คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Mutator Gene สงครามมนุษย์กลายพันธ์ : Chapter 2
Mutator Gene
Chapter 2
‘ประกาศจับมนุษย์กลายพันธ์’ กระดาษแผ่นสีขาวที่แปะเรียงรายกันเป็นทางยาว เกิดการออกจับมนุษย์กลายพันธ์กันอย่างจริงจังมากขึ้น มองไปทางไหนก็เจอแต่รถตำรวจวิ่งพร้อมกับเสียงไซเรนที่ดังขึ้นทุกๆนาที ไม่เว้นแม้แต่ในชานเมืองที่สงบสุขนี้
“คาปูชิโน่ร้อน … หนึ่งแก้ว” เสียงใสสั่งกับเจ้าของร้านกาแฟรูปร่างอ้วนท้วมก่อนจะหันมาสนใจกับสิ่งที่อยู่ภายนอก ร่างบางกับเสื้อคลุมสีดำมีฮู้ดปิดบังใบหน้า เขาเลือกที่นั่งติดกับกระจกใสเพื่อมองบรรยากาศนอกร้านได้อย่างสะดวก ช่วงเวลากลางคืนแบบนี้มีคนไม่มากนักที่จะออกมาเดินเพ้นพ้าน คืนนี้คนน้อยกว่าปกติ มันทำให้เขารู้สึกสบายหูสบายตามากยิ่งขึ้น ร่างเล็กไม่ชอบที่ต้องอยู่กับสังคมหมู่มาก จึงเลือกที่จะใช้ชีวิตคนเดียว
“นี่ครับคาปูชิโน่ร้อนๆ” แก้วสีขาวมีลายโลโก้อเมริกันของร้านถูกวางอยู่ตรงหน้า ร่างเล็กเอาแต่จ้อง ไม่คิดที่จะยื่นมือออกไปหยิบมันขึ้นมา ถ้าถามว่าทำไมไม่ยอมดื่มกาแฟแก้วนี้ ต้องบอกเลยว่าเขาเป็นคนไม่ชอบกินกาแฟ…. เป็นอย่างมาก ก็แค่ต้องการเดินเข้าร้านนั่งชิวสักร้านที่มีเสียงเพลงคลอเบาๆพร้อมกับที่นั่งสงบๆใช้เวลาอยู่กับตัวเอง เพียงแค่ไม่ทำให้มันดูเป็นการเสียมารยาทจนเกินไป
“ทำไมคุณต้องใส่ฮู้ดปิดหน้าไว้อย่างนั้นด้วยหละครับ”
ร่างเล็กหันไปตามเสียงนั่น เห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ยืนกอดอกในชุดสีกากีพร้อมกับเข็มกลัดมากมายที่ติดอยู่ตามลำตัว
“เรื่องของผม” ตอบอย่างห้วนๆ จะบอกว่าเสียมารยาทก็ได้ แต่เขาก็ไม่จำเป็นที่ต้องสนทนากับคนไม่รู้จัก
ร่างบางละความสนใจจากคนตรงหน้าหันไปมองบรรยากาศที่อยู่ข้างนอกแทน รถที่สัญจรไปมาเริ่มลดน้อยลงจนหมาข้างถนนสามารถไปนอนอยู่กลางสี่แยกไฟแดงได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาชนจนพวกมันไส้ทะลัก
เขาก้มมองนาฬิกาสีดำที่เขาสวมไว้ก่อนออกจากบ้าน บ่งบอกเวลานี้มันดึกมากแล้วก่อนที่จะพ่นลมหายใจออกอย่างเบื่อหน่าย แล้วลุกขึ้นจัดที่จัดทางให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมตัวที่จะกลับที่พัก ร่างเล็กเอี้ยวตัวจะเดินออกจากตรงนี้ก็ต้องแปลกใจเมื่อคนในเสื้อกากียังยืนอยู่กับที่ไม่ไปไหน
“ขอโทษนะครับ หลบทางหน่อย” จริงๆเขาไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้ถ้าคนตรงหน้าไม่ยืนขวางทางเดิน
นิ่ง ….. ชายร่างใหญ่ยืนนิ่ง เอาแต่จ้องเขา
“คุณครับ...” ผมไม่ชอบเลยจริงๆกับคนอย่างนี้ ชายคนนั้นก็ยังคงยืนอยู่กับที่ เพียงแต่ขยับไหล่เล็กน้อยด้วยท่าทีที่ไม่สนใจกับสิ่งที่ผมพูด ร่างบางพ่นลมหายใจออกเบาๆก่อนที่จะมองไปเห็นบางอย่างในมือของชายคนนั้น เขากำลังยืนกำกระดาษแผ่นนึงอยู่ และถ้าจำไม่ผิด กระดาษแผ่นนั้นคือ …
‘ประกาศจับมนุษย์กลายพันธ์’
ร่างเล็กตาโตขึ้นด้วยความตกใจ เขาค่อยๆก้าวถอยหลังเพื่ออยู่ในห่างจากชายตรงหน้า สายตาสอดส่องทั่วร้านพยายามมองหาทางออก …. หายไปแล้ว คนทั้งร้านหายไปไหนหมด ทำไมเขาไม่ทันเห็น ภายในร้านนี้มีเพียงเขากับชายร่างใหญ่คนนั้น เห็นดังนั้นจึงรีบหันหลังและวิ่งไปทางออกที่ใกล้ที่สุดก่อนจะรู้สึกถึงบางอย่างพุ่งมาทิ่มที่ท้ายทอย ร่างเล็กหยุดอยู่นิ่ง เขาดึงสิ่งนั้นออกมาดูมีลักษณะคล้ายกับของบางอย่างที่เคยเห็นตามทีวี ที่พวกตำรวจชอบใช้กัน ถ้าจำไม่ผิด .... มันคือยาสลบ ยังไม่ทันได้ก้าวออกจากร้าน อีกนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น ทุกอย่างเริ่มเลือนรางก่อนที่เขาจะล้มลงไปกับพื้นอย่างไม่ได้สติ
“ใช่ครับ เราจับคยองซูได้แล้ว”
แสงสว่างจากภายนอกส่องเข้ามาในห้องนอนสีขาวโพลน ร่างของชายคนนึงพึ่งตื่นขึ้นจากการหลับไหลที่กินมาเป็นระยะเวลานานพอสมควร เขาเอามือมากุมศรีษะตัวเองด้วยความรู้สึกปวดหนึบๆรอบหัว มันเหมือนกับมีคนเอาค้อนปอนใหญ่ๆมาทุบ อาจดูเว่อไป ? เมื่อรู้สึกดีขึ้นแล้วร่างเล็กค่อยๆลืมตาอย่างช้าๆ เพื่อปรับสภาพให้เข้ากับแสงแดดที่สาดส่องอยู่ภายในห้องก่อนจะกวาดสายตาไปทั่วอย่างแปลกใจ
…นี่ไม่ใช่ห้องของเขา
อาการปวดหัวหนึบๆยังคงไม่หายไป ร่างเล็กค่อยๆพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น ด้านซ้ายเป็นตู้หัวเตียงที่มีแจกันจัดดอกไม้วางไว้อย่างสวยงาม เขาหยิบออกมาดอกนึงก่อนจะเดินออกจากห้องนี้ด้วยประตูที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แบคฮยอนเดินไปตามทางเดินไม้เรื่อยๆ มองตามข้างทางมีรูปภาพของคนจำนวนมากติดไว้อยู่ มีทั้งถ่ายเป็นกลุ่มและถ่ายเดี่ยว เขามองดูรูปของคนๆนึง ความสูงโดดเด่นที่สุดในกลุ่มนั้น หน้าตามีลักษณะคล้าย….. โยดา? ก็ไม่ค่อยมั่นใจว่าคนอื่นเขาเรียกกันอย่างนั้นรึเปล่า เขาละความสนใจกับภาพตรงหน้าและค่อยๆเดินไปตามทาง สายตายังคงสอดส่องไปทั่ว นี่บ้านหรือปราสาทเขาเองยังสงสัย ทางเดินที่ดูหรูหรา กว้างขวาง และยาวเหยียด คงใช้เวลาหลายปีกว่าออกจากบ้านหลังนี้ได้ ?
“ตื่นแล้วหรอครับ” เสียงที่คุ้นหู
“…”
ร่างเล็กเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องโถงใหญ่ มองไปรอบๆมีแต่คน .. ที่เขาไม่รู้จัก
“คุณคงเหนื่อยสินะ มาๆ มานั่งตรงนี้ก่อน พวกเรากำลังเตรียมอาหารพอดีเลย” พูดจบชายคนนั้น คนที่ผมบอกว่าเหมือนโยดา เข้ามาดึงมือลากให้ไปนั่งหัวโต๊ะทานข้าวขนาดใหญ่ ผมมองไปคนฝั่งตรงข้าม มองคนที่จ้องผมอยู่เงียบๆ บนโต๊ะมีอาหารอยู่มากมายหลายอย่าง แต่ในเวลาแบบนี้เขาไม่มีอารมณ์ทำอะไรทั้งนั้น ร่างเล็กยังคงอยู่ในอาการมึนงง
“ดีนะครับที่เราไปเจอคุณก่อน”
“…”
“ใช่แล้วว ถ้าผมไม่บอกให้ชานยอลไปตามคุณก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ผู้ชายอีกคนเอ่ยขึ้น
คำพูดของคนเหล่านั้นเหมือนไม่เข้าหูผมแม้แต่นิด ตอนนี้เกิดคำถามขึ้นในหัวเต็มไปหมด เขามาอยู่ที่นี่ได้ไง ที่นี่คือที่ไหน แต่ที่เขาอยากรู้ที่สุดคือ ….
“พวกคุณเป็นใคร ?”
“อ๋า ผมคงลืมแนะนำตัวสินะ … สวัสดีครับผมชื่ออู๋อี้ฟาน เรียกสั้นๆว่าอี้ฟาน ” ชายร่างสูงผมทองพูดขึ้นพร้อมกับโค้งตัวหนึ่งร้อยเก้าสิบองศา เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในการแนะนำตัวของเขา .. รึเปล่า
“คนที่นั่งเงียบอยู่นี่ชื่อว่าอี้ชิง สัญชาติจีน …… เหมือนกับผม คนนั้นคือ คิมมินซอก เรามักจะเรียกเขาว่าเปาจื่อ เพราะรูปหน้าที่เหมือนซาลาเปากลมดิกนั่น” อี้ฟานชี้ไปหาคนหน้าซาลาเปาที่ว่า
“นายจะเรียกอะไรก็เรียกไป แต่ถ้าเรียกฉันว่าเปาจื่อ นายโดนสายฟ้าฟาดตูดแน่” สายฟ้า ? เล่นมุขใช่ไหม ?
“อะแฮ่มๆๆๆ”
“อ่อๆ สงสัยผมคงลืม ส่วนนั่นเป็นคนที่ไปช่วยคุณไว้ เขาชื่อว่าปาร์คชานยอล” ผมจ้องไปหาชายคนนั้นหลังอี้ฟานพูดจบ สายตาเราทั้งสองประสานกันพอดี ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ก็เกิดขึ้น ผู้ชายคนนี้คือคนที่อยู่บนระเบียงนั่นใช่ไหม ? ผมไม่สามารถละสายตาออกจากเขาได้เลย ….. เขาเหมือนโยดาจริงๆ
พรึบ !!
“เห้ออออ เหนื่อยชะมัด”
ควันสีดำเกิดขึ้นตรงหน้าพร้อมกับชายหนุ่มคนนึงที่ปรากฏตัวขึ้นมาเฉยๆ …. ปรากฏตัวขึ้นมาเฉยๆ!! แบคฮยอนอ้าปากหน้าเหวอด้วยความตกใจ ชายหนุ่มผิวแทนมายืนอยู่ตรงนี้ได้ไงกัน
“และสุดท้าย หนุ่มเทเลพอร์ต คิมจงอิน”
“ไม่เอาหน่าคริส เด็กหนุ่มหน้าหวานนี่คงไม่รู้จักคำว่าเทเลพอร์ตหรอกก”
ปากของแบคฮยอนอ้าค้างอยู่อย่างนั้น ยังช็อคกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย
“พวกเราเป็นเหมือนคุณ..” เสียงของคนที่ชื่อว่าอี้ชิงเอ่ยขึ้น
เหมือนหรอ ? เหมือนอะไร ? .. ร่างเล็กได้แต่สับสนในคำพูดของคนตรงหน้า
“นายน่าจะรู้ดีว่าผมหมายถึงอะไร ยอมรับความจริงเถอะ ว่านายหนะ คือพวกเรา”
ร่างเล็กนั่งนิ่งอีกครั้ง เขาตกใจกับสิ่งที่คนตรงหน้าพูด แบคฮยอนยังไม่ทันได้พูดอะไรด้วยซ้ำ ผู้ชายคนนั้น ..
“ผมอยากกลับบ้าน..”
“อะไรนะ ?”
“ผมบอกว่าอยากกลับบ้าน”
“ไม่มีหรอกบ้าน” ทุกคนต่างมองหน้าอี้ชิง
“ผม อยาก ก…..”
“นายคงไม่อยากกลับไปเจอกับตำรวจที่มีปืนอยู่คนละสองกระบอกพร้อมที่จะยิงหัวนายได้ทุกเมื่อกับแม่ของตัวเองที่ตะโกนอยู่หน้าบ้านว่านายไม่ใช่ลูกของเขาหรอกใช่ไหม ? ”
แบคฮยอนนิ่งกับคำพูดคนตรงหน้า เมื่อรวบรวมสติได้เขาก็ลุกขึ้นและวิ่งออกจากห้องนี้ทันที เขาไม่อยากได้ยินไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น คำพูดทุกคำมันทำให้เขาเจ็บไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เคยเกิดขึ้น คำพูดของชายคนนั้นไปกระทบกับต่อมความเศร้าหรือยังไง .. น้ำตาใสๆเอ่อขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกที่จุกอยู่ในอก
“ให้เวลาเขาหน่อยสิชิงชิง”
“เห้อออ เด็กนั่น แม้ว่าจะดูเหมือนเงียบเป็นคนว่านอนสอนง่าย แต่ในหัวไม่คิดจะฟังใครทั้งนั้น ถ้าเขาจะเถียง ก็เถียงถึงที่สุด ถึงไม่พูดออกมา แต่ผมก็ได้ยิน” ทั้งห้องตกอยู่ในความสงบ
อี้ฟานไม่รู้จะทำยังไง ทุกคนต่างมองตามหลังเด็กนั่น เขาส่งสายตาให้ชานยอลรับรู้ว่าควรทำอะไรสักอย่าง ร่างสูงพยักหน้ารับก่อนจะวิ่งตามออกไป
ปาร์คชานยอลเปิดประตูห้องนอนที่เขามั่นใจว่าเห็นคนตัวเล็กวิ่งเข้ามา เป็นห้องที่ร่างเล็กตื่นขึ้นมาเมื่อเช้าหลังจากหลับไหลไปทั้งคืน เมื่อวานอี้ชิงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแบคฮยอน เขาจึงบอกให้ผมกับมินซอกออกไปช่วยร่างบางนั่นและพาเขากลับมา ตอนผมไปก็แอบตกใจอยู่เล็กน้อย เพราะมีรถตำรวจสามสี่คันจอดอยู่หน้าบ้าน เห็นดังนั้นผมเลยบอกให้มินซอกสร้างพายุเพื่อทำให้ภายในบ้านไฟดับจะได้เข้าไปช่วยคนข้างในได้สะดวกโดยไม่ต้องมีการต่อสู้ แต่พายุของมินซอกคงแรงไป จึงทำให้บ้านเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย ชานยอลรีบเดินเข้าภายในบ้านทันที สิ่งแรกที่เขาเห็นคือร่างของตำรวจที่กระเด็นไปติดกับฝาผนัง คงปล่อยไว้นานไม่ได้ ร่างสูงรีบพุ่งเข้าหาแบคฮยอนทันทีก่อนที่จะมีตำรวจนายนึงยิงปืนยาสลบเข้าท้ายทอยของตัวเล็กและสลบไป .. ตื่นขึ้นมาอีกทีก็อย่างที่เห็น
เมื่อเดินเข้ามาในห้องก็เห็นร่างเล็กยืนหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง มีเสียงสะอื้นดังออกมาเล็กน้อย
“แบคฮ…..”
“เขาคงพูดถูก ฮึกก..” เสียงของร่างบางตัดบทขึ้นมา
“…”
“ผมเป็นโดนแม่ทิ้ง ฮึกๆ ผมไม่มีแม้แต่บ้านที่จะอยู่….”
แบคฮยอนค่อยๆหันหน้ามาหาเขา ตาที่บวมฉ่ำกับจมูกสีแดงระเรื่อนั่นมันทำให้เขาอยากเข้าไปกอดเหลือเกิน ความสงสารมันกัดกินในใจ
ร่างสูงตัดสินใจเดินเข้าไปหาคนตรงหน้า แล้วก็จับไหล่ทั้งสองข้างของร่างบางเอาไว้
“ชู่ววๆๆ ไม่ร้องนะครับ ที่นี่ไงคือบ้านของนาย”
“ฮึกก ก ผมมันเป็นแค่ขยะ ม..ไม่มีแม้แต่เพื่อนจะคบด้วย” ร่างสูงไม่รู้จะพูดต่อยังไง ..
“ถ้างั้นฉันก็คงเป็นขยะเหมือนกัน เพราะฉันเนี่ยแหละจะเป็นเพื่อนนายเอง” เขาพยายามยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่ทำได้
“…..”
“ถ้านายไม่มีบ้าน เรามีบ้านให้นายนะ อยู่กับพวกเราไง คนอย่างเรา …”
“คน ฮึกๆ ป..แปลกอย่างเราหรอ ..” ร่างเล็กพูดพร้อมกับใช้มือข้างนึงเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเรื่อยๆ
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อยย เขาเรียกกันว่าพิเศษตังหาก”
“ใช่สิ … พิเศษมาก ฮึกก พิเศษจนแม่ผมต้องเอ่ยปากไล่” พูดแล้วก็อดที่ห้ามน้ำตาออกมาไม่ได้ ความน้อยใจมันมีอยู่เต็มอก
“ก็เพราะพิเศษไงง พิเศษเกินกว่าคนธรรมดาเขาจะรับได้ …. ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้แบบเรานะแบคฮยอน นายต้องเปิดใจยอมรับ”
“..…”
“เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ ที่พระเจ้าไม่ได้มอบให้ทุกคน .. ศรัทธาในตัวเองหน่อยย” คงเป็นคำพูดที่มีค่าที่สุดของเขาตั้งแต่เกิดมา
“นายเคยเห็นผีเสื้อไหมหละ ? ขนาดผีเสื้อที่มีปีกสวยๆ เวลามันบิน ก็ยังมีคนกลัว ทั้งที่พวกมันไม่เคยทำร้ายใครเลย…. เพราะฉะนั้นฉันอยากให้นายเลิกคิดว่าตัวเองเป็นขยะได้ไหม ? … นายก็คือผีเสื้อตัวนึง ที่มีปีกสวยๆติดไว้ ถึงใครจะมองว่ามันน่ากลัวแค่ไหน แต่มันก็เป็นสิ่งสวยงามเสมอนะ .. ”
“…..” แบคฮยอนคิดตามทุกคำพูด น้ำตาที่ไหลในตอนแรกเหือดแห้งไปหมดแล้ว ..
“เอาหละ ฉันพูดมากไปแล้ว … ตอนนี้มินซอกคงทำโกโก้เสร็จพอดี นายคงอยากได้โกโก้ร้อนสักแก้ว .. ใช่ไหม?”
"อื้มมม"ร่างเล็กพยักหน้าตอบ
“ถ้างั้นรออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวฉันไปเอามาให้” ชานยอลยิ้มกว้าง เขารีบลุกและวิ่งออกจากห้องนี้ทันที
เมื่อร่างสูงออกไป แบคฮยอนก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เขาคิดตามทุกคำพูดที่ปาร์คชานยอลได้บอกเขาไว้ มันทำให้เขาคิดอะไรได้มากขึ้น เขาควรจะยอมรับทุกอย่างตั้งแต่วันนี้ ..
แอดดด…
เสียงประตูเปิดดังขึ้น
“ขอโทษที่ไม่ได้เคาะห้องนะครับ เอ่อ คงไม่เสียมารยาทใช่ไหม” เป็นอี้ฟานนั่นเองที่เดินเข้ามา
ร่างเล็กส่ายหัว ปฏิเสธว่าไม่เป็นไร
“ผมนั่งตรงนี้ได้ไหม ?”
แบคฮยอนไม่ตอบ เพียงแต่เขยิบตัวออกเป็นเชิงอนุญาต
“เห็นชานยอลบอกว่าคุณเข้าใจแล้ว … ผมจะมาขอโทษแทนชิงชิง เอ่ออ ผมหมายถึงอี้ชิงหนะ คือเขาอาจดูเป็นคนปากร้ายนะครับ แต่จริงๆแล้วเขาห่วงคุณนะ"
"หรอครับบ...."
"เขาคงบังเอิญไปได้ยินอะไรในความคิดคุณเข้า”
“ความคิด..?”
“ใช่ครับบ ความคิด อี้ชิงมีความสามารถในด้านพลังจิตในการอ่านใจคน” ร่างเล็กพยักหน้าเล็กน้อย
"นี่ ถ้าชิงชิงได้ยินความคิดคุณแล้วเขาพูดแบบนั้น แสดงว่าคุณต้องคิดอะไรบางอย่างทำให้รู้สึกไม่ดีใช่ไหม" อี้ฟานพ่นลมหายใจออกเบาๆ เขาไม่อยากให้คนตรงหน้าคิดมาก ถึงจะพึ่งเจอกัน แต่ยังไงเขาก็พวกเดียวกัน คนที่ต้องนับเป็นหนึ่งในครอบครัว "คุณมีเรื่องอะไรไม่สบายใจบอกผมได้เสมอนะครับ"
“ผมอยากรู้ ความสามารถที่คุณพูดถึง มันหายไปได้ไหม?” คำถามที่ออกมาจากปากแบคฮยอนทำให้คนอย่างอี้ฟานไปต่อแทบไม่ถูก
“เอ่อ .. ถ้าตอบความจริงคือไม่ .."
"มันเกิดขึ้นมาจากอะไร ? ทำไมถึงต้องเป็นพวกเรา" ทำไมต้องเป็นเขา
"พวกนี้มันเป็นการเปลี่ยนแปลงทางดีเอ็นเอ เป็นส่วนหนึ่งในตัวเรา ง่ายๆ ก็เหมือนกับที่คุณมีมือ มีแขน มีขา ถ้าไม่ต้องการ ก็แค่ต้องตัดมันทิ้ง ..”
"….”
“เชื่อเถอะว่าสักวันคุณต้องขอบคุณที่ได้มันมา”
“โกโก้มาแล้วครับบบบบ” เสียงทุ้มของชานยอลดังขึ้นเมื่อเปิดประตูเข้ามา
“ผมคงต้องไปละ ไว้วันหลังคุณมีเรื่องทุกร้อนอะไรปรึกษาผมได้เสมอนะครับ เดาว่าเขาคงอยากอยู่กับคุณแค่สองต่อสอง”
ร่างสูงทำท่าทางกระซิบกับคนตัวเล็ก ..อยากอยู่กับผมสองต่อสองงั้นหรอ ?
ร่างของคนตัวสูงผมทองลุกขึ้นยืดตัวคลายความเมื่อย แล้วค่อยเดินตรงดิ่งไปยังประตูห้องนอนสีขาวสวนกับรางสูงในชุดทักซิโด้สีดำที่ยืนอยู่ แต่ก่อนที่จะก้าวออกจากห้องนี้ เขาหันมาพูดกับคนที่อยู่ภายในห้อง ซึ่งเป็นประโยคที่ทำให้ร่างบางคิดได้มากขึ้นเลยทีเดียว…
“จำไว้นะแบคฮยอน เป็นในแบบที่เราเป็น จงภูมิใจ … ที่กลายพันธ์”
To be continue ..
Chapter 2 เสร็จไปอีกตอนนน เหนื่อยแท้ … ฮือออ ไรท์เครียดมากเลยย มีคนอ่านเรื่องนี้น้อยมากกก ถึงจะเป็นเรื่องเปิดใหม่ แต่คิดไว้ว่าน่าจะมีคนเยอะกว่านี้ TT มันทำให้ไม่อยากแต่งต่อเลยอ่าาา จะพยายามอย่างที่สุดแล้วกันน้าาาาาา
ติดแท็ก #ฟิคมนุษย์กลายพันธ์
Twitter : @Lolicandy_blue
อ่านจบแล้วรบกวน Comment ด้วยนะฮับ เพื่อกำลังใจในการสร้างผลงานต่อไป
ความคิดเห็น