ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {infinite★fanfic} 2014 Some Summer PJ´ ; all for Sungyeol

    ลำดับตอนที่ #1 : Italian Soda; sooyeol by ambery

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 299
      1
      27 ส.ค. 57



    Italian Soda

     infinite fanfiction, sooyeol, college au, fluff, pg-13

    by ambery
     

     

              ตราประทับชื่อของผับชั้นนำถูกกดประทับลงเป็นรอยที่ 3 บนท้องแขนขาวเนียนนุ่มละเอียด เจ้าของร่องรอยที่กำลังออกล่าความสนุกในคืนวันศุกร์ของฤดูร้อนสวมเพียงแค่เสื้อยืดคอกว้างสีขาวเรียบๆ กับสกินนี่ยีนส์สีดำที่ขาดเป็นริ้วโชว์ผิวเนื้อตรงต้นขาและเรียวขายาวเท่านั้น ใบหน้าหวานเนียนใสยกยิ้มมุมปากให้กับบรรยากาศคึกคักที่อัดแน่นไปด้วยรสชาติของแอลกอฮอล์ที่กำลังมอมเมา ดนตรีบีทหนักๆ ที่ดังไปทั่วบริเวณ และกลิ่นอายจางๆ จากน้ำหอมของผู้คนที่ยืนขยับร่างกายไปตามจังหวะเพราะมีเครื่องดื่มที่ถืออยู่ในมือเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ...บรรยากาศที่เหมาะกับการปลดปล่อยและเสพความสุขในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ในชั่วข้ามคืน

     

              อีซองยอล เจ้าของร่างกายโปร่งบางและใบหน้าเนียนหวานที่ดื่มมาจาก 2 ผับก่อนหน้าอยู่หลายแก้ว รู้ตัวเองดีว่าใกล้เต็มทีที่จะไม่สามารถประคองตัวได้อย่างมีสติอีกต่อไป แค่เดินออกมาจากผับเมื่อกี๊แล้วมาถึงผับแห่งนี้ได้ก็ถือว่าเก่งมากแล้วจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นร่างบางก็ยังพยายามทรงตัวเดินเข้าไปด้านในให้ตรงที่สุด ขณะที่ดวงตาคู่สวยก็กวาดมองไปตรงโซนพิเศษเพื่อหาเป้าหมายที่จะทำให้อีซองยอลจบค่ำคืนนี้ลงเสียที

     

              ระหว่างทางที่เจ้าของใบหน้าเนียนหวานต้องเดินเบียดเสียดผู้คนเข้าไปนั้น ก็มีอยู่หลายฝ่ามือที่เอื้อมมาแตะรั้งแขนเรียวและแผ่นหลังบางเป็นคำเชิญชวนให้นั่งร่วมโต๊ะและสนุกไปด้วยกันในค่ำคืนนี้ แต่ทว่ามือเรียวสวยก็ปัดป้องสัมผัสฉาบฉวยเหล่านั้นออกอย่างนุ่มนวลและแฝงไว้ด้วยท่าทีที่น่ามอง นิสิต ปี 3 คณะเภสัช ของมหาลัยชื่อดังประจำกรุงโซล ต้องการแค่จะฉลองสอบมิดเทอมเสร็จกับกลุ่มเพื่อนสนิทเท่านั้นเอง

     

              แล้วอยู่ๆ อีซองยอลก็ยิ้มหวานออกมาจนทำให้ใบหน้าเนียนใสนั้นสว่างไสวและเป็นที่จับตามองของคนรอบๆ กายมากขึ้นไปอีก รอยยิ้มที่สดใสในเวลากลางวันและกลับกลายมาเป็นรอยยิ้มที่ล่อลวงในยามกลางคืนถูกวาดไว้บนใบหน้าของเจ้าตัวอย่างน่าดู ทำเอาผู้คนที่มองอยู่ถึงกับใจเต้นกระตุกไปหลายจังหวะเพราะรอยยิ้มหวานนั่น ...รอยยิ้มที่ถูกส่งไปให้ใครบางคนซึ่งนั่งอยู่ตรงโซนวีไอพีอย่างตั้งใจ

     

              “ปึ่ก! ซ่า... โอ๊ะ! /ขอโทษครับ” แต่ยังไม่ทันที่จะเดินไปถึงที่หมาย ร่างบางๆ ของอีซองยอลก็เกิดไปชนเข้ากับร่างแข็งแรงของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งกำลังถือแก้วเหล้าหมุนตัวกลับมาพอดี เป็นเหตุให้ของเหลวสีอำพันที่อยู่ในแก้วใบหนากระฉอกออกมารดเสื้อยืดสีขาวของอีซองยอลแบบเต็มๆ เจ้าของเหล้าและแรงกระแทกกล่าวขอโทษอีซองยอลอย่างรวดเร็วพร้อมกับส่งมือมาฉุดรั้งแขนเรียวเอาไว้ด้วยความหวังดีที่ไม่อยากให้ร่างบางนี้ล้มหน้าทิ่ม ก่อนที่จะทำท่าเอื้อมมืออีกข้างมาสัมผัสร่างกายตรงหน้าเพื่อหวังปัดไล่ความเปียกชื้นให้หมดไปจากเสื้อยืดของคนที่ยืนนิ่งอยู่กับที่

     

              ...อีซองยอลยืนนิ่งอยู่กับที่ ...เพราะเห็นสายตาของใครคนนั้นที่มองมาพอดี

     

              “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไรจริงๆ” มือเรียวสวยยั้งมือใหญ่นั่นไว้ได้ทันอย่างฉิวเฉียด ในขณะที่ดวงตาคู่สวยยังคงมองตรงไปหาใครคนนั้นด้วยสายตาตื่นๆ

     

              ...ใครคนนั้น

     

              คนที่เป็นเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาซึ่งกำลังขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจ ทั้งยังมีสีหน้าที่บ่งบอกว่าใกล้จะทนไม่ไหวเต็มทีกับภาพของร่างบางที่ถูกคนอื่นจับต้อง กายแกร่งขยับตัวจากท่านั่งสบายพิงโซฟามาเป็นนั่งตัวตรงกอดอกฉับ ...แล้วหงายมือและกระดิกปลายนิ้วเล็กน้อยเพื่อเรียกให้ร่างบางที่อยู่ในสายตานั้นเดินเข้าไปหา

     

              อีซองยอลสะบัดตัวออกห่างจากการเกาะกุมของคนแปลกหหน้าที่ดูท่าว่าจะเมาจนเกือบไม่มีสติแล้ว เพราะสัมผัสได้ถึงแรงยึดเหนี่ยวตรงต้นแขนที่เพิ่มมากขึ้นจนเกือบทำให้เจ็บ ใบหน้าเนียนพยายามรักษาสีหน้าไม่ให้แสดงออกว่าตัวเองกำลังไม่สบายตัวจากฝีมือของคนๆ นี้ เพราะไม่อย่างนั้นคนที่กำลังพยายามนั่งทำใจเย็นอยู่ตรงนั้นได้ลุกขึ้นมาเดือดใส่จนเละกันไปข้างหนึ่งแน่ๆ และเมื่อเห็นว่าคนๆ นั้นยังคงยกมือหงายค้างรออยู่ อีซองยอลก็รีบปัดมือของคนเมาที่ยื่นมาจับออกอีกครั้งแล้วก้าวเดินจากมา คิ้วเรียวยกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถามคนที่ชอบออกคำสั่งทางสายตาว่าพอใจหรือยัง...

     

              “หื๊ออออ” ส่งเสียงประท้วงออกมาเบาๆ เมื่อทันทีที่เดินเข้าไปจนถึงโต๊ะซึ่งมีคน 5 คนกำลังนั่งอยู่ มืออุ่นของคนที่ทำหน้านิ่งและเย็นชาใส่มากที่สุดกลับดึงรั้งร่างของคนที่มาสายให้นั่งลงใกล้ๆ แบบที่ขาเรียวข้างหนึ่งนั้นเกยอยู่บนต้นขาของเจ้าของแรงดึง

     

              อีซองยอลที่กำลังมึนๆ อยู่เสียหลักตามแรงฉุดรั้งอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เป็นเหตุให้ร่างบางต้องทรุดลงนั่งบนโซฟาครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นตักอุ่นๆ ของคนที่ยื่นแก้วน้ำเปล่ามาให้พร้อมกับสายตาวาววับในยามที่จ้องตากัน

     

              ไม่ต้องพูดก็รู้เรื่องเลยว่าอีซองยอลโดนโกรธอีกแล้ว... =_=

     

              โดนคิมมยองซูโกรธนี่ไม่สนุกเลยนะจะบอกให้

     

              “ไม่ต้องมองมาขอความช่วยเหลือเลยเพื่อนรัก ‘คุณ’ ของนายรู้หมดแล้วว่ากลุ่มเภสัชกินเสร็จตั้งแต่ 5 ทุ่ม ส่วนที่นายมาช้านี่เพราะไปกับกลุ่มของเด็กถาปัตต่อ ปล่อยให้หมอยาอย่างฉันต้องมาทนนั่งแบบโคตรกดดันท่ามกลางหมอเทวดาพวกนี้” นัมอูฮยอนที่นั่งอยู่ด้านในสุดพูดขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเห็นสายตาอ้อนๆ ของอีซองยอลที่โน้มตัวผ่านร่างแข็งแรงแล้วมองมา ...คือแบบว่านัมอูฮยอนเพิ่งอยู่ปี 3 ยังเรียนไม่จบ ยังไม่ได้เลี้ยงดูพ่อแม่ ยังไงนัมอูฮยอนคนนี้ก็ไม่ยอมเสี่ยงตายไปกับ ‘เพื่อนรัก’ ที่กำลังจะถูก ‘เพื่อนสุดที่รัก’ เชือดเอาแน่ๆ

     

              ไหล่เนียน กระดูกไหปล้าร้าสวย และช่วงบนของผิวขาวนุ่มที่โผล่พ้นคอเสื้อกว้างๆ ในยามที่อีซองยอลกำลังโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อส่งสายตาไปหานัมอูฮยอน ทำให้คิมมยองซูซึ่งมองลงไปแล้วเห็นไปถึงไหนต่อไหนต้องสอดแขนไปด้านหลังของร่างบางแล้วตีเบาๆ ลงบนสะโพกเป็นเชิงเตือนให้นั่งดีๆ

     

              แล้วเดือนคณะเภสัชผู้เป็นที่รักของทุกคนจะทำอะไรได้ นอกจาก...

     

              รีบนั่งตัวตรงในทันทีที่ได้รับคำเตือนจากฝ่ามืออุ่น ก่อนจะหันหน้าหนีไปมองทางอื่นเพราะไม่กล้าสบตากับคิมมยองซูซึ่งกำลังมองมาด้วยท่าทางที่นิ่งเฉย

     

              ...และแม้ว่าอีซองยอลจะนั่งอย่างเรียบร้อยตรงตามความต้องการแล้ว แต่ท่อนแขนและฝ่ามืออุ่นของคิมมยองซูก็ยังคงโอบรอบเอวบางเอาไว้อยู่เช่นเดิม

     

              “มันคงไม่โกรธขนาดนี้ ถ้านายจะรับสายหรือโทรมาบอกว่าอยู่ที่ไหน” อีโฮวอนยักไหล่อย่างไม่นำพากับปลายเท้าของอีซองยอลที่สะกิดมาจากฝั่งตรงข้าม หนุ่มหล่อคิ้วคมผู้เป็นเจ้าของเขี้ยวสวยรู้สึกชินชากับเหตุการณ์ ‘เพื่อนสุดที่รัก’ มาตั้งแต่ที่เข้ามหาวิทยาลัยและได้รู้จักกับคนกลุ่มนี้ กลุ่มที่มีเด็กแพทย์และเด็กเภสัชอยู่ด้วยกันแบบโคตรสนิทสนม โดยมีรุ่นพี่ปี 5 อย่างคิมซองกยูเป็นพี่ใหญ่ ตามมาด้วยนางฟ้าใจดีอย่างจางดงอู ปี 4 ที่คอยดูแลทุกคน แล้วก็ปี 3 หน้าตาดีอีก 2 คน คือเขากับไอ้หล่อที่เรียกตัวเองว่าเป็นเด็กฝั่งแพทย์ ส่วนอีซองยอล นัมอูฮยอน และน้องเล็กเฟรชชี่อย่างอีซองจง ก็เป็นได้แค่เด็กหน้าตาธรรมดาๆ และนิสัยไม่ค่อยดีที่อยู่ฝั่งเภสัชไง =..=

     

              พอจบประโยคเย้ยหยันของอีโฮวอน อีซองยอลก็รีบล้วงมือไปหยิบไอโฟนที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาดูในทันที ...6 สายไม่ได้รับจากเพื่อนสุดที่รัก และข้อความไลน์อีกเกือบยี่สิบข้อความจากคนเดียวกัน ...คือไม่ได้ยินเสียง คือมัวแต่เพลินกับแอลกอฮอล์ คือลืมไปเลยว่าชีวิตนี้มีใครอีกคนที่สำคัญมาก สำคัญแบบว่าอยู่รองลงมาจากคนในครอบครัวเลยทีเดียว

     

              ตาย! นึกออกอยู่คำเดียวเลยสำหรับสถานการณ์นี้

     

              ทุกคนในโต๊ะพร้อมใจกันปล่อยให้คน 2 คนเคลียร์กันเอาเอง เพราะรู้ดีว่ายังไงๆ อีซองยอลก็ต้องอ้อนไอ้คนที่ทำตัวเย็นชาหาเรื่องให้หายโกรธได้อยู่แล้ว

     

              นัมอูฮยอนทำเป็นไม่สนใจสายตาขอร้องของเพื่อนรัก ใบหน้าน่ารักหันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับคิมซองกยูที่นั่งข้างๆ อยู่สองคน โดยที่คนเป็นพี่ก็เอาแต่ยิ้มรับและหัวเราะตอบกลับมา

     

              ฝ่ายดงอูที่กำลังนั่งอ่านอะไรบางอย่างจากสมาร์ทโฟนอยู่ก็สะกิดเรียกให้โฮวอนละสายตาจิกกัดออกมาจากอีซองยอลแล้วก้มลงอ่านด้วยกัน

     

              ส่วนอีซองจงนั้นไม่ได้ตามมาด้วยเพราะติดติวกับเพื่อนในวิชาสอบสุดท้ายที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้

     

              อีซองยอลที่ยังไม่พร้อมจะหันกลับไปคุยและมองตากับคนข้างๆ จึงต้องพยายามค้นฟ้าคว้าดาวหาความช่วยเหลือให้เจอ ...นัมอูฮยอนอยู่ไกลไป ...จางดงอูคงไฝว้ช่วยไม่ไหว ...คิมซองกยูก็ไม่เคยสนใจใครนอกจากคนนั่งข้างๆ

     
     

              ...


     

              ...ที่ใต้โต๊ะ อีซองยอลกำลังเรียกร้องความสนใจจากอีโฮวอนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยปลายเท้า

     

              ‘ไอ้เพื่อนบ้า! อย่ามาทำเฉยตอนนี้สิวะ!’ โวยวายในใจเมื่อไม่เห็นว่าเจ้าของเขี้ยวสวยจะตอบรับการเรียกร้องจากตัวเองเลยแม้แต่น้อย ...แล้วขาเรียวที่ยื่นออกไปเตะเท้าอีโฮวอนอยู่ใต้โต๊ะก็จำต้องหยุดในทันทีที่คนข้างๆ ก้มเข้ามากระซิบข้างหู

     

              “อย่าหาเรื่องคนอื่นนะซองยอล” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นพอให้ได้ยินอย่างชัดเจน ลมหายใจอุ่นๆ ที่กระทบเข้ากับต้นคอเรียวทำให้อีซองยอลขนลุกไปทั่วทั้งร่าง ...ก็ไม่ใช่แค่ลมหายใจไงที่ใกล้ แต่ปลายจมูกของอีกฝ่ายก็เฉียดไปมาอย่างจงใจด้วยไง อีซองยอลหลับตาลงพร้อมกับกัดริมฝีปากเอาไว้เพื่อกลั้นความรู้สึกวาบหวิวที่แผ่ไปทั่วช่องท้อง ก่อนที่ในที่สุดจะลืมตาขึ้นมาแล้วหันไปคุยกับคนที่กำลังโกรธอยู่อย่างยอมจำนน

     

              “มยองซู... คุณ... อย่าโกรธสิ เรารู้แล้วว่าเราผิดที่ไปไม่บอก แถมยังไม่รับโทรศัพท์ แต่เราไม่ได้ไปไหนไกลนะ แล้วก็ไปกับพวกจินอุนไง ไม่ใช่ใครอื่นซะหน่อย” เสียงหวานที่แหบเครือไปเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์พูดขึ้น มือเรียวสวยวางไว้บนต้นขาแกร่งพร้อมกับทุบลงมาเบาๆ อย่างอ้อนๆ

     

              “ไม่ควรห่วงสินะ” คิมมยองซูพูดเสร็จก็ยกแก้วเหล้าตรงหน้าขึ้นดื่มแบบรวดเดียวหมด ส่วนมือที่ประคองอยู่ตรงเอวบางของคนนั่งข้างๆ ก็เลื่อนกลับมาวางไว้บนโต๊ะด้วยท่าทีเฉยชา

     

              “มันไม่มีอะไรน่าห่วงไงคุณ คุณอย่าเป็นแบบนี้สิ มยองซู... คุณณณณ” อีซองยอลรู้สึกใจไม่ดีเลยตอนนี้ เพราะนอกจากจะไม่มีทีว่าจะหายโกรธแล้ว ก็ดูเหมือนว่าคิมมยองซูจะกำลังโกรธมากขึ้นไปอีก

             

              “ถ้าไม่อยากให้ห่วงก็บอก จะได้ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องมานั่งวุ่นวายใจเหมือนคนบ้าอย่างนี้” คิมมยองซูพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งก็จริง แต่ทุกๆ คำที่เปล่งออกมานั้นกลับกระแทกใจให้คนที่ฟังได้รู้สึกอยู่ไม่น้อย

     

              แค่อีกคนพูดว่าจะไม่ห่วงกัน อีซองยอลก็รู้สึกวูบโหวงในช่องท้องและเสียวแปล๊บๆ ตรงหัวใจยังไงก็ไม่รู้

     

              “...” เจ้าของร่างบางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี ทำได้เพียงแค่วางมือเรียวสวยข้างหนึ่งลงบนหลังมืออุ่นของคิมมยองซูที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วสอดประสานนิ้วเรียวเข้ากับนิ้วยาวของอีกฝ่ายอย่างแนบแน่น ศรีษะสวยได้รูปเอนลงไปซบไหล่หนาอย่างหมดแรงที่จะโต้เถียงหรือแก้ตัว ก่อนจะสูดลมหายใจเอากลิ่นหอมจางประจำตัวของอีกคนเข้าไปอีกเฮือกใหญ่ ...ทั้งมึนเหล้า ทั้งเมาคิมมยองซูเลยทีนี้

     

              “...” คิมมยองซูทำเฉยไม่สนใจกับท่าทางซุกซบของคนผิดที่ชอบงัดเอามาใช้ให้เขาต้องใจอ่อน มือที่ว่างอยู่อีกข้างยกแก้วเหล้าที่โฮวอนชงมาใหม่ขึ้นดื่มจนหมดอีกครั้ง

     

              “...”

     

              “ปวดหัวเหรอ ซองยอล ไหวมั้ย” เมื่อเห็นร่างบางซบไหล่นิ่งไปนาน ก็เป็นคิมมยองซูที่ทนไม่ไหวจนต้องเป็นฝ่ายที่ก้มลงไปมองใบหน้าหวานของอีกคนทั้งๆ ที่ยังคงโกรธอยู่ ...แก้มนุ่มที่ยู่ไปกับไหล่ ดวงตาคู่หวานที่วาววับและฉ่ำเยิ้ม ริมฝีปากสีแดงสดที่เผยอหายใจอยู่เบาๆ ...คิมมยองซูกำลังอดทนที่จะไม่ก้มลงไปให้มากกว่าที่เป็นอยู่

     

              “ไม่ไหว เราไม่ไหวแล้ว” อีซองยอลส่ายหัวปฏิเสธไปมาบนไหล่หนา แก้มนุ่มถูไถกับเสื้อเชิ้ตสีดำของอีกคนจนน่ากลัวว่าจะขึ้นรอยแดงช้ำ

     

              “เป็นอะไรครับ ไหนมาดูหน่อยซิ” สองมืออุ่นของคิมมยองซูละออกมาจากแก้วเหล้าและมือเรียวสวย แล้วยกประคองใบหน้าเนียนใสของคนตรงหน้าเอาไว้อย่างทะนุถนอม ดวงตาคู่คมสบเข้ากับดวงตาคู่หวานที่มองมาอย่างสื่อความหมาย จนปลายนิ้วโป้งทั้งสองต้องเกลี่ยไล้ไปมาบนริมฝีปากอิ่มเพื่อส่งสัญญาณเตือน

     

              ‘อย่ายั่ว’

     

              “เป็นคนที่โดนมยองซูโกรธ เมื่อไหร่จะหายโกรธเราล่ะ เราจะไม่ไหวแล้วนะ” กระซิบพูดเสียงอ้อนๆ ในขณะที่ปลายนิ้วโป้งของมืออุ่นยังคงวางอยู่บนริมฝีปากนุ่มของตัวเอง ทำให้เกิดสัมผัสที่ใกล้เคียงกับ “จูบ” ในทุกคำพูดที่พูดออกไป

     

              “หึหึหึ มันน่านัก” ดีดหน้าผากเนียนของคนตรงหน้าเบาๆ แล้วสอดท่อนแขนไปด้านหลังเพื่อโอบเอวบางเอาไว้อีกครั้ง คิมมยองซูหายโกรธอีซองยอลแล้ว...

     

              “ถามจริงไอ้หล่อ มึงเคยคิดที่จะโกรธให้ได้สัก 3 ชั่วโมงบ้างมั้ยวะ” อีโฮวอนส่งแก้วเหล้าที่ชงใหม่มาให้พร้อมกับขมวดคิ้วใส่ 2 คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ...ทีไอ้ตอนที่เค้าหายไปล่ะทำท่าโกรธเหมือนจะเป็นจะตาย แต่แค่โดนซบไหล่ไปไม่ถึงนาทีกลับมาทำท่าฟินเอาซะจนน่าหมั่นไส้ =*=

     

              “ย่าห์! นี่นายจะพูดหาเรื่องขึ้นมาอีกทำไม ห๊ะ!” อีซองยอลล้วงเอาก้อนน้ำแข็งในแก้วน้ำดื่มของตัวเองปาใส่อีโฮวอนคนชอบหาเรื่องในทันที ซึ่งทางฝ่ายที่พูดแหย่ก็ได้แต่ทำลอยหน้าลอยตาตอบกลับมาอย่างไม่กลัวเกรง

     

              แต่ที่ไม่เอาคืนอีซองยอลเพราะกลัวคิมมยองซูไง นี่บอกตรงๆ เลย =_=

     

              “มึงดูนะมยองซู มึงดูเด็กมึงนะ” อีโฮวอนหันไปฟ้องเพื่อนเมื่อก้อนน้ำแข็งเย็นๆ ถูกปามาใส่จนนึกว่าตัวเองกำลังทำไอซ์บัคเก็ตอยู่

     

              “ดูแล้ว ก็น่ารักเหมือนเดิมนี่” คิมมยองซูยกแก้วเหล้าขึ้นจิบอีกอึกใหญ่ ก่อนจะหันไปมองหน้าของคนที่นั่งทำแก้มพองอยู่ข้างๆ

     

              “โอ๊วววววววววววว” เสียงโห่ร้องของคนในโต๊ะดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าไอ้ท่าทีที่เหมือนต่างคนต่างไม่สนใจนั้นมันซ่อนเอาไว้ด้วยความเผือกแบบล้วนๆ

     

              “น่ารัก แล้วทำไมไม่รักกันสักทีวะ” เสียงของอีโฮวอนดังขึ้นอย่างหมั่นไส้ ในขณะที่คนอื่นๆ ก็ได้แต่มองแล้วก็ยิ้มให้กับคนทั้ง 2 ที่เป็นเพื่อนกัน

     

             

     

              --คิมมยองซูกับอีซองยอลเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมปลาย--

     

              “เอ่อ ขอโทษนะ ถ้านายไม่ใช้หนังสือเล่มนี้ เราขอได้มั้ย” เสียงนุ่มหวานดังขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะซึ่งคิมมยองซูกำลังฟุบหน้านอนกลางวันอยู่ โดยใช้หนังสือวิชาเคมีเล่มหนาเป็นหมอนแก้ขัด ใบหน้าหล่อเหลาของคนที่กำลังหงุดหงิดเพราะถูกขัดจังหวะพักผ่อนผงกหัวขึ้นมาแล้วส่งสายตาเย็นชาไปให้คนตรงหน้า

     

              “ฉันใช้อยู่ ไม่เห็นรึไง” เสียงทุ้มต่ำพูดเบาๆ พร้อมกับจ้องใบหน้าเนียนใสของร่างบางอย่างนึกขัดใจ คิ้วคมขมวดมุ่นเพราะกำลังสงสัยว่าทำไมคนตรงหน้าถึงต้องมีแก้มเยอะขนาดนี้

     

              “นายใช้ที่ไหนเล่า ก็เห็นๆ กันอยู่ว่านายนอนหลับอ่ะ” ร่างบางยู่ปากเถียงอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว ซึ่งคิมมยองซูก็สงสัยขึ้นมาอีกข้อว่าคนตรงหน้านี้มาจากไหนกัน ถึงได้กล้าเข้ามาคุยกับเขาอย่างนี้

     

              “ฉันใช้มันรองนอนอยู่ เข้าใจนะ” ตัดจบการสนทนาอย่างไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง มืออุ่นจัดการยัดอินเอียร์ใส่หูแล้วหลับตาฟุบลงไปนอนอีกครั้งในทันที

     

              ...นอนทับหนังสือเคมีเล่มหนาที่คนบางคนกำลังต้องการ

     

              แล้วช่วงเย็นของวันร้อนๆ ในเดือนสิงหาคมก็มาพร้อมกับพายุฝนที่ตกกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา ห้องสมุดของโรงเรียนปิดทำการพร้อมๆ กับที่ร่างแข็งแรงของคิมมยองซูเดินผ่านประตูออกมา ในมือมีร่มของบรรณารักษ์ผู้ใจดีที่หยิบยื่นให้ได้กางกลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าคงไม่ดีนักถ้านักเรียนคนเก่งที่เป็นเจ้าของผลการเรียนดีเด่นของโรงเรียนมาโดยตลอดจะมาป่วยในช่วงสอบอย่างนี้

     

              แล้วคิมมยองซูก็อดที่จะนึกขอบคุณคุณบรรณารักษ์ขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้สำหรับร่มคันใหญ่ เพราะเมื่อเห็นสภาพร่างกายที่เปียกโชกของคนตรงหน้าซึ่งกำลังวิ่งเหยาะๆ อยู่กลางฝนโดยหวังจะเข้าไปหลบที่ป้ายรถเมล์แล้ว คำว่าไม่สบายก็ลอยขึ้นมาให้เห็นในทันที

     

              ...คิมมยองซูเดินกางร่มผ่านคนบางคนที่กำลังหนาวสั่นไปอย่างไม่ใส่ใจ

     

     

     

              “ฮึก... ฟืดดด ฮึกกก” อีซองยอลนั่งน้ำตาคลอและพยายามกลั้นสะอื้นอยู่เบาๆ ที่มุมหนึ่งของคาเฟ่ซึ่งเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ในมือมีกระดาษข้อสอบวิชาเคมีที่เขียนคะแนนไว้ตรงมุมกระดาษด้วยปากกาสีแดง ...12/30

     

              “ฮึกกกก...ฮึกก” มือเรียวสวยยกขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าเนียนซีดของตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ อาการปวดหัวและน้ำมูกที่กำลังไหลบ่งบอกว่าพิษไข้กำลังกลับมาอีกครั้ง

     

              5 ทุ่มแล้วแต่อีซองยอลยังคงนั่งอยู่ตรงนี้กับแก้วสตรอเบอรี่อิตาเลี่ยนโซดา มันเลยเวลากินข้าวกินยามาหลายชั่วโมงแล้วแต่อีซองยอลก็ไม่สนใจ สำหรับคนอื่นอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะสอบตกตอนสอบย่อยเพราะยังไงก็แก้ไขได้ แต่สำหรับอีซองยอลที่เพิ่งย้ายเข้ามาในโควต้านักเรียนทุนวิชาเคมี ...คะแนนเท่านี้จะให้อีซองยอลเอาความกล้าที่ไหนกลับไปบอกพ่อแม่กัน แล้วไหนจะสายตาผิดหวังของอาจารย์ที่มองมาตอนยื่นข้อสอบให้นั่นอีกล่ะ

     

              ถ้าไม่ใช่เพราะว่าต้องเสียเวลาไปหาหนังสือเล่มอื่นเพื่อรวบรวมข้อมูลเอาไปให้อาจารย์จนต้องตากฝนกลับบ้านและไม่สบายในที่สุด อีซองยอลก็คงจะได้อ่านหนังสือเตรียมสอบอย่างเต็มที่และคว้าคะแนนเต็มมาสร้างความประทับใจแรกได้อย่างง่ายๆ ไม่ใช่นอนซมอยู่บนเตียงแล้วก็ไปนั่งสอบทั้งๆ ที่กำลังมึนเพราะฤทธิ์ยา

     

              “ฮึกกก ฮือออออ ฟืดด... ฮึกก” ตัดสินใจก้มหน้าลงซบแขนตัวเองแล้วร้องไห้เบาๆ อย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ จะบอกพ่อแม่ว่ายังไงดี... ถ้าเจออาจารย์แล้วจะโดนว่ามั้ย...

     

              “เป็นอะไรรึเปล่า” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ ใครกันนะ นี่ก็อุตส่าห์มานั่งหลบในมุมที่ไม่ค่อยมีใครเค้านั่งกันแล้วเชียว ใบหน้าหวานที่เปื้อนน้ำตาเงยหน้าขึ้นมองคนที่อยู่ตรงข้ามด้วยสีหน้าซีดๆ ก่อนจะส่งสายตาไม่พอใจไปให้เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่ยืนอยู่ตรงหน้า

     

              “นายร้องไห้ทำไม” ถามขึ้นอย่างสงสัยเพราะไม่เข้าใจว่าร่างบางตรงหน้านี่จะมานั่งร้องไห้ในคาเฟ่ตอนกลางดึกอยู่ทำไมคนเดียว ...รึว่าอกหัก?

     

              อันที่จริงคิมมยองซูก็ไม่ได้อยากที่จะสนใจอะไรหรอก ถ้าไม่ติดตรงที่ว่าร่างบางข้างหน้านี้กำลังนั่งอยู่ในมุมโปรดของเขา และหนังสือที่อยู่ตู้ข้างๆ นั่นก็บังเอิญเป็นสาเหตุที่ทำให้คิมมยองซูอยากอ่านต่อให้จบ จนต้องเดินออกจากบ้านมาที่คาเฟ่เอาในตอนดึกป่านนี้

     

              “...ฟืดดด” อีซองยอลไม่ตอบอะไรกลับไปแต่ก้มหน้าก้มตาเช็ดน้ำมูกและน้ำตาที่ไหลเปื้อนอยู่บนใบหน้าด้วยหลังมืออย่างเอาเป็นเอาตาย ฮึ! ใครจะอยากให้คนอย่างนี้เห็นน้ำตากัน

     

              “เอ้า นี่” มืออุ่นยื่นทิชชู่ของคาเฟ่ที่ได้มาจากการซื้อโกโก้ร้อนมินต์ให้อย่างสงสาร ดูสิดู ถูแก้มซะแดงไปหมด

     

              อีซองยอลช้อนตามองคนที่ยืนอยู่อย่างชั่งใจ ก่อนที่จะเอื้อมมือรับทิชชู่มาซับไปทั่วหน้าอย่างเงียบๆ เมื่อเห็นอย่างนั้น คิมมยองซูก็เลยถือวิสาสะนั่งลงที่เก้าอี้ตรงกันข้าม ก่อนจะท้าวคางมองหน้าอีซองยอลอย่างสนใจ

     

              “นายชื่ออะไร” คิมมยองซูถามชื่อคนอื่นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ก็นะ คนอื่นๆ ไม่ได้มีหน้าหวานๆ ตากลมๆ ปากแดงๆ แล้วก็แก้มพองๆ เหมือนอย่างคนตรงหน้านี่นา

     

              อีซองยอลเหลือบตามองคนตรงข้ามอยู่ชั่ววินาที ก่อนที่จะสะบัดหน้าหนีหันไปมองทางอื่นอย่างอารมณ์ไม่ดี

     

              “ฉันคิมมยองซู นายคงไม่รู้ใช่มั้ยว่าฉันเป็นใคร” ถามต่ออย่างไม่นึกใส่ใจกับท่าทางที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากที่จะรู้จักกับเขาเลยแม้แต่น้อย

     

              อีซองยอลหันมามองคิมมยองซูอย่างเต็มๆ ตาอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนที่จะหันกลับไปมองวิวด้านนอกร้านอีกครั้ง

     

              “นายร้องไห้ทำไม ถูกแฟนทิ้ง? แฟนนอกใจ? ดึกแล้วยังไม่กลับบ้าน พ่อแม่ไม่ห่วงแย่เหรอป่านนี้ เป็นเด็กมีปัญหารึไง” คิมมยองซูพูดแหย่คนที่กำลังทำแก้มพองใส่ในทุกๆ คำพูดของเขาอย่างสนุกและชอบใจ

     

              “เฮ้ย! ...” ก่อนที่จะต้องร้องออกมาอย่างตกใจเบาๆ เมื่อถูกร่างบางตรงหน้าขยำกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วปามาใส่พร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงบนแก้มนิ่มอีกครั้ง

     

              เพราะคุ้นๆ ว่ากระดาษก้อนนี้เป็นกระดาษข้อสอบของโรงเรียน คิมมยองซูจึงจัดการคลี่มันออกอ่าน แล้วก็เข้าใจถึงสาเหตุของการที่คนตรงหน้าต้องมานั่งร้องไห้อยู่ในคาเฟ่นี้ขึ้นมาทันที

     

              “ไม่กล้าบอกที่บ้านเหรอ” เสียงนุ่มทุ้มนั้นเจือไว้ด้วยความอ่อนโยน

     

              “อื้ม” สูดน้ำมูกฟุดฟิดพร้อมกับพยักหน้ารับคำ

     

              “แล้วนี่ไม่สบายเหรอ” ถามต่อเพราะเห็นน้ำมูกใสๆ ไหลออกมาอยู่เรื่อยๆ

     

              “อื้มม ฟืดด” รับคำพร้อมกับสูดน้ำมูกอีกครั้ง

     

              “ไม่สบายแล้วสั่งอิตาเลี่ยนโซดามาทำไม” ชี้ไปที่เครื่องดื่มสีสวยที่ละลายไปกว่าครึ่ง ทั้งๆ ที่ยังไม่ถูกแตะเลยสักนิด

     

              “อยากกิน” อีซองยอลวางมือซ้อนกันบนโต๊ะแล้วเอาคางเรียวเกยไว้บนมืออีกที ก่อนจะมองดูแก้วน้ำตรงหน้าด้วยท่าทางที่น่าสงสาร

     

              “เอานี่ไปกิน แล้วเดี๋ยวแก้วนี้ฉันกินให้เอง” คิมมยองซูเลื่อนโกโก้ร้อนหอมกรุ่นมาให้ร่างบางที่ฟุบนั่งอย่างหมดแรงไปแล้ว ก่อนที่มืออุ่นจะคว้าเอาสตอเบอรี่อิตาเลี่ยนโซดาสีแดงสดมาดูดกินอย่างไม่ถือสาแม้ว่ารสชาติมันจะจืดจางจนไม่อร่อยแล้วก็ตาม

     

              “อึก อึก” ยกโกโก้ร้อนขึ้นจิบสองอึกใหญ่ แล้วก็แย้มยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้ทานอะไรอุ่นๆ

     

              “นี่ ที่สอบไม่ได้น่ะ เพราะฉันรึเปล่า” คิมมยองซูถามคำถามที่ค้างคาใจออกมา ดวงตาคู่คมมองไปยังใบหน้าเนียนใสที่ซีดอยู่นิดหน่อยเพราะพิษไข้อย่างรอคำตอบ

     

              “ความผิดของนายครึ่งนึงมั้ง เพราะฉันต้องไปหาหนังสือเล่มใหม่มาใช้ทำข้อมูลให้อาจารย์จนเกือบค่ำ แล้วพอดีว่าวันนั้นฝนตกหนักมาก ฉันก็ผิดเองที่ไม่ได้พกร่ม เลยต้องไปยืนตากฝนที่ป้ายรถเมล์อยู่เกือบชั่วโมงจนไม่สบายนี่แหละ” อีซองยอลคิดย้อนไปถึงวันนั้นก่อนจะเล่าให้คิมมยองซูฟังแล้วตบท้ายด้วยการสูดน้ำมูกอีกฟืดใหญ่

     

              “ใครบอกว่าผิดครึ่งนึง ผิดเต็มๆ เลยต่างหาก” คิมมยองซูพึมพำบอกออกมาต่อหน้าแก้วอิตาเลี่ยนโซดาที่น้ำแข็งละลายจนหมดแล้ว

     

     

     

              “คุณณณณ เราอยากกินๆๆๆๆๆๆ” อีซองยอลโวยวายเสียงดังใส่คนที่กำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ เพราะว่าการสอบเข้าคณะแพทย์ที่เจ้าของใบหน้าหล่อเหลานั้นหวังเอาไว้กำลังใกล้เข้ามาทุกที สรรพนามที่เรียกอีกฝ่ายอย่างยกย่องเกิดขึ้นหลังจากที่อีซองยอลรู้สึกว่าคิมมยองซูนั้นเป็นเพื่อนที่ดีต่อตัวเขาเองมากแค่ไหน แม้ว่าคนอื่นจะฟังว่ามันเหินห่าง แต่คน 2 คนรู้ดีว่าคำเรียกนี้นั้นพิเศษมากกว่าที่ใช้เรียกใครๆ

     

              “อย่าดื้อนะซองยอล บอกว่าให้อ่านเคมีให้จบก่อนไงถึงจะพาไปกิน” เงยหน้าขึ้นมาจากกองหนังสือเพื่อสบตากับคนที่นั่งทำหน้าไม่พอใจอยู่บนเตียงนอน

     

              ตั้งแต่อิตาเลี่ยนโซดาแก้วแรกในวันนั้น คิมมยองซูกับอีซองยอลก็ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ชิดกันจนกลายเป็นความสนิทสนมภายใต้ความสัมพันธ์ที่เรียกว่า “เพื่อน” มาถึงตอนนี้ที่อีซองยอลกำลังนั่งงอนรอให้คิมมยองซูง้ออยู่บนเตียงที่ยึดเอาไว้มาหลายคืน จากเพื่อนกันธรรมดาๆ ก็คงต้องบอกว่าทั้งคู่นั้นต่างเป็น “เพื่อนสุดที่รัก” ของกันและกัน

     

              “อีกบทเดียว โอเคมั้ยคุณ อ่านอีกแค่บทเดียว ไม่งั้นก็ไม่อ่านแล้วนะคุณ” อีซองยอลยื่นข้อเสนอให้กับคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างเคร่งเครียดมาตั้งแต่เช้า

     

              ...จะรู้บ้างมั้ยว่าที่ทำตัวงอแงไม่มีเหตุผลอยู่อย่างนี้ ก็เพราะว่าอยากให้คนบางคนได้พักบ้าง

     

              “โอเค อ่านอีกบทนึง อ่านให้เข้าใจ ถ้าถามแล้วตอบไม่ได้ โดนตีแน่” คิมมยองซูพูดย้ำกับอีซองยอลหลังจากที่ต้องยอมรับข้อเสนอที่แสนจะเอาแต่ใจตัวเองของร่างบาง

     

              ...มีพ่อแม่เป็นหมอกันทั้งบ้านนี่นะ ถ้าอยากจะเข้าใกล้ลูกชายเค้าให้มากกว่านี้ก็ต้องอดทน

     

              “แต่ว่ามันอยากกินจนเหมือนจะทนไม่ไหวแล้วอ่ะ” อีซองยอลพูดอ้อมแอ้มขึ้นมาแม้ว่าจะยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่ตามคำสั่งของคิมมยองซู

     

              “เฮ่ออ ไป ลุก แต่ต้องสัญญาก่อนว่าจะกลับมาอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ อย่างไม่งอแง อย่างไม่โวยวาย อย่างไม่หาเรื่อง” ในที่สุดก็เป็นอีกครั้งที่คิมมยองซูต้องพ่ายแพ้ให้กับคนตรงหน้า ก็ดูตากลมๆ ปากบางๆ แล้วก็ท่าทางช้อนตาขึ้นมองอย่างอ้อนๆ นี่สิ ใครทนใจแข็งได้ก็ทนไป เพราะคิมมยองซูจะไม่ทน

     

     

     

              “ฮ่า... ชื่นใจ” อีซองยอลยิ้มหวานจนตาหยีในทันทีที่ได้ลิ้มรสเครื่องดื่มแก้วโปรดสีสวย ใบหน้าเนียนใสซบลงกับไหล่หนาของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างสบายใจ

     

              “มีความสุขจริงๆ นะ” คิมมยองซูขยี้ผมนุ่มสีน้ำตาลเข้มของอีกคนเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยวที่ทำให้เขาต้องใจอ่อนพามาคาเฟ่ร้านโปรดในตอนกลางดึกอีกจนได้

     

              “แน่นอน เพราะเราชอบ” อีซองยอลลุกขึ้นมานั่งตัวตรง ก่อนที่จะเอื้อมมือเย็นเฉียบเพราะจับแก้วอิตาเลี่ยนโซดาไปประคองใบหน้าหล่อเหลาเอาไว้ทั้งสองข้าง หวังแกล้งให้อีกฝ่ายต้องสะดุ้งเพราะความเย็น

     

              แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง

     

              ความใกล้ชิดอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวของทั้งสอง มาพร้อมกับลมหายใจอุ่นๆ ที่กรุ่นกลิ่นสตรอเบอรี่และโกโก้มินต์ ดวงตาของทั้งคู่สบประสานกันอย่างไม่อาจถอนสายตาไปมองที่อื่นได้

     

              คิมมยองซูขยับใบหน้าเข้าไปใกล้อีกนิด

     

              ในขณะที่อีซองยอลก็ไม่ได้ถอยห่าง

     

              “ระหว่างฉันกับอิตาเลี่ยนโซดา ชอบอะไรมากกว่ากัน” ถามขึ้นมาเบาๆ

     

              “...อิตาเลี่ยนโซดาสิ” ตอบกลับอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่

     

              “ทำไมล่ะ” คิมมยองซูถามต่อ โดยที่ไล่สายตาลงมาหยุดที่ริมฝีปากสีแดงสด

     

              “ก็... เราชอบไง... ชอบมาตั้งนานก่อนที่จะเจอกับคุณอีก” พยายามหาเหตุผลที่ฟังเท่าไหร่ก็ไม่เข้าท่าตอบกลับไป แล้วพอจะเอามือออกจากข้างแก้มของอีกฝ่าย ก็กลายเป็นว่ามีมืออุ่นของคิมมยองซูเอื้อมขึ้นมากุมเอาไว้อีกที

     

              ทำไมหน้าร้อนๆ หว่า สงสัยจะเป็นไข้ พอๆๆๆๆ อิตาเลี่ยนโซดาอะไร ไม่กินแล่ว ><

     

              “งั้นถ้าเจอกับฉันไปนานๆ นายต้องชอบฉันมากกว่านะ” คิมมยองซูเชยคางเรียวของอีกฝ่ายที่ก้มลงหลบตาให้เงยขึ้นมามองหน้ากัน

     

              “อะอื้มม ก็... มั้งนะ” รับคำด้วยท่าทีเขินอายที่ทำให้อีกฝ่ายอยากจะก้มลงฟัดแก้มพองๆ ตรงหน้า

     

              “แล้วรู้มั้ย ว่าถ้าชอบมากๆ มันก็จะกลายเป็นรัก” คิมมยองซูไล่ต้อนต่อเมื่อได้โอกาส

     

              “รอให้ถึงวันนั้นก่อนเถอะน่า ใครจะไปรู้ว่านายจะยังอยู่ข้างๆ ให้รักรึเปล่า” อีซองยอลที่โดนแกล้งจนนึกโมโหเลิกเขินกับท่าทีของคนตรงหน้าแล้วตะโกนตอบกลับอย่างเอาเรื่อง ซึ่งก็เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคิมมยองซูได้ในทันที

      

              “ถ้าถึงวันนั้น วันที่นายชอบฉันมากกว่าอิตาเลี่ยนโซดา วันที่ฉันนั่งอยู่ข้างๆ นายเหมือนวันนี้...” คิมมยองซูย้อนถามอย่างจริงจัง ท่าทางเล่นๆ ก่อนหน้านั้นหายไป เหลือเอาไว้แต่ความจริงใจในทุกคำพูด

     

              “รอ” กดปลายนิ้วเรียวลงบนริมฝีปากอุ่นของคนตรงหน้า แล้วเอ่ยคำสั้นๆ ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังคงเดิมมาจนถึงทุกวันนี้

     

              ...รอ

     

     

     

              --คิมมยองซูกับอีซองยอลยังคงเป็นเพื่อนกันมาจนถึงตอนนี้--

     

              Seongjonggy : พี่ซองยอลลลล ผมไม่มีรถจะกลับบ้านอ่ะ T^T

              Seongyeolly : แล้วอยู่ที่ไหน นี่มันดึกแล้วนะ


              Seongjonggy : อยู่ใต้ตึกคณะ เพิ่งติวสอบกันเสร็จอ่ะ ><


              Seongyeolly : รออยู่นั่นแหละ เดี๋ยวพี่ไปรับ =*=


              Seongjonggy : รักที่สุดอ่ะคนนี้ =3=

     

              “คุณ ขับรถไหวป้ะ ไปรับซองจงที่คณะหน่อยสิ น้องไม่มีรถกลับบ้าน” อีซองยอลที่ก้มหน้าเล่นเกมส์และคุยไลน์ระหว่างรอคนอื่นๆ ดื่มกันอยู่ เงยหน้าขึ้นมาสะกิดคิมมยองซูพร้อมกับชูข้อความในไลน์ให้ดูด้วย

     

              “ไหว งั้นก็กลับเลยละกัน” คิมมยองซูบีบแก้มนุ่มเบาๆ ตามความเคยชินก่อนจะหันไปพูดอะไรอีกนิดหน่อยกับคนในโต๊ะแล้วฉุดแขนเรียวของอีซองยอลให้ลุกขึ้น

     

              “กลับกันดีๆ นะ เจอกันอีกทีวันจันทร์ บายยย” อีซองยอลหันไปบอกลาพี่ๆ และเพื่อนรักที่ดูท่าจะตั้งใจเมาหนักจนไม่พ้นให้คิมซองกยูต้องหิ้วปีกไปส่งที่ห้องอีกแล้ว

     

              “วันนี้จะกลับไปนอนบ้าน รึว่านอนกับมยองซูล่ะซองยอล” อีโฮวอนที่ท่าทางกำลังกรึ่มๆ ถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ดูแล้วรู้สึกหมั่นไส้มาก

     

              “ไปนอนบ้าน แต่จะให้คิมมยองซูค้างด้วย มีไรมั้ย” ตอบกลับเพื่อนพร้อมกับที่โดนคิมมยองซูจับมือให้เดินตามออกไป

     

              “แย่อ่ะ พาผู้ชายเข้าบ้าน” อีโฮวอนยังคงตะโกนตามหลังร่างบางไปพร้อมกับรอยยิ้มล้อเลียน ซึ่งอีซองยอลก็หันกลับมาหาแล้วทำปากมุบมิบด่าด้วยสีหน้าไม่พอใจ

     

              “แกล้งซองยอลอยู่เรื่อย แล้วพอโดนมยองซูมันมาเอาคืนก็โวยวาย” คิมซองกยูส่ายหน้าให้กับท่าทางที่เหมือนเด็กๆ ของน้องในกลุ่ม

     

              “ก็ผมหมั่นไส้นี่นา ปากบอกว่าเพื่อนๆ แต่การกระทำ สายตา แล้วก็ความรู้สึกน่ะมันแค่เพื่อนที่ไหน” อีโฮวอนที่รู้ดีว่าคิมมยองซูคิดยังไงและอีซองยอลรู้สึกยังไง อยากจะให้เพื่อนทั้งสองคนยอมรับความจริงกันได้แล้วเพราะเหนื่อยเหลือเกินที่จะชงและเชียร์

     

              “มันเป็นเรื่องของคนสองคนน่า ถ้าเค้ายังสบายใจที่จะอยู่ในสถานะนี้ก็ปล่อยไปเถอะ” ดงอูยิ้มใจดีในขณะที่พยายามปลอบให้อีโฮวอนใจเย็นลง

     

              “กลัวก็แต่ว่าจะมารู้ใจตัวเองในตอนที่สายเกินไปนี่สิ” เป็นนัมอูฮยอนที่พูดขึ้น ก่อนจะยกแหล้าในแก้วขึ้นดื่มจนหมดอย่างที่คิมซองกยูห้ามไว้ไม่ทัน

     

     

     

              “ต้องขอบคุณพี่ๆ จริงๆ นะคะที่ให้หนูติดรถกลับมาด้วย” สาวสวยผมลอนที่นั่งอยู่ข้างหน้าคู่กับคนขับอย่างคิมมยองซูพูดขึ้นทำลายความเงียบหลังจากที่ก้าวขึ้นรถมาตามความใจดีของรุ่นพี่ที่ไม่อาจปล่อยให้รุ่นน้องนั่งรอรถของที่บ้านอยู่คนเดียวในตอนกลางดึกได้

     

              หลังจากที่สอบถามกันจนได้ความ ก็สรุปว่าต้องไปส่งอีซองจงที่บ้านก่อนเป็นคนแรก แล้วบ้านหลังต่อมาก็เป็นของอีซองยอลที่ยืนยันหนักแน่นว่าจะกลับบ้าน สุดท้ายคือเฮอึนที่บ้านอยู่ทางเดียวกันกับคิมมยองซูพอดี เมื่อเป็นอย่างนี้ สาวสวยคนเดียวในรถจึงขอขึ้นไปนั่งข้างหน้าคู่กับพี่มยองซูด้วยเหตุผลที่ว่าจะได้นั่งเป็นเพื่อนได้จนสุดทาง

     

              “พี่มยองซูสอบเสร็จแล้วก็คงว่างใช่มั้ยคะตอนนี้” เสียงใสๆ ถามขึ้นเพื่อชวนคุย ...ชวนคิมมยองซูคุย

     

              Seongjonggy : ขอโทษนะพี่ซองยอล ผมไม่รู้ว่าเฮอึนจะขอมาด้วย Y_Y

     

              “ก็ว่างอยู่ประมาณอาทิตย์นึงครับ” ตอบรุ่นน้องด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและรอยยิ้มที่มุมปาก

     

              Seongyeolly : ช่างเถอะ พี่ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย

     

              “จะเป็นการรบกวนมั้ยคะ ถ้าหนูอยากให้พี่มาติวให้หน่อยอ่ะค่ะ มันไม่ไหวจริงๆ” เฮอึนทำหน้าอ้อนๆ ก่อนจะลูบแขนไปมาเบาๆ เพราะรู้สึกหนาว

     

              Seongjonggy : อย่ามาหลอกผมน่า ผมรู้เหอะ *0*

     

              “ต้องรอดูก่อนนะว่าจะว่างตรงกันมั้ย” ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ แล้วก็เอื้อมมือมาหรี่แอร์ให้รุ่นน้องที่ยังคงทำท่าหนาวอยู่อย่างน่าสงสาร

     

              Seongyeolly : รู้ตัวว่าน่ารำคาญ?

     

              “พี่มยองซูใจดีจังค่ะ” อ้อมแอ้มตอบเสียงเบาแล้วทำท่าเขินคนขับด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู

     

              Seongjonggy : รู้ตัวว่าน่ารักมาก :P

     

              “หึหึ” คิมมยองซูไม่ตอบอะไรกลับไป แต่ก็ส่งยิ้มมุมปากที่แสนจะดูดีให้

     

              แล้วอีซองยอลกับอีซองจงก็พร้อมใจหัวเราะกันออกมาคิกคักจากเบาะที่นั่งด้านหลังเพราะแหย่กันเล่นในไลน์อย่างสนุกสนาน ทำให้สาวสวยและหนุ่มหล่อที่นั่งอยู่ด้านหน้าต้องหยุดบทสนทนาแล้วหันกลับมามองอย่างสนใจ

     

              “พี่ซองยอลสอบเสร็จแล้วดีจังเลยค่ะ หนูเห็นนะว่าพี่คริสมาติวให้ทุกเย็น เอล้วนแน่ๆ ค่ะเทอมนี้” เฮอึนยกยิ้มตาหยีแล้วพูดหยอกล้อรุ่นพี่ร่วมคณะด้วยท่าทางสนิทสนม ก่อนที่จะยกแขนขึ้นกอดอกเพราะอุณภูมิในรถมันหนาวมากแม้ว่าคิมมยองซูจะลดแอร์ให้แล้วก็ตาม

     

              “ซองยอล หยิบผ้าห่มตรงนั้นส่งให้น้องหน่อยสิ” คิมมยองซูมองมาที่กระจกมองหลังแล้วบอกให้อีซองยอลหยิบผ้าห่มที่มีติดรถเอาไว้อยู่ตลอดมาให้สาวสวยด้านหน้า

     

              ...ผ้าห่มผืนนุ่มลายรีลัคคุมะที่อีซองยอลชอบ และใช้ห่มเกือบทุกครั้งที่ขึ้นรถคันนี้

     

              “ขอบคุณนะคะ” เฮอึนบอกขอบคุณคิมมยองซูทั้งที่อีซองยอลเป็นคนส่งผ้าห่มให้

     

              ดวงตาคู่หวานของอีซองยอลมองสบกับดวงตาคู่คมอยู่ชั่ววินาทีก่อนจะหันไปทางอื่น เพราะไม่อยากเห็นว่ามีคนอื่นกำลังใช้ของๆ ตัวเองอยู่

     

     

     

              อีซองจงลงรถไปแล้ว เหลือคน 3 คนที่ยังต้องเดินทางด้วยกันต่อ แต่ทว่ากลับมีเพียงคนแค่ 2 คนเท่านั้นที่กำลังคุยกัน

     

              “หนูเห็นเฟซบุคของพี่มยองซูมาตั้งนานแล้วค่ะ แต่ก็ไม่กล้าแอดไป” เฮอึนที่นั่งอุ่นอยู่ในผ้าห่มผืนนุ่มพูดกับคิมมยองซูมาตลอดทางอย่างสนุกสนาน

     

              “อ้าว ทำไมล่ะ” ฝ่ายคนขับเองก็ต่อบทสนทนาอย่างไม่ทิ้งช่วงให้ขาดตอน

     

              “ถ้าหนูแอดไปแล้วพี่จะรับมั้ยล่ะคะ” ดวงตาคู่เรียวรีมองไปที่คิมมยองซูอย่างตั้งใจ

     

              “ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับนี่ครับ” หันมามองหน้ารุ่นน้องอยู่แว้บหนึ่งก่อนที่จะหันกลับไปมองถนนด้านหน้าต่อพร้อมรอยยิ้มมุมปาก

     

              ร่างบางที่ด้านหลังนั่งฟังบทสนทนาเหล่านั้นไปพร้อมๆ กับที่ค่อยๆ ขยับแขนเรียวขึ้นมากอดตัวเองเอาไว้ ...อีซองยอลกำลังหนาว

     

              “ฝันดีนะคะพี่ซองยอล บายยยยย” เป็นเฮอึนที่ลดกระจกลงมาโบกมือให้อีซองยอลที่ยืนอยู่หน้าบ้าน ก่อนที่รถของคิมมยองซูจะขับออกไปแล้วทิ้งเหลือไว้แค่ค่ำคืนเงียบๆ ของฤดูร้อน

     

     

     

              “ฮึกกกก ฮืออออ” อีซองยอลกำลังนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวที่โต๊ะประจำในค่าเฟ่ร้านโปรด แก้วอิตาเลี่ยนโซดาที่วางอยู่ข้างหน้าเริ่มละลายและจืดจางลงไปพร้อมๆ กับความรู้สึกที่ชัดเจนขึ้นจนเจ็บปวด

     

              อีซองยอลยังอยู่ในชุดเดิม เสื้อยืดสีขาวที่เปื้อนเหล้ากับสกินนี่ยีนส์ขาดๆ ที่ทำให้ต้องหนาว ในทันทีที่รถของคิมมยองซูขับห่างออกไปจากสายตา อีซองยอลก็คิดว่าถ้าได้อิตาเลี่ยนโซดาสักแก้วคงจะทำให้รู้สึกดีขึ้น

     

              แต่ก็ไม่เลย

     

              เครื่องดื่มแก้วโปรดสีสวยที่เคยหวานหอมสดชื่น ในตอนนี้กลับให้รสขมขื่นที่ชวนเศร้า

     

              ...เหมือนกับใครบางคนที่ไม่อยากรออีกต่อไป

     

              “ทำไมมาอยู่นี่! ห๊ะ! มันดึกแค่ไหนแล้วรู้บ้างมั้ย!” คิมมยองซูที่กำลังหอบอยู่น้อยๆ ขึ้นเสียงใส่ร่างบางที่นั่งน้ำตาคลออยู่ตรงหน้าในทันที เพียงแค่คืนนี้คืนเดียว อีซองยอลทำให้คิมมยองซูต้องเป็นห่วงแล้วก็โกรธมากี่ครั้งแล้ว

     

              คนตรงหน้าจะรู้บ้างมั้ยว่าคิมมยองซูใจเสียมากแค่ไหน ที่พอหลังจากส่งเฮอึนเสร็จแล้วตั้งใจวนรถกลับมาหา แต่ก็ไม่มีใครมาเปิดประตูให้ทั้งๆ ที่เพิ่งมาส่งจนถึงหน้าประตูบ้านเมื่อสักครู่นี่เอง

     

              ...กลัวไปหมดว่าอีกคนจะเป็นอะไรไป

     

              “ฮืออออออออ” อีซองยอลผวาเข้าหาคิมมยองซูในทันที่อีกฝ่ายโวยวายเสร็จ ร่างแข็งแรงของคนที่รีบออกมาตามหารับเอาร่างบางมาไว้ในอ้อมกอดอบอุ่นก่อนที่จะพานั่งลงแล้วเช็ดน้ำตาให้

     

              “ร้องไห้ทำไมครับ หื๊มมมม” มืออุ่นปาดน้ำตาที่ไหลลงมาตามแก้มนุ่มให้อย่างเบามือ

     

              “ฮึกกก เราไม่ชอบเลย ฮึกก...” อีซองยอลส่ายหน้าใส่คิมมยองซูพร้อมกับบอกความรู้สึกในใจออกมา

     

              “ไม่ชอบอะไรครับ ไหนบอกมาซิ” จากที่คิมมยองซูกำลังโกรธคนตรงหน้านี้อยู่ ก็ต้องกลายเป็นคนมานั่งปลอบและเช็ดน้ำตาให้ ...ก็รู้ดีแก่ใจน่ะนะ ว่าไม่เคยเลยสักครั้งที่จะทำใจแข็งใส่อีซองยอลได้

     

              “ไม่ชอบอิตาเลี่ยนโซดาเลย ฮึกกกก มันไม่อร่อยแล้ว” อีซองยอลที่ถูกอีกคนประคองใบหน้าไว้ในมือทั้งสองข้าง มองสบตากับคนตรงหน้าด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอๆ

     

              “...” คิมมยองซูนิ่งเงียบ และรอฟัง

     

              “...” อีซองยอลยังกลัวที่จะพูดออกไป

             

              “...รออยู่นะ” คิมมยองซูพูดเบาๆ อย่างใจเย็น ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยไล้ริมฝีปากนุ่มอย่างรอคอย

     

              “...” อีซองยอลรู้สึกใจสั่น

             

              “...” คิมมยองซูหลับตาลงอย่างอดทน ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมามองคนตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้อีซองยอลสบายใจทุกครั้งที่ได้มอง

     

              ...คิมมยองซูยังคงนั่งอยู่ข้างๆ และมีรอยยิ้มให้อีซองยอลอยู่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน

     

              “เราชอบคุณ ชอบมากกว่าอิตาเลี่ยนโซดา ชอบมากๆ ...จนเหมือนว่าจะรัก” อีซองยอลตัดสินใจพูดออกมา พูดออกมาทั้งหมดหลังจากที่ใช้เวลาอยู่หลายปีในการทำให้ใครอีกคนต้องรอ

     

              มืออุ่นของคิมมยองซูเลื่อนไปประคองที่ท้ายทอยสวยของอีซองยอลเอาไว้ ก่อนที่มืออีกข้างจะจับใบหน้าเนียนหวานให้เอียงองศาขึ้นรับกับสัมผัสที่รอมอบให้มาตั้งนาน

     

              ริมฝีปากร้อนของคิมมยองซูประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มของอีซองยอลอย่างนุ่มนวล แตะจูบ แตะจูบ ซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นเพื่อตอกย้ำให้รู้ว่าในที่สุดวันนี้ก็มาถึง

     

              ก่อนที่จะบดเบียดสัมผัสกับอีกฝ่ายอย่างแนบแน่น ทั้งดูดดึง ทั้งคลึงเคล้าริมฝีปากของคนตรงหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะส่งลิ้นร้อนไล้เลียไปตามผิวนุ่มเพื่อทำความคุ้นเคยแล้วรุกล้ำเข้าไปในโพรงปากอุ่นที่แสนหวานและกรุ่นกลิ่นสตรอเบอรี่อิตาเลี่ยนโซดา

     

              “อื๊ออออออ” เสียงหวานครางประท้วงดังขึ้นมาเพราะไม่เห็นทีท่าว่าอีกฝ่ายจะหยุดจูบที่ดูดดื่มนี้ลง

     

              “ชักจะชอบอิตาเลี่ยนโซดาขึ้นมาแล้วสิ” คิมมยองซูกระซิบที่ข้างหูของอีซองยอลพร้อมกับเอื้อมมือมาเช็ดน้ำใสๆ ที่เปื้อนอยู่ตรงมุมปากให้

     

              “ชอบมากกว่าเรารึเปล่า” อีซองยอลพึมพำถามอย่างอยากรู้

     

              “ฉันชอบนายที่ไหนกัน” คิมมยองซูเลิกคิ้วใส่คนตรงหน้าอย่างนึกสงสัย

     

              “หื๊ออออออ” อีซองยอลทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ นี่อย่าบอกนะว่าอีกคนไม่ได้คิดอะไร ...แล้วมาจูบเอาๆ นี่นะ! ฮึ่ย!

     

              “ฉันไม่ได้ชอบนายหรอกนะ ฉันรักนาย” คิมมยองซูพูดคำว่ารักอย่างจริงจังและจริงใจที่สุดเท่าที่คนๆ หนึ่งจะรู้สึกกับคนอีกคนได้

     

              แล้วในคืนนั้นของฤดูร้อน คิมมยองซูกับอีซองยอลก็เลิกเป็นเพื่อนกัน

     

              โดยที่ในวันต่อมา คิมมยองซูต้องซื้อผ้าห่มลายรีลัคคุมะผืนใหม่มาให้เป็นของขวัญในวันแรกของการเป็นแฟนกัน

     

              ...แน่นอนว่ามีอิตาเลี่ยนโซดาติดมือมาให้ด้วยอีกหนึ่งแก้ว


     


    end.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×