ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {infinite★fanfic} 2014 Some Summer PJ´ ; all for Sungyeol

    ลำดับตอนที่ #2 : Still Cotton Candy; yeolsoo by fallelia

    • อัปเดตล่าสุด 27 ส.ค. 57




    Still Cotton Candy

     infinite fanfiction, yeolsoo, au, bromance, pg

    dreams in midsummer’s night - iu

    by fallelia.

     

              “ถ้าเราฝัง ‘ไอ้นี่’ ไว้ อีกสิบปีเรากลับมา มันจะยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า”

     

              คำว่า ‘ไอ้นี่’ ของมยองซูนั้น หมายถึงกล่องอลูมีเนียมใบเล็กที่บรรจุ ‘จดหมายถึงตัวเองในอนาคต’ สองฉบับ หลังจากเจ้าตัวได้ดูภาพยนตร์ฝรั่งเรื่องหนึ่งในช่วงปิดภาคฤดูร้อนและติดใจการเล่นสนุกทำนองนี้ จึงได้มารบเร้าให้เขาเขียนเป็นเพื่อน

     

              “อีกสิบปีเราจะมาแลกกันอ่าน นายว่าดีมั้ย---ซองยอล”

     

     

     

              สถานีรถไฟใต้ดินช่วงหัวค่ำกลางเดือนกุมภาพันธ์เมื่อหลายปีก่อน ผู้คนมากมายโอบกอดเอาไออุ่นจากเสื้อกันหนาวฉายเลือนราง เขาและมยองซูในชุดนักเรียนประถมต้นจับมือผู้เป็นแม่กันคนละข้าง รู้เพียงว่าวันนี้แม่พาออกมากินอาหารเย็นนอกบ้าน

     

              พวกเขารอคอยเวลาที่จะได้กระโดดเข้าไปในโลกแห่งจินตนาการ แว่วเสียงรถไฟเคลื่อนกึก ๆ ตามราง ความเย็นจัดจากเครื่องปรับอากาศ คนแปลกหน้า ไม่แน่ว่าเส้นทางนี้อาจเดินทางสู่ดินแดนไกลโพ้นจริงสักวัน บางทีเขาอยากให้เป็นเช่นนั้น แต่บางครั้งก็นึกขาดเขลาเกินไป

     

              พ่อไม่ได้มาด้วย แม่ตอบคำถามเสียงนุ่มนวลอย่างทุกครั้ง เหมือนเวลากล่อมพวกเขาสองคนสู่นิทราด้วยการอ่านหนังสือของโรอัล ดาห์ล ให้ฟัง

     

              “พ่อเลิกดึกจ้ะ แต่ไม่เป็นไร วันนี้คุณลุงมากินข้าวด้วย จำได้มั้ย คุณลุงใจดีที่ซื้อของเล่นมาให้ลูกตั้งเยอะแยะเมื่อคราวก่อนไงจ๊ะ” ภาพนั้นพร่ามัวเหมือนหมอกหนาทึบยามเช้า แต่เสียงของแม่ น้ำเสียงเบิกบานของแม่ ยังชัดเจนครบทุกถ้อยคำ

     

              เรื่องที่ดีที่สุดของแม่คงเป็นการให้เขาและน้องเข้าโรงเรียนพร้อมกัน ถึงมยองซูจะไม่เคยเรียกเขาว่า ‘พี่’ นำหน้าชื่อเลยสักครั้ง แต่นั่นเป็นเพียงข้อเสียเล็กน้อยที่รับได้ และหลาย ๆ คราว เขากลับชอบความรู้สึกแบบนี้มากกว่า

     

               “นายคิดว่าถ้าเราโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่กว่านี้ เราจะเลิกโกรธแม่กันหรือเปล่า”

     

              เขาเคยถามมยองซู ขณะเอาเอกสารผลการเรียนและใบประกาศนียบัตรสำเร็จชั้นประถมศึกษาออกจากกระเป๋าเป้ แล้วเก็บใส่แฟ้มบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ

     

              “ไว้เป็นผู้ใหญ่แล้วค่อยถามสิ” คนถูกถามกลอกตาย้อนคำ เอนหลังลงบนปลายเตียง เท้าแตะพื้นกระเบื้องเคลือบ สายตาจับจ้องเพดานห้องแทนการมองคู่สนทนา ค่อยตอบคำถามที่เลี่ยงเมื่อครู่

     

              “ฉันว่าไม่ต้องเลิกโกรธก็ดีนะ อย่างน้อยยังรู้สึกว่า ‘รู้สึกอะไรสักอย่างอยู่’ ถ้าไม่รู้สึกอะไรเลยแม้กระทั่งความโกรธ ฉันคงนึกกลัวตัวเองพิลึก”

     

              “นายไปจำมาจากหนังเรื่องไหนอีกเนี่ย”

     

              “ฉันจะคิดอะไรอย่างนี้เองบ้างไม่ได้หรือไง โธ่”

     

              ซองยอลอมยิ้มแกมหัวเราะในลำคอ ก่อนเดินไปที่เตียงแล้วทิ้งตัวลงข้างอีกฝ่าย ภายในห้องสี่เหลี่ยมไม่ปรากฏเสียงอื่นใดอีกนอกจากพัดลมติดผนัง ต่างคนต่างครุ่นคิดถึงกิจกรรมช่วงปิดภาคฤดูร้อน และการเข้าเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมต้น

     

     

     

     

              “ถ้าเราฝัง ‘ไอ้นี่’ ไว้ อีกสิบปีเรากลับมา มันจะยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า”

     

              ค่ำคืนหนึ่งกลางฤดูร้อนไม่ได้อบอ้าวอย่างที่คิด ลมแผ่ว ๆ พัดมาเป็นระยะช่วยคลายความเหนอะหนะจากการออกแรงสลับกันขุดหลุม เพื่อเป็นสถานที่ที่เก็บความลับของพวกเขาสองคนเอาไว้ กระรอกขาวสองตัวร้องจี๊ด ๆ ขณะไต่ไปตามกิ่งก้านของต้นไม้หลังบ้าน ท้องฟ้าเปิดโล่งไร้กลุ่มเมฆหนาบดบังดวงดาว พระจันทร์ดูเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม

     

              “หวังว่าน่ะนะ” ซองยอลตอบน้ำเสียงไม่มั่นใจเต็มร้อยนักซึ่งต่างกับมยองซูโดยสิ้นเชิง ใบหน้านั้นเปื้อนยิ้มพร้อมด้วยดวงตาหยีเป็นเส้น

     

              “ตลกจังซองยอล นายกลัวว่าจะมีใครมาขโมยเหรอ”

     

              “กลัวว่าจะมีคนมาขโมยน่ะ ‘ไม่’ แต่ถ้ากลัวว่าจะมีใครอย่าง ‘เจ้าซัน’ ที่อยากรู้อยากเห็นมาคาบไปนอนเคี้ยวเล่นก็คงแย่” เขานึกถึงสุนัขพันธ์ทางข้างบ้าน เจ้าตัวนั้นชอบมุดเข้ามาเล่นในนี้เป็นประจำ จนบางครั้งพวกเขาต้องแอบเอาขนมมาปันบ้างตามประสาเจ้าบ้านที่ดี และโดยไม่ให้ผู้เป็นพ่อจับได้

     

              “อา” มยองซูอุทานอย่างเห็นด้วย พร้อมช่วยหาทางออกว่า “ถ้าอย่างนั้น เราก็ให้ขนมมันเยอะขึ้น แล้วก็ให้มันเป็นผู้พิทักษ์สมบัติเรา เหมือนเจ้าปุกปุยสุนัขสามหัวดีมั้ยละ ฮ่า ๆ”

     

              “นายนี่ตลกกว่าฉันอีก เจ้าซันหน้าตาซื่อบื้อขนาดนั้น คงต้องใช้เวลาฝึกหน้าดุหลาย ๆ ๆ ๆ ปีเลย”

     

              “จะอะไรก็ช่างเถอะน่า แต่อีกสิบปีเราจะมาแลกกันอ่าน นายว่าดีมั้ย---ซองยอล”                 

     

     

              พวกเขากลับขึ้นไปบนบ้านและอาบน้ำอีกรอบ พ่อแยกห้องนอนให้นานแล้ว แต่มยองซูมักมานั่งทำการบ้านรวมถึงขอเบียดนอนด้วยเสมอ ด้วยเหตุผลที่ว่าห้องนอนของเขาเย็นสบายกว่า และถ้ามีจันทร์เต็มดวงอย่างเช่นคืนนี้ ก็จะเห็นได้ชัดเจน เพียงแค่มองออกไปนอกหน้าต่าง

     

              ซองยอลกลับเข้ามาและพบว่ามยองซูได้เอาเต้นท์มากางไว้ในห้องของตน มยองซูพลันลากเสียงออกมาจากข้างในเต้นท์ โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดนานว่าเป็นใคร

     

              “ปิดไฟให้หน่อย”     

     

              “ไม่ร้อนหรือไง ฉันขอนอนบนเตียงละนะ” เขาโผล่หน้าเข้าไปในเต้นท์ที่สว่างนวลด้วยแสงจากโคมไฟใส่ถ่าน เข่าทั้งสองข้างยังคุกอยู่ตรงพื้นด้านนอก  มองอีกฝ่ายซึ่งกำลังตั้งหน้าตั้งตาเรียงของเล่นจนเหมือนไม่ได้ใส่ใจ ทว่าความจริง ซองยอลรู้ว่าอาการเงียบและนิ่งเฉยแบบนั้น หมายถึงความไม่พอใจลึก ๆ ต่างหาก

             

              “ก็ได้---นี่เราต้องนอนกันร้อน ๆ อย่างนี้ใช่มั้ยเนี่ย”  

     

              ฟังแล้วมยองซูค่อยมีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เลยพูดโน้มน้าวคนตรงหน้าว่า “ไม่ขนาดนั้นน่า เดี๋ยวฉันจะไปเอาพัดลมในห้องรับแขกมาเปิด---คืนนี้นอนแบบนี้นะ”

     

               “ปฏิเสธได้ด้วยเหรอ” ซองยอลส่ายหน้าแล้วคลานเข่าเข้าไปด้านใน เขาได้ยินเสียงอีกคนหัวเราะ ตามมาด้วยคำพูดที่ว่า

     

               “ขอบใจมากกกกเลย”

     

              รอบนี้เป็นทีเขาหัวเราะบ้าง ซองยอลเอื้อมมือไปหยิบไฟฉายทางซ้ายมือ ชวนด้วยท่าทางเริ่มสนุกขึ้นมาเหมือนกันว่า “เราจะขาดเสบียงได้ยังไงละ เดี๋ยวฉันลงไปด้วย”

     

     

              นอกจากจะได้พัดลมตั้งพื้นอันเล็ก ขนมอย่างคุกกี้ และนมช็อกโกแลตสองกล่องแล้ว ยังหิ้วเอาวิทยุเครื่องจิ๋วของพ่อเพิ่มมาอีกหนึ่ง

     

              พวกเขานอนอยู่ข้างกันบนผ้าห่มที่นำมาปูต่างเตียงนอน มยองซูถือวิทยุเครื่องเก่าไว้ในมือขณะพยายามหาคลื่นที่พอจะฟังได้ ณ เวลานี้ แต่เสียงคลื่นก็แตกซ่าฟังไม่ได้ศัพท์ และทำให้ชักใกล้ถอดใจ กระทั่งเจอรายการเล่าเรื่องสยองขวัญพอดิบพอดี

     

               “ฉันพยายามแล้วนะ ห้ามด่า”

     

              ใช่---เขาเกลียดรายการทำนองนี้ชะมัดยาก

     

              “ไม่มีรายการเพลงไหนฟังได้บ้างเหรอ”

     

              “ก็ฟังได้แต่ ซ่า ซ่า ซ่า เนี่ย รายการเพลงของนาย แต่เอ๊ะ”

     

              ซองยอลหันไปมองคนข้าง ๆ ตามเสียงประหลาดใจนั้น พลางเห็นอีกคนดึงเทปเพลงม้วนหนึ่งออกมา คงไม่ใช่ของใครอื่นนอกจากผู้เป็นพ่อ

     

              “เปิดอันนั้นแหละ” เขาบอก “อย่างน้อยก็ดีกว่าฟังเรื่องผีบ้าบอ”

     

              “กลัวก็ยอมรับมาเถอะน่า ไม่ไหวจริง ๆ เล้ย ซองยอลลี่”

     

              พ่อชอบฟังเพลงลูกทุ่ง และม้วนนี้ก็เช่นเดียวกัน ทั้งเขาและมยองซูได้ยินเสียงนักร้องคนนี้รวมถึงเพลงประมาณนี้เปิดในบ้านบ่อย ๆ น่าเสียดายว่าตอนที่แม่ยังอยู่ พ่อเคยมีความสุขกับการฟังเพลงมากกว่านี้ ซองยอลดันตัวขึ้นนั่ง ก่อนหยิบคุกกี้ในกล่องมากินชิ้นหนึ่ง คนที่นอนอยู่พลิกตัวมาทางเขา แล้วถามว่า

     

               “ซองยอล นายว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือเปล่า”

     

               “ต้องมีแน่สิ” เขาทำหน้าตาจริงจัง พลอยทำให้คนถามมีแววตาตื่นเต้นตามด้วย จึงแกล้งแหย่ตบท้ายว่า “มนุษย์ต่างดาวก็นอนอยู่ข้าง ๆ ฉันนี่ไง”

     

              “โธ่ ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย”

     

              เขาไม่ใช่พวกบ้าเรื่องลี้ลับอย่างมยองซู อีกฝ่ายเลยดูหัวเสียเล็ก ๆ จึงเลิกพูดถึงเรื่องนั้น แล้วเปลี่ยนมาเป็นประเด็นที่เจ้าตัวเอ่ยกับเขาว่า ‘อีกสิบปีเราจะมาแลกกันอ่าน’ แทน

     

              “ฉันเขียนไว้ประโยคนึงว่า ‘ถ้าแก่ไปแล้วยังไม่มีใคร เราก็อยู่กันอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เถอะนะ’  เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเขียนอะไรตลก ๆ แต่รู้ไหม ฉันรู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่มีนายอยู่ด้วยบนโลก”

     

              ซองยอลไม่แน่ใจว่า ถ้าคนเราไม่สามารถอมยิ้มไว้ในใจได้ เวลานี้ใบหน้าของเขาจะบานเพราะประโยคเมื่อครู่มากมายขนาดไหน ทว่ายังสามารถยียวนกลับได้

     

              “แหงสิ ถ้าไม่มีฉันออกมาก่อน จะมีนายอยู่บนโลกนี้ได้ยังไง”

     

              “เออ เจ้าเด็กวิทย์ นั่นมันก็ถูก แต่---ฉันหมายความว่าอย่างนั้นจริง ๆ นี่”      

             

              เขาหัวเราะแก้เขินในลำคอ ค่อยดันตัวลงนอนเหมือนเดิม มยองซูหลับตาตั้งท่าจะนอนแล้ว ทว่าถูกเขาขัดจังหวะไว้เสียก่อน

     

              “ฉันตอบให้ตอนนี้เลยก็ได้ว่า ถ้าแก่แล้วยังไม่มีใคร เราอยู่กันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็ดีนะ”

             

              มยองซูไม่ได้ตื่นขึ้นมาฟัง ดวงตาคู่นั้นปิดสนิทเหมือนเดิม แต่ซองยอลสังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากของอีกคน ตามด้วยเสียงงึมงำอันคุ้นเคยว่า

     

     

              “ขอบคุณนะ”


     

    end.

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×