คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Mutator Gene สงครามมนุษย์กลายพันธ์ : Chapter 4
Mutator Gene
Chapter 4
ค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ทำให้บรรยากาศรอบข้างดูสวยงาม ลมเย็มๆพัดมากระทบกับหน้าทำให้รู้สึกเย็นสบาย ถึงแม้เป็นเวลาที่ดึกมากแล้วแต่ก็ไม่ทำให้แบคฮยอนรู้สึกง่วงเลยสักนิด เขายังคงยืนอยู่ที่ระเบียง มองสิ่งแวดล้อมโดยรอบบ้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้รกทึบ นี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้วสำหรับร่างบางที่เขามาอยู่ในบ้านหลังนี้ บ้านที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น บ้านที่เต็มไปด้วยคนอย่างเขา สิ่งที่ทำให้เขากล้าเปิดเผยตัวตน ยังคงมีหลายคำถามที่ค้างคาในใจ มีคำตอบมากมายที่เขาอยากรู้ แต่ก็ไม่สามารถค้นหาได้…
“ยังไม่นอนอีกหรอครับ” เสียงทุ้มสุดแสนจะคุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง
“คุณจะตามผมไปทุกที่เลยใช่ไหมครับชานยอล” ตั้งแต่เขามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ทุกๆวันจะเห็นหน้าชายร่างสูงคนนั้นที่เดินตามตูดเขาเหมือนเป็นลูกหมาที่ติดเจ้านาย
“นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมทำมาตลอดนะ นายไม่น่าถาม”
“…” กวนจังแหะ … ร่างบางเลือกที่จะเงียบให้เสียงลมพัดกลบความคิดที่ดังอยู่ในใจ
ชานยอลเดินมายืนข้างๆเขา ใช้แขนทั้งสองข้างพาดไว้กับราวระเบียง
“ระเบียงเป็นที่โปรดของนายหรอ”
คำถามของชายข้างกายทำให้เขานึกย้อนไปวันนั้น วันที่ชายคนนี้เจอเขาครั้งแรก .. ที่ระเบียงโรงเรียน เขารู้ว่าวันนั้นอี้ชิงเป็นคนบอกให้ชานยอลไปตามหาเขา
“ผมชอบบรรยากาศแบบนี้ ..” แบคฮยอนทอดสายตายาวไปไกลสุดตาก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“คุณมีอะไรไม่สบายใจรึเปล่าครับ ?” ชานยอลถามคนข้างๆด้วยความเป็นห่วง เขารู้สึกถึงอารมณ์นั้นได้
“ถ้าถามว่ามีไหม … มันก็เยอะมากนะ”
“….”
“คุณเคยคิดถึงอนาคตบ้างไหมชานยอล ? เคยคิดถึงเรื่องงานเรื่องครอบครัวเรื่องคนรักในบ้างไหม” ร่างเล็กเอ่ยออกมาเบาๆ ตัวเขาเองก็เคยคิดเรื่องอย่างนี้ไว้มากมาย ตั้งแต่เล็กยันโต เคยคิดว่าสักวันต้องหางานทำดีๆ สักวันต้องเลี้ยงแม่ให้ได้ สักวันต้องมีคนรักข้างกาย มีใครสักคนที่พร้อมจะอยู่ข้างๆกัน
“เคยสิ .. ผมฝันถึงอนาคตไว้มากมาย แต่พวกนั้นมันก็หายไปตั้งแต่พบว่าตัวเองเป็นมนุษย์กลายพันธ์ … หลังจากนั้นผมก็ไม่รู้จะใช้ชีวิตยังไง จะอยู่ยังไง สำหรับอนาคตของโลกเขาไม่ต้อนรับคนอย่างพวกเราหรอก .. ผมไม่ได้คิดเรื่องอนาคตอีกเลย แค่ใช้ชีวิตอยู่ .. เพื่อรอวันที่จะหายไป”
“…”
“แต่รู้อะไรไหม..”
“หืม” แบคฮยอนละสายตาจากสิ่งที่สนใจอยู่มามองร่างสูงที่ยืนข้างๆ เสี้ยวหน้าของชานยอลถือว่าดูดีมากเลยทีเดียว จมูกที่โด่งเข้ากับรูปหน้า ปากสีแดงช่ำ ตาที่หวานกลมโต .. เขาหล่อมากจริงๆ
“ความคิดผมเปลี่ยนไปตั้งแต่เจอใครคนนึงเข้า ผมรู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ซะแล้ว ไม่ได้อยู่เพื่ออนาคตของผม … แต่อยากเป็นส่วนหนึ่งในอนาคตของเขา”
ชายร่างสูงหันมาจ้องแบคฮยอน ก่อนจะเห็นว่าเขามองชานยอลอยู่ก่อนแล้ว สายตาเราทั้งคู่ประสานกัน ความรู้สึกบางอย่างมันเกิดขึ้นในใจ คำพูดของร่างสูงทำให้หน้าเขาร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆที่เจ้าตัวก็ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร แต่เขาเองก็อดรู้สึกดีไม่ได้
“นายหนะ คือคนค….”
“ชานยอล เกิดเรื่องแล้ว” ร่างสูงยังพูดไม่ทันจบ เสียงของใครคนนึงดังขึ้นมาจากด้านหลัง ทั้งสองหันหน้าไปมองอย่างพร้อมเพรียงกัน เป็นจงอินหนุ่มผิวแทนที่ยืนอยู่ในเสื้อยืดสีขาวที่เขาใส่ประจำ
ทุกคนในบ้านต่างมารวมตัวกันหน้าตู้หนังสือ โดยมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน ทุกคนต่างอยู่ในชุดหนังสีดำรัดรูปที่ไว้ใช้ในการออกปฏิบัติการต่างๆ ท่าทางของร่างสูงที่ดูรีบร้อน เขาเข้ามาเคาะประตูบ้านตอนตีสองกว่าๆกับการขอความช่วยเหลือ คนทั้งบ้านก็อดให้ความช่วยเหลือไม่ได้เนื่องจากเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่คบกันมานาน ความจริงแล้วเซฮุนเองก็เคยอยู่ในบ้านหลังนี้กับพวกเรา แต่เลือกที่ย้ายออกไปเนื่องจากเขาเกิดปิ๊งใครคนนึงเข้า ซึ่งทุกคนรู้จักกันในชื่อซูโฮหรือคิมจุนมยอน โดยให้เหตุผลว่าบ้านหลังนี้มันห่างไกลจากตัวเมืองมากนัก ทำให้เขาดูแลพี่ซูโฮไม่ถนัด จึงย้ายออกไป .. ใช้คำว่าดูแลทั้งๆที่ยังไม่เป็นแฟน ทำหน้าที่ได้แค่น้องที่ดูแลพี่
“นี่มันก็นานมากแล้วที่เราไม่ได้ใช้มัน” อี้ฟานพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ ทุกคนต่างรู้ว่าเขาพูดถึงอะไรยกเว้นแบคฮยอน ร่างบางเอาแต่จัดทรงชุดที่อี้ฟานบังคับให้ใส่ รู้สึกว่ามันรัดเกินไปจนอึดอัด.. ชุดแปลกๆงี้ก็มีด้วย ?
ชายร่างสูงเลื่อนมือไปกดหนังสือเล่มสีฟ้าที่วางเรียงกันอยู่เป็นแถวยาว ตู้หนังสือที่เห็นในตอนแรกเลื่อนออกจากกำแพงที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะเปิดออกเป็นประตู ทุกคนเดินเข้าไปในห้องนั้นด้วยท่าทางที่นิ่งเฉย เว้นแต่ร่างบางที่ไม่เคยรู้ว่ามีห้องอย่างนี้อยู่ในบ้าน พอเดินเข้าไปก็ทำให้แบคฮยอนตะลึงมากขึ้นไปอีก ร่างเล็กตาค้างกับบางอย่างที่อยู่ตรงหน้า
“อึ้งใช่ไหมหละ .. ยินดีต้อนรับสู่เครื่องบิน exo360 ” ชานยอลพูดขึ้น ก่อนหันมามองร่างเล็กที่กำลังอ้าปากค้าง เครื่องบินเจ็ทลำใหญ่สีดำที่รูปร่างไม่เหมือนเครื่องบินทั่วไป ทางขึ้นถูกเปิดลงมาจากใต้ท้องเครื่อง ทุกคนพากันขึ้นไปบนเครื่องและนั่งประจำที่ เก้าอี้มากมายที่มีอยู่ทำให้รู้ว่าเครื่องบินลำนี้บรรจุคนได้เยอะมากแค่ไหน ที่นั่งคนขับถูกแทนที่ด้วยมินซอกและอี้ฟานทำหน้าที่เป็นกัปตัน หลายคนเลือกที่นั่งอย่างรีบร้อน ร่างสูงไม่รอช้า ดึงมือแบคฮยอนให้มานั่งข้างกาย
“นี่นาย ..อย่ามัวแต่เหม่อดิ” เขาเตือนสติตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังให้ความสนใจกับทุกอย่างที่อยู่ภายในเครื่อง
“อะไรเล่า ก็ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นเลยหนิ” ร่างเล็กเถียงกลับ
“รัดเข็มขัดให้แน่นๆนะทุกคน เรากำลังจะเหินฟ้ากัน” สิ้นสุดคำพูดของอี้ฟานเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นทั้งลำจากการเคลื่อนตัวออกของเครื่องบิน ร่างบางนั่งเกร็งกับการที่ไม่เคยเจอประสบการณ์แบบนี้ ตั้งแต่เกิดมาสิบแปดปีเขาไม่เคยนั่งเครื่องเลยสักครั้ง แบคฮยอนหลับตาแน่นด้วยความกลัวก่อนจะรู้สึกถึงมือของใครบางคนมากุมเขาไว้
ร่างบางลืมตาขึ้นมองมือตัวเองที่ถูกดึงไปกอบกุมเอาไว้ “จับไว้อย่างนี้นายจะได้ไม่กลัว” ชานยอลฉีกยิ้มเล็กน้อย ..
เมื่อหลุดพ้นจากแรงกดอากาศ ทำให้ทั้งลำอยู่ในสภาวะปกติ ทุกคนดึงเข็มขัดนิรภัยออกด้วยความอึดอัด
“นายมีอะไรที่เป็นของซูโฮบ้างไหม ฉันจะได้หาว่าเขาอยู่ไหน ..” อี้ชิงหันไปถามร่างสูงที่นั่งข้างๆ
เซฮุนยื่นโทรศัพท์เครื่องสีดำที่หน้าจอแตกละเอียดให้ อี้ชิงรับมาก่อนจะมองอย่างพิจารณา ร่างบางหายใจออกเล็กน้อย ก่อนตาทั้งสองจะปิดลง เขากุมโทรศัพท์เครื่องนั้นไว้ทั้งสองมือ ภาพหลายๆอย่างแล่นเข้ามาในหัว ความทรงจำตั้งแต่เด็กของชายหนุ่มที่ชื่อจุนมยอนปรากฏขึ้น แล้วเปลี่ยนเป็นภาพในเวลาปัจจุบัน ลักษณะของสถานที่สามารถบอกพิกัดได้ว่าอยู่ที่ไหน ร่างบางคลายมือออกก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ
“อยู่ที่คยองซังใต้ติดน้ำทะเล”
“แกปล่อยฉันไปนะโว้ยยยยยยยยยย !!!” เสียงตะโกนดังขึ้นจากตรงไหนสักแห่ง
“เห้ยยย รำคาญ”
“ปล่อยฉันออกไป !!”
“เงียบปากได้ไหมวะนังบ้า !”
“อย่าให้ออกไปได้นะ !”
“ทำไมหรอหืม ? จะเผาฉันหรอจ๊ะแม่สาวไฟแรง”
“คอยดูแล้วกัน”
คยองซูมองลอดผ่านทางช่องเล็กๆส่งสายตาไปหาคนฝั่งตรงข้ามประมาณว่า เกิดอะไรขึ้น ? ลู่หานส่ายหัวไปมาอย่างช่วยไม่ได้ จริงๆพวกเขาก็ได้ยินเสียงโวยวายบ่อยมาก ทุกๆครึ่งชั่วโมงมีโผล่มาหนึ่งครั้ง แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ พวกเขาทำได้แค่ส่องสายตาลอดผ่านช่องที่เห็นเพียงใบหน้าอีกคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แต่วันนี้แปลกกว่าเดิมเมื่อมีบางอย่างเดินผ่านหน้าพวกเขาไป ชายในเครื่องแบบสีดำสองคนลากใครไม่รู้ที่อยู่ในสภาพสติไม่เต็มร้อย
ซูโฮปรือตามองทางข้างหน้า เขาพึ่งตื่นจากการหลับใหล เกิดอาการเวียนหัวนิดหน่อย ชายสองคนที่เดินเทียบอยู่ทำเหมือนเขาเป็นสิ่งไม่มีชีวิต ทั้งฉุดทั้งดึงจนทำให้เจ็บเนื้อตัวไปหมด
“เราพาซูโฮมาแล้วครับ” เสียงของชายในชุดดำฝั่งซ้ายบอกกับใครคนนึงที่กำลังจัดการกับอุปกรณ์บางอย่าง มีเก้าอี้เหล็กขนาดใหญ่อยู่กลางห้อง
“เอามันเข้ามา … ไว้ตรงนี้”
ร่างของซูโฮถูกเหวี่ยงอย่างแรงไปกับเก้าอี้เหล็กนั่น รู้สึกจุกเล็กน้อยกับการกระแทกที่เกิดขึ้น ก่อนแขนทั้งสองข้างจะโดนล็อคด้วยเหล็กที่เชื่อมอยู่กับเก้าอี้ ร่างบางพยายามขัดขืนแต่ก็ไร้ผลเมื่อแรงเขามีน้อยเหลือเกิน
“พวกแกเป็นใคร” ร่างเล็กเอ่ยถามเบาๆ
“ไม่จำเป็นต้องรู้ …” ชายแก่ในเสื้อสีขาวคลุมถึงเข่าพูดก่อนจะหันไปสนใจกับอุปกรณ์ที่อยู่บนโต๊ะ
“แกจะทำอะไร” ซูโฮถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ตอนนี้เขารู้สึกกลัวมากจริงๆ พวกคนในเครื่องแบบสีดำทั้งสองเดินออกจากห้องไปแล้ว เหลือเพียงเขากับชายมีอายุนั่น
“ก็แค่ทดลองอะไรนิดหน่อย” พูดจบก็หันมายิ้มให้กับร่างบางที่นั่งติดแหงกอยู่ พูดได้เลยว่าเป็นยิ้มที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต
“พร้อมแล้วใช่ไหม?”
ชายแก่เอื้อมมือไปกดปุ่มสวิตซ์สีแดงที่อยู่ข้างโต๊ะอุปกรณ์
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก !!!!” แสงไฟฟ้าถูกปล่อยออกมาจากเก้าอี้ที่ร่างบางนั่งอยู่ ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด … ช่วยด้วย ใครก็ได้มาช่วยที ได้แต่คิดอยู่ในใจ น้ำใสๆไหลออกจากดวงตาทั้งสองข้าง
“เพราะมันไม่ได้อยู่บนพื้นไงหละ … มันอยู่ใต้ดิน” อี้ชิงพูดขึ้น ทำให้ทุกคนในเครื่องต่างมองผ่านกระจกข้างหน้าไปยังพื้นที่อยู่ด้านล่าง ทำให้เห็นว่ามีชายในชุดสีดำประจำการอยู่พร้อมอาวุธในมือ
“มินซอก” อี้ฟานหันไปพูดกับคนข้างกาย ชายร่างเล็กพยักหน้าอย่างรู้งานก่อนจะมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ตาดำทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็นสีขาวจนดูน่ากลัว ฟ้าที่มีแสงพระจันทร์ส่องตอนนี้ถูกก้อนเมฆมากมายบดบังไว้อยู่ มินซอกหรี่ตาเล็กน้อยก่อนจะมีกลุ่มหมอกหนามากมายมาปกคลุมบริเวณนั้นเพื่อช่วยพลางเครื่องบินไม่ให้คนข้างล่างได้เห็น
“เอาหละ ไปได้จงอิน” เมื่อเห็นว่าทุกอย่างลงตัว กัปตันอี้ฟานหันไปบอกกับชายหนุ่มข้างหลัง
“รับทราบ!” พูดแค่นั้นก่อนจะตัวเขาจะหายไปพร้อมกับควันสีดำ
“ทุกคนรัดเข็มขัด”
สิ้นสุดคำพูดทุกคนที่อยู่บนเครื่องพากันรัดสายเข็มขัดนิรภัยก่อนจะนำเครื่องลง แรงสั่นสะเทือนหยุดไปบ่งบอกให้รู้ว่าตอนนี้เครื่องแตะถึงพื้นเรียบร้อยแล้วพร้อมกับจงอินที่รออยู่ก่อน ร่างของชายชุดดำทั้งสองที่นอนอย่างไร้สติอยู่บนพื้นทำให้รู้ว่าจงอินเล่นแรงขนาดไหน
“ตายรึยังหนะ ?” มินซอกถามขึ้น
“คงยังหรอก ฉันแค่แทงมันด้วยมีดตรงท้ายทอยคนละจุดเอง”
“จะ .. คงยังไม่ตาย” ร่างเล็กทำหน้าเอือมๆก่อนจะเดินผ่านร่างที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นไป
“แบคฮยอน นายรออยู่ที่นี่นะ”
“ทำไมหละ”
“ข้างในอันตรายมาก ฉันอยากให้นายอยู่ที่นี่ เฝ้าเครื่องบินไว้ ..”
“…”
“โอเคนะ”
“อื้มม” ร่างเล็กพยักหน้าเล็กน้อยๆ
“ดีมาก” ชานยอลเอื้อมมือไปขยี้หัวของคนตรงหน้าก่อนจะหันหลังและเดินลงจากเครื่องไป “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น นายใช้พลังของนายจัดการเลยนะแบคฮยอน” เขาหันมาตะโกนก่อนจะวิ่งตามคนที่เหลือไป
เมื่อเห็นว่าทุกคนลับตาไปแล้ว ร่างเล็กถอนหายใจแรงๆหนึ่งที นี่เขาเองก็อยากมีส่วนร่วมในการช่วยคนเหมือนกันนะ คิดดังนั้นก่อนจะกลับไปนั่งที่ตัวเองปล่อยให้ความรู้สึกลอยหายไปในอากาศ
ทั้งหกคนเดินมาถึงหน้าทางเข้าซึ่งเป็นประตูเหล็กขนาดใหญ่ โดยมีป้ายเขียนไว้ว่า ‘ศูนย์ทดลองมนุษย์กลายพันธ์’
“เดี๋ยวนี้มีก่อตั้งศูนย์อะไรอย่างนี้ด้วยหรอวะ โหดร้ายเกินไปแล้ว” หนุ่มผิวสีแทนพูดขึ้นก่อนจะเลื่อนเปิดประตูเหล็กออก ทุกคนมองที่ทางเดินบันได้ลงไปข้างล่าง จงอินก้าวเข้าไปคนแรกก่อนจะตามด้วยสมาชิกที่เหลือ
เมื่อพวกเขาทั้งหมดเดินมาถึงก็เป็นทางแยกสองทาง ชายหนุ่มมองอย่างสับสนว่าควรไปทางไหนดี “ทางซ้ายจะเป็นทางเดินไปห้องกักตัวมนุษย์กลายพันธ์ส่วนทางขวาส่วนมากจะเป็นห้องทดลอง ซึ่งซูโฮอยู่ในห้องทดลองความสามารถจากการก…..” อี้ชิงพูดไม่ทันจบ หนุ่มผิวขาวใสรีบเดินนำไปทางขวาทันที เขารีบร้อนมากที่จะเจอกับพี่ซูโฮ
“ไอนั่นท่าจะรีบ” มินซอกเอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปถามความเห็นจากเพื่อนในกลุ่ม “เอาไงกันดี”
“นายกับอี้ชิงตามเซฮุนไป เดี๋ยวพวกฉันไปช่วยคนอื่นเอง” ชายร่างสูงผมทองสั่งคนคนตรงหน้าก่อนจะเดินแยกตัวออกไปทางซ้ายพร้อมกับจงอิน ชานยอล พวกเขาเดินมาเรื่อยๆจนถึงทางแยกสามทาง ชานยอลมองหน้าอี้ฟานอย่างรู้หน้าที่ก่อนตัวเขาจะเดินไปทางซ้าย ตามมาด้วยหนุ่มผมทองซึ่งเดินทางตรงกลาง เหลือเพียงจงอินกับเส้นทางเดียว
ชายหนุ่มผิวเข้มสังเกตเห็นใบเอสี่ที่ติดอยู่กับผาผนังข้างๆทางที่เขาจะเดินเข้าไป ถ้าดูดีๆแล้วเหมือนแผนผังห้องแต่ละห้องที่ไว้กักขังพวกกลายพันธ์ ร่างสูงตกใจเมื่อเห็นรายชื่อมากมายที่ติดอยู่ “นี่มีเยอะขนาดนี้เลยหรอเนี่ย” เขาบ่นกับตัวเองก่อนจะไล่สายตาดูแผนผังแต่ละห้องที่มีรายชื่อติดไว้อยู่ “คิบอม จีโน่ จีมิน ทิฟฟานี่ คยองซู ลู่หาน บลาๆๆๆๆ…………. เจอแล้ว !!” ชื่อที่เขียนว่า ‘ห้องควบคุม’
เมื่อรู้ว่าห้องควบคุมอยู่ที่ไหนแล้วคิมจงอินรีบออกเดินทันที เขามองผ่านห้องที่เดินผ่านแต่ละห้อง ทุกห้องไม่มีประตู มีเพียงช่องเล็กๆที่ทำให้เห็นบรรยากาศข้างใน พร้อมกับหน้าห้องที่มีชื่อติดเอาไว้
“มีผู้บุกรุก มีผู้บุกรุก..” เสียงจากลำโพงที่แขวนอยู่ตามทางดังขึ้นมา เห็นดังนั้นร่างสูงจึงรีบเร่งฝีเท้ามากขึ้นไปอีกก่อนจะได้ยินเสียงแกร๊กที่ดังมาจากข้างหลัง รู้เลยว่าสิ่งที่จ่อหัวเขาอยู่นี้ต้องเป็นปืนอย่างแน่นอน
“หยุดอยู่นิ่งๆ”
To be continue ..
เห้ๆๆๆ มาแล้วกับ Chapter4 !!! อยากให้ทุกคนติดตามให้ดี ตอนหน้าได้เจอการแหกคุกของมนุษย์กลายพันธ์แน่
ติดแท็ก #ฟิคมนุษย์กลายพันธ์
Twitter : @Lolicandy_blue
ความคิดเห็น