ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {infinite★fanfic} 2014 Some Summer PJ´ ; all for Sungyeol

    ลำดับตอนที่ #3 : If My Heart was a House ch.01 ; sungyeol by Joliere

    • อัปเดตล่าสุด 28 ส.ค. 57



    If My heart was a house, you’d be home

     infinite fanfiction, sungyeol, domestic au, heart-comfort, pg-13

    Sky’s still blue-Andrew Belle

    by joliere

      

       

              ปลายเดือนสิงหาคม ดอกไม้บานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิเริ่มร่วงหล่น กลิ่นความสดชื่นฟุ้งกระจายไปทั่วเมืองเคล้ากับแสงสีส้มเจิดจ้าสาดทแยงพาดทับผ้าที่ตากเรียงรายไว้บนราว อากาศร้อนอบอ้าวแต่โชคดีที่มีลมเอื่อยๆพัดมาเจือจางความร้อนยามบ่ายชะงัก จักจั่นร้องระงมราวกับต้องการป่าวประกาศให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเหลียวมองรถจักรยานเก่าๆสีฟ้าจอดข้างรถออดี้สีดำเงาวับอย่างไม่เข้ากันในโรงรถ



              ไม่ต่างกับเจ้าของของมันทั้งคู่



              ในห้องนั่งเล่นของบ้านหลังหนึ่งกลางกรุงปักกิ่ง มู่ลี่สีขาวสะอาดล้อลม กีต้าร์โปร่งสีเบจนอนพักผ่อนอยู่ตรงมุมห้อง เด็กหนุ่มคนหนึ่งเลียนแบบกีต้าร์ตัวนั้นต่างกันแค่อยู่บนโซฟาสีน้ำเงินเข้ม บนพื้นใกล้ๆกันมีกระบอกน้ำพร้อมถุงขนมที่เปิดทิ้งไว้ สมุดการบ้านวางห่อเหี่ยวอยู่บนอกบนปกเขียนด้วยปากกาเมจิกสีน้ำเงินซึ่งเลือนไปแล้วจนอ่านแทบไม่ออก ดูยังไงก็เหมือนว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่คนสลักสำคัญอะไร เผลอๆจะระเหิดระเหยหายไปเช่นเดียวกับหยดน้ำที่เกาะอยู่บนกระบอกน้ำด้วยซ้ำไป


              แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่สำหรับหลี่เฉิงลี่



              อีซองยอล--ใครๆก็เรียกเด็กหนุ่มที่กำลังนอนหนุนตักของเขาแบบนั้น แต่จะด้วยน้ำเสียงยังไงก็ขึ้นอยู่กับว่าสนิทสนมกันมากน้อยแล้วแต่คนไป ส่วนใหญ่ที่เฉิงลี่ได้ยินเข้าหูบ่อยๆมักออกแนวชื่นชมมากกว่า แต่ก็มีไม่น้อยที่คอยเขม่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้หลายครั้งเฉิงลี่จะคอยประท้วงเจ้าตัวและบอกให้เลิกทำเป็นไม่รู้ จนแล้วจนรอดก็ไม่พ้นจะถูกปลอบเสียเองด้วยคำว่า “ไม่เป็นไร” “ช่างมันเถอะ” เสมอ โดยเฉพาะเมื่อซองยอลพูดว่า “แค่อาเข้าใจก็พอแล้วน่า” พอได้ยินแบบนั้นเฉิงลี่ก็ทำตัวไม่ถูก ก้อนสะอึกเล็กๆจุกอยู่ที่คอและไม่ยอมหายไปตั้งหลายต่อหลายนาที จนกว่าซองยอลจะสังเกตเห็นและแกล้งเฉไฉพูดเรื่องอื่นแทน



              “อาเฉิงลี่...” เสียงแหบพร่าเพราะเพิ่งตื่นนอนทำเฉิงลี่ที่เหม่อลอยไปไกลพ้นขอบเขตที่ตามองเห็นกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เขายิ้มนิดๆพลางลูบผมของซองยอลให้เข้าทรง



              “ตื่นแล้วเหรอ?”



              “ยัง” เด็กหนุ่มตอบกวนๆ เห็นว่าอีกคนไม่ได้ว่าอะไรเลยพูดต่อ “คิดอะไรอยู่เหรอ เหม่อไปไกลเชียว”



              เฉิงลี่ไม่ตอบในทันที เขาหัวเราะแล้วหยุดลูบผมซองยอลและชี้นิ้วไปทางประตูระเบียงที่เปิดอ้าไว้ คำพูดที่ว่า“พระอาทิตย์จะตกแล้ว”ของเฉิงลี่พรางให้ซองยอลลืมคำถามของตัวเองและถูกกดแช่ให้อยู่กับภาพที่เฉิงลี่พยักพเยิดให้มอง พระอาทิตย์ดวงโตส่องแสงจ้าเต็มที่แม้จะเป็นระลอกแสงสุดท้ายของวันก็ตาม



              “อากำลังคิดอยู่ว่าดวงอาทิตย์ก็ออกจะใหญ่โต ทำไมเวลามันตกถึงไม่มีเสียง”



              “สวยเนอะ” ซองยอลพูด ดวงตากลมจ้องมองดวงอาทิตย์ยามเย็นดั่งต้องมนต์ จนคนอายุมากกว่าเกรงว่าคนตัวเล็กจะเจ็บตาเพราะถูกแสงจ้าทิ่มแทงนัยน์ตาเลยยกมือขึ้นบังแสงที่สะท้อนเข้าตาให้ แต่ไม่ทันไรซองยอลก็หลับตาลงอีกครั้ง แสงสีส้มจัดลามเลียใบหน้าซึ่งโชนด้วยความสงบให้เฉิงลี่ยิ้มขำๆได้อีกครั้ง เขาทำหน้าที่เช่นเดียวกับสายลมแสนดีที่ยังคงพัดมาด้วยอัตราเร็วเท่าเดิมด้วยการนั่งมองเด็กหนุ่มเงียบๆอย่างที่ทำมาตลอดทั้งช่วงบ่าย



              “ขอผมนอนต่อหน่อยนะฮะ...อาเฉิงลี่”



              เด็กหนุ่มพูดทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ประกายรักใคร่สะท้อนอยู่ในดวงตาคมกริบของชายหนุ่มถึงจะไม่แน่ใจเท่าไรนักว่าอีกคนจะรับรู้หรือไม่ก็ตาม เขาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงให้สัญญาเงียบๆอยู่ในใจคนเดียว ไม่ว่าซองยอลจะร้องขออะไรยังไงมันก็เป็นหน้าที่ของเฉิงลี่อยู่แล้ว ถ้าซองยอลมีหน้าที่ขอ เขาก็มีหน้าที่ทำให้เป็นความจริงตามคำสัตย์ที่เคยให้ไว้กับเด็กหนุ่ม



              ไม่ใช่ว่าเพราะเลือกไม่ได้ เป็นเพราะเขาเลือกแล้วต่างหาก


              หลี่เฉิงลี่เลือกแล้วตั้งแต่ตอนนั้น…


              .


              .


              .



              ซองจดหมายเรียบๆสีขาว ติดแสตมป์ดอกอิงฮวาและตราประทับของประเทศเกาหลีเดินทางมาหาเฉิงลี่ถึงสำนักงาน เขาแกะซองจดหมายออกมาดูหลังจากบุรุษไปรษณีย์เดินไปลับตาแล้วแทบจะในทันทีทันใด มองปราดเดียวก็รู้ว่าการ์ดสีชมพูในซองซึ่งจ่าหน้ามาหาเขาโดยตรงคือการ์ดเชิญร่วมงานแต่งงานแต่มั่นใจว่าชื่อที่อยู่บนการ์ดไม่อยู่ในสาระบบความทรงจำ ประกอบกับสมองถูกครอบงำจมลึกไปในความเหน็ดเหนื่อยจากเรื่องงานทั้งวัน จึงต้องใช้เวลาคิดดูซักครู่ถึงนึกออกว่าเจ้าของชื่อซองกยูบนการ์ดในฐานะว่าที่เจ้าบ่าวกับเฉิงกุ้ยที่อยู่บนหน้าซองจดหมายในฐานะผู้ส่งและเป็นรุ่นพี่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยคือคนเดียวกัน



              เขารู้จักเฉิงกุ้ยดีแต่นึกไม่ถึงว่าชายคนที่ออกจะเป็นผู้นำและโผ่งผ่างจะบูชาความรักมากถึงขนาดนี้จนถึงขนาดยอมเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาเกาหลีตามว่าที่ภรรยา หลังจากที่เคยสร้างความตกใจให้เฉิงลี่เมื่อหลายเดือนก่อนว่าตนกำลังคบหาอยู่กับแม่ม่ายคนหนึ่ง อายุมากกว่าเจ้าตัวราวๆเจ็ดปีแถมยังมีลูกติดอีกต่างหาก ทั้งที่เจ้าตัวเคยป่าวประกาศเอาไว้กลางวงเหล้าเมื่อหลายปีก่อนว่า



              “ฉันจะแต่งงานกับสาวบริสุทธิ์เท่านั้น ต้องอายุน้อยกว่าด้วยจะได้ปกครองกันง่ายๆหน่อย พวกเอ็งก็เลือกหน่อย อย่าไปคว้าใครทำเมียซี้ซั้วล่ะ”



              ชายหนุ่มยิ้มเยาะออกมาแล้วปล่อยการ์ดแต่งงานให้นอนแอ้งแม้งอยู่บนโต๊ะทำงานจนตัวเองลืมไปว่าเคยได้รับมันมาด้วยซ้ำ แต่ด้วยโชคเข้าข้างหรือไม่ก็เป็นไปตามใครซักคนลิขิต หมิงซู--ผู้เป็นทั้งเพื่อนสนิทและเจ้าของร่วมบริษัทรับออกแบบบ้านบังเอิญมาเจอการ์ดและเจ้าจี้เจ้าการลาพักร้อนให้เฉิงลี่เสร็จสรรพทั้งที่เฉิงลี่ยังไม่ได้ร้องขอซักคำ



               “ไปเปลี่ยนบรรยากาศให้หัวมันโล่งบ้างเถอะไป หุบปากให้สนิทไม่ต้องมาเถียงเลย นายเป็นคนนะเว้ยไม่ใช่เครื่องจักร” หมิงซูให้เหตุผลประกอบแบบนั้น



              และสุดท้ายตั๋วเครื่องบินที่เฉิงกุ้ยหรือชื่อปัจจุบันคือซองกยูส่งมาก็ไม่แปลงเป็นเศษกระดาษไร้ค่าเปล่าอย่างที่เฉิงลี่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ทีเริ่ม



              ถึงจะทำใจไว้แล้วแต่พอเอาเข้าจริงชายจากแผ่นดินใหญ่กลับรู้สึกอึดอัดใจมากกว่าที่คิด คงเป็นเพราะวันวันหนึ่งเขาเจอกับตั้งเอกสารบ่อยมากกว่ามีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน เลยลืมว่าควรยิ้มตอบหญิงสาวคนหนึ่งที่หันมาสบตายิ้มให้ มีแค่สองสามครั้งเท่านั้นที่ใจเต้นตูมตามเพราะเห็นคนที่ดูคุ้นตาผลุบโผล่ในหมู่คนที่เขาไม่รู้จักและภาษาที่ไม่กระดิกหูซักนิดพลางแว่วเสียงภาษาจีนลอยเข้ามาในหู แต่เมื่อลองกะพริบตาทั้งเสียงทั้งภาพนั้นก็อันตรทานหายไปซะแล้ว ความอึดอัดที่มากขึ้นตามเวลาที่ฝังรากอยู่ในงานสั่งให้เขาพาตัวเองออกจากบริเวณงานให้เร็วที่สุดหลังแสดงความยินดีและมอบของขวัญให้เฉิงกุ้ยเรียบร้อยแล้ว



              ฉันคงจะแก่เกินไปเลยตาฝาดหูเฝื่อนซะแล้วมั้ง เฉิงลี่คิดอย่างไม่ได้จริงจังเท่าไรนัก



              เพราะเป็นปลายเดือนกรกฎาคมอุณหภูมิเลยค่อนข้างสูงแม้ถึงเวลาที่ดาวประจำเมืองเปล่งแสงเต็มที่แล้วก็ตาม เฉิงลี่จำต้องถอดสูทแบรนด์อาร์มานี่วางพักไว้บนพนักพิงม้านั่งยาว แขนเสื้อเชิ้ตยาวถูกพับทบขึ้นถึงข้อศอก กระดุมถูกปลดออกเผยให้เห็นแผงอกกว้าง เบียร์กระป๋องเย็นเฉียบไม่ช่วยอะไร กลับแย่ลงด้วยซ้ำเพราะทำให้ข้างในอกถึงท้องร้อนผ่าว ร่างกายเลยประท้วงเล็กๆด้วยการขับเหงื่อออกมาให้เชิ้ตขาวชื้นแฉะ ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจ ยัดหูฟังใส่หูปล่อยให้โสตประสาทซึมซับเอาเสียงดนตรีเข้าไปเต็มๆ



              “Look at the stars. Look how they shine for you. And everything you do. Yeah they were all yellow”



              ชายหนุ่มเริ่มติดลม เขายึดเอาม้านั่งยาวเป็นมุมประจำของตัวเองโดยสมบูรณ์ ขายาวๆขยับขึ้นลงไปตามจังหวะดีดกีต้าร์ที่ได้ยินผ่าน นิ้วเรียวพรมลงบนม้านั่งต่างลิ่มนิ้วแกรนด์เปียโน เหลือบตามองทิวทัศน์ไกลสุดสายตาที่ดูผ่านๆคล้ายกับภาพวาดสีน้ำที่มีท้องฟ้าสีน้ำเงินเป็นพื้นหลังและมีหยดสีนับร้อยนับพันเป็นจุดเด่นของภาพ แต่มีสามดวงที่สะดุดตาเป็นพิเศษ เสียงเล็กๆในใจกระซิบกระซาบให้เขาลองลากเส้นต่อกัน ซึ่งเฉิงลี่ก็ทำตามเสียงนั้นแต่โดยดี



              สุดท้ายเขาได้รูปสามเหลี่ยมด้านไม่เท่ากลับมา


              อย่าเพิ่งคิดเรื่องงานน่า



              เขาคิดพลางส่ายหน้า ที่ผ่านมาคงจะคลุกคลีอยู่กับเส้นสายบนแผ่นกระดาษดราฟท์แบบมากเกินไปเลยมองเห็นอะไรเป็นรูปเส้นสายลักษณะนั้นไปซะหมด จุดนี้เขาโบ้ยความผิดครึ่งหนึ่งให้หมิงซูที่ชักชวนให้เขาลงขันเปิดบริษัทร่วมกับเจ้าตัว ใจหนึ่งก็โทษตัวเองที่ดันเหม่อจนคล้อยตามไปหน้าตาเฉย แต่ถ้าให้ตัดสินใจอีกทีเขาก็คงไม่อิดออดและตอบตกลงเหมือนเดิม



              ถ้าไม่ตอบตกลงไปจนป่านนี้เฉิงลี่อาจจะยัง...ทำใจให้ชินไม่ได้ หลังจากทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้เพราะมีบริษัทที่ต้องดูแล เมื่อเขาหวนคิดถึงภาพแผ่นหลังของหญิงสาวที่เดินลับไปจากสายตา เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บจี๊ดๆที่ใจเหมือนอย่างที่เคยอีกต่อไป เพียงแค่เขายังไม่มีความกล้าพอจะถอดห่วงซึ่งบีบรัดอยู่ตรงนิ้วนางข้างซ้ายก็เท่านั้น ชายหนุ่มอมยิ้มแล้วเบือนหน้าหนีจากท้องฟ้าหลังจากเคลิ้มไปกับเรื่องเก่าๆมาแวบหนึ่ง



              “นั่นน่ะ สามเหลี่ยมฤดูร้อน” อยู่ๆเสียงใสกังวานเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขัดจังหวะความคิดที่กำลังบรรเลงในหัวของเฉิงลี่ “กำลังสงสัยอยู่ใช่มั้ยล่ะฮะ”



              ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อ เขาทำหน้างงแล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นเข้าใจอย่างรวดเร็วจนดูตลก หลังจากได้ยินภาษาจีนที่ตัวเองไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน เขาหันไปมองทางเสียงที่ลอยมาเห็นเด็กหนุ่มผมสีดำเข้มไร้สีเทาแซมร่างผอมกะหร่องยืนอยู่ สวมเชิ้ตสีขาวสะอาดทับด้วยกั๊กสีเทาและสูทสีดำ ไม่มีเครื่องประดับใดนอกจากช่อดอกไม้สีชมพูกลัดที่ปกเสื้อ เด็กหนุ่มมองเขม็งตรงที่ว่างข้างๆเฉิงลี่แล้วเลิกคิ้วขึ้น ทำท่าลังเลว่าจะนั่งดีหรือไม่ ในที่สุดก็ตัดสินใจลงนั่งตรงที่ว่างนั้นอย่างว่องไวโดยไม่รอฟังคำทักท้วงใดๆจากคนอายุมากกว่า



              “เข้าไปนั่งดื่มอย่างอื่นข้างในงานน่าจะเย็นกว่าตรงนี้นะ”



              คุณอา เฉิงลี่คิดตาม ตรงกับที่ทำเครื่องหมายไว้ในใจ เด็กนั่นคงอายุน้อยกว่าเขาเอาการ เฉิงลี่เดาเอาจากพวงแก้มขาวใสเจือชมพูไร้ริ้วรอย ไหนจะประกายสดใสในแววตากลมโตที่มองตรงไปยังทิศเดียวที่เขาเคยมองเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วก่อนเด็กหนุ่มจะปรากฏตัว



              “เธอเองก็ออกมาจากงานนั่นมาเหมือนกันไม่ใช่หรือไง” เฉิงลี่มองหน้าเด็กหนุ่มกึ่งฉุนกึ่งนึกสนุก สิ่งเดียวที่เฉิงลี่ต้องการในขณะนี้คือหลีกเลี่ยงสิ่งที่เดาและควบคุมยาก โดยเฉพาะเด็ก แล้วเด็กนี่ก็โผล่มาแทบจะในทันทีเลยเชียว



              ปกติแล้วที่ว่าควบคุมยากในความหมายของเขาคือควบคุมอีกฝ่าย แต่--เจ้าเด็กนี่--บริบทดันเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อขนาดเท่ากำมือที่วางตัวอยู่ในช่องอกซ้ายที่ควบคุมยากแทน มันค่อยๆเพิ่มอัตราเร็วรัดตัวมากขึ้นแม้เฉิงลี่จะพร่ำบอกให้มันเต้นช้าลงก็ตาม แต่ก็ล้มเหลวลงทั้งหมดเมื่อดวงตาที่เหม่อมองฟ้าเปลี่ยนมามองเขาแทน ไม่เชิงว่าไม่ชอบเพราะเขา--แต่ให้ตายสิ--จะมีพิรุธมากเกินไปแล้ว



               “ก็ผมชอบอากาศข้างนอกมากกว่า” พูดไม่ทันจบเด็กหนุ่มก็ชันเข่าขึ้นกอด ยิ่งทำให้ดูตัวเล็กกะเปี๊ยกลงไปถนัดตา “แต่เดาว่าเหตุผลของคุณอาคงไม่เหมือนกับของผมหรอก--ใช่มั้ยล่ะ”



              “รู้ดีน่า” เขาผ่อนลมหายใจสะท้านก่อนพูดต่อ “เราไม่เคยเจอกันด้วยซ้ำ”



              “ตอนเห็นคุณอาในงาน ผมแทบจะมองเห็นคำว่าฉันอยากออกไปข้างนอกใจจะขาดอยู่แล้วแปะอยู่บนหน้าผากของคุณอาเลยนี่” เด็กหนุ่มพูดแย้งให้เฉิงลี่รู้ว่าคำพูดของตัวเองผิด อย่างน้อยอีกฝ่ายก็เคยเห็นเขามาก่อนหน้านี้



              “ก็คงทำนองนั้น” เฉิงลี่ตอบแล้วยกเบียร์กระป๋องสุดท้ายขึ้นดื่มจนหมดแล้วโยนกระป๋องเปล่าลงถังขยะส่งเสียงดังเคร้งก้องไปทั่ว ทว่าในหูเขาได้ยินแค่เสียงโอ่อ่าภูมิใจของเด็กหนุ่มเท่านั้น



              “ลองไปอยู่ในที่ที่เธอฟังใครพูดไม่รู้เรื่อง ไม่มีทั้งภาษาเกาหลีทั้งภาษาอังกฤษ ถ้าเป็นเธอจะทำยังไงล่ะ” เพียงนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เด็กหนุ่มจะนั่งลงข้างๆ ความอึดอัดจางๆก็เดือดปุดกลางใจ เขาสานมือไว้ที่ท้ายทอยเอนพิงพนักเต็มที่อย่างเกียจคร้าน แล้วค่อยหันมองเด็กหนุ่มเพื่อรอฟังคำตอบ



              เด็กหนุ่มจงใจนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่งก่อนตอบออกมาว่า “ก็คงพูดภาษาจีนแทนมั้ง”



              เฉิงลี่หัวเราะร่าแทนที่จะรู้สึกปวดประสาทกับคำตอบแบบกำปั้นทุบดิน ชายหนุ่มเงยหน้ามองฟ้าอีกครั้งแล้ว รอยยิ้มพรายระบายเต็มใบหน้าเจือจานลงในวินาทีต่อมาพร้อมจังหวะการหายใจที่ติดขัดไปไม่เป็น เมื่อใบหน้าเยาว์วัยของเด็กหนุ่มเคลื่อนเข้ามาใกล้ มีเพียงอากาศบางๆไม่กี่นิ้วที่กั้นเขาออกห่างจากเด็กหนุ่มเท่านั้น



              ชายหนุ่มเพิ่งสบโอกาสเพ่งพิศใบหน้าเล็กของเด็กนี่ใกล้ๆ น่าแปลกว่าเขากลับมองไม่เห็นร่องรอยตำหนิใดๆ หนำซ้ำจะยิ่งก้าวขาพลาดลงไปในหล่มที่เด็กหนุ่มขุดเอาไว้อีกต่างหาก--น่ารัก--จนแทบไม่น่าเชื่อว่าคนคนหนึ่งที่แต่ละส่วนไม่ได้สมบูรณ์แบบไปซะหมด ทว่าเมื่อประกอบรวมเป็นคนเดียวกลับดึงดูดสายตาและความสนใจเอาไว้ได้หมดจะมีอยู่จริงบนโลก แต่ลมหายใจอุ่นๆที่เฉิงลี่รู้สึกได้เป็นหลักฐานยืนยันชั้นดีว่าเด็กหนุ่มมีตัวตนจริง



              ไม่ได้เป็นแค่ภาพที่เฉิงลี่คิดไปเอง



              คนอายุน้อยกว่าผละออกจากใบหน้าชายหนุ่ม ลมหายใจติดขัดของเฉิงลี่เริ่มเข้าร่องเข้ารอย “คุณอาดูคล้ายๆกับ--” เด็กหนุ่มเงียบแล้วเอ่ยต่อ “พ่อของผมเลย”



              “จะบอกว่าหน้าฉันแก่หรือยังไง หืม?” เฉิงลี่ถามขำๆ



              “ไม่ใช่นะฮะ แต่ในรูปที่ผมเห็นมันเป็นแบบนั้นจริงๆ” เฉิงลี่ปฏิเสธไม่ลงว่าคำพูดของเด็กหนุ่มมีความจริงปนอยู่ไม่น้อย ถ้าไม่นับว่าแก้มป่องของเด็กหนุ่มไม่มีริ้วรอย ผิวกร้านไม่เท่าและบนศีรษะไม่มีเส้นผมสีเทาขึ้นแทรกประปรายเหมือนอย่างเขาแล้วล่ะก็ ทั้งคู่มีส่วนคล้ายกันมากทีเดียว



              “พ่อที่เป็นพ่อแท้ๆน่ะฮะ ไม่ใช่พ่อคนนี้” เฉิงลี่ลอบมอง แน่ใจว่าในเสียงเริงร่าจะต้องมีกระแสความรู้สึกสองสายพลุ่งพล่านอยู่ ส่วนในใจเขาเองก็มีความสับสนขัดแย้งเช่นกัน หนึ่งนั้นคือไม่อยากเสียมารยาท อีกฟากเป็นความสนใจใคร่รู้หรือจะอยากรู้จักเด็กคนนี้มากขึ้น และด้วยความเป็นเด็กเลยอ่อนไหวและรับมือกับความเงียบไม่ค่อยได้ เด็กหนุ่มจึงพูดต่อเพื่อไม่ให้มีพื้นที่ว่างให้ความเงียบแทรกตัวระหว่างตัวเองกับชายหนุ่ม



              “ผมหมายถึงคุณอาซองกยูน่ะฮะ”




              เด็กหนุ่มยิ้มบางๆ และพูดต่อ



              “แม่ผมแต่งงานกับเขาแล้ว เพราะงั้น...ต่อไปนี้ผมต้องเรียกเขาว่าพ่อแล้วนี่เนอะ...”



              คำพูดของเด็กหนุ่มฮุคเข้ากลางตัว เฉิงลี่รู้สึกเสียดจุกส่วนล่างของช่องท้องราวกับมีตะขอที่มองไม่เห็นเกี่ยวมันแล้วดึงตัวเขาขึ้นไปแขวนไว้บนคบไม้สูงฉับพลัน



              “ผมชื่ออีซองยอลฮะ คุณอาล่ะ?”


              .


              .


              .



              “ฉันว่านายเปลี่ยนไปนะ ไม่รู้สิ--อาจจะตั้งแต่กลับมาจากงานแต่งไอ้บ้านั่นล่ะมั้ง” หมิงซูเกริ่นกับเฉิงลี่กลางดึกขณะที่ฟุตบอลนัดกระชับมิตรดำเนินมาถึงช่วงพักครึ่งแรก เห็นว่าฝ่ายหลังไม่ได้ใส่ใจกับเกมตรงหน้าเท่าที่ควร กลับวางสายตาว่างเปล่าไว้ที่หนังสือดาราศาสตร์เล่มหนึ่งบนโต๊ะกาแฟแทน



              “เปลี่ยนไปยังไง” เฉิงลี่ถาม “ฉันทำอะไรแปลกๆงั้นเหรอ”



              “ไม่แปลกหรอกถ้าเป็นคนอื่น แต่เพราะเป็นนายมันเลยแปลก” พลางกวาดสายตาไปรอบๆบ้าน การเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยวางเกะกะทั่วทุกมุมห้องถูกเก็บไว้ในที่ที่ควรอยู่ ที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะสะอาดเอี่ยมไร้ขี้ฝุ่น ตู้รองเท้าแปลกหน้า ครีมบำรุงผิวในห้องน้ำ ทรงผมที่ตัดแต่งเป็นทรงและสีเข้มมากขึ้นของเจ้าของห้องทำให้เขานึกประหลาดใจ “มีอะไรดีๆเกิดขึ้นหรือไง”



              “ไม่เชิง”



              หมิงซูผิวปากแซว รู้ดีว่าชีวิตของเพื่อนสนิทของเขาก็เหมือนกับคอมพิวเตอร์ที่ถูกป้อนข้อมูลชนิดแก้ไขไม่ได้ ตื่นเช้าไปทำงาน ตกเย็นเลิกงานกลับบ้านหรือออกไปสังสรรค์บ้างตามประสาหนุ่มโสด ไม่มีความหมายในแง่ความแปลกใหม่ แต่จากคำตอบและรอยยิ้มเล็กๆซึ่งชายหนุ่มมักจะหยิบขึ้นมาประดับบนใบหน้าทุกครั้งที่สบโอกาส บอกใบ้ให้หมิงซูรู้ว่าคงมีแฮกเกอร์มือดีลงมือแก้ไขข้อมูลให้คอมพิวเตอร์ที่ชื่อเฉิงลี่สำเร็จจนได้



              “คราวนี้ใครล่ะ เจ๋งชะมัด”



              “เบียร์หน่อยมั้ย” เฉิงลี่นึกสนุกที่เห็นสีหน้าอยากรู้เบ่งบานบนใบหน้าหมิงซู อยากเห็นเพื่อนรักทุรนทุรายอีกหน่อย จึงไม่ได้ตอบแต่เดินไปที่ตู้เย็น ฉวยกระป๋องเบียร์สีเงินเมทัลลิกเย็นเฉียบออกมาสองกระป๋องและวางมันลงบนโต๊ะ



              “ถ้าคิดมอมเบียร์ให้ฉันลืมล่ะก็ ขอบอกว่าคิดผิด” หมิงซูหรี่ตามอง ดวงตาสีดำสนิทของอีกคนทำให้เฉิงลี่ถึงกับคอฝืด “นายยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลย”



              “ทำอย่างกับว่าบอกไปจะรู้จักงั้นแหละ” เฉิงลี่กระอ้อมกระแอ้มตอบ



              “แน่ใจได้ไง” เสียงดังป๊อกดังขึ้นสองทีซ้อน ลำดับถัดมาเฉิงลี่รู้สึกได้ถึงสัมผัสเย็นๆตรงหลังมือ “อาจจะรู้จักก็ได้”



              เฉิงลี่รับกระป๋องมาถือพลางส่ายหน้า “ถ้าคิดจะมอมเบียร์ให้ฉันคายความลับออกมาล่ะก็ ขอบอกว่านายก็คิดผิดเหมือนกัน” เขาหยุดนิดหนึ่งแล้วยกเบียร์ขึ้นดื่ม “ได้ข่าวว่านอกจากวงเกิร์ลเจนเนอร์เรชั่นกับซิสต้าร์นายก็ไม่รู้จักคนเกาหลีแล้ว”



              “อาจจะใช่--แต่ต่อไปก็ไม่แน่นี่” หมิงซูพูดแล้วเลิกรีดความลับออกจากปากเฉิงลี่เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณนกหวีดจากกรรมการบอกว่าครึ่งหลังได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว



              คำว่า ต่อไป ของหมิงซูควรแทนที่ด้วยคำว่าหนึ่งเดือนให้หลังมากกว่า



              สุดสัปดาห์หนึ่งชายหนุ่มกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องนอน เฉิงกุ้ยโทรมาและบอกว่ามีธุระจะคุยด้วย เฉิงลี่คิดอยู่แล้วว่าเฉิงกุ้ยต้องปรากฏตัวหลังจากวางสายภายในสิบนาที ก็เลยเตรียมกาแฟสำเร็จรูปเอาไว้ให้ ไอกรุ่นสีขาวยังไม่ทันจางเสียงกดออดก็ดังขึ้น เขาวางแก้วกาแฟเอาไว้บนโต๊ะ ตัวเจ้าของบ้านเองที่ใจจดใจจ่อรอตั้งแต่ที่เห็นรายชื่อโชว์ขึ้นมาบนหน้าจอมือถือก้าวอาดๆเปิดประตูเจอเฉิงกุ้ยโผล่หน้ามาร้องทัก



              “จะกระตือรือร้นอะไรขนาดนั้น ไอ้เจ้าบ้า” เฉิงกุ้ยมองรุ่นน้องอย่างงงๆ แล้วเดินอาดๆเข้าไปในห้องนั่งเล่นโดยไม่รอให้เจ้าของบ้านเอ่ยปากชวน



              “ว่าไงครับคุณซองกยูย้ายมาอยู่ปักกิ่งได้สองเดือนแล้ว สบายดีมั้ยครับ ปรับตัวได้หรือยัง” พูดจบเฉิงลี่ก็แทบหลบหมอนใบโตที่คนถูกแซวขว้างใส่ด้วยความเร็วสูงไม่ทัน เขากอดมันเข้าไว้เต็มรักแล้วค้างอยู่อย่างนั้น



              “แค่อยู่โซลไม่กี่เดือนไม่ได้หมายความว่าฉันจะลืมบ้านเกิดตัวเองนะ” เฉิงกุ้ยขมวดคิ้ว พลางหรี่ตามองจนตาที่เรียวเล็กอยู่แล้วแคบเข้าไปอีก



              “โห ก็ไม่เห็นต้องโมโหขนาดนั้นเลยนี่”



              สีหน้าลังเลปรากฏบนใบหน้าเฉิงกุ้ยให้เฉิงลี่เห็น ดูท่าว่าจะมีทั้งเรื่องที่ต้องพูดและอยากพูดแต่ไม่รู้ว่าควรหยิบเรื่องไหนมาพูดก่อนดี ทอดสายตาไปยังนอกหน้าต่าง เห็นท่าทางคิดไม่ตกของเฉิงกุ้ยแล้วเฉิงลี่ค่อยคิดออกว่าควรทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี



              “เป็นอะไรน่ะ ดูพี่ไม่ค่อยโอเคเลย”



              เฉิงกุ้ยถอนสายตาออกจากหน้าต่างกลับมาหารุ่นน้องเหมือนเดิม “กลุ้มว่ะ”



              “ที่ว่ากลุ้มมันเรื่องอะไรล่ะ”



              “เรื่องปรับตัวนี่แหละ”



              “อ้าว ก็ไหนว่า...”



              “ไม่ใช่ฉัน ซองยอลต่างหาก” ชื่อที่เฉิงกุ้ยเอ่ยออกมาเพียงแผ่วเบากลับออกฤทธิ์เช่นเดียวกับยากระตุ้นหัวใจ ราวกับพายุลูกใหญ่พัดมาซัดเอาถ้อยคำที่กักเก็บไว้ในสมองทั้งชีวิตกระจัดกระจายหายไป กว่าจะคลำหาเสียงของตัวเองเจอก็อีกพักใหญ่ “ลำพังซองอีน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่กับซองยอล...ฉันกลัวเค้าปรับตัวไม่ได้”



              “ซอง...ซองยอลจะย้ายมาอยู่ที่นี่เหรอ” เป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดีที่เขาต้องคอยห้ามใจไม่ให้จินตนาการถึงดวงตากลมโตซุกซนสีน้ำตาลคาราเมล หลังๆเขาเลยยอมแพ้และปลอบใจตัวเองเอาว่าเขาแค่ชื่นชมใบหน้าของเด็กนั่นก็เท่านั้น ถึงจะปฏิเสธไม่ลงว่าการเอ่ยชื่อซองยอลต่อหน้าเฉิงกุ้ยจะชวนให้รู้สึกกระอักกระอ่วนเต็มทีก็ตาม



              “ใช่--บอสเกิดเปลี่ยนใจให้ฉันกลับมาทำงานประจำที่นี่ถาวรแล้ว จะให้ซองอีกับซองยอลอยู่ที่โซลสองคนก็ยังไงอยู่ เลยว่าจะให้ย้ายมาอยู่ด้วยกันน่าจะดีกว่า นายว่าไงล่ะ”



              “ก็ดีแล้วนี่ แล้วยังมีเรื่องอะไรต้องห่วงอีกล่ะ เท่าที่เคยคุยกันแกก็พูดภาษาจีนได้ดี คงเอาตัวรอดได้ล่ะมั้ง” ชายหนุ่มได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกโต เสียงดังจนเฉิงลี่อดสงสัยไม่ได้ว่าเฉิงกุ้ยกักลมหายใจเอาไว้นานเท่าไร “หืม...หรือว่าปัญหาพ่อเลี้ยงลูกเลี้ยงล่ะ?”



              เฉิงกุ้ยลดศีรษะลงซบกับท่อนแขน เสียงครางเบาๆสั่นอยู่ในคอเล็ดลอดออกมาให้เฉิงลี่ได้ยินและตีความเอาว่าสมมติฐานของเขาถูกต้อง



              “ว่าแล้วเชียว ยังเข้ากันไม่ได้อีกเหรอ พี่ก็แต่งงานกับแม่เค้ามาเดือนกว่าแล้วนี่”



              “เดือนครึ่งถ้าไม่นับตั้งแต่เริ่มเดท” เฉิงกุ้ยกัดฟันตอบ “โคตรไม่เข้าใจ ทำไมแกต้องตั้งแง่อะไรนานขนาดนี้ กับคนอื่นไม่เห็นเป็น”



              “เอาน่าเดี๋ยวก็ดีขึ้นแหละ แกคงคิดว่าพี่ไปแย่งแม่แกมาล่ะมั้ง” เฉิงลี่พูด



              “แถมยังไปพรากแกจากเพื่อนที่โรงเรียนกลางคันอีก ซักวันหัวคงหลุดเอา” เขาหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงมาเช็คเวลา วอลล์เปเปอร์ที่เห็นทำให้เฉิงลี่จุกแปลกๆ มันไม่มีอะไรพิเศษ ก็แค่...รูปครอบครัว...เฉิงกุ้ยกับภรรยาและซองยอล--ที่ใบหน้าเรียบเฉยไม่สื่ออารมณ์ใด ไร้รอยยิ้มสดใสที่เขานึกอยากเก็บใส่ขวดโหลไว้ตั้งมองเล่นๆ “ถ้าย้ายมาที่นี่แล้วยังเย็นชาใส่ฉันอีก คนที่จะลำบากไม่ใช่ใครก็ตัวแกเอง ฉันถึงเป็นห่วงไง”



               “เฉิงกุ้ยของเรากลายเป็นคุณพ่อเต็มตัวแล้วสินะ รู้จักเป็นห่วงคนอื่นแล้ว...” ชายหนุ่มวางมือลงบนไหล่ไหวของรุ่นพี่ สีหน้าเปื้อนยิ้ม เขาพบความเป็นผู้ใหญ่อย่างคาดไม่ถึงซึ่งแอบซ่อนอยู่กับความกังวลในดวงตาเล็กๆของเฉิงกุ้ยหลังระบายความคิดออกมา ดูเหมือนว่าหลังจากผันตัวเองเป็นสามีพ่วงด้วยตำแหน่งพ่อเลี้ยงจะปลิดเอาความเหลาะแหละ ไม่เป็นโล้เป็นพายของชายหนุ่มทิ้งไปหมด เฉิงลี่จึงทั้งนึกยินดีด้วยทั้งโล่งใจที่ได้ยินข่าวของเด็กหนุ่มดวงตาสีน้ำตาลคาราเมลที่เขาอยากได้ยินข่าวทุกวัน



              “ให้ตายสิ พอคิดว่าแกไม่มีใครนอกจากซองอีแล้วก็โกรธไม่ลง นึกถึงตัวเองตอนอาป๊าเสียใหม่ๆชะมัด”



              เฉิงลี่ลูบวนหัวไหล่เฉิงกุ้ยเป็นเชิงเข้าใจ แม้จะยังงงๆกับข้อความที่ว่าซองยอลไม่มีใครนอกจากแม่ไม่หายและทำไมเฉิงกุ้ยถึงเลือกและยอมเล่าเรื่องลูกเลี้ยงให้เขาฟังก็ตาม แต่เขาเลือกที่จะไม่ถามต่อ ทำได้แต่นั่งฟังเงียบๆ จดบันทึกรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของเด็กหนุ่มเก็บไว้ พลางเดาไปต่างๆนานาว่าเจ้าตัวยังมีเรื่องอะไรที่บรรจงซ่อนเอาไว้เบื้องหลังบุคลิกสดใสและดวงตาน่ามองอีก



              “เพราะงั้นฉันเลยมีเรื่องอยากจะขอให้นายช่วยหน่อย” เฉิงกุ้ยเข้าเรื่อง “หาคนรับจ๊อบตกแต่งบ้านฉันให้ทีสิ เอาให้เหมาะกับถูกเรียกว่าบ้านหน่อย”



              เฉิงลี่พยักหน้างึกงักพลางนึกถึงสภาพบ้านของชายหนุ่ม มันยังไม่เก่ามากแต่เพราะเจ้าของไม่ค่อยอยู่เลยดูโทรมกว่าในความเป็นจริง แต่ดีอยู่สองสามอย่างคือรอบบ้านมีบริเวณค่อนข้างกว้าง มีสนามหญ้าและสวนหย่อมเล็กๆให้วิ่งเล่นไม่ก็ใช้เวลาพักผ่อนร่วมกันในวันหยุดสุดสัปดาห์ แถมยังมีห้องมากพอสำหรับคนสองคนย้ายเข้ามาอยู่เพิ่ม เสียอย่างเดียวคือทุกห้องทาสีขาวสนิททั้งหมด เฉิงลี่เลยรู้สึกว่ามันไม่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายเท่าไร



              โดยเฉพาะสำหรับการเป็นห้องของเด็กซักคน



              ชายหนุ่มยกมือขึ้นกอดอกอย่างใช้ความคิด “ผมมีเวลาเท่าไรล่ะ”



              “นานจนกว่านายจะทนเลี้ยงซองยอลไม่ไหว”



              นานจนกว่าจะทนเลี้ยงซองยอลไม่ไหว


              นานจนกว่าจะทนเลี้ยงซองยอลไม่ไหว


              นานจนกว่าจะทนเลี้ยงซองยอลไม่ไหว



              เฉิงลี่อึ้ง กลืนน้ำลายอย่างลำบากควานหาเสียงของตัวเองแทบไม่เจอ “ตลกแล้วพี่!” เขามองดวงตาเล็กของเฉิงกุ้ย ในนั้นไม่มีแววล้อเล่นแฝงอยู่แม้แต่นิดเดียว



              “‘แค่รักแกทุกอย่างจะง่ายขึ้น’” เฉิงกุ้ยคว้าถ้วยกาแฟยกขึ้นเป่าให้ไอร้อนๆหายไปแล้วค่อยจิบ “ซองอีบอกฉันแบบนั้น…แต่ฉันไม่เห็นว่ามันจะง่ายขึ้นตรงไหน”




              เฉิงลี่หลับตา ถอนหายใจยาวพรืด เสียดายที่ในตู้เย็นไม่มีเบียร์เหลือซักกระป๋อง



              ‘แค่รักแกทุกอย่างจะง่ายขึ้น’



              ที่น่าเป็นห่วงที่สุดน่ะ...ส่วนแรกต่างหาก



              .


              .


              .



              เส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันตกปรากฏสีชมพูเจือส้มเข้ม พระอาทิตย์อ้อยอิ่งทอดสมอเร้นกายหลังอาคารเรียนเปล่งแสงสว่างช่วงสุดท้ายของวันออกมาเพียงครึ่ง เฉิงลี่เอนกายหลังพิงม้านั่งยาว เหยียดขาออกสุดความยาว แว่วเสียงน้ำตกจากที่ไกลๆ เขายิ้มอย่างพึงพอใจจนคนที่เดินไปเดินมาลอบมองอย่างไม่เข้าใจ ตั้งแต่เรียนจบออกมากินเวลาร่วมยี่สิบปีเขาไม่ได้นั่งโอ้เอ้ในรั้วโรงเรียนมัธยมตอนบ่ายแก่ๆอีกเลย เขาไม่ใช่คนประเภทซาบซึ้งกับความทรงจำเก่าๆและเรื่องจุกจิกอย่างพวกผู้หญิง แต่บรรยากาศรอบๆโรงเรียนก็ทำให้เฉิงลี่นึกครึ้มใจทบทวนความหลังเก่าๆขึ้นมาจนได้ ดูท่าว่าเขาเองคงจะซุกเอาความคิดถึงชีวิตวัยมัธยมเก็บไว้ในลิ้นชักลึกไปหน่อย



              จะว่าไปตอนที่รู้จักกับเฉิงกุ้ยและหมิงซูครั้งแรกก็รุ่นๆเดียวกับซองยอลนั่นแหละ เขามาจากอเมริกาตามพ่อที่ต้องย้ายกลับมาทำงานที่บ้านเกิดตอนมัธยมปลายปีแรก ยังจำภาพของหมิงซูมองมาที่เขาอย่างสนใจได้จนถึงตอนนี้ ดวงตาใสแจ๋วที่ทำให้เฉิงลี่นึกถึงแมวตัวเขื่องจ้องเขม็งมาที่เขา และเดาว่าตัวเองก็คงมีอาการคล้ายกัน หมิงซูเลยเป็นฝ่ายเข้ามาทักก่อน ทั้งคู่ก็มาสนิทสนมกันอย่างรวดเร็วและหมิงซูก็แนะนำให้เขารู้จักกับลูกพี่ลูกน้องผู้มีความสัมพันธ์แปลกๆต่อกันอย่างเฉิงกุ้ย



              “หมอนั่นบอกว่าอยากรู้จักนายน่ะ” หมิงซูกระซิบลับหลังแล้วกลอกตาขึ้นเพดานขณะที่เฉิงกุ้ยเผลอ “ทางที่ดีอย่าไปยุ่งกับคนพรรค์นั้นเลย ปวดประสาท”



              เฉิงลี่ไม่ได้ยึดเอาคำพูดของหมิงซูมาเชื่อจริงจัง แม้จะกล้าพูดว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดแต่ยังมีอีกหลายอย่างที่เขากับหมิงซูต่างกัน อาจเป็นไปตามทฤษฎีที่ว่าแม่เหล็กต่างขั้วจะดึงดูดซึ่งกันและกัน ถึงคณะสถาปัตย์ฯจะเป็นคณะเป้าหมายร่วมกันของทั้งคู่แต่สไตล์การเรียนกลับต่างกันสามร้อยหกสิบองศา หมิงซูชอบอ่านหนังสือเงียบๆคนเดียว ส่วนเขาชอบอ่านไปคุยให้คนอื่นฟังไปมากกว่า ประกอบกับช่วงหลังหมิงซูเอาแต่เก็บตัวอยู่กับหนังสือกองโตอยู่ที่บ้าน เขาเองก็ไม่นึกอยากวอแวให้เพื่อนเสียสมาธิ ตัวเลือกแรกที่คิดถึงคือเฉิงกุ้ย จนสุดท้ายเขาก็ผ่านช่วงที่สาหัสที่สุดในชีวิตม.ปลาย(เพื่อไปเจอการเรียนที่โหดยิ่งกว่า)ไปจนได้ เฉิงลี่จึงได้เพื่อนคนสนิทเพิ่มมาอีกคนก็ตอนนั้นเอง



              นี่จึงเป็นครั้งที่สองที่เขารู้สึกกังวลหลังจากรอฟังสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อคราวนั้น มันแน่อยู่แล้วที่ว่าจะต้องมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมายกับซองยอล ทั้งเรื่องพ่อใหม่ ย้ายโรงเรียน การสอบไล่ สถานที่แปลกตา ผู้คนที่ไม่คุ้นเคย ภาษาที่ต่างออกไป เฉิงลี่ไม่แน่ใจว่าเด็กตัวเล็กๆแบบนั้นจะผ่านมันไปได้หรือไม่



              และอีกเรื่องที่เฉิงลี่ไม่แน่ใจคือซองยอลจะเจอเพื่อนที่กล้าเข้ามาทักก่อนอย่างที่หมิงซูทำกับเขาหรือเปล่า ถ้าเกิดมีใครสนใจดวงตาสีน้ำตาลคาราเมลเข้มคู่นั้นแล้วปรี่ตรงมาคุยกับซองยอล เขาจะยังกังวลเรื่องของซองยอลอยู่อีกมั้ย หรือถ้าซองยอลติดเพื่อนคนนั้นมาก--มากจนไม่ต้องพึ่งพาเขาแล้ว เขาก็คงยังกังวลใจจนแทบคลั่งอยู่ดี



              ทั้งหมดเป็นเพราะ...



              “คุณอารอนานมั้ยฮะ?”



              เฉิงลี่ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วปนกระหืดกระหอบดังคู่มากับฝีเท้าซึ่งค่อยๆดังขึ้นเมื่อระยะห่างระหว่างเขากับเจ้าของเสียงแคบลง เขามองหน้าเด็กหนุ่มครู่หนึ่งก่อนลุกขึ้นยืน ขณะล้วงกระเป๋ากางเกงควานหากุญแจรถ กระป๋องน้ำผลไม้ถูกยื่นใกล้ๆมือ



              “บอกให้เรียกอาเฉยๆไง ได้ยินคำว่าคุณอาแล้วขนลุกพิลึก” ชายหนุ่มก้มหน้ามองของในมือซองยอลอย่างงงๆ “อะไร”



              เด็กหนุ่มอมยิ้มแล้วพลิกกระป๋องให้ชายหนุ่มมองเห็นรูปแอปเปิ้ลสีเขียวแดงตัดกัน “น้ำแอปเปิ้ล?”



              “ภาษาเกาหลีแอปเปิ้ลกับคำว่าขอโทษออกเสียงเหมือนกัน” ซองยอลมองกระป๋องกับหน้าเฉิงลี่สลับกัน “ขอโทษที่ให้รอนานฮะคุณ...เอ่อ...อาเฉิงลี่”



              “ถ้าเปลี่ยนเป็นเบียร์เย็นๆแทนจะดีกว่านี้มาก” เฉิงลี่พูดแล้วหัวเราะต่ำๆ เดินนำซองยอลไปทางลานจอดรถ ขืนยังทนเล่นเกมสบตากับเจ้าเด็กนี่เกินสิบวินาทีหัวใจเขาอาจจะรับไม่ไหวขึ้นมาจริงๆก็ได้



              “ใจจริงก็อยากหยิบเบียร์มาให้เหมือนกันแหละ แต่อย่างว่าล่ะนะ ผมจะไปหาจากที่ไหน” ซองยอลบุ้ยปากแล้วยัดตัวเองเข้าไปในรถก่อนโยนกระเป๋าเป้ไว้ที่เบาะหลัง



              “ช่างเอาใจจริงนะ” เฉิงลี่พูดอย่างเป็นกันเอง มือหนึ่งกำพวงมาลัยไว้แน่นเมื่อความคิดหนึ่งผุดในสมอง ตอนอยู่ที่โรงเรียนซองยอลเป็นแบบนี้กับใครหรือเปล่า? เขายอมเสี่ยงคว้าหินก้อนหนึ่งขึ้นมาโยนถามทาง “เรียนวันแรกเป็นไงมั่ง?”



              รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กหนุ่มเจือนลงอย่างเห็นได้ชัดหลังสิ้นคำถามของเฉิงลี่ “งั้นๆ”



              “อ้าว ยังไงกัน เล่าให้อาฟังหน่อยสิ”



              ซองยอลยิ้มจางๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่ผิดธรรมชาติอย่างถึงที่สุด คล้ายว่าเป็นรอยยิ้มที่มีไว้เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกไม่สบายใจโดยเฉพาะ มองเผินๆอาจมองไม่เห็น แต่พอเป็นเฉิงลี่ เขากลับมองเห็นทะลุปรุโปร่งและรู้สึกแย่ไปกับเด็กหนุ่มไม่น้อย



              “เล่ามาเดี๋ยวนี้...”



              “อาเฉิงลี่...” พูดเสียงอ่อยๆอย่างจำนน “ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่...”



              “แค่อะไร” เฉิงลี่นิ่วหน้า พลางนึกถึงเพื่อนคนหนึ่งสมัยมัธยมที่ดูบอบบางคล้ายๆซองยอล จำได้ว่าเด็กคนนั้นถูกแก๊งค์เด็กหลังห้องรวมหัวกันแกล้งสารพัดสารเพ เริ่มตั้งแต่เอารองเท้าไปซ่อน เทขยะในล็อกเกอร์ ขโมยแบบฝึกหัดไปเปลี่ยนเป็นชื่อตัวเองจนเด็กคนนั้นทนไม่ไหวและขอย้ายโรงเรียนไปในที่สุด เฉิงลี่อดคิดไม่ได้ว่าซองยอลที่เดิมก็มีปัญหากับครอบครัวใหม่อยู่แล้วจะรับมือกับเด็กพรรค์นั้นไหวจริงๆหรือ “ใครแกล้งเราหรือเปล่า บอกอามา”



              “มาแกล้งก็ยังดี นี่พวกเขาทำเหมือนผมเป็นอากาศ”



              เฉิงลี่เอียงคอมองคนกอดหมอนรองคอไว้แนบอกด้วยแววตากึ่งห่วงใยกึ่งโล่งอก เขาพอใจที่ได้ยินแบบนั้นทั้งที่ไม่ควร “แล้วไม่มีเพื่อนซักคนเลยหรือไง”



              “มี แค่คนเดียว” ลูกโป่งใบโตพลันถูกปลายเข็มของคำตอบเจาะแตกภายในเสี้ยววินาที “แต่เขาพูดมากไปหน่อยนะผมว่า แถมยัง...”



              “แถมยัง?”



              “เป็นคนแปลกๆ” พลางเบะปากยู่เมื่อนึกถึงเพื่อนร่วมชั้นที่ออกจะ...ประหลาดไปซักหน่อย “แบบว่าเป็นผู้ชายประเภทชอบพูดจาเลี่ยนๆกับหว่านสเน่ห์ใส่คนอื่นอยู่เรื่อยน่ะ” เน้นเสียงหนักตรงคำว่าหว่านสเน่ห์พร้อมปรายตามองเฉิงลี่



              ทว่าสัญญาณไฟจราจรชิงความสนใจไปซะก่อน เฉิงลี่เลยไม่สังเกตเห็น “คบๆกันไว้น่ะดีแล้ว” หมายถึงแบบเพื่อนน่ะนะ--ชายหนุ่มคิดในใจไม่ได้พูดออกไป “ว่าแต่วันนี้ซองยอลของเราอยากกินอะไรล่ะ”



              “เหมือนเดิมก็ได้ฮะ” ซองยอลตอบเสียงแผ่วเบา สายตายังสะท้อนภาพของเฉิงลี่ที่ตั้งใจขับรถพลางฮึมฮัมเพลงเสียงต่ำๆในลำคอ ในใจชายหนุ่มคงกำลังคิดว่าในตู้เย็นยังมีเบค่อนเหลือมากพอสำหรับสปาเก็ตตี้คาโบนาล่าสองที่หรือเปล่า



              ส่วนในใจของเด็กหนุ่มกำลังภาวนาในทางตรงกันข้าม เขาอยากมองเฉิงลี่พาร่างสูงๆของตัวเองเดินลัดเลาะตามตู้แช่เย็นในซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่างคล่องแคล่ว



             
              ก็เวลาอาเฉิงลี่ตั้งใจทำอะไรซักอย่าง มันดู...มีเสน่ห์ดีจังเลยนะ

      

    tbc.


     


    A/N
    กรีดร้องดังๆสามพันเดซิเบลค่ะ ; - ; นวลผิดไปแล้ว
    ทีแรกตั้งใจว่าจะจบที่ประมาณหมื่นคำ แต่มันยาวกว่าที่คิด(มากกก)
    แล้วเราก็ไม่อยากรวบรัดด้วย เลยขอเปลี่ยนจากSFเป็นฟิคยาวสั้นๆแทนนะคะ
    อาจจะซักห้าหกตอน ยังไงก็ฝากตามต่อด้วยน้า #ใคร ขอบคุณค่ะ :')
    ปล.ถ้าใครสงสัยว่าอาเฉิงลี่คือใคร
    จิ้มตรงนี้ เลยจ้ะ

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×