึงหู มันทำให้เขาสบายใจ อบอุ่นใจ แล้วก็ไม่คิดอะไรอีก …
“นี่ออกมากินข้าวได้แล้ว”
เสียงพี่ซองกยูเรียกจากด้านนอก ไหนว่าห้องเก็บเสียง??
อีซองยอลกำลังเดินลงไปข้างล่างเพื่อต่อว่าพี่ชายคนเก่งที่อวยนักอวยหนาว่าห้องเก็บเสียง แต่ตัวเองดันส่งเสียงเรียกเขาที่นั่งอยู่ในห้องได้ แต่ก็ต้องประหลาดใจกับสมาชิกใหม่ ไม่ใช่สิ สมาชิกเก่าของบ้านที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาที่โต๊ะอาหาร
“ทำหน้าเหรอหราอีก ทำอย่างกับไม่เคยเจอพวกมันนะ” คิมซองกยูทักขึ้นหลังจากเห็นคนที่เข้ามาใหม่ทำตาโตบ่งบอกความสงสัยเต็มที่
“นี่ไค” มือของคนตาตี่ชี้มาที่เด็กคนนึงที่รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาเอาการ เขามีผิวสีเข้มที่ดูน่าค้นหา จมูกโด่ง ที่รับกับปากอิ่ม แต่มีสิ่งหนึ่งที่อีซองยอลมองไม่เห็นนั่นคือ ‘ดวงตา’ เพราะเด็กนั่นกำลังทำหน้ามึนๆ เหมือนจะหลับอยู่น่ะสิ
“สวัสดีครับ ผม คิมจงอิน เรียกว่า ‘ไค’ ก็ได้ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
อีซองยอลกลัวไอดอล….
เมื่อกี้มันยังนั่งหน้ามึนอยู่แท้ๆ ทำไมพอเรียกชื่อเข้าหน่อย ถึงได้ทำตาวิบวับ ยิ้มสดใสได้ขนาดนี้ ต่างจากอีกคนที่นั่งข้างๆ โดยสิ้นเชิง
“และนี่แอล มยองซูทักทายหน่อย”
จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง และดวงตาน่าค้นหา มันเป็นสิ่งที่เขาเห็นตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ผู้ชายคนนี้…
คือ ‘ยูกัน’ อย่างไม่ต้องสงสัย… แต่ คนคนนี้ ชื่อ ‘แอล’ ??
“คิม มยองซู”
“เอ่อ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันอีซองยอล”
การแนะนำตัวจบไป ทุกคนต่างกินข้าวกันอย่างปกติ ยกเว้นอีซองยอล ที่นั่งกินแบบเงียบๆคนเดียว ไม่ร่วมสนทนาประโยคใดๆ จนจบมื้ออาหาร
พอกินกันเสร็จทุกคนก็ต่างแยกย้ายไปทำกิจกรรมของตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่เขา ที่กำลังจะลุกตามคนอื่นไป ถ้าไม่มีมือที่ไหนไม่รู้มาคว้าเขาไว้ซะก่อน
“นี่ จะไปไหน มาช่วยกันล้างจานก่อน” เสียงทุ้มจากปากคนเรียกแบบหน้ามึนๆ สายตาที่ส่งมาไม่มีแววขอร้อง หรืออะไรสักอย่าง มันนิ่ง ซะจนน่ากลัว แต่…
‘จะกลัวอะไรกะแค่ล้างจาน’
ไม่รู้เพราะอะไร อีซองยอลถึงมาหยุดตรงหน้ากองจานพวกนี้ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ เด็กคนนั้นส่งจานที่ล้างน้ำยาแล้วมาให้ เขาต้องล้างน้ำเปล่าสินะ บอกตัวเองอย่างเบลอๆ
และ ก็ล้างไป ล้างไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดี…
ซะเมื่อไหร่ ฮือๆ เขาเป็นสันโดษเวลาอยู่คนเดียว แต่เวลาอยู่กับเพื่อนกับฝูงเขาก็เฮฮานะ นี่มันออกจะน่าอึดอัดไป ทำไมเขาต้องมาล้างจานท่ามกลางความดาร์กของเด็กบ้านั่นด้วย
“เอ่อ…ฉันมีอะไรสงสัยน่ะ” เสียงใสดังขึ้นทำลายความเงียบ
“……………” แต่คนที่ล้างจานอยู่ข้างๆ ก็ไร้ปฏิกิริยาตอบรับอยู่ดี
“คือ…ฉันถามได้ไหมว่านายอายุเท่าไหร่??”
“18” อ่า เด็กกว่าจริงๆ ด้วย
“คือ…ทำไมนายถึงได้ชื่อแอล ครั้งก่อนที่เจอกัน นายบอกฉันว่าชื่อมยองซู”
“ฉันชื่อมยองซู แต่พอใจจะเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะ”
“อ่า”
‘หมับ’
“เฮ่ยย”
‘เพล้ง’
“เฮ่ยย..เล่นอะไรบ้าๆ เนี่ย” เป็นเสียงของมยองซูที่พูดขึ้นมา ทำไมถึงเป็นมยองซูที่พูดล่ะ ทำไมไม่ใช่เขา ในเมื่อ…
“พี่ซองยอลขวัญอ่อนมากกก…บ้าจี้ด้วย” เสียงตัวต้นเหตุดังขึ้น จะใครซะอีก ก็คนที่เด็กที่สุดในบ้านนั่นแหละ ‘คิมจงอิน’
“อ่า…ก็อยู่ดีๆ นายมาจับเอวฉัน” อีซองยอลพูดพลางก้มลงเก็บเศษจานที่แตก แต่…
‘เด็กประถมก็คือ เด็กประถม’
“โอ้ยย”
อีซองยอลทำเศษจานบาดมือ นี่มันนิยายน้ำเน่ารึไงนะ นางเอกโดนกลั่นแกล้ง (โดยการจี้เอว) สักพักพระเอกก็จะมาช่วยพาไปทำแผล และต่อว่าตัวร้าย
“เฮ้ออ” คิมมยองซูพ่นลมหายใจออกมาเสียงดัง
‘ไม่มีพระเอกสินะ’
แล้วอีซองยอลเป็นนางเอกรึไง?
เขาเดินไปทางห้องตัวเอง เพราะมั่นใจแน่ๆ ว่าเขาได้ยกกล่องพยาบาลจากบ้านที่ปูซานมาอย่างแน่นอน
แต่…
“ไม่มี” มันไม่มีได้ยังไงกันเนี่ย เขามั่น ใจแน่ๆ ว่าเอาใส่กระเป๋ามาแล้วแท้ๆ
“กำลังคิดว่าทำไมไม่มีกล่องยาอยู่ใช่ไหม” เสียงทุ้มดังขึ้นที่ด้านหลังของเขา
“ก็… เฮ่ย” หันตัวกลับมาก็พบกับเด็กหน้ามึนที่เดินเข้ามาตอนไหนก็ไม่รู้ เอาซะใกล้ปากใกล้จมูกขนาดนี้
“ตกใจง่ายจังนะ”
ปกติก็ไม่ตกใจง่ายขนาดนี้หรอก ถ้าคนบางคนมันไม่เล่นอะไรแผลงๆ น่ะ
“แล้วนี่จะมองฉันไปอีกนานแค่ไหน??”
“เฮ่ย ไม่ได้มอง ก็คนมันตกใจ”
“เหรอ ==* “
“อืออออ ( ̄(工) ̄) ”
คิมมยองซูดึงอีซองยอลออกมาจากห้อง เดินตรงไปยังห้องนั่งเล่นของบ้าน จับอีซองยอลนั่งกับโซฟา แล้วก็เดินไปที่ตู้วางของหน้าโทรทัศน์อยู่สักพัก คนตัวบางก็ถึงบางอ้อ
‘บ้านหลังนี้มีกล่องยาด้วย?’
“กำลังคิดว่าทำไมบ้านเราถึงมีกล่องยาอยู่ใช่ไหม”
“เฮ่ยย” เขาสะกิดใจหลายรอบแล้ว ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้รู้ความคิดของเขาไปซะหมด คิมมยองซูมีจิตสัมผัสหรือไง??
“ยื่นมือมา”
“ฉันทำเองได้หน่า แค่ทำแผลเอง”
“บอกให้ยื่นมือมา”
“ก็บอกว่าทำเองได้”
ร่างหนาฉวยแขนขาวมาจับไว้ หยิบแอลกอฮอล์ขึ้นเช็ด
“เผด็จการณ์ชะมัด”
“บ่นอะไรฉันรู้นะ” แหนะ! มาทำเป็นรู้ดีนะ
ร่างสูงทำแผลเสร็จติดพลาสเตอร์ลายเสือดาว แล้วก็เดินออกไป
“คิมมยองซู ขอบใจนะ” ร่างบางตะโกนออกไป เผื่อว่าคนที่รีบๆ เดินนั้นจะได้ยิน เขาเป็นคนมีความคิดนะ
ใครดีมาก็ควรดีตอบ ใครมาทำอะไรให้เราก็ควรขอบคุณ
อีซองยอลกำลังจะเดินไปที่ห้องครัวอีกครั้ง ….
ใครคนหนึ่งกำลังนั่งเก็บเศษจานที่แตก เขาเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ แล้วช่วยเก็บอย่างระมัดระวัง
“พี่ซองยอล”
“พี่ไม่ต้องมาเก็บเลยนะ เป็นความผิดของผม ไปนั่งพักเดี๋ยวนี้เลย” ทำไมคนบ้านนี้ชอบออกคำสั่งกับเขาจังนะ
อีซองยอลเงยหน้ามองคนพูด คิมจงอินกำลังทำหน้ามุ่ยๆ บอกให้เขาไปนั่งอย่างน่ารัก เขายกมือลูบผมของเด็กชายคิม
“พี่ไปนั่งก็ได้” เขาขี้เกียจจะเถียงกับเด็กน้อยน่ะ หรือที่จริงก็คิดว่า ใครทำผิดก็ควรจะได้รับโอกาสไถ่โทษของเขาเองจริงไหม ไม่งั้นคงรู้สึกผิดไปอีกนาน
“พี่ซองยอลเป็นยังไงบ้างครับ ผมขอโทษจริงๆ ที่ทำอย่างนั้นไป พี่ไม่โกรธผมใช่ไหม”
“โกรธ”
“โกรธได้ไง ไม่โกรธนะไม่โกรธ” คนเป็นน้องทำท่าอ้อนอย่างน่าสงสาร อีซองยอลไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นนะ แค่เขากำลังคิดอะไรดีๆ ออกต่างหาก และคิมจงอินก็มาถูกจังหวะ เป็นเครื่องมือชั้นดีเลยทีเดียว
“อยากให้หายโกรธใช่ไหม??” ร่างบางยิ้มบอกพลางทำสายตาเจ้าเล่ห์
“นายต้องช่วยพี่”
คนเป็นน้องพยักหน้าเหรอหรา… คนไปพี่ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบบอกแผนการของตน
แต่ยังไม่ทันจะได้บอกอะไร…
“พี่ซองกยู ผมจะออกไปข้างนอกนะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นเพื่อบอกคิมซองกยูที่น่าจะอยู่ที่ไหนสักที่ในบ้านหลังนี้ แต่ตรงไหนล่ะ ทำไมต้องมาตะโกนใส่ด้วย จะไปบอกพี่ซองกยูก็เดินไปบอกสิ
คนตัวสูงยืนหน้ามุ่ย ที่มีคนมาขัดจังหวะระหว่างที่เขากำลังจะบอกแผนการกับตัวช่วยกิตติมศักดิ์ที่เพิ่งจะแต่งตั้งเมื่อกี้
“สงสัยช่วงนี้อารมณ์แปรปรวนแฮะ”
“พี่นายเขาไม่ได้เป็นอย่างนี้ตลอดหรอกเหรอ”
“ไม่หรอกครับ ถึงพี่เขาจะเงียบแต่ก็ใจดีนะ แล้วไอการมาตะโกนว่าจะออกไปไหนนี่ก็ไม่ใช่นิสัย เพราะถ้าจะออกไปเขาก็ออกไปเลย ไม่บอกใครหรอกครับ”
เอ่อ..นี่เขาเรียกว่าแปลกของจงอินสินะ พ่อพระเอกของเขานี่ทำตัวดีเหลือเกินไปไหนไม่เคยจะบอก แล้วตอนนี้จะมาบอกทำไม
“เราคุยกันอยู่รึเปล่าครับ” เด็กนั่นพูดขึ้นทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
“อ่า…คือมันเป็นอย่างนี้……………..”
อีซองยอลยื่นหน้าเข้าไปกระซิบอีกครั้ง คนถูกกระซิบก็พยักหน้าเป็นเครื่องยืนยันว่าเข้าใจเป็นอย่างดี
“พี่ซองยอลจะให้พี่มยองซูเป็นพระเอก แล้วผมล่ะครับ”
“นายน่ะร้องเพลงไปก่อนดีแล้ว” อีซองยอลบอกกับเด็กชายคิมที่กำลังทำท่าน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ก็น่ารักดี มันทำให้เขายิ้มออก และยื่นมือไปลูบผมคนข้างหน้าอีกครั้ง
“ก็ผมอยากเป็นพระเอกบ้างน่ะ”
“ฮ่าๆ แค่นี้นายก็เป็นพระเอกช่วยพี่แล้วล่ะ”
“จริงเหรอครับ”
“ฮ่าๆ จริงดิ” คิมจงอินยิ้มหน้าบาน อีซองยอลคิดว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กดี แถมยังพูดเก่งแล้วก็มนุษยสัมพันธ์เยี่ยมอีกต่างหาก
มันทำให้เขารู้สึกว่า การอยู่กับคนอื่นก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย อย่างน้อยก็มีคนที่เขาสามารถคุยด้วยเพิ่มอีกหนึ่งคน อีซองยอลมีเพื่อนเพิ่มอีกแล้ว
สองพี่น้องนั่งเล่นเกมด้วยกันอย่างเมามันจนเวลาล่วงเลยไปไม่น้อย ดูนาฬิกาอีกทีก็ตีหนึ่งแล้ว มันทำให้อีซองยอลสงสัยว่าคนที่บอกจะออกไปข้างนอกตั้งแต่เย็นนั้น ป่านนี้ทำไมยังไม่กลับ คนในบ้านก็ไม่เห็นจะมีท่าทีเดือดร้อนสักเท่าไหร่
“นี่…แล้วมยองซูจะไม่กลับหอใช่ไหม”
“อ๋ออออ…พี่เขาคงกลับบ้านน่ะครับ เดี๋ยวกลับมาเช้าๆ”
“ไม่ได้ไปเที่ยวกลางคืนอะไรอย่างนี้เหรอ” ถึงเขาจะคิดว่าเด็กนั่นอายุไม่ถึง ไม่สามารถทำอะไรอย่างนี้ได้ แต่มันก็น่าสงสัยอยู่ไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวนี้เด็กผู้ชายเขาก็ไปที่แบบนั้นบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ
“ไม่หรอกครับ พี่มยองซูเป็นคนดี ผมบอกแล้วไง”
“อ่า ฉันควรจะเชื่อสินะ ฮ่าๆ”
“ไปนอนเถอะครับ ผมว่าดึกมากแล้ว”
“อ่า…”
บางทีเขาก็สงสัยนะ เด็กบ้านนี้ดูเป็นผู้ใหญ่กันทุกคน จงอินบอกให้เขาเข้านอนเพราะว่าดึกแล้วอย่างกับบอกเด็กๆ แล้วไหนจะพ่อมยองซูคนมึนที่เคยจุดประกายความคิดของเขาอีก
‘แต่อย่าทำอะไรที่ตัวเองต้องมานั่งเสียใจภายหลังไปตลอดชีวิตนะครับ’
“อ้ะ!”
แรงกระทบที่แขนทำให้คนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ สะดุ้งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เป็นจงอินนั่นแหละที่เข้ามาสะกิด
“นี่ครับ นม ดื่มนมแล้วไปนอนนะครับ” โห..นี่เห็นเขาเป็นเด็กขนาดนี้เลยเหรอ
“อ่า..ขอบใจนะ” อีซองยอลรับนมจากมือคิมจงอิน แล้วถือเข้าห้องนอนไป …
เช้าที่สดใสของอีซองยอลกำลังจะเริ่มขึ้นรึเปล่านะ แล้วท้องฟ้าที่มืดครึ้มก่อนหน้านี้จะกลับมาอีกรึเปล่า… เขากำลังสงสัย มันจะเป็นได้ไหมกับการเริ่มต้นครั้งใหม่นี้ เขาไม่อาจรู้ได้เลย…
ความคิดเห็น