ตอนที่ 6 : เมื่อจะไม่รัก : บทที่ 2 (3)
+++++++++++++
“จำได้พี่เคยบอกผมว่าเกลียดทุกสิ่งที่ญี่ปุ่นจะไม่มีทางกลับไป ผมน่ะคิดว่าพี่คงไม่ไปอยู่ที่นั่นแล้ว ต่อให้แม่พี่เสียแล้วก็เถอะ ผมโล่งใจเลยนะตอนนั้น เพราะผมติดพี่มาก ผมพูดกับพี่ผึ้งเสมอว่ากลัวพี่ทิ้งผมไป พี่ผึ้งบอกว่าพี่ไม่ไปไหนหรอก ผ่านมาตั้งครึ่งปีแล้ว พี่ศิระไม่ไปไหนหรอก ผมเชื่อพี่ผึ้งและพี่ผึ้งก็คงเชื่ออย่งนั้น...”
อึ่งในตอนนั้นก็แค่เด็กอายุสิบขวบรู้อะไรไม่มาก แต่ก็รู้ว่าหลังจากแม่ตาย ศิระก็ไม่เหลือญาติที่เมืองไทยอีก อย่างน้อยญาติที่มีก็ไม่อยากจะนับญาติด้วย เพราะรังเกียจว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี ไปขายตัวที่ญี่ปุ่น พอแก่ก็หอบลูกชายกลับไทย ที่ป่วยก็เพราะติดโรคร้าย คนในระแวกบ้านก็ไม่อยากยุ่งด้วย ต่างรังเกียจไม่อยากคบหา จะมีแค่อึ่งที่เป็นปลื้มในตัวศิระจึงมักหนีมาเล่นด้วย
“พอพี่มาบอกว่าจะไป ผมก็ตกใจมาก ถึงกับร้องไห้เลย ผมอยากบอกว่าไม่ให้พี่ไป แต่พี่ผึ้งก็บอกว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ ไม่ให้ผมทำอย่างนั้น เพราะถ้าเรารั้งพี่ไว้ พี่ก็จะกังวลและไปอย่างมีห่วง...”
ตั้งแต่มานั่งที่โซฟานี้ อากิระก็ยังไม่พูดอะไร ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปกติของผู้ชายพูดน้อยคนนี้ แต่อึ่งก็รู้ว่าชายหนุ่มเฝ้ารอฟังสิ่งที่เขาจะบอก ฟังอย่างตั้งใจ
“พี่บอกผมได้มั้ย ทำไมอยู่ๆ พี่ถึงตัดสินใจไปอยู่ที่นั่น บอกให้ผมหายข้องใจได้มั้ย มันเกี่ยวกับการตายของคุณนายเพ็ญใช่มั้ย พอไม่มีคุณยายของพี่ผึ้ง ครอบครัวใหญ่ พ่อแม่และพี่ชายของพี่ผึ้งเขาว่าพี่ศิระ เขาไม่ให้พี่ศิระไปเจอพี่ผึ้งใช่มั้ย”
การไม่ตอบคือคำตอบว่าใช่ที่ดีที่สุด แต่กระนั้นอากิระะก็ยังรู้ว่ามันไม่เพียงพอสำหรับอึ่ง จึงอธิบายเพิ่มในส่วนที่สำคัญ “มันคือสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับทุกคน โดยเฉพาะผึ้ง...”
“มันก็แค่ข้ออ้างรึเปล่า” อึ่งตัดพ้อ “พี่แค่ไม่อยากมีปัญหา ไม่ได้อยากสู้เพื่อพี่ผึ้ง มันสบายกว่าที่จะไปอยู่กับครอบครัวพี่ที่ญี่ปุ่น ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่ไปอยู่ที่โน่นแล้วชีวิตจะเป็นยังไง แต่ผมว่ามันก็คงดีกว่าที่นี่”
“ไม่มีที่ไหนดีกว่าที่ที่มีผึ้ง...ไม่เคยมี”
คำพูดแค่นั้นก็บอกให้อึ่งรู้แล้วว่าผู้ชายที่ก้มหน้ามองพื้นสีหน้าวางเฉยยังคงให้ความสำคัญกับพี่ผึ้งของเขามาก ไม่ต่างจากเมื่อก่อน แม้ท่าทางแสดงออกจะเหมือนเฉยชา เย็นชา พูดอย่างราบเรียบ แต่ลึกซึ้งในความรู้สึกของคนที่รู้จักตัวตนของอากิระคนนี้
“ตอนที่แม่เสีย ฉันเหลือแค่ผึ้ง” นั่นคือเหตุผลที่อากิระไม่ได้ไปที่ญี่ปุ่นทันทีเมื่อแม่เสีย แม้ทางนั้นจะยื่นข้อเสนอเข้ามา พยายามเรียกตัวเขากลับไป แต่ชายหนุ่มก็ปฏิเสธ “แต่โลกนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่คนสองคน อย่างน้อยก็ตัวผึ้ง ผึ้งมีครอบครัว ครอบครัวที่เห็นว่าชีวิตผึ้งจะดีกว่าที่เป็น ถ้าไม่มีฉัน...ซึ่งในตอนนั้นมันก็จริง ฉันไม่มีอะไร ก็แค่ลูกของคนที่ถูกตราหน้าว่าโสเภณี ที่ชีวิตล้มเหลวจนต้องฆ่าตัวตาย”
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่อึ่งได้เห็นอาริระพูดประโยคยาวๆ ต่อเนื่อง
ห้าปีผ่านไปทำให้พี่ชายพูดน้อยของเขากลายเป็นคนพูดมากไปแล้วหรือ
หรือการพูดครั้งนี้ก็แค่อยากระบายสิ่งที่อยู่ในอก
ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็จะรอฟัง แต่หลังจากพูดเท่านั้น
บรรยากาศในห้องก็ถูกทิ้งไว้ด้วยความเงียบ...
เงียบงันอยู่ครู่ใหญ่กระทั้งอากิระเงยหน้าขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นกับผึ้ง...”
ไม่อยากพูดต่อแล้วสินะ อึ่งเงิบเบาๆ เพราะนึกว่าพี่จะเล่าเรื่องตัวเอง
“หลังจากฉันไป ผึ้งควรไปอยู่ที่บ้านใหญ่ไม่ใช่เหรอ” นั่นคือสิ่งที่อากิระรู้ “คนบ้านใหญ่คิดว่าผึ้งไม่ควรอยู่ที่นี่ ถ้าผึ้งเป็นแบบนี้เพราะรู้จักคนที่นี่ ทำไมถึงยังให้เธอมาที่นี่อีก ผึ้งกลับมาอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ร้านนี้เพิ่งเปิดเมื่อสองปีก่อนได้ครับ” อึ่งบอกเล่า “หลังจากที่พี่ศิระไปญี่ปุ่นผมยังได้เจอพี่ผึ้งพักใหญ่ เกือบๆ เดือน พี่ผึ้งยังอยู่ที่นี่กับลุงชัย ป้าอุ่น พี่พร แต่ก่อนหน้านั้นราวๆ อาทิตย์นึง พี่ผึ้งเริ่มแพ้ท้อง ผมยังไม่รู้นะ ก็นึกว่าพี่ผึ้งแค่ไม่สบาย ไปมหาลัยไม่ได้ ผมยังได้ไปเล่นด้วยจนวันสุดท้ายช่วงเย็นผมกลับจากโรงเรียน ได้มะม่วงมาว่าจะเอาไปฝากพี่ผึ้งเพราะพี่ผึ้งบอกว่าอยากจะกิน แต่ไปเห็นคนที่บ้านใหญ่มากันเต็มเลย พ่อแม่พี่ผึ้ง พี่ชายและพี่สาวของพี่ผึ้งเดินเข้าไปในบ้าน มีเสียงเอะอะ เหมือนคนทะเลาะกันดังแว่วมา ผมจึงแอบปีนรั้วเข้าไป แอบดูที่หน้าต่างเห็นพ่อพี่ผึ้งลากพี่ผึ้งลงมาจากชั้นบน พี่ผึ้งขัดขืนเหมือนไม่อยากไป ก็เลยถูกตบ...”
ในเวลานั้นอึ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่อให้ไม่ได้สนิทกับคนบ้านใหญ่ แต่ก็รู้ว่าพวกเขาเป็นพ่อแม่ที่รักลูกสาวคนเล็กมาก ด้วยอายุห่างกับพี่ๆ ทั้งสามคนหลายปีจึงเป็นที่รัก แม้จะแยกมาอยู่กับคุณนายเพ็ญ แต่ก็แวะไปอยู่บ้านใหญ่อาทิตย์ละหลายวัน
“พ่อพี่ผึ้งโกรธมาก โกรธจนหน้าแดงก่ำ สั่งให้พี่ชายและพี่สาวให้ลากพี่ผึ้งขึ้นรถ โดยมีแม่พี่ผึ้งคอยห้าม คอยปรามให้พ่อใจเย็น พี่ผึ้งร้องไห้และฝืนจนเป็นลมไป ทุกคนดูตกใจ แม่พี่ผึ้งกรีดร้องเสียงดัง ทุกคนดูตกใจ แม้แต่พ่อที่กำลังโกรธ จนแสดงท่าทีอ่อนลง...แต่สุดท้ายพี่ผึ้งก็ถูกพาตัวไป...”
ไม่ต้องให้อึ่งพูดออกมา อากิระก็พอเดาได้ว่าความวุ่นวายในวันนั้นคงเกิดขึ้นเพราะคนที่บ้านใหญ่รู้ว่านารียาท้อง ส่วนจะรู้ด้วยเหตุผลอะไร เพราะใครนั้นก็คงไม่สำคัญ เพราะต่อให้สำคัญอึ่งก็ไม่รู้
“ตอนนั้นผมไม่รู้เกิดอะไรขึ้น จนพวกบ้านใหญ่พาตัวพี่ผึ้งไปพ้น ผมจึงได้ไปคุยกับป้าอิ่มและลุงชัย แล้วพี่พร ซึ่งก็กำลังขนกระเป๋า ทั้งสามคนถูกไล่ออก ก็เลยกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ตอนนั้นพวกเขาไม่ได้บอกอะไรผมมากคงคิดว่าเพราะเด็ก แล้วบ้านคุณนายเพ็ญก็ถูกปิด ผมแวะไปดูทุกวันหวังว่าพี่ผึ้งจะกลับมา ผ่านไปเป็นอาทิตย์ก็ไร้วี่แวว มีคนแวะเข้ามาดูบ้านผมไปถามหาพี่ผึ้ง พวกเขาบอกแค่ว่าคุณผึ้งจะไม่กลับมาที่นี่แล้ว เธอจะไปเรียนต่อเมืองนอก บ้านนี้ก็กำลังจะถูกขาย...”
อึ่งเล่าต่อว่าหลังจากนั้นเขาก็ยังแวะไปดูทุกเย็นก็ยังไร้วี่แววนารียา เขาจึงตัดใจเปลี่ยนเป็นทุกเย็นก็จะไปอยู่ที่บ้านของอากิระแทน ไปทำความสะอาดให้ดูแลบ้านให้เพราะรู้ว่ากุญแจบ้านเก็บไว้ที่ไหน
“บางวันที่พ่อแม่กลับมาแล้วทะเลาะกัน ผมรำคาญผมก็หนีมาบ้านพี่ มานอนเล่นเกมบ้านพี่ นั่นทำให้ผมได้เจอพี่ผึ้ง พี่ผึ้งมาที่บ้านพี่ ทันทีที่เห็นผม ก็โผเข้ามากอด ร้องไห้อย่างหนัก สภาพของพี่ผึ้งทำเอาผมตกใจ...”
อากิระกำมือแน่น ขบกรามจนขึ้นสัน...
ในขณะที่อึ่งทอดสายตาออกไปที่หน้าบ้านราวกับเห็นภาพนั้นในอดีต...
ภาพที่เขากำลังจะถ่ายทอดความน่าเวทนาของพี่ผึ้งออกมาเป็นครั้งแรก...
‘อึ่งรู้มั้ย...พี่ศิระ...พี่ศิระอยู่ไหน พี่อยากเจอ...พี่อยากเจอมาก อยากเจอเหลือเกิน... พี่ไม่ไหวแล้ว พี่สู้คนเดียวไม่ไหวแล้ว...อยากเจอเหลือเกิน อยากเจอพี่ศิระ...ช่วยพาพี่ไป ช่วยด้วย...’
++++++++++++++
คุยกันท้ายตอน: เรื่องนี้จะโพสต์จบ + ลบเร็ว (ใน 24 ชั่วโมงหลังโพสต์จบ) ขออย่างเดียว หลังอ่านก็คอมเม้นต์ให้หน่อยนะคะ ขอแค่นี้เป็นค่าแรงในการปั่นมาให้อ่าน รับรองว่าคุณจะได้อ่านจบแน่นอน ขอบคุณมากๆ ค่ะ
แอด fav ติดตามจะได้ไม่พลาดการอัพเดทคลิ๊กที่ชื่อเรื่องใต้นี้ได้เลยนะคะ
น่าสงสารผึ้งอะ คนรักยังไม่อยู่ข้างกันอีก
สงสารผึ้งอ่าาา
สงสารผึ้ง
เขียนดีนะ อ่านแล้วมันสัมพัสความรู้สึกได้อะ ทำเอาร้องตามเลย
สงสารผึ้งสุดๆอ่ะ
สงสารผึ้งๆ
สงสารผึ้งเลย
ร้องไห้หนักมาก อย่าเศร้านานนะไรท์