คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Still Cotton Candy; yeolsoo by fallelia
Still Cotton Candy
infinite fanfiction, yeolsoo, au, bromance, pg
dreams in midsummer’s night - iu
by fallelia.
“ถ้าเราฝัง ‘ไอ้นี่’ ไว้ อีกสิบปีเรากลับมา มันจะยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า”
คำว่า ‘ไอ้นี่’ ของมยองซูนั้น หมายถึงกล่องอลูมีเนียมใบเล็กที่บรรจุ ‘จดหมายถึงตัวเองในอนาคต’ สองฉบับ หลังจากเจ้าตัวได้ดูภาพยนตร์ฝรั่งเรื่องหนึ่งในช่วงปิดภาคฤดูร้อนและติดใจการเล่นสนุกทำนองนี้ จึงได้มารบเร้าให้เขาเขียนเป็นเพื่อน
“อีกสิบปีเราจะมาแลกกันอ่าน นายว่าดีมั้ย---ซองยอล”
สถานีรถไฟใต้ดินช่วงหัวค่ำกลางเดือนกุมภาพันธ์เมื่อหลายปีก่อน ผู้คนมากมายโอบกอดเอาไออุ่นจากเสื้อกันหนาวฉายเลือนราง เขาและมยองซูในชุดนักเรียนประถมต้นจับมือผู้เป็นแม่กันคนละข้าง รู้เพียงว่าวันนี้แม่พาออกมากินอาหารเย็นนอกบ้าน
พวกเขารอคอยเวลาที่จะได้กระโดดเข้าไปในโลกแห่งจินตนาการ แว่วเสียงรถไฟเคลื่อนกึก ๆ ตามราง ความเย็นจัดจากเครื่องปรับอากาศ คนแปลกหน้า ไม่แน่ว่าเส้นทางนี้อาจเดินทางสู่ดินแดนไกลโพ้นจริงสักวัน บางทีเขาอยากให้เป็นเช่นนั้น แต่บางครั้งก็นึกขาดเขลาเกินไป
พ่อไม่ได้มาด้วย แม่ตอบคำถามเสียงนุ่มนวลอย่างทุกครั้ง เหมือนเวลากล่อมพวกเขาสองคนสู่นิทราด้วยการอ่านหนังสือของโรอัล ดาห์ล ให้ฟัง
“พ่อเลิกดึกจ้ะ แต่ไม่เป็นไร วันนี้คุณลุงมากินข้าวด้วย จำได้มั้ย คุณลุงใจดีที่ซื้อของเล่นมาให้ลูกตั้งเยอะแยะเมื่อคราวก่อนไงจ๊ะ” ภาพนั้นพร่ามัวเหมือนหมอกหนาทึบยามเช้า แต่เสียงของแม่ น้ำเสียงเบิกบานของแม่ ยังชัดเจนครบทุกถ้อยคำ
เรื่องที่ดีที่สุดของแม่คงเป็นการให้เขาและน้องเข้าโรงเรียนพร้อมกัน ถึงมยองซูจะไม่เคยเรียกเขาว่า ‘พี่’ นำหน้าชื่อเลยสักครั้ง แต่นั่นเป็นเพียงข้อเสียเล็กน้อยที่รับได้ และหลาย ๆ คราว เขากลับชอบความรู้สึกแบบนี้มากกว่า
“นายคิดว่าถ้าเราโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่กว่านี้ เราจะเลิกโกรธแม่กันหรือเปล่า”
เขาเคยถามมยองซู ขณะเอาเอกสารผลการเรียนและใบประกาศนียบัตรสำเร็จชั้นประถมศึกษาออกจากกระเป๋าเป้ แล้วเก็บใส่แฟ้มบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ
“ไว้เป็นผู้ใหญ่แล้วค่อยถามสิ” คนถูกถามกลอกตาย้อนคำ เอนหลังลงบนปลายเตียง เท้าแตะพื้นกระเบื้องเคลือบ สายตาจับจ้องเพดานห้องแทนการมองคู่สนทนา ค่อยตอบคำถามที่เลี่ยงเมื่อครู่
“ฉันว่าไม่ต้องเลิกโกรธก็ดีนะ อย่างน้อยยังรู้สึกว่า ‘รู้สึกอะไรสักอย่างอยู่’ ถ้าไม่รู้สึกอะไรเลยแม้กระทั่งความโกรธ ฉันคงนึกกลัวตัวเองพิลึก”
“นายไปจำมาจากหนังเรื่องไหนอีกเนี่ย”
“ฉันจะคิดอะไรอย่างนี้เองบ้างไม่ได้หรือไง โธ่”
ซองยอลอมยิ้มแกมหัวเราะในลำคอ ก่อนเดินไปที่เตียงแล้วทิ้งตัวลงข้างอีกฝ่าย ภายในห้องสี่เหลี่ยมไม่ปรากฏเสียงอื่นใดอีกนอกจากพัดลมติดผนัง ต่างคนต่างครุ่นคิดถึงกิจกรรมช่วงปิดภาคฤดูร้อน และการเข้าเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมต้น
“ถ้าเราฝัง ‘ไอ้นี่’ ไว้ อีกสิบปีเรากลับมา มันจะยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า”
ค่ำคืนหนึ่งกลางฤดูร้อนไม่ได้อบอ้าวอย่างที่คิด ลมแผ่ว ๆ พัดมาเป็นระยะช่วยคลายความเหนอะหนะจากการออกแรงสลับกันขุดหลุม เพื่อเป็นสถานที่ที่เก็บความลับของพวกเขาสองคนเอาไว้ กระรอกขาวสองตัวร้องจี๊ด ๆ ขณะไต่ไปตามกิ่งก้านของต้นไม้หลังบ้าน ท้องฟ้าเปิดโล่งไร้กลุ่มเมฆหนาบดบังดวงดาว พระจันทร์ดูเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม
“หวังว่าน่ะนะ” ซองยอลตอบน้ำเสียงไม่มั่นใจเต็มร้อยนักซึ่งต่างกับมยองซูโดยสิ้นเชิง ใบหน้านั้นเปื้อนยิ้มพร้อมด้วยดวงตาหยีเป็นเส้น
“ตลกจังซองยอล นายกลัวว่าจะมีใครมาขโมยเหรอ”
“กลัวว่าจะมีคนมาขโมยน่ะ ‘ไม่’ แต่ถ้ากลัวว่าจะมีใครอย่าง ‘เจ้าซัน’ ที่อยากรู้อยากเห็นมาคาบไปนอนเคี้ยวเล่นก็คงแย่” เขานึกถึงสุนัขพันธ์ทางข้างบ้าน เจ้าตัวนั้นชอบมุดเข้ามาเล่นในนี้เป็นประจำ จนบางครั้งพวกเขาต้องแอบเอาขนมมาปันบ้างตามประสาเจ้าบ้านที่ดี และโดยไม่ให้ผู้เป็นพ่อจับได้
“อา” มยองซูอุทานอย่างเห็นด้วย พร้อมช่วยหาทางออกว่า “ถ้าอย่างนั้น เราก็ให้ขนมมันเยอะขึ้น แล้วก็ให้มันเป็นผู้พิทักษ์สมบัติเรา เหมือนเจ้าปุกปุยสุนัขสามหัวดีมั้ยละ ฮ่า ๆ”
“นายนี่ตลกกว่าฉันอีก เจ้าซันหน้าตาซื่อบื้อขนาดนั้น คงต้องใช้เวลาฝึกหน้าดุหลาย ๆ ๆ ๆ ปีเลย”
“จะอะไรก็ช่างเถอะน่า แต่อีกสิบปีเราจะมาแลกกันอ่าน นายว่าดีมั้ย---ซองยอล”
พวกเขากลับขึ้นไปบนบ้านและอาบน้ำอีกรอบ พ่อแยกห้องนอนให้นานแล้ว แต่มยองซูมักมานั่งทำการบ้านรวมถึงขอเบียดนอนด้วยเสมอ ด้วยเหตุผลที่ว่าห้องนอนของเขาเย็นสบายกว่า และถ้ามีจันทร์เต็มดวงอย่างเช่นคืนนี้ ก็จะเห็นได้ชัดเจน เพียงแค่มองออกไปนอกหน้าต่าง
ซองยอลกลับเข้ามาและพบว่ามยองซูได้เอาเต้นท์มากางไว้ในห้องของตน มยองซูพลันลากเสียงออกมาจากข้างในเต้นท์ โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดนานว่าเป็นใคร
“ปิดไฟให้หน่อย”
“ไม่ร้อนหรือไง ฉันขอนอนบนเตียงละนะ” เขาโผล่หน้าเข้าไปในเต้นท์ที่สว่างนวลด้วยแสงจากโคมไฟใส่ถ่าน เข่าทั้งสองข้างยังคุกอยู่ตรงพื้นด้านนอก มองอีกฝ่ายซึ่งกำลังตั้งหน้าตั้งตาเรียงของเล่นจนเหมือนไม่ได้ใส่ใจ ทว่าความจริง ซองยอลรู้ว่าอาการเงียบและนิ่งเฉยแบบนั้น หมายถึงความไม่พอใจลึก ๆ ต่างหาก
“ก็ได้---นี่เราต้องนอนกันร้อน ๆ อย่างนี้ใช่มั้ยเนี่ย”
ฟังแล้วมยองซูค่อยมีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เลยพูดโน้มน้าวคนตรงหน้าว่า “ไม่ขนาดนั้นน่า เดี๋ยวฉันจะไปเอาพัดลมในห้องรับแขกมาเปิด---คืนนี้นอนแบบนี้นะ”
“ปฏิเสธได้ด้วยเหรอ” ซองยอลส่ายหน้าแล้วคลานเข่าเข้าไปด้านใน เขาได้ยินเสียงอีกคนหัวเราะ ตามมาด้วยคำพูดที่ว่า
“ขอบใจมากกกกเลย”
รอบนี้เป็นทีเขาหัวเราะบ้าง ซองยอลเอื้อมมือไปหยิบไฟฉายทางซ้ายมือ ชวนด้วยท่าทางเริ่มสนุกขึ้นมาเหมือนกันว่า “เราจะขาดเสบียงได้ยังไงละ เดี๋ยวฉันลงไปด้วย”
นอกจากจะได้พัดลมตั้งพื้นอันเล็ก ขนมอย่างคุกกี้ และนมช็อกโกแลตสองกล่องแล้ว ยังหิ้วเอาวิทยุเครื่องจิ๋วของพ่อเพิ่มมาอีกหนึ่ง
พวกเขานอนอยู่ข้างกันบนผ้าห่มที่นำมาปูต่างเตียงนอน มยองซูถือวิทยุเครื่องเก่าไว้ในมือขณะพยายามหาคลื่นที่พอจะฟังได้ ณ เวลานี้ แต่เสียงคลื่นก็แตกซ่าฟังไม่ได้ศัพท์ และทำให้ชักใกล้ถอดใจ กระทั่งเจอรายการเล่าเรื่องสยองขวัญพอดิบพอดี
“ฉันพยายามแล้วนะ ห้ามด่า”
ใช่---เขาเกลียดรายการทำนองนี้ชะมัดยาก
“ไม่มีรายการเพลงไหนฟังได้บ้างเหรอ”
“ก็ฟังได้แต่ ซ่า ซ่า ซ่า เนี่ย รายการเพลงของนาย แต่เอ๊ะ”
ซองยอลหันไปมองคนข้าง ๆ ตามเสียงประหลาดใจนั้น พลางเห็นอีกคนดึงเทปเพลงม้วนหนึ่งออกมา คงไม่ใช่ของใครอื่นนอกจากผู้เป็นพ่อ
“เปิดอันนั้นแหละ” เขาบอก “อย่างน้อยก็ดีกว่าฟังเรื่องผีบ้าบอ”
“กลัวก็ยอมรับมาเถอะน่า ไม่ไหวจริง ๆ เล้ย ซองยอลลี่”
พ่อชอบฟังเพลงลูกทุ่ง และม้วนนี้ก็เช่นเดียวกัน ทั้งเขาและมยองซูได้ยินเสียงนักร้องคนนี้รวมถึงเพลงประมาณนี้เปิดในบ้านบ่อย ๆ น่าเสียดายว่าตอนที่แม่ยังอยู่ พ่อเคยมีความสุขกับการฟังเพลงมากกว่านี้ ซองยอลดันตัวขึ้นนั่ง ก่อนหยิบคุกกี้ในกล่องมากินชิ้นหนึ่ง คนที่นอนอยู่พลิกตัวมาทางเขา แล้วถามว่า
“ซองยอล นายว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือเปล่า”
“ต้องมีแน่สิ” เขาทำหน้าตาจริงจัง พลอยทำให้คนถามมีแววตาตื่นเต้นตามด้วย จึงแกล้งแหย่ตบท้ายว่า “มนุษย์ต่างดาวก็นอนอยู่ข้าง ๆ ฉันนี่ไง”
“โธ่ ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย”
เขาไม่ใช่พวกบ้าเรื่องลี้ลับอย่างมยองซู อีกฝ่ายเลยดูหัวเสียเล็ก ๆ จึงเลิกพูดถึงเรื่องนั้น แล้วเปลี่ยนมาเป็นประเด็นที่เจ้าตัวเอ่ยกับเขาว่า ‘อีกสิบปีเราจะมาแลกกันอ่าน’ แทน
“ฉันเขียนไว้ประโยคนึงว่า ‘ถ้าแก่ไปแล้วยังไม่มีใคร เราก็อยู่กันอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เถอะนะ’ เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเขียนอะไรตลก ๆ แต่รู้ไหม ฉันรู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่มีนายอยู่ด้วยบนโลก”
ซองยอลไม่แน่ใจว่า ถ้าคนเราไม่สามารถอมยิ้มไว้ในใจได้ เวลานี้ใบหน้าของเขาจะบานเพราะประโยคเมื่อครู่มากมายขนาดไหน ทว่ายังสามารถยียวนกลับได้
“แหงสิ ถ้าไม่มีฉันออกมาก่อน จะมีนายอยู่บนโลกนี้ได้ยังไง”
“เออ เจ้าเด็กวิทย์ นั่นมันก็ถูก แต่---ฉันหมายความว่าอย่างนั้นจริง ๆ นี่”
เขาหัวเราะแก้เขินในลำคอ ค่อยดันตัวลงนอนเหมือนเดิม มยองซูหลับตาตั้งท่าจะนอนแล้ว ทว่าถูกเขาขัดจังหวะไว้เสียก่อน
“ฉันตอบให้ตอนนี้เลยก็ได้ว่า ถ้าแก่แล้วยังไม่มีใคร เราอยู่กันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็ดีนะ”
มยองซูไม่ได้ตื่นขึ้นมาฟัง ดวงตาคู่นั้นปิดสนิทเหมือนเดิม แต่ซองยอลสังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากของอีกคน ตามด้วยเสียงงึมงำอันคุ้นเคยว่า
“ขอบคุณนะ”
end.
ความคิดเห็น