ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC INFINITE] MAN IN LOVE

    ลำดับตอนที่ #1 : MAN IN LOVE: EP1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 209
      1
      8 เม.ย. 56

    Calista Small Cute Blue Gray Pointer theme

                    การเดินทางบนโลกใบนี้คนเดียวมันน่าเบื่อนะ 

    แต่เขาก็ชอบที่จะใช้ชีวิตอย่างสันโดษมากกว่าที่จะไปยุ่งวุ่นวายกับใครให้มากเรื่อง 

    เขาไม่ชอบจริงๆ เวลาที่ต้องออกไปไหน  ในเมื่อเขาอยากที่จะอยู่บ้าน

     ไม่ชอบจริงๆ เวลาที่ใครก็ตามโทรมาตามตัวให้เขาไปพบ 

    ….และที่ไม่ชอบที่สุดคือ  การได้ยินเสียงออดประตูที่หน้าบ้าน  มันทำให้เขาประสาทกินได้เลยล่ะ





                   

    “ออดดดดดดด”

                    “เฮ่ย  ใครที่มันเอาแต่หมกตัวอยู่ข้างในน่ะ  ออกมาคุยกันหน่อยซิ”

     

                    ถ้าทางเสียงกวนตีนไม่มีใครเกินแบบนี้  คิม ซองกยูเท่านั้นแหละ  ไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้
     

                    “นี่  นายจะอยู่ในนั้นไปอีกนานเท่าไหร่ฮะ  อีซองยอล  เรื่องมันก็ผ่านไปตั้งนานแล้วหน่า  เลิกเอาอดีตมาเป็นเครื่องนำทางชีวิตได้แล้ว” 

                    “พี่ไม่เป็นผม  พี่ไม่รู้หรอก”  นั่นคือสิ่งที่เขาคิดในใจ  เหตุการณ์ที่ทำให้เขาไม่อยากจะออกมาพบ  มาเผชิญผู้คนนับปีนี่มันร้ายแรงจนเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน


                    “ถ้าไม่เปิด  จะพังประตูเข้าไปแล้วนะ”


                    “เปิดแล้วๆ”  อีซองยอลลุกขึ้นไปเปิดประตูด้วยอารมณ์เซ็งๆ 


                    “เฮ้อ..นายนี่น้า  ไม่น่าทำตัวอย่างนี้เลย”

     

                    ความจริงที่ว่า การทำตัวอย่างนี้ ของอีซองยอลนั้น  เป็นเรื่องที่ไม่น่าพิสมัยเป็นข้อความจริงอย่างถูกต้อง ตรงเผ่งเลยทีเดียว  การอยู่แต่ที่บ้านไม่ออกไปไหนมาร่วมปี  ไม่พูดไม่คุย  ไม่สุงสิงกับใคร  แม้แต่อาจุมม่าข้างบ้านที่คอยถามสารทุกข์สุขดิบก็ยังไม่ได้เห็นเสี้ยวหน้าหวานๆ มานานจนแทบจะจำหน้าไม่ได้
     

                    “ผมทำตัวยังไงก็เรื่องของผม  ไม่ใช่เรื่องของพี่นะ”


                    “ใช่  ไม่ใช่เรื่องของฉันเลย  ถ้ากุไม่นับถือมึงเป็นน้องนะ”


                    ความเป็นห่วงถูกส่งผ่านมาทางสายตา  จนคนที่ถูกกล่าวถึงต้องเงียบไปอย่างใช้ความคิด  แล้วพูดออกมาจากใจจริง 


                    “พี่ไม่ต้องเป็นห่วงผมขนาดนั้นหรอกครับ  ผมอยู่ได้”


                    มันกำลังจะฟังดูดีอยู่แล้ว  ถ้าคิมซองกยูไม่เอ่ยประโยคนึงขึ้นมา


                    “แกลืมสิ่งที่แกรักแล้วเหรอ  ไม่ทำมันได้หรือไง”


                    “ผมก็ทำอยู่นี่ไงครับ”


                    “เหรอ  ไอการเขียนการ์ตูนเด็กเล่นนี่มันใช่นิสัยของแกหรือไง”


                    “การ์ตูนเด็กเล่นมันผิดตรงไหนหรือครับ  ผมว่ามันเป็นการปลูกฝังเด็กในทางที่ถูกนะ  จะได้ไม่โตมาเป็นผู้ใหญ่แย่ๆ ไง ^^ 
     

                    เขาพูดไปด้วยอารมณ์ทิฐิ  ตามความจริงแล้วการเป็นนักเขียนการ์ตูนนั้นก็เป็นเรื่องดี  แต่มันก็ยังไม่ใช่ทางของเขา  มันยากในตอนเริ่มต้นเหมือนกัน  ที่ต้องปรับโหมดตัวเอง  แต่เขาก็คิดว่า  มันดีสำหรับเขาแล้ว  ในตอนนี้
     

                    “ฉันบอกให้แกเลิกเอาอดีตมาคิดไง  มันไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอกนะ  แล้ว….


                    “แล้ว….


                    มาอีหรอบนี้ต้องมีอะไรมาเสนอแน่ๆ ว่าแล้วล่ะ  ถ้าไม่มีเรื่องพี่คนนี้ไม่มีทางมาหาเขาหรอก


                    “ก็ฉันจะทำละครเรื่องใหม่  โปรเจคนี้สุดยอดเลยนะ  แล้ว


                    “แล้ว


                    “ฉันฉันก็เอาบทนายไปเสนอ”


                    “ฮะ  บทผม  บทผมเรื่องไหนกัน??”


                    “เรื่อง  เวลาที่หายไปไง”


                    ความเงียบเริ่มปกคลุมขึ้นมา  นานกว่าจะมีคนเอ่ยปากพูดขึ้นมาได้


                    “พี่ก็รู้ว่าเรื่องนั้นผมรักที่สุด  พี่เอามันไปให้ใคร  แล้ว  แล้ว



                    “แล้ว



                    “พี่ทำอย่างนั้นกับผมได้ยังไง”  ร่างบางเริ่มน้ำตาคลอ  ตาสวยรื้นขึ้น  ทั้งจมูกทั้งแก้มก็พากันแดง  แถมปากจะขยับพูดก็ทำได้อย่างยากลำบาก  เขาเริ่มที่จะหยุดไม่ให้อาการอ่อนแอแสดงออกมาไม่ได้แล้ว 





                      มันออกมาหมดแล้ว

     

    “ก็มันทำไปแล้ว  ไม่มีใคร  เขียนได้เหมือนนายจริงๆ นะ ตอนนี้นายอยู่อย่างนี้มีความสุขแล้วจริงๆ เหรอ  ความฝันของนาย  ปล่อยผ่านไปได้อย่างนั้นเหรอ”
     

    “พี่ก็รู้ว่ามันจบไปตั้งนานแล้ว  จบไปตั้งแต่มีคนทำลายมันนั่นแหละ”
     

    “เฮ่ย  เราเริ่มกันใหม่ได้ไม่ใช่เหรอวะ  คิดดีๆ นะเว่ย  โอกาสของแกแล้วนะ”
     

    “โอกาสอะไร?"

     

    “ โอกาสที่แกจะได้เริ่มต้นใหม่ไง  แล้วงานนี้นะได้นักลงทุนจากญี่ปุ่นเลยนะ”
     

    “เพราะอย่างนี้ใช่ไหมพี่เลยมาหาผม  ถ้าจะมาแล้วทำแบบนี้  พี่กลับไปเถอะ  ผมจะไม่เปิดประตูอีกแล้ว”

     

    “เฮ่ย อย่าเพิ่งดิ  ฉันมาทำให้แกลุกขึ้นอีกครั้งนะ  เชื่อใจฉันดิ  ฉันจะไม่มีทางให้ใครมาทำร้ายแกอีกแล้ว”

     

    อีซองยอลน้ำตานองหน้า  ตอนนี้เขาไม่มีสติจะทำอะไรอีกแล้ว  คนร่างบางผลักผู้มาเยือนออกไปนอกประตู  แล้วปิดประตูเสียงดัง  ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น
     

    ใครจะว่าเขาเสียมารยาทก็ช่างเถอะ  ขอแค่เพียงให้เขาได้อยู่กับตัวเองสักครู่  แล้ววันไหนที่เขาพร้อมเปิดประตูอีกเมื่อไหร่เขาจะบอกอีกที 




     

    แต่คง…. อีกนาน

     

    เขาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธซองกยูไป  ไม่ได้ติดต่อหรือทำอะไรหลังจากวันนั้น 

     

    เขาคิด  คิดอยู่เสมอว่าอยากกลับไปทำงานที่เขารัก  อยากกลับไปตามฝันที่เขายังไม่ทันทำสำเร็จ  ก็มีอันต้องล้มเลิกไปซะก่อน  และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขานั่งดูละคร  เขาคิดเรื่องนั้นอีกครั้ง

     

    “ออดดดดด”
     

    เสียงออดหน้าบ้านเรียกคนที่จมอยู่กับความคิดตัวเองได้เป็นอย่างดี
     

    “ใครกันนะ  มากดออด  หรือว่าจะเป็นพี่ซองกยู”
     

    ร่างบางมองที่รับอัตโนมัติปรากฏให้เห็นเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เหมือน  เหมือนมากในความคิดเขา  มือก็เผลอกดปลดล๊อกประตูบ้านอย่างมึนๆ
     

    คนๆ นั้นเดินเข้ามาช้าๆ พร้อมกล่องใบหนึ่ง
     

    “อีซองยอล?”  เสียงผู้มาใหม่ตั้งคำถามขึ้น
     

    “หืมมอืม”  คนตัวบางสะดุ้ง  เลิกคิ้วขึ้นอย่างตกใจกับตัวเองที่มองหน้าคนส่งของนานขนาดนี้
     

    “ผมมาส่งของของพี่ซองกยูครับ”
     

    “อ่า..วางไว้ตรงโต๊ะนั่น” 
     

                    สายตาของอีซองยอลยังคงจับจ้องที่คนคนนั้นไม่วางตาตั้งแต่ร่างหนาเดินไปวางกล่องจากพี่ซองกยู  จนถึงตอนนี้ที่คนคนนั้นกำลังเดินกลับมาหาเขา  เดินกลับมา...ทำไม
     

                    “พี่ซองกยูฝากบอกว่า อยากให้ลองเปิดดูเผื่อจะสนใจเรื่องที่พูดไว้สัปดาห์ที่แล้ว”
     

                    “อ๋อ ได้  นายไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม”
     

                    “ไม่มีแล้วครับ  ผมขอตัว”  พูดจบแล้วเจ้าตัวก็เดินไปยังประตู  แต่ก็ไม่วายหันหลังกลับมาปะทะสายตากับเจ้าของบ้านอีกรอบ
     

                    “เอ่อ  ผมไม่รู้หรอกนะ  ว่าคุณเป็นอะไร  แต่จากที่พอมองๆ ดูแล้ว  คุณท่าทางจะเป็นคนมีความฝัน หึหึ  เป็นคนฝันสูงซะด้วย  มันยากนักเหรอครับ  ที่จะทำมัน 
     

    อดีตร้ายๆ มันเกี่ยวอะไรกับการที่คุณจะเลิกฝันแทนที่จะตามความฝันนั่นให้ได้ 
     

    คุณจะใช้ชีวิตที่เหลือไปกับการอยู่เปล่าๆ ในบ้านหลังนี้อย่างนั้นเหรอ 
     

    พอใจจะเล่าให้ลูกฟังสักวันว่า พ่อก็เคยมีความฝันนะ  อย่างงั้นสิ




                   

    ความฝันไม่ได้มีไว้เพื่อระลึกถึง  แต่มีไว้เพื่อทำให้เป็นจริง  และผ่านพ้นคืนนี้ไป  โอกาสสุดท้ายที่จะทำให้ฝันเป็นจริงก็จะหมดลง 

    โอเค คุณจะหาว่าผมเป็นใครก็ไม่รู้  มีสิทธิ์มาสอนคุณได้อย่างไรก็ว่าไป
     

                   

    แต่อย่าทำอะไรที่ตัวเองต้องมานั่งเสียใจภายหลังไปตลอดชีวิตนะครับ
     

    คนส่งของพูดจบก็เปิดประตูออกไป ทิ้งให้คนฟังนิ่งคิดอยู่ครู่

     

    อีซองยอลเปิดประตูออก













     

    “นายชื่ออะไร?”  เสียงใสตะโกนถามคนที่เพิ่งเดินออกไปได้ไม่ไกล

    “คิม มยอง ซู” 











                      คิมมยองซู  ชื่อนี้  อีซองยอลจะจำไว้อีกนาน....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×