ตอนที่ 3 : เมื่อจะไม่รัก : บทที่ 1 (3)
++++++++++
‘Little Bee’ คือป้ายหน้าร้านกาแฟที่รถบิ๊กไบค์คันใหญ่วิ่งเข้ามาดับเครื่องอยู่ด้านหน้า คนขับยังไม่ลงจากรถ หมวกกันน็อกยังคงไม่ถูกถอด ไม่แม้แต่จะตบหน้ากากขึ้น แต่กระนั้นดวงตาคมกลับมองผ่านเข้าไปภายในรั้วระแนงเตี้ยๆ ไปที่อาคารหลังใหม่ที่เหมือนจะไม่คุ้นตา คงถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในช่วงที่เขาจากที่นี่ไป
‘พี่ศิระรู้มั้ยว่าผึ้งมีความฝันอะไร’
‘จะฝันอะไรก็ฝันไปเถอะ ไม่ต้องมาบอกพี่ ไม่อยากฟัง รำคาญ’
‘ก็ฟังหน่อยสิคะ ฟังผึ้งเล่าหน่อย...ผึ้งฝันอยากมีร้านขนมของตัวเอง ทำเป็นร้านขนม ร้านกาแฟ แล้วพอผึ้งเรียนวาดรูปกับพี่ศิระได้เก่งๆ ผึ้งก็จะทำเป็นแกลเลอรี่ให้ลูกค้าเข้ามาชม มาซื้อกลับไปประดับบ้าน ผึ้งจะเป็นนักวาดรูปดอกไม้ที่มีชื่อเสียง...ก็พี่ศิระยังชมเลยว่าผึ้งวาดดอกไม้สวย ทำไมทำหน้าแบบนั้นคะ’
‘เอาที่สบายใจแล้วกัน’
‘ก็ได้ค่ะ พี่ไม่ได้ชมว่าสวย แค่ชมว่าผึ้งวาดภาพดอกไม้ดีที่สุด น่าจะเอาดีทางนี้ได้’ ท่าทางหงอยๆ เมื่อถูกมองอย่างระอาเป็นได้ครู่เดียวเท่านั้น เวลาต่อมาเธอก็สามารถหันกลับมายิ้มได้อีก แล้วยังคงพูดไปเรื่อย ‘มาฟังต่อนะ มาฟังเรื่องความฝันของผึ้งต่อนะ ฟังหน่อยนะคะ ทนฟังหน่อย คิดซะว่าฟังฆ่าเวลาให้พี่ศิระทานข้าวเสร็จ แล้วค่อยไปทำงานล้างสระว่ายน้ำให้คุณยายไงคะ’
อาการไม่ปฏิเสธบ่งบอกกลายๆ ว่ายอมในสายตาของฝ่ายหญิง
แต่เจ้าตัวคือการไม่มีทางเลือก...จึงรีบๆ กินข้าวให้เสร็จๆ
‘คุณยายบอกว่าถ้าผึ้งเรียนจบ จะให้บ้านนี้กับผึ้ง จะออกทุนให้ผึ้งทำร้านในฝันค่ะ พี่ศิระมาร่วมลงทุนกับผึ้งนะคะ มาช่วยกันทำนะ ตอนนั้นพี่ศิระก็คงเรียนจบทำงาน เป็นวิศวะก่อสร้าง ไว้มา...’
‘อิ่มละ พี่ไปทำงานละ ไม่ต้องตามมานะ รำคาญ...’
ต่อให้โดนว่าอย่างนั้น แต่สุดท้ายนารียาก็ยังคงไปวนเวียนอยู่ข้างๆ ตัวพี่ชายข้างบ้านเสมอ แต่จะเรียกว่าข้างบ้านก็ไม่ถูกนัก เพราะบ้านของศิระอยู่ในซอยลึกเข้าไปอีก แต่เรียกว่าอยู่ละแวกบ้านเดียวกัน ทางออกจากบ้านของศิระมีทางเดียวคือต้องผ่านหน้าบ้านยายของนารียาเท่านั้น
อีกทั้งความสัมพันธ์ของคุณนายเพ็ญ ยายนารียากับศิระก็เป็นไปในทิศทางที่ดี เพราะยายของทั้งคู่เคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาก่อน แต่ฐานะทางบ้านต่างกันชัดเจน คนหนึ่งรวยขึ้นมากเมื่อแต่งงานกับสามีดี สร้างบ้านได้ใหญ่โต ในขณะที่อีกคนยังคงอยู่อย่างแร้นแค้นมาจนรุ่นลูกและหลาน แต่คุณนายเพ็ญก็ไม่เคยคิดรังเกียจให้หลานสาวคนเล็กมาสนิทกับลูกหลานของเพื่อน แม้อีกฝ่ายจะจากโลกนี้ไปนานแล้ว
“สวัสดีครับ” เสียงทักดังมาจากพุ่มไม้สูง ทำให้ชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวลงจากรถบิ๊กไบค์ชะงักไป มือที่กำลังจะถอดหมวกกันน็อกลดลง ยิ่งเมื่อเห็นว่าชายวัยกลางคนที่โผล่หน้าออกมานั้นเป็นคนที่น่าจะรู้จักเขาก็เผลอเบือนหน้าหลบ ก่อนจะนึกได้ว่าตัวเองใส่หมวกกันน็อกปิดใบหน้าไว้ “วันนี้ร้านหยุดนะครับคุณลูกค้า เราหยุดทุกวันอาทิตย์ครับ”
ชายหนุ่มเจ้าของบิ๊กไบค์สุดหรูที่ลุงวิชัยกำลังสำรวจทำเพียงพยักหน้า แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรเสียงของป้าอิ่มใจก็เรียกสายตาของคนทั้งคู่ให้หันกลับไปในตัวบ้าน
“ตาลุง ขนมเสร็จแล้วนะ เอาไปส่งให้คุณหนูได้เลยนะ วันนี้มีน้ำหวานด้วย ฉันเพิ่งทำน้ำกระเจี๊ยบ”
“เออๆ รู้แล้วๆ” บอกส่งๆ ให้ภรรยาก่อนจะหันกลับมาที่คนที่แกรู้ว่าเป็นลูกค้า “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ จะเอาขนมไปให้เด็กๆ ที่เรียนวาดรูปน่ะครับ”
บอกเสร็จก็เข้าไปในบ้านโดยมีสายตาลูกค้าหนุ่มมองตามอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ขับออกไป เสียงรถที่ครางกระหึ่มเรียกสายตาสองสามีภรรยาให้หันไปมอง
“ใครน่ะ ท่าทางดูคุ้นๆ ตานะ”
“ลูกค้าน่ะ คงจะแวะมากินกาแฟ ฉันบอกไปว่าร้านหยุด”
“เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงตาศิระนะ” คนภรรยาพูดเปรยๆ เพราะคุ้นเคยกับเด็กหนุ่มที่จะไปไหนมาไหนด้วยรถจักรยานยนต์คันใหญ่แบบนี้ แต่พอหลุดปากไปก็เหมือนนึกได้ยกมือตีปากตัวเองเบาๆ พลางถอนหายใจ แล้วสุดท้ายก็ไม่วายพูดตบท้ายถึงคนที่ไม่ควรเอ่ยชื่อ “ฉันไม่อยากเชื่อว่าตาศิระจะไม่กลับมาที่นี่แล้วจริงๆ”
“ป้าพูดยังกับว่าอยากให้ไอ้คนสารเลวนั่นกลับมาหาคุณหนู ลืมไปแล้วเหรอว่ามันทำอะไรไว้กับคุณหนูของเรา มันทำเลวทั้งที่คุณนายทำดีกับมัน ถ้ามันกลับมาสิฉันจะฆ่ามัน”
“ทำเป็นเก่งนะตาลุง!” นายวิชัยทำเป็นเข้ม “ขอให้มันจริงเถอะ กลัวแต่เจอของจริงเข้าจะหงอเป็นหมาหงอย แต่เอาเข้าจริง ฉันว่าลุงก็คงยังไม่อยากเชื่อใช่มั้ย”
“เชื่ออะไร”
“เชื่อว่าตาศิระจะเป็นคนเลวอย่างที่ลุงด่าว่า ลุงยังคงเชื่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างคุณหนูกับตาศิระคือความรัก ความเข้าใจ ที่ลุงเจ็บใจคือทั้งที่เชื่ออย่างนั้น แต่ทำไมไอ้หนูที่ลุงพูดนักหนาว่าเป็นลูกศิษย์ใช้แรงงานที่ฝึกมากับมือ ไอ้หนูที่ลุงบอกว่าเนื้อแท้เป็นคนดี ถึงไม่กลับมาหาคุณหนูสักที”
คำพูดของป้าอิ่มใจทำให้คนสามีนิ่งไป เมื่อถูกพูดจี้ใจดำ
“ป้าเอ๊ย เรื่องมันมาขนาดนี้แล้ว เลิกหวังเถอะ ฉันเลิกหวังลมๆ แล้งๆ มานานแล้วล่ะ เพราะต่อให้ไอ้หนูนั่นกลับมา พวกคุณๆ ที่บ้านใหญ่ก็คงไม่อยู่เฉย แล้วที่สำคัญคุณผึ้งก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว...ไม่ใช่เหรอ”
นั่นเป็นความจริงที่สุดแสนจะขื่นขม...ความจริงที่ดูจะไร้ทางออกสำหรับพวกเขา จึงได้แต่นิ่งเงียบ ก้มหน้าทำเป็นปลงได้คิดได้...ทั้งที่ใจก็ยังอดไม่ได้ที่จะนึกถึงมัน นึกถึงใบหน้าของคนวัยหนุ่มสาวที่หัวใจมีความรัก...รักที่แสนบริสุทธิ์นั้น
เวลาไล่เลี่ยกัน...
รถบิ๊กไบค์คันเดิมแล่นมาหยุดที่ข้างสวนสาธารณะ ชายหนุ่มมองผ่านรั้วเหล็กเข้าไปที่ศาลาขาวริมบึง จุดนั้นไกลเกินกว่าจะมองเห็นหน้าคนหลายคนที่ทำกิจกรรมอยู่ตรงนั้น แต่คนเฝ้ามองก็ยังไม่อาจละสายตาไปจากมันได้ กินเวลาเท่าไหร่แล้วเจ้าตัวก็ไม่ทันได้สังเกต มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองมายืนอยู่ตรงพุ่มไม้ใกล้ตัวศาลา จนสามารถมองเห็นใบหน้าของคนที่อยู่ในนั้นได้ชัดเจน...
ชัดเจนว่าหนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิงที่เขาได้บอกลาเธอ ไม่ได้อยากบอกลาผู้หญิงคนเดียวที่คอยวิ่งตามเขาเสมอ ตั้งแต่เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ จนกระทั่งวันสุดท้ายที่เจอ เขาก็ยังพูดในสิ่งที่ทำร้ายเธอ
‘พรุ่งนี้พี่จะไปญี่ปุ่น...ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น...เพราะงั้นเราเลิกกันเถอะ ขอโทษกับเรื่องที่แล้วๆ มา ผึ้งจะเกลียดพี่ก็ได้ แต่พี่ต้องไป...’
‘พี่ศิระไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ พี่ไม่มีอะไรต้องขอโทษ พี่ไม่ได้ทำอะไรผิด การที่พี่ไม่ได้รักผึ้งไม่ใช่ความผิด ถ้าจะหาคนผิด ก็คงเป็นผึ้งเองที่ทำให้พี่รักผึ้งไม่ได้...ไม่เป็นไรค่ะ แต่ยังไง ไปแล้วก็กลับมาเยี่ยมกันบ้างนะคะ ผึ้งจะคอย...คอยในฐานะน้องสาวของพี่ศิระนะคะ’
ยิ้มทั้งน้ำตาคือสิ่งที่นารียาแสดงออก ในขณะที่มือเธอกำแน่นสะเทือนใจ
‘เดี๋ยวผึ้งต้องกลับก่อนแล้วค่ะ แต่ผึ้งจะไปส่งพี่ศิระนะคะ ไปไฟท์ไหนคะ ผึ้งจะไปส่ง’
‘ไม่จำเป็น พอเถอะนะผึ้ง พี่จะไม่เจอผึ้งอีก...พี่ไม่อยากเจอผึ้งอีก...ไม่อยากเจออีก’
“โอเคนะคะ ร่างภาพเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาลงสีนะ จำที่พี่ผึ้งสอนได้มั้ยคะ”
เสียงพูดที่คุ้นหูเรียกสติชายหนุ่มที่ยืนอยู่หลังพุ่มไม้ให้หลุดออกมาจากภวังค์ เสียงพูดคุยระหว่างคุณครูสาวกับลูกศิษย์ดังเจื้อยแจ้วมาอีกหลายคำ แต่ดูเหมือนสิ่งที่ชายหนุ่มได้ยินชัดจะมีแค่เสียงพูดของนารียา
“เก่งมาก งั้นลงมือเลย เดี๋ยวถ้าใครเป็นเด็กดี พี่ผึ้งมีขนมกับน้ำหวานเป็นรางวัลโอเคมั้ยคะ”
ชายหนุ่มมองผ่านช่องไปจับใบหน้าอ่อนเยาว์ที่คุ้นตา...
ใบหน้าที่มักเปื้อนยิ้ม ยิ้มกว้างอย่างไรก็ยังเห็นดวงตากลมโตคู่สวย
‘ผึ้งตาโตตั้งแต่เกิด คุณยายบอกว่าตั้งชื่อว่าผึ้งเพราะตาโตโปนเหมือนผึ้งค่ะ...อย่าทำหน้าอย่างนั้นนะพี่ศิระ...ทำหน้าเหมือนขำไง อิจฉาผึ้งใช่มั้ยล่ะคะ เพราะพี่ศิระตาเล็ก ตาเป็นสระอิ ตาชั้นเดียวด้วย! ถ้ายิ้มก็คงตาเหมือนคนหลับตา เพราะอย่างนี้แน่เลยพี่ศิระถึงไม่ชอบยิ้ม...ใช่แน่ๆ เลย โอ๋ ล้อเล่นค่ะ อย่าโกรธนะ ผึ้งแค่ล้อเล่น พี่ศิระไม่ได้ตาเล็กซะหน่อย ตาออกจะโต...ยิ่งตอนโกรธผึ้งยิ่ง...โอ๊ย!’
เขกหัวเด็กพูดมากคือสิ่งที่เขาทำในตอนนั้น เขกเพราะหมั่นไส้ แต่สุดท้ายก็แอบยิ้มเมื่อเห็นอาการหน้างอแบบหงอยๆ และขยับหนีของเธอ ซึ่งต่อให้หนีอย่างไร ก็ไม่เคยเกินห้านาที สุดท้ายก็กลับมายิ้มหวานให้อย่างเคย รอยยิ้มที่ไม่ต่างจากที่เธอยิ้มให้เด็กนักเรียนของเธอในตอนนี้
“อ้าวคุณ? ใช่คุณที่จะไปที่ร้านรึเปล่าครับ”
เสียงทักของนายวิชัยทำเอาชายหนุ่มที่ยืนหันหลังให้แกตกใจ
รีบหยิบแว่นดำและหมวกปีกสวมปกปิดใบหน้า
ยิ่งเมื่อเห็นสายตาของนารียาที่อยู่บนศาลามองลงมา
เขาก็รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะหยุดเต้น...
+++++++++
แอดแฟนเพื่อไม่พลาดการอัปเดท กดที่ชื่อเรื่องข้างใต้นี้ได้เลยนะคะ
ไม่อยากให้นายนี่สมหวังเลย
ลุ้นๆ. รอจ้าา
แอร้ย ลุ้นๆ ชอบจุง
ผู้ชายใจร้ายอย่างศิระจะแอบมาดูผึ้งทำไม
ดีนะที่ผึ้งความจำเสื่อมไม่งั้นคงเจ็บปวดเเย่
ชอบเรื่องนี้มากอินมากกก555
ใกล้จะได้เจอกันแล้วใช่ไหมจะไรน์
รอๆๆๆ