ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักต้องห้าม กับการหนีตาม...

    ลำดับตอนที่ #5 : chapter 5 100%: มือสวยในระยะประชิด

    • อัปเดตล่าสุด 16 มิ.ย. 54


    chapter 5 100%: มือสวยในระยะประชิด

    +++++
    ++++
    +++
    ++
    +



    รถตู้สีเข้มจอดลงเทียบกับประตูกระจกสุดแสนอลังการของโรงแรมขนาดใหญ่ คนขับรถเดินมาเปิดประตูหลังให้แจจุง ร่างเล็กก้าวเดินลงมาพร้อมด้วยสีหน้าประหลาดใจ ในมือบางตอนนี้มีกระดาษหนึ่งแผ่นที่คนขับรถยื่นให้ในรถบอกว่าเป็นรายละเอียดของสถานที่ที่เขาจะต้องไป


    พนักงานต้อนรับของโรงแรมเปิดประตูให้แจจุงพร้อมกับโค้งตัวอย่างสวยงาม ร่างเล็กถามทางไปห้องจัดเลี้ยงตามที่กระดาษได้เขียนรายละเอียดเอาไว้ให้ก่อนจะเดินไปตามที่พนักงานบอก

    แจจุงมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องจัดเลี้ยงอันเป็นสถานที่นัดในที่สุด ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่อห้องอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าใช่ที่นี่แน่นอน ประตูหนาเบื้องหน้านี่มันดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้สิ แถวนี้ก็ไม่มีคนซะด้วย อยากจะรู้จริงๆว่าพี่ชีวอนจะเซอร์ไพรสอะไรเขา 


    ร่างเล็กแนบหน้าไปตรงร่องประตูทว่าก็พบเพียงความมืดมิด ไม่เห็นอะไรเลยสักอย่างเดียว 


    เมื่อเป็นแบบนั้นแจจุงเลยตัดสินใจเอื้อมมือไปเปิดประตู ภายในห้องปิดไฟมืดไปหมด ทว่าทันทีที่ร่างเล็กย่างเท้าเข้ามา แสงไฟก็เปิดขึ้นที่เวที เสียงเพลงจังหวะที่คุ้นเคยดังขึ้นทำเอาแจจุงตกใจ 


    จังหวะนี้มัน check mate


    ไฟอีกดวงหนึ่งเปิดขึ้น ทำให้เวทีสว่างจ้า ร่างสูงของยุนโฮปรากฏตัวขึ้นในชุดเสื้อสูทสีดำที่เว้าลึกโชว์เผยให้กล้ามเนื้ออกแข็งแรง ที่คอมีขนสัตว์สีเทาดำคล้องอยู่เข้ากับสีเสื้อสูท ในมือหนาถือไม้เท้าลายสีน้ำตาลออกเหลืองเอาไว้ 


    แจจุงยืนตัวค้าง คราวนี้เขาเห็นชัดเจนเลย นี่มันยุนโฮแน่นอน คนที่เต้นได้สมบูรณ์แบบและพลิ้วไหวขนาดนี้ เสียงร้องแบบนี้ มีเพียงคนเดียวในโลกจริงๆ 


    นี่เขากำลังฝันไปรึเปล่านะ  ร่างเล็กค่อยๆเดินเข้าไปใกล้เวทีช้าๆ ภาพการแสดงเดี่ยวของยุนโฮที่เขาเคยเห็นแต่ในจอคอม ตอนนี้มาปรากฏตรงหน้าเขาแล้ว เป็นการแสดงที่ให้เขาดูเพียงคนเดียวเท่านั้น 


    ยุนโฮแสดงไปเรื่อยๆ สายตาคมมองมาที่เขาอย่างมีเสน่ห์ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเนื้อหาและจังหวะของเพลงหรือเปล่าที่ทำให้สายตาของยุนโฮแวววาวขนาดนั้นแต่ที่แน่ๆ คือแจจุงหน้าแดงไปเรียบร้อยแล้ว


    แจจุงยืนตัวแข็งดูการแสดงของยุนโฮจนจบ ร่างเล็กปรบมือแบบเขินๆ ไฟสีขาวถูกเปิดขึ้นจนสว่างทั้งห้อง ต่อจากนี้จะทำไงดีนะ เสียงเพลงจบไปแล้ว ทั่วทั้งห้องนั้นเงียบสนิท ไม่มีใครเลยนอกจากเขากับยุนโฮ ตอนนี้ร่างสูงกำลังดื่มน้ำเปล่าอยู่บนเวมีและก็ก้าวเท้าเดินตรงมาที่เขาแล้วด้วย 


    แจจุงก้มหน้านิ่งมือบางเย็นเฉียบกำเข้ามากันแน่น รู้สึกว่าหายใจไม่ออก จะพูดอะไรดีนะ น่าอายที่สุด อยากจะมองมือสุดสวยของยุนโฮก็ไม่กล้า หัวสมองมันว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออกเอาซะเลยอ่ะ


    “คุณนี่เองอ่ะ เราเจอกันอีกแล้วนะ” ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ๆแล้วพูดขึ้นแจจุงเงยหน้าขึ้นมอง


    “สุขสันต์วันเกิดครับแจจุง ”ยุนโฮเดินมากระซิบที่ริมหูเล็ก ริมฝีปากสัมผัสผ่านติ่งหูของแจจุงไป ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดกับลำคอ แจจุงเบิกตากว้าง
    สัมผัสแบบนั้นมัน...


    “สรุปว่าวันนั้น...เป็นยุนโฮหรอเนี่ย” ร่างเล็กพึมพำกับตัวเอง เมื่อกี้มัวแต่อึ้งกับการแสดงจนลืมเรื่องวันนั้นไปเลย


    “นี่คุณไม่รู้หรอ”ร่างสูงถามอย่างงงๆ 


    “คือ..ชั้นแสบตาอ่ะ เลยมองไม่เห็นอะไรเลย”


    “ฮ่าๆๆ แสบตา”ยุนโฮ หัวเราะประชดไม่รู้ว่าจะเอายังไงต่อดี นี่คนสวยตรงหน้านี่กำลังล้อเขาเล่นรึเปล่าเนี่ย 


    “ก็ชั้นแพ้แสงอ่ะ”ร่างเล็กพูดอย่างจริงจังอยู่ดีๆก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมาเฉยๆ เรื่องวันนั้นมันน่าอายจริงๆนี่หน่า


    “อ่ะ คู่หมั้นคุณเขาฝากมาให้แหน่ะ” ร่างสูงพูดยิ้มๆ ยื่นซองจดหมายให้


    “พี่ชีวอนหน่ะหรอ”ร่างเล็กทำท่าทางดีใจ รีบรับซองจดหมายไปอ่าน


    “อืม” ยุนโฮตอบเสียงเซ็งๆ ไม่รู้ว่าจะดีใจอะไรหนักหนา อ่านไปยิ้มไปซะแบบนั้น 


    “คู่หมั้นคุณนี่น่าสงสารนะ ส่งคุณมาให้ถึงมือผมเลย ไม่ได้รู้อะไรซะแล้ว” 


    “ยุนโฮห้ามบอกพี่ชีวอนนะ”ร่างเล็กหุบยิ้มทำหน้าเครียดทันที


    “ไม่รู้สิ อ้า หิวจังเลย เรามากินข้าวกันก่อนดีกว่านะ” ร่างสูงพูดเดินนำหน้าไปที่โต๊ะอาหารซึ่งถูกจัดเอาไว้อย่างดี รอบๆห้องเต็มไปด้วยลูกโป่งสีขาว ชมพู แจจุงก็พึ่งจะมองเห็นทุกอย่างชัดๆตอนนี้นี่แหละพึ่งจะรู้เนี่ยแหละว่ามีโต๊ะกินข้าวกับไวน์ด้วย


    ร่างเล็กเดินตามยุนโฮไปด้วยสีหน้าแสดงความกังวล  


    “แล้วนี่ ...พี่ชีวอนไปทำยังไง ทำไมยุนโฮ ถึงมาแสดงให้ชั้นดูได้หล่ะ”ร่างเล็กถามขึ้นขณะที่ยุนโฮกำลังนั่งกินข้าว คิดในใจว่าหลอกถามเรื่องอื่นไปก่อนแล้วค่อยวกเข้ามาเรื่องนั้นอีกทีแล้วกัน


    “ก็ไม่มีอะไร เขาให้เลขาติดต่อมาบอกว่าคุณเป็นแฟนเพลงผม... อยากจะให้มาเซอร์ไพรส ตอนแรกผมก็ว่าจะไม่เอา.... แต่ว่าเขามีบุญคุณอะไรสักอย่างกับผู้จัดการส่วนตัวของผม ก็เลยคิดว่ามาก็ได้ ไม่ใช่งานยากอะไร ...แถมคู่หมั้นคุณยังให้เงินดีซะด้วยนะ”ร่างสูงพูดเล่าให้ฟังขณะทานเสต็กไปด้วย ส่วนร่างเล็กนั้นตอนนี้มัวแต่เคลิบเคลิ้มมองมือของยุนโฮ ตอนแรกก็ว่าจะไม่จ้องอ่ะนะ แต่ท่าที่ยุนโฮกำลังใช้มือหั่นเสต็กอยู่ ทำให้มีเส้นเลือดปูดขึ้นมาจากมือสวย ดูแล้วมีเสน่ห์ชะมัดเลย.....


    “...คุณ..นี่คุณ..ฟังผมอยู่รึเปล่า” ร่างสูงเรียกซะดังจนแจจุงจกใจรีบหันกลับมามองที่ใบหน้าของร่างสูง โธ่ เมื่อกี้กำลังเคลิ้มเลยเชียว 


    “วะว่าไงหรอ” 


    “คุณมองอะไรอยู่เนี่ย ผมเรียกตั้งนาน” 


    “ปะเปล่าๆ แค่คิดว่า...เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก” คือปกติเขาก็ไม่ใช่คนโกหกหรอกนะ แต่ว่าไอ้เรื่องที่จะบอกว่าชอบมือยุนโฮนี่มัน..น่าอายเกินไปมั้ย


    “แล้วนี่คุณเป็นลูกชายของประธานปาร์คจริงหรอ”ยุนโฮกล่าวถามถึงเจ้าของบริษัทค่ายเพลงที่เป็นคู่แข่งตัวเกร็งของบริษัทเขา


    “อืม เพราะแบบนั้นไง ชั้นก็เลยไม่เคยไปคอนเสิร์ตหรือว่างานกิจกรรมอะไรของยุนโฮเลย“ร่างเล็กพูดทำหน้าเศร้าไปเล็กน้อย”แต่ว่าการแสดงเมื่อกี้สุดยอดไปเลยนะ ยุนโฮเต้นเก่งจริงๆ” แจจุงเปลี่ยนจากโหมดเศร้าเป็นโหมดร่าเริงอย่างรวดเร็ว 


    ท่าทางชื่นชมแบบนั้นทำเอายุนโฮเขินไปนิดนึงเหมือนกัน ปกติก็มีคนชมเขาเยอะนะ แต่กับคนตัวเล็กตรงหน้านี้เหมือนจะมีอะไรที่แตกต่างออกไป


    เขาไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้ว่าอะไรดี คนตัวเล็กที่ชื่อแจจุงนี่เป็นแฟนคลับเขา แต่ว่าว่าพ่อเป็นคู่แข่งกับบริษัทของเขา ร่างเล็กเคยมีอะไรกับเขาแบบเร่าร้อนสุดๆไปแล้วแต่ก็

    ไม่รู้ว่าเป็นเขาแล้วตอนนี้ก็ยังนั่งชื่นชม พูดคุยกับเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติอีกต่างหาก แถมนะ ในวันเกิดวันนี้ คู่หมั้นของแจจุงก็ส่งร่างเล็กมาหาเขาโดยที่ไม่รู้อะไรเลย 


    ความสัมพันธ์แบบนี้มันแปลกเกินไปมั้ยเนี่ย


    ยุนโฮนั่งคิดในใจอยู่คนเดียว รู้สึกว่าแจจุงน่าสนใจมากจริงๆ จะว่าไร้เดียงก็ไม่ซะทีเดียว เหมือนกับว่าทำตามความรู้สึกของตัวเองสุดๆ


    ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมามองคนตัวเล็กที่เหมือนจะเหม่อลอยมองอะไรสักอย่างบนตัวเขาอีกแล้ว 


    “นี่คุณ....”ยุนโฮตะโกนเสียงดัง ทำเอาแจจุงสะดุ้ง


    “ฮะ?”ร่างเล็กทำตาโต ละสายตาจากมือสวยสีน้ำผึ้ง


    “นี่คุณไม่รู้จริงๆหรอว่าเป็นผม”ยุนโฮถามทำหน้าจริงๆ บางทีแจจุงอาจจะแกล้งทำเป็นจำเขาไม่ได้เพราะอาย


    “อืม ชั้นไม่รู้จริงๆนะ” ร่างเล็กทำหน้าซื่อ ตอบอย่างจริงจัง


    “ทั้งๆที่เป็นแฟนคลับผมเนี่ยนะ” 


    “ก็บอกแล้วไงว่ามันแสบตาอ่ะ” 


    “งั้นให้ผมเตือนความจำให้ดีมั้ย”ยุนโฮเลื่อนหน้ามาใกล้ๆพูดด้วยเสียงเซ็กซี่


    “อย่าทำอะไรบ้าๆนะ”แจจุงถอยหลังหนีเอามือไขว้ปิดหน้าอกตัวเอง


    “คุณนี่พูดจาเหมือนไม่ใช่แฟนคลับผมเลยนะ” ร่างสูงเริ่มทำหน้าไม่เชื่อ ก็ปกติถ้าเข้าทำท่าแบบนั้นใส่อ่ะนะ อย่าว่าแต่แฟนคลับเลยนะ สาวๆคนไหนก็หลงใหลได้ปลื้มกันทั้งนั้นแหละ


    “ก็ชั้นชอบแค่มือ..เอ้ย แค่ชอบผลงานการแสดงของยุนโฮเฉยๆ เรื่องอื่นไม่เกี่ยว” เกือบไปแล้วนะเนี่ย ดีว่ายั้งเอาไว้ทัน


    “จริงหรอ”


    “จริงๆ”


    “ไหนลองพูดสิ่งที่คุณรู้เกี่ยวกับผมมาสิ”


    “ด้ายยยย ส. บ. ย. ห. สบายมากอย่าห่วง”ร่างเล็กพูดยิ้มๆแล้วจึงเริ่มพูดต่อ


    “ยุนโฮมีผลงานเพลงรวมทั้งหมดเก้าอัลบั้ม ห้าอัลบั้มนั้นเป็นที่เกาหลี ที่เหลือเป็นที่ญี่ปุ่น ถ้าเป็นซิ้งเกิ้ล... รวมทั้งหมดแล้วก็...สอง สาม สี่..ห้า เอ่อ สิบสี่ซิ้งเกิ้ล  แปดซิงเกิ้ลจากสิบสี่เป็นของที่กาหลี ยุนโฮชอบกินกิมจิชิแก กีฬาที่ถนัดคือ ฮับกิโด มีจูบแรกตอนที่กำลังจะเลิกกัน ตอนม.ต้น สเปคคือ จอ จี ฮุน ในเรื่องmy sassy girl ส่วนสูง 183 น้ำหนัก 66 ขนาดเอว..26. ช่วงอก.83..ไซต์รองเท้า.15.. บ้านเกิดคือกวางจู จอลลาโด พ่อแม่ชื่อ...”


    “โอเค พอแล้วๆ ผมเชื่อแล้วว่าคุณเป็นคลับผมจริงๆ”ยุนโฮพูดอย่างอึ้งๆ ก็รู้อ่ะนะ ว่าแฟนคลับบางคนรู้ลึกกว่านี้อีก แต่ว่าถ้าจะให้พูดหมดวันนี้ท่าทางจะไม่จบแน่ๆ  ส่วนแจจุงตอนนี้กำลังยิ้มอย่างมีความสุข ก็คนเป็นแฟนคลับนี่หน่า ได้เห็นนักร้องคนโปรดอยู่ตรงหน้าก็ต้องดีใจเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ยิ่งได้พูดถึงสิ่งที่ตัวเองสนใจด้วยนะ ยิ่งแล้วใหญ่เลย


    ร่างเล็กเอื้อมมือไปหยิบน้ำส้มมากินเพราะคอแห้ง เมื่อกี้ใช้พลังงานไปเยอะจริงๆ เสียน้ำในร่างกายไปมากทีเดียว


    “อ้า ชื่นใจ”ร่างเล็กพูดแล้ววางแก้วน้ำส้มลงบนโต๊ะ


    “ว่าแต่ยุนโฮ...”


    “ว่ายังไง” ร่างสูงหันมามอง ตอนนี้เสียงของแจจุงเศร้าไปอีกแล้ว เมื่อกี้ยังเบิกบานอยู่เลย เปลี่ยนอารมณ์เร็วจริงๆ


    “เรื่องนั้นอ่ะ..ยุนโฮ ห้ามบอกพี่ชีวอนเด็ดขาดเลยนะ” 


    “คุณไม่อยากให้ผมบอกขนาดนั้นเลยหรอ” ร่างสูงถามอย่างเจ้าเล่ห์รู้สึกว่าตัวเองเป็นต่อ


    “อืม”


    “งั้นก็ได้ แต่ต้องมีข้อแม้นะ”


    “อะไรอ่ะ”


    “มาคอนเสิร์ตของผม วันมะรืนนี้”


    “หา.. แต่ว่าถ้าคุณพ่อรู้ชั้นต้องโดนฆ่าแน่ๆเลยนะ” ร่างเล็กบอกทำหน้าเป็นกังวล คุณพ่อของเขาถึงจะเป็นคนที่รักครอบครัว แต่ว่าก็เด็ดขาด พูดคำไหนคำนั้น เรื่องดารา นักร้องนี่ท่านไม่ชอบให้มายุ่งเกี่ยวเป็นเรื่องส่วนตัวเลย ขนาดว่านักร้องในค่ายเพลงตัวเองก็ยังไม่เว้น แล้วจะมาอะไรกับนักร้องจากค่ายคู่แข่งอย่างยุนโฮเล่า


    “แล้วทีมาเจอผมวันนี้ไม่เป็นไรรึไง”


    “ก็อันนี้ชั้นไม่รู้มาก่อนหนิ”


    “งั้นก็ถือซะว่าคุณไม่รู้เรื่องแล้วมาที่คอนเสิร์ตละกัน”ร่างสูงพูดทิ้งท้ายเอาไว้พร้อมกับเอาตั๋ว VIP  วางลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นเดิน


    “ยุนโฮ เดี๋ยว...”


    “บายๆ เจอกันที่คอนเสิร์ตนะ คนสวย”ร่างสูงพูดโดยที่ไม่ได้หันมามอง เพียงแต่โบกมือให้แล้วเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงไป


    ----------------------------------------------------


    เช้าตรู่ของวันใหม่ ริคกี้วิ่งออกมาที่หน้าบ้านพร้อมกับกระเป๋านักเรียน ส่วนมินโฮนั้นเดินตามมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย พวกเขาพึ่งจะทานข้าวเสร็จ แม่บ้านก็เดินมาบอกว่ารถที่จะพาไปโรงเรียนนั้นมารออยู่ที่หน้าบ้านแล้ว วันนี้เป็นวันแรกของการไปโรงเรียน ริคกี้ดูจะตื่นเต้นเหลือเกิน ร่างเล็กวิ่งออกมาจนถึงบันไดหน้าบ้าน แล้วก็ต้องทำหน้าผิดหวังเล็กน้อยเมื่อพบว่าคนที่จะไปส่งวันนี้ไม่ใช่ชางมิน
    “สวัสดีครับ คุณหนู” คนขับรถชายพูดพร้อมกับก้มหัวให้ริคกี้
    “เอ่อ สวัสดีครับ” ร่างเล็กตอบอย่างเกร็งๆรู้สึกแปลกๆที่มีคนมาทำความเคารพซะเต็มยศขนาดนี้
    “แล้ว ทำไมวันนี้คุณชางมินไม่มาหล่ะครับ” 
    “คุณชางมินติดธุระที่ค่ายเพลงหน่ะครับ เห็นว่าจะมีการออร์ดิชั่นกันวันนี้”
    “อ๋อ งั้นหรอครับ”ร่างเล็กทำท่าจ๋อยๆไปเล็กน้อยก่อนจะเดินขึ้นรถไป เขาอยากจะเจอชางมินหนิหน่า
    คนขับรถหันไปก้มหัวให้มินโฮเล็กน้อย ร่างบางจึงเคารพตอบกลับแล้วตามขึ้นไปนั่งในรถข้างๆริคกี้ 
    ผ่านไปเพียงไม่นานเท่าไหร่พวกเขาก็มาถึงโรงเรียน เวลาตอนเช้าอย่างนี้ บริเวณหน้าโรงเรียนนั้นดูวุ่นวายด้วยผู้คน ทั้งผู้ปกครองที่มาส่งลูกหลานและก็นักเรียนที่เดินขวักไขว่ไปมา 
    รถเบนซ์สีดำออกน้ำเงินจอดลงที่หน้าประตูโรงเรียน ริคกี้ก้าวลงมาด้วยใบหน้ายิ้มสดใส เขารู้สึกตื่นเต้นจริงๆ ส่วนมินโฮที่ตามหลังมานั้นหันไปขอบคุณคนขับรถแล้วเดินมายืนข้างๆริคกี้
    “เราเข้าไปข้างในกันเถอะมินโฮ” ริคกี้พูดคว้ามือเพื่อนรักวิ่งเข้าไปข้างใน ทั้งสองทำความเคารพอาจารย์ที่ยืนต้อนรับอยู่หน้าประตูแล้วก็เดินไปบนทางเดินกว้างที่เชื่อมไปหาตึกต่างๆ 
    “คนเยอะจังเลยเนอะ แต่ว่าทำไมทุกคนแต่งตัวกันซะดีเชียว”ริคกี้พูดพร้อมด้วยใบหน้าที่สลดลงไปนิดหน่อย เขาใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนต์ธรรมดามาเอง ทางโรงเรียนนี้อนุญาตให้ใส่ชุดธรรมดามาได้ ก็อย่างว่าแหละนะโรงเรียนนี้เป็นของพวกคุณหนูหนิหน่า จะไปตั้งกฎอะไรมากก็ไม่ได้หรอก 
      มินโฮไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาไม่ค่อยสนเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว มินโฮเดินนำหน้าริคกี้ไปที่อาคารอำนวยการที่เขามาทำข้อสอบเมื่อวานนี้ 
    อาจารย์สาวคนเดิมเดินออกมาต้อนรับ ก่อนจะนำทางไปส่งที่ห้องของแต่ละคน ทั้งสองคนโดยจับแยกชั้นกันเพราะว่าริคกี้นั้นสอบได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่จะอยู่ชั้นปีสาม ร่างเล็กเลยต้องไปเรียนรวมกับนักเรียนชั้นปีหนึ่ง 
    อาจารย์เดินไปส่งมินโฮที่ห้องของนักเรียนชั้นปีสามก่อน แล้วค่อยพาริคกี้มาฝากที่ห้องปีหนึ่ง 
    ตอนที่ริคกี้เดินไปถึงห้องนั้นเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังโฮมรูมกันอยู่พอดี อาจารย์ประจำชั้นเดินมาต้อนรับริคกี้ด้วยรอยยิ้ม ทุกสายตาภายในห้องหันมามองที่ริคกี้เป็นตาเดียว ร่างเล็กแนะนำตัวเองอย่างตะกุกตะกัก ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะตามที่อาจารย์จัดให้ 
    เขาได้นั่งคนเดียวแถวๆบริเวณหลังห้อง ริคกี้รู้สึกเหมือนกับว่ามีคนคอยมองเขาอยู่ตลอดเวลา จากทั่วทั้งห้อง ร่างเล็กเกร็งไปหมดจนพูดอะไรกับใครไม่ออก คนที่นั่งข้างหน้าก็ไม่หันมาทักเขาด้วยซ้ำไป ทุกคนในห้องเขาแต่งตัวกันอย่างดีหมดทุกคน 
    หลังจากที่คาบโฮมรูมจบลง อาจารย์ประจำชั้นเดินออกไปแล้วจึงทำให้มีเสียงนักเรียนคุยกันดังไปทั่วห้อง
    ริคกี้นั่งเงียบอยู่คนเดียว เขาไม่รู้จะทำอะไรและไม่กล้าคุยกับใครเลยหยิบกระดาษออกมาวาดรูปเล่น
    “นี่ๆเมื่อวานนี้ชั้นได้ยินจากอาจารย์ที่ตึกอำนวยการว่าเป็นลูกเจ้าพ่อปาร์คแหละ”หญิงสาวที่นั่งเยื้องออกไปพยายามกระซิบกับเพื่อน
    “ใช่หรอ เจ้าพ่อปาร์คมีลูกแค่สองคนหนิ”
    “เขาว่ากันว่าเป็นลูกเมียน้อย ไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาตั้งหลายปีพึ่งจะเจอตัวนี่แหละ”
    “ถึงได้มีสภาพแบบนี้ไง ดูแต่งตัวเข้าสิ”
    “นี่ก็เห็นว่าซ้ำชั้นด้วยนะ”
    “จริงหรอ” 
    สายตาเหยียดหยามถูกส่งมาหาริคกี้ ร่างเล็กที่ได้ยินการสนทนาทั้งหมดรู้สึกทนไม่ไหวต้องเดินกำมือออกไปจากห้อง ท่าทางพวกนั้นเหมือนจะอยากให้เขาได้ยินด้วยซ้ำไป นี่เขาจะต้องทนแบบนี้ไปทั้งวันหรอเนี่ย ไม่ใช่สิ ทั้งปีเลยต่างหาก
    --------------------------------
    ช่วงเวลาพักกกลางวัน โรงอาหารของโรงเรียนอัดแน่นไปด้วยพูดคน โต๊ะอาหารที่ตั้งอยู่กลางสวนดอกไม้รายเรียงเต็มสนาม นักเรียกทุกคนจะได้รับคูปองเพื่อนำไปรับอาหาร จากนั้นจึงแยกย้ายไปนั่งตามใจตัวเองตามมุมสวน ซึ่งโดยมากแล้วแต่ละคนก็จะมีที่ประจำเป็นของตัวเอง
    ริคกี้ยืนถือถาดอาหารแล้วมองหามินโฮ พวกเขานัดกันเอาไว้แล้วว่าพักกลางวันแล้วจะมานั่งด้วยกัน  แต่ไม่รู้ว่ามินโฮจะหาเขาเจอรึเปล่า
    ร่างเล็กยืนรออยู่พักหนึ่งก็เห็นมินโฮเดินถือถาดข้าวมาแต่ไกล ริคกี้รีบโบกมือให้เพื่อนรักทันที ทั้งสองหาที่นั่งเป็นมุมที่ห่างไกลจากผู้คนที่สุด 
    “ห้องของมินโฮเป็นยังไงบ้าง” ริคกี้หันหน้าไปถามขณะเขี่ยข้าวในจานไปมา
    “ก็ดีนะ ทุกคนดูตั้งใจเรียนดี”ที่ห้องของเขาไม่ค่อยมีใครสนใจใครเท่าไหร่ เพราะว่าต้องเตรียมตัวเข้ามหาลัยกันแล้ว อีกอย่างมินโฮเองก็ชินกับการอยู่คนเดียวอยู่แล้ว
    “งั้นหรอ”ริคกี้ตอบทำหน้าเศร้าๆไป 
    “ แล้วริคกี้หล่ะ”มินโฮหันหน้าไปถามรู้สึกว่าริคกี้เหมือนมีอะไรบางอย่างในใจ  
    “มินโฮ ทุกคนที่นี่ น่ากลัวจัง ไม่มีใครชอบชั้นเลย” ร่างเล็กหันไปพูดกับมินโฮน้ำตาคลอ เล่นทำเอามินโฮตกใจรีบหันมามองด้วยความสงสัย ปกติแล้วริคกี้เป็นคนร่าเริง จิตใจดี น่าจะเข้ากับคนได้ง่าย ตอนอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าก็มีเพื่อนเต็มไปหมด แล้วทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้
    “พวกเขารังเกียจ ที่ชั้นมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า”ริคกี้สะอื้นแล้วโผลเข้าไปกอดมินโฮ วันนี้เขารู้สึกแย่จริงๆ มันเหมือนกับวันที่เขาเคยโดนแม่ทิ้งไม่มีผิดเลย เขาเกลียดความรู้สึกที่ถูกคนผลักไสที่สุดเลย 
    “อย่าสนใจใครมากเลยนะริค ไม่มีใครจะทำให้เราเจ็บได้เท่าตัวเราเองหรอก ถ้าริคไม่คิดอะไร มันก็จบ”มินโฮลูบหัวเพื่อนเบาๆ เขารู้ดีว่าริคกี้เองก็มีบาดแผลทางจิตใจมามากมาย เด็กกำพร้าอย่างพวกเขา ไม่มีวันไหนที่นอนหลับอย่างสนิทใจหรอก เวลาเข้าไปอยู่ในสังคมผู้คนก็จะดูถูก 
    “มินโฮ....” ริคกี้กอดมินโฮแน่นรู้สึกไร้ที่พึ่ง เขาไม่รู้ว่าจะทนกับสังคมที่ทุกคนรังเกียจแบบนี้ได้อีกนานมั้ย 
    “กินข้าวเถอะ จะได้ยิ้มออกนะ”มินโฮพูดแล้วมองเพื่อนรักยิ้มๆ เวลากินข้าวเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดสำหรับพวกเขา เมื่อก่อนนี้ที่บ้านเด็กกำพร้าแค่มีอาหารอะไรอร่อยมาให้กิน ก็สร้างรอยยิ้มให้พวกเราได้แล้ว
    “อืม” ริคกี้พยักหน้าแล้วเช็ดน้ำตาออก พอร้องไห้ออกมาแล้วก็ค่อยรู้สึกดรขึ้นมาหน่อย เขายังโชคดีกว่าคนบนโลกอีกตั้งมากมาย ถึงคนในห้องจะไม่ชอบเขา แต่ยังไงเขาก็ยังมีมินโฮอยู่
    ---------------------------
    ภายในตึกสูงของค่ายเพลงขนาดใหญ่ ผู้สมัครที่มีความสามารถมากมายมายืนออลงทะเบียนกันเต็มไปหมด วันนี้จะเป็นวันที่พวกเขาจะได้แสดงความสามารถกันเต็มที่
     ห้องประชุมกว้างถูกจัดให้เป็นสถานที่ออดิชั่น คณะกรรมการซึ่งประกอบไปด้วย แจจุง ชีวอน ชางมินและคุณครูสอนร้องกับเต้นนั่งอยู่หลังโต๊ะสีขาวตัวยาวที่ตั้งอยู่ด้านในสุด
    เมื่อนาฬิกาบอกเวลาบ่ายสองตรงเผง เจ้าหน้าที่ก็เริ่มเรียกผู้สมัครเข้ามาทีละคน คณะกรรมการแต่ละคนนั้นตั้งใจถามคำถามและชมการแสดงกันอย่างเต็มที่ จะมีก็แต่แจจุงที่เอาแต่นั่งหาว เมื่อคืนนี้กว่าเขาจะถึงบ้านก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ถ้าบงกเวลาอาบน้ำไปอีกก็คงได้นอนตอนตีสองพอดี แถมวันนี้พี่ชีวอนก็มาลากตัวออกมาแต่เช้าอีก (เช้าของแจจุงคือเวลาเที่ยงตรง) 
    “คุณหนูครับ ตั้งใจหน่อยสิ” ชางมินกระซิบบอกเมื่อผู้สมัครคนที่แล้วออกไปแล้ว หน้าที่ของชางมินนอกจากจะเป็นบอร์ดี้การ์ดให้แจจุงแล้วก็ต้องช่วยดูแลค่ายเพลงด้วย เจ้าพ่อปาร์คนั้นไว้ใจเขามากเพราะว่าเขามาอยู่กับตระกูลนี้กับพ่อตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ
    “ก็ชั้นง่วงหนิ เมื่อคืนนี้กลับมาดึกอ่ะ” ร่างเล็กทำหน้าบึ้ง ในขณะที่ชางมินได้แต่ส่ายหน้ากับคุณหนูของตัวเอง เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ว่าจะนอนดึกหรือไม่ดึก ทุกครั้งที่แจจุงเข้าร่วมการตัดสิน ร่างเล็กจะง่วงทุกที นอกเสียจากว่าจะเจอคนมือสวยนะ
    “ฮ้าว” แจจุงหาวออกมาเสียงดัง ทำให้ชีวอนหันมามองยิ้มๆ
    “กรรมการทำไมง่วงซะแล้วหล่ะครับ” ร่างสูงใช้มือหนาลูบหัวอย่างเอ็นดู ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้อยากให้แจจุงมาช่วยที่ค่ายเพลง เรื่องพวกนี้เขาจัดการกับชางมินก็พอแล้ว คู่หมั้นแค่คนเดียวเขาเลี้ยงได้หรอก แต่เจ้าพ่อปาร์คหน่ะไม่ยอม คงเป็นธรรมดาของคนเป็นพ่อที่อยากให้ลูกตัวเองเก่ง
    “อือ พี่ชีวอน ขอซบไหล่หน่อยสิ” ร่างเล็กเริ่มอ้อนแล้วซบลงที่ไหล่กว้างทันที
    “ฮึๆ เด็กน้อยเอ๊ย”
    “จับมือด้วย”ร่างเล็กอ้อนต่อ 
    “ตื่นได้แล้วนะครับ สตาฟจะให้คนต่อไปเข้ามาแล้ว” ร่างสูงกระซิบบอกริมหูเล็กอย่างนิ่มนวล 
    “อือ ก็แจยังอยากนอนอยู่เลยนะ” ร่างเล็กงอแงเกาะแขนหนาเอาไว้แน่นไม่ยอมลืมตา
    “ สวัสดีครับ ผมคิม ฮีชอล”เสียงผู้สมัครคนใหม่ที่เดินเข้ามาพูดขึ้นทำให้ชีวอนเงยหน้าขึ้นมองทัน ส่วนแจจุงก็รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วจ้องมองร่างบางตรงหน้า
    “วันนี้ผมจะมาร้องเพลง Suishiให้ฟังครับ” ร่างบางตรงหน้าพูดก่อนจะเริ่มร้องเพลงด้วยเสียงที่ไพเราะและมีพลังราวกับเสียงจากสวรรค์ กรรมการทุกคนต่างก็มองร่างบางด้วยความชื่นชม ชีวอนนั้นจ้องมองด้วยสายตาเรียบเฉย ส่วนกรรมการที่แย่ที่สุดอย่างแจจุงก็ไม่พ้นนั่งจ้องมือเรียวงามของผู้เข้าสมัคร เท่าที่ดูมาคนนี้มือสวยที่สุดแล้วแหะ แบบนี้ค่อยตาสว่างหน่อย นึกว่าจะต้องนอนหลับคาโต๊ะซะแล้วสิ
    มือบางจับปากกาจรดเขียนลงบนกระดาษให้คะแนนว่าทำได้ดีมากหมดทุกอย่าง คนมือสวยๆแบบนี้คงต้องเก็บเอาไว้ซะแล้วสิ 
    แจจุงยิ้มแป้นหลังจากที่เขียนคะแนนเสร็จ ทั้งๆที่ยังชมการแสดงไม่เสร็จด้วยซ้ำ ชางมินเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วส่ายหัวออกมากับเจ้านายของตัวเอง  ไม่รู้ว่าเป็นผลดีหรือผลร้ายที่คุณชีวอนรักคุณหนูมากขนาดนี้ ก็เล่นตามใจซะจนเสียคนไปแล้วเนี่ย 
    --------------------
    การออดิชั่นจบลงในช่วงเย็นของวัน เจ้าหน้าที่รวบรวมใบให้คะแนนเอาไปประมวลผล ชางมินขอแยกตัวไปเก็บงานให้เรียบร้อย ส่วนแจจุงนั้นเดินไปเข้าห้องน้ำ ตอนนี้ชีวอนก็เลยได้แต่มายืนรออยู่ที่ด้านหน้า
    “เมื่อกี้ให้คะแนนชั้นดีรึเปล่า” เสียงหวานถามขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้ชีวอนหันกลับไปมอง
    “ชั้นบอกแล้วไงว่าไม่ให้นายมา”
    “ทำไมหล่ะ กลัวว่าเด็กนั่นจะรู้รึไง” มือบางเอื้อมมาจับที่คางของชีวอน
    “อย่าพูดถึงเขาแบบนั้น ชั้นไม่ชอบ” ร่างสูงพูดเสียงแข็ง ปัดมือบางออกจากใบหน้า
    “ ท่าทางว่าจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ งั้นชั้นไปหล่ะ”ร่างเล็กพูดพร้อมกับใบหน้าที่ไม่อาทรร้อนใจอะไร ริมฝีปากบางก้มลงจูบลงที่แก้มของชีวอนก่อนจะเดินจากไป
    ---------------
    เวลาหัวค่ำภายในบ้านของคุณชายปาร์ค ยูชอน ร่างสูงเดินลงมาที่ห้องครัวเพราะได้กลิ่นอาหารบางอย่างโชยขึ้นไปจนถึงชั้นบน พอเดินเข้ามาดูก็เห็นร่างเล็กของผู้ดูแลคนใหม่กำลังสาละวนอยู่หน้าเตา
    “ทำอะไรอยู่อ่ะ”
    “สปาเก็ตตี้ มีทบอลครับ คุณยูชอนชอบรึเปล่า” ร่างเล็กหันหน้ามาตอบพร้อมรอยยิ้ม ตอนนี้จุนซูอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนและหมวกสีแดงล้วนทำให้ดูแปลกตาออกไป
    “ก็กินได้แหละ”ยูชอนหันตอบทำท่าเป็นไม่สนใจ เดินผ่านร่างเล็กไปสำรวจอะไรทั่วๆ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของร่างบางทำเอาเขาทำอะไรไม่ถูกจริงๆ ก็ส่วนมากแล้วคนในบ้านจะกลัวเขา แค่จะมองบางทียังไม่กล้าด้วยซ้ำ เขาเป็นคนอารมณ์เสียง่าย และเวลานั้นก็จะน่ากลัวเอามากๆ
    ร่างสูงหันไปให้ความสนใจกับเจ้าก้อนเนื้อที่อยู่ในถาดฝอย กำลังจะเอื้อมือไปจับทว่า...
    “มันร้อนนะครับ”ร่างเล็กรีบหันมาห้ามทั้งๆที่ตัวเองกำลังผัดซอสอยู่ที่เตาอีกด้านนึง
    “ชั้นยังไม่ได้โดนเลย แค่ดูเฉยๆ”ร่างสูงตกใจ รีบพูดแก้ตัว
    “คุณยูชอนไปนั่งเถอะครับเดี๋ยวเสร็จแล้วผมจะเอาไปเสริฟให้”
    “ชั้นก็ไม่ได้อยากอยู่สักหน่อย แค่..จะมาบอกว่าให้จัดกระเป๋าด้วย”ยูชอนปัดไปพูดเรื่องอื่นแทน 
    “ครับ” ร่างเล็กรับคำจ้องมองใบหน้าคมแวบนึงแล้วก็หันไปตักเส้นขึ้นจากหม้อ
    “จะไม่ถามรึไงว่าชั้นจะพาไปไหน” 
    “เอ่อ แล้วคุณยูชอนจะพาไปไหนหล่ะครับ” ร่างเล็กหันมาถามหน้าซื่อ
    “ชั้นจะไปดูพื้นที่สร้างรีสอร์ทใหม่บนเขา จัดกระเป๋าให้ชั้นด้วยหล่ะ”
    “ครับ” ร่างเล็กตอบสั้นๆ หันไปชิมซอสในกระทะต่อ
    “นี่..”ยูชอนพูดเสียงแข็ง
    “ครับ?”จุนซูเงยหน้ามาถามอย่างงงๆ
    “แล้วรู้รึไงว่าจะต้องไปกี่วันแล้วชั้นจะให้เอาอะไรไปบ้าง”เขาชักจะโมโหซะแล้วสิ
    “ก็..แล้วยังไงหล่ะครับ คุณยูชอนก็บอกผมมาสิครับ” ร่างเล็กยังคงใจเย็นหันมายิ้มให้ยูชอน
    “ชั้นไม่บอกแล้ว ถ้าเก่งมากก็ไปจัดเองล่ะกัน” ร่างสูงพูดเสียงดังก่อนจะเดินหัวเสียออกไปทันที ท่าทีแบบนั้นทำให้ร่างเล็กได้แต่มองตามออกไปอย่างงงๆ แล้วจึงขำออกมา
    ------------------------
    เช้าตรู่ของวันใหม่ ริคกี้วิ่งออกมาที่หน้าบ้านพร้อมกับกระเป๋านักเรียน ส่วนมินโฮนั้นเดินตามมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย พวกเขาพึ่งจะทานข้าวเสร็จ แม่บ้านก็เดินมาบอกว่ารถที่จะพาไปโรงเรียนนั้นมารออยู่ที่หน้าบ้านแล้ว วันนี้เป็นวันแรกของการไปโรงเรียน ริคกี้ดูจะตื่นเต้นเหลือเกิน ร่างเล็กวิ่งออกมาจนถึงบันไดหน้าบ้าน แล้วก็ต้องทำหน้าผิดหวังเล็กน้อยเมื่อพบว่าคนที่จะไปส่งวันนี้ไม่ใช่ชางมิน

    “สวัสดีครับ คุณหนู” คนขับรถชายพูดพร้อมกับก้มหัวให้ริคกี้

    “เอ่อ สวัสดีครับ” ร่างเล็กตอบอย่างเกร็งๆรู้สึกแปลกๆที่มีคนมาทำความเคารพซะเต็มยศขนาดนี้

    “แล้ว ทำไมวันนี้คุณชางมินไม่มาหล่ะครับ” 

    “คุณชางมินติดธุระที่ค่ายเพลงหน่ะครับ เห็นว่าจะมีการออร์ดิชั่นกันวันนี้”

    “อ๋อ งั้นหรอครับ”ร่างเล็กทำท่าจ๋อยๆไปเล็กน้อยก่อนจะเดินขึ้นรถไป เขาอยากจะเจอชางมินหนิหน่า

    คนขับรถหันไปก้มหัวให้มินโฮเล็กน้อย ร่างบางจึงเคารพตอบกลับแล้วตามขึ้นไปนั่งในรถข้างๆริคกี้ 

    ผ่านไปเพียงไม่นานเท่าไหร่พวกเขาก็มาถึงโรงเรียน เวลาตอนเช้าอย่างนี้ บริเวณหน้าโรงเรียนนั้นดูวุ่นวายด้วยผู้คน ทั้งผู้ปกครองที่มาส่งลูกหลานและก็นักเรียนที่เดินขวักไขว่ไปมา 

    รถเบนซ์สีดำออกน้ำเงินจอดลงที่หน้าประตูโรงเรียน ริคกี้ก้าวลงมาด้วยใบหน้ายิ้มสดใส เขารู้สึกตื่นเต้นจริงๆ ส่วนมินโฮที่ตามหลังมานั้นหันไปขอบคุณคนขับรถแล้วเดินมายืนข้างๆริคกี้

    “เราเข้าไปข้างในกันเถอะมินโฮ” ริคกี้พูดคว้ามือเพื่อนรักวิ่งเข้าไปข้างใน ทั้งสองทำความเคารพอาจารย์ที่ยืนต้อนรับอยู่หน้าประตูแล้วก็เดินไปบนทางเดินกว้างที่เชื่อมไปหาตึกต่างๆ 

    “คนเยอะจังเลยเนอะ แต่ว่าทำไมทุกคนแต่งตัวกันซะดีเชียว”ริคกี้พูดพร้อมด้วยใบหน้าที่สลดลงไปนิดหน่อย เขาใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนต์ธรรมดามาเอง ทางโรงเรียนนี้อนุญาตให้ใส่ชุดธรรมดามาได้ ก็อย่างว่าแหละนะโรงเรียนนี้เป็นของพวกคุณหนูหนิหน่า จะไปตั้งกฎอะไรมากก็ไม่ได้หรอก 

      มินโฮไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาไม่ค่อยสนเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว มินโฮเดินนำหน้าริคกี้ไปที่อาคารอำนวยการที่เขามาทำข้อสอบเมื่อวานนี้ 

    อาจารย์สาวคนเดิมเดินออกมาต้อนรับ ก่อนจะนำทางไปส่งที่ห้องของแต่ละคน ทั้งสองคนโดยจับแยกชั้นกันเพราะว่าริคกี้นั้นสอบได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่จะอยู่ชั้นปีสาม ร่างเล็กเลยต้องไปเรียนรวมกับนักเรียนชั้นปีหนึ่ง 


    อาจารย์เดินไปส่งมินโฮที่ห้องของนักเรียนชั้นปีสามก่อน แล้วค่อยพาริคกี้มาฝากที่ห้องปีหนึ่ง

     
    ตอนที่ริคกี้เดินไปถึงห้องนั้นเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังโฮมรูมกันอยู่พอดี อาจารย์ประจำชั้นเดินมาต้อนรับริคกี้ด้วยรอยยิ้ม ทุกสายตาภายในห้องหันมามองที่ริคกี้เป็นตาเดียว ร่างเล็กแนะนำตัวเองอย่างตะกุกตะกัก ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะตามที่อาจารย์จัดให้ 

    เขาได้นั่งคนเดียวแถวๆบริเวณหลังห้อง ริคกี้รู้สึกเหมือนกับว่ามีคนคอยมองเขาอยู่ตลอดเวลา จากทั่วทั้งห้อง ร่างเล็กเกร็งไปหมดจนพูดอะไรกับใครไม่ออก คนที่นั่งข้างหน้าก็ไม่หันมาทักเขาด้วยซ้ำไป ทุกคนในห้องเขาแต่งตัวกันอย่างดีหมดทุกคน 

    หลังจากที่คาบโฮมรูมจบลง อาจารย์ประจำชั้นเดินออกไปแล้วจึงทำให้มีเสียงนักเรียนคุยกันดังไปทั่วห้อง

    ริคกี้นั่งเงียบอยู่คนเดียว เขาไม่รู้จะทำอะไรและไม่กล้าคุยกับใครเลยหยิบกระดาษออกมาวาดรูปเล่น

    “นี่ๆเมื่อวานนี้ชั้นได้ยินจากอาจารย์ที่ตึกอำนวยการว่าเป็นลูกเจ้าพ่อปาร์คแหละ”หญิงสาวที่นั่งเยื้องออกไปพยายามกระซิบกับเพื่อน

    “ใช่หรอ เจ้าพ่อปาร์คมีลูกแค่สองคนหนิ”

    “เขาว่ากันว่าเป็นลูกเมียน้อย ไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาตั้งหลายปีพึ่งจะเจอตัวนี่แหละ”

    “ถึงได้มีสภาพแบบนี้ไง ดูแต่งตัวเข้าสิ”

    “นี่ก็เห็นว่าซ้ำชั้นด้วยนะ”

    “จริงหรอ” 

    สายตาเหยียดหยามถูกส่งมาหาริคกี้ ร่างเล็กที่ได้ยินการสนทนาทั้งหมดรู้สึกทนไม่ไหวต้องเดินกำมือออกไปจากห้อง ท่าทางพวกนั้นเหมือนจะอยากให้เขาได้ยินด้วยซ้ำไป นี่เขาจะต้องทนแบบนี้ไปทั้งวันหรอเนี่ย ไม่ใช่สิ ทั้งปีเลยต่างหาก

    --------------------------------

    ช่วงเวลาพักกกลางวัน โรงอาหารของโรงเรียนอัดแน่นไปด้วยพูดคน โต๊ะอาหารที่ตั้งอยู่กลางสวนดอกไม้รายเรียงเต็มสนาม นักเรียกทุกคนจะได้รับคูปองเพื่อนำไปรับอาหาร จากนั้นจึงแยกย้ายไปนั่งตามใจตัวเองตามมุมสวน ซึ่งโดยมากแล้วแต่ละคนก็จะมีที่ประจำเป็นของตัวเอง

    ริคกี้ยืนถือถาดอาหารแล้วมองหามินโฮ พวกเขานัดกันเอาไว้แล้วว่าพักกลางวันแล้วจะมานั่งด้วยกัน  แต่ไม่รู้ว่ามินโฮจะหาเขาเจอรึเปล่า
    ร่างเล็กยืนรออยู่พักหนึ่งก็เห็นมินโฮเดินถือถาดข้าวมาแต่ไกล ริคกี้รีบโบกมือให้เพื่อนรักทันที ทั้งสองหาที่นั่งเป็นมุมที่ห่างไกลจากผู้คนที่สุด 

    “ห้องของมินโฮเป็นยังไงบ้าง” ริคกี้หันหน้าไปถามขณะเขี่ยข้าวในจานไปมา

    “ก็ดีนะ ทุกคนดูตั้งใจเรียนดี”ที่ห้องของเขาไม่ค่อยมีใครสนใจใครเท่าไหร่ เพราะว่าต้องเตรียมตัวเข้ามหาลัยกันแล้ว อีกอย่างมินโฮเองก็ชินกับการอยู่คนเดียวอยู่แล้ว


    “งั้นหรอ”ริคกี้ตอบทำหน้าเศร้าๆไป 

    “ แล้วริคกี้หล่ะ”มินโฮหันหน้าไปถามรู้สึกว่าริคกี้เหมือนมีอะไรบางอย่างในใจ  

    “มินโฮ ทุกคนที่นี่ น่ากลัวจัง ไม่มีใครชอบชั้นเลย” ร่างเล็กหันไปพูดกับมินโฮน้ำตาคลอ เล่นทำเอามินโฮตกใจรีบหันมามองด้วยความสงสัย ปกติแล้วริคกี้เป็นคนร่าเริง จิตใจดี น่าจะเข้ากับคนได้ง่าย ตอนอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าก็มีเพื่อนเต็มไปหมด แล้วทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้


    “พวกเขารังเกียจ ที่ชั้นมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า”ริคกี้สะอื้นแล้วโผลเข้าไปกอดมินโฮ วันนี้เขารู้สึกแย่จริงๆ มันเหมือนกับวันที่เขาเคยโดนแม่ทิ้งไม่มีผิดเลย เขาเกลียดความรู้สึกที่ถูกคนผลักไสที่สุดเลย 

    “อย่าสนใจใครมากเลยนะริค ไม่มีใครจะทำให้เราเจ็บได้เท่าตัวเราเองหรอก ถ้าริคไม่คิดอะไร มันก็จบ”มินโฮลูบหัวเพื่อนเบาๆ เขารู้ดีว่าริคกี้เองก็มีบาดแผลทางจิตใจมามากมาย เด็กกำพร้าอย่างพวกเขา ไม่มีวันไหนที่นอนหลับอย่างสนิทใจหรอก เวลาเข้าไปอยู่ในสังคมผู้คนก็จะดูถูก 

    “มินโฮ....” ริคกี้กอดมินโฮแน่นรู้สึกไร้ที่พึ่ง เขาไม่รู้ว่าจะทนกับสังคมที่ทุกคนรังเกียจแบบนี้ได้อีกนานมั้ย 

    “กินข้าวเถอะ จะได้ยิ้มออกนะ”มินโฮพูดแล้วมองเพื่อนรักยิ้มๆ เวลากินข้าวเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดสำหรับพวกเขา เมื่อก่อนนี้ที่บ้านเด็กกำพร้าแค่มีอาหารอะไรอร่อยมาให้กิน ก็สร้างรอยยิ้มให้พวกเราได้แล้ว

    “อืม” ริคกี้พยักหน้าแล้วเช็ดน้ำตาออก พอร้องไห้ออกมาแล้วก็ค่อยรู้สึกดรขึ้นมาหน่อย เขายังโชคดีกว่าคนบนโลกอีกตั้งมากมาย ถึงคนในห้องจะไม่ชอบเขา แต่ยังไงเขาก็ยังมีมินโฮอยู่

    ---------------------------

    ภายในตึกสูงของค่ายเพลงขนาดใหญ่ ผู้สมัครที่มีความสามารถมากมายมายืนออลงทะเบียนกันเต็มไปหมด วันนี้จะเป็นวันที่พวกเขาจะได้แสดงความสามารถกันเต็มที่


     ห้องประชุมกว้างถูกจัดให้เป็นสถานที่ออดิชั่น คณะกรรมการซึ่งประกอบไปด้วย แจจุง ชีวอน ชางมินและคุณครูสอนร้องกับเต้นนั่งอยู่หลังโต๊ะสีขาวตัวยาวที่ตั้งอยู่ด้านในสุด

    เมื่อนาฬิกาบอกเวลาบ่ายสองตรงเผง เจ้าหน้าที่ก็เริ่มเรียกผู้สมัครเข้ามาทีละคน คณะกรรมการแต่ละคนนั้นตั้งใจถามคำถามและชมการแสดงกันอย่างเต็มที่ จะมีก็แต่แจจุงที่เอาแต่นั่งหาว เมื่อคืนนี้กว่าเขาจะถึงบ้านก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ถ้าบงกเวลาอาบน้ำไปอีกก็คงได้นอนตอนตีสองพอดี แถมวันนี้พี่ชีวอนก็มาลากตัวออกมาแต่เช้าอีก (เช้าของแจจุงคือเวลาเที่ยงตรง) 

    “คุณหนูครับ ตั้งใจหน่อยสิ” ชางมินกระซิบบอกเมื่อผู้สมัครคนที่แล้วออกไปแล้ว หน้าที่ของชางมินนอกจากจะเป็นบอร์ดี้การ์ดให้แจจุงแล้วก็ต้องช่วยดูแลค่ายเพลงด้วย เจ้าพ่อปาร์คนั้นไว้ใจเขามากเพราะว่าเขามาอยู่กับตระกูลนี้กับพ่อตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ

    “ก็ชั้นง่วงหนิ เมื่อคืนนี้กลับมาดึกอ่ะ” ร่างเล็กทำหน้าบึ้ง ในขณะที่ชางมินได้แต่ส่ายหน้ากับคุณหนูของตัวเอง เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ว่าจะนอนดึกหรือไม่ดึก ทุกครั้งที่แจจุงเข้าร่วมการตัดสิน ร่างเล็กจะง่วงทุกที นอกเสียจากว่าจะเจอคนมือสวยนะ

    “ฮ้าว” แจจุงหาวออกมาเสียงดัง ทำให้ชีวอนหันมามองยิ้มๆ

    “กรรมการทำไมง่วงซะแล้วหล่ะครับ” ร่างสูงใช้มือหนาลูบหัวอย่างเอ็นดู ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้อยากให้แจจุงมาช่วยที่ค่ายเพลง เรื่องพวกนี้เขาจัดการกับชางมินก็พอแล้ว คู่หมั้นแค่คนเดียวเขาเลี้ยงได้หรอก แต่เจ้าพ่อปาร์คหน่ะไม่ยอม คงเป็นธรรมดาของคนเป็นพ่อที่อยากให้ลูกตัวเองเก่ง

    “อือ พี่ชีวอน ขอซบไหล่หน่อยสิ” ร่างเล็กเริ่มอ้อนแล้วซบลงที่ไหล่กว้างทันที

    “ฮึๆ เด็กน้อยเอ๊ย”

    “จับมือด้วย”ร่างเล็กอ้อนต่อ 

    “ตื่นได้แล้วนะครับ สตาฟจะให้คนต่อไปเข้ามาแล้ว” ร่างสูงกระซิบบอกริมหูเล็กอย่างนิ่มนวล 

    “อือ ก็แจยังอยากนอนอยู่เลยนะ” ร่างเล็กงอแงเกาะแขนหนาเอาไว้แน่นไม่ยอมลืมตา

    “ สวัสดีครับ ผมคิม ฮีชอล”เสียงผู้สมัครคนใหม่ที่เดินเข้ามาพูดขึ้นทำให้ชีวอนเงยหน้าขึ้นมองทัน ส่วนแจจุงก็รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วจ้องมองร่างบางตรงหน้า

    “วันนี้ผมจะมาร้องเพลง Suishiให้ฟังครับ” ร่างบางตรงหน้าพูดก่อนจะเริ่มร้องเพลงด้วยเสียงที่ไพเราะและมีพลังราวกับเสียงจากสวรรค์ กรรมการทุกคนต่างก็มองร่างบางด้วยความชื่นชม

    ชีวอนนั้นจ้องมองด้วยสายตาเรียบเฉย ส่วนกรรมการที่แย่ที่สุดอย่างแจจุงก็ไม่พ้นนั่งจ้องมือเรียวงามของผู้เข้าสมัคร เท่าที่ดูมาคนนี้มือสวยที่สุดแล้วแหะ แบบนี้ค่อยตาสว่างหน่อย นึกว่าจะต้องนอนหลับคาโต๊ะซะแล้วสิ

    มือบางจับปากกาจรดเขียนลงบนกระดาษให้คะแนนว่าทำได้ดีมากหมดทุกอย่าง คนมือสวยๆแบบนี้คงต้องเก็บเอาไว้ซะแล้วสิ 

    แจจุงยิ้มแป้นหลังจากที่เขียนคะแนนเสร็จ ทั้งๆที่ยังชมการแสดงไม่เสร็จด้วยซ้ำ ชางมินเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วส่ายหัวออกมากับเจ้านายของตัวเอง  ไม่รู้ว่าเป็นผลดีหรือผลร้ายที่คุณชีวอนรักคุณหนูมากขนาดนี้ ก็เล่นตามใจซะจนเสียคนไปแล้วเนี่ย 


    --------------------

    การออดิชั่นจบลงในช่วงเย็นของวัน เจ้าหน้าที่รวบรวมใบให้คะแนนเอาไปประมวลผล ชางมินขอแยกตัวไปเก็บงานให้เรียบร้อย ส่วนแจจุงนั้นเดินไปเข้าห้องน้ำ ตอนนี้ชีวอนก็เลยได้แต่มายืนรออยู่ที่ด้านหน้า

    “เมื่อกี้ให้คะแนนชั้นดีรึเปล่า” เสียงหวานถามขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้ชีวอนหันกลับไปมอง

    “ชั้นบอกแล้วไงว่าไม่ให้นายมา”

    “ทำไมหล่ะ กลัวว่าเด็กนั่นจะรู้รึไง” มือบางเอื้อมมาจับที่คางของชีวอน

    “อย่าพูดถึงเขาแบบนั้น ชั้นไม่ชอบ” ร่างสูงพูดเสียงแข็ง ปัดมือบางออกจากใบหน้า

    “ ท่าทางว่าจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ งั้นชั้นไปหล่ะ”ร่างเล็กพูดพร้อมกับใบหน้าที่ไม่อาทรร้อนใจอะไร ริมฝีปากบางก้มลงจูบลงที่แก้มของชีวอนก่อนจะเดินจากไป

    ---------------

    เวลาหัวค่ำภายในบ้านของคุณชายปาร์ค ยูชอน ร่างสูงเดินลงมาที่ห้องครัวเพราะได้กลิ่นอาหารบางอย่างโชยขึ้นไปจนถึงชั้นบน พอเดินเข้ามาดูก็เห็นร่างเล็กของผู้ดูแลคนใหม่กำลังสาละวนอยู่หน้าเตา


    “ทำอะไรอยู่อ่ะ”

    “สปาเก็ตตี้ มีทบอลครับ คุณยูชอนชอบรึเปล่า” ร่างเล็กหันหน้ามาตอบพร้อมรอยยิ้ม ตอนนี้จุนซูอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนและหมวกสีแดงล้วนทำให้ดูแปลกตาออกไป

    “ก็กินได้แหละ”ยูชอนหันตอบทำท่าเป็นไม่สนใจ เดินผ่านร่างเล็กไปสำรวจอะไรทั่วๆ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของร่างบางทำเอาเขาทำอะไรไม่ถูกจริงๆ ก็ส่วนมากแล้วคนในบ้านจะกลัวเขา แค่จะมองบางทียังไม่กล้าด้วยซ้ำ เขาเป็นคนอารมณ์เสียง่าย และเวลานั้นก็จะน่ากลัวเอามากๆ

    ร่างสูงหันไปให้ความสนใจกับเจ้าก้อนเนื้อที่อยู่ในถาดฝอย กำลังจะเอื้อมือไปจับทว่า...

    “มันร้อนนะครับ”ร่างเล็กรีบหันมาห้ามทั้งๆที่ตัวเองกำลังผัดซอสอยู่ที่เตาอีกด้านนึง

    “ชั้นยังไม่ได้โดนเลย แค่ดูเฉยๆ”ร่างสูงตกใจ รีบพูดแก้ตัว

    “คุณยูชอนไปนั่งเถอะครับเดี๋ยวเสร็จแล้วผมจะเอาไปเสริฟให้”

    “ชั้นก็ไม่ได้อยากอยู่สักหน่อย แค่..จะมาบอกว่าให้จัดกระเป๋าด้วย”ยูชอนปัดไปพูดเรื่องอื่นแทน 

    “ครับ” ร่างเล็กรับคำจ้องมองใบหน้าคมแวบนึงแล้วก็หันไปตักเส้นขึ้นจากหม้อ

    “จะไม่ถามรึไงว่าชั้นจะพาไปไหน” 

    “เอ่อ แล้วคุณยูชอนจะพาไปไหนหล่ะครับ” ร่างเล็กหันมาถามหน้าซื่อ

    “ชั้นจะไปดูพื้นที่สร้างรีสอร์ทใหม่บนเขา จัดกระเป๋าให้ชั้นด้วยหล่ะ”

    “ครับ” ร่างเล็กตอบสั้นๆ หันไปชิมซอสในกระทะต่อ

    “นี่..”ยูชอนพูดเสียงแข็ง

    “ครับ?”จุนซูเงยหน้ามาถามอย่างงงๆ

    “แล้วรู้รึไงว่าจะต้องไปกี่วันแล้วชั้นจะให้เอาอะไรไปบ้าง”เขาชักจะโมโหซะแล้วสิ

    “ก็..แล้วยังไงหล่ะครับ คุณยูชอนก็บอกผมมาสิครับ” ร่างเล็กยังคงใจเย็นหันมายิ้มให้ยูชอน

    “ชั้นไม่บอกแล้ว ถ้าเก่งมากก็ไปจัดเองล่ะกัน” ร่างสูงพูดเสียงดังก่อนจะเดินหัวเสียออกไปทันที ท่าทีแบบนั้นทำให้ร่างเล็กได้แต่มองตามออกไปอย่างงงๆ แล้วจึงขำออกมา

    ------------------------
    ๐๐๐
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×