ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic BTS] Gift Box ( V vs Jungkook x Jimin )

    ลำดับตอนที่ #6 : [Special SF no.02] At the bus stop

    • อัปเดตล่าสุด 11 ธ.ค. 57


    Gift Box Special SF no.2
    Title : At the bus stop
    Couple : Jungkuk&Jimin



    ==============================================================

     

                ณ ป้ายรถเมล์ ทุกๆเช้าและเย็น จะเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ที่ตื่นมายืนรอเพื่อไปทำหน้าที่ของตัวเอง และหลังหมดหน้าที่ก็จะมารอเพื่อจะได้กลับไปพักผ่อน เป็นวงจรที่พบเห็นได้ทุกวัน และเช้านี้ก็เช่นกัน บางคนก็ยืนรอด้วยท่าทางเร่งรีบ บางคนก็อยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น บ้างก็ส่งเสียงระรื่นเพราะได้พบปะกับคนคุ้นเคย โดยเฉพาะในช่วงเปิดเรียนเช่นวันนี้ เหล่าเด็กหนุ่มสาวต่างส่งเสียงพูดคุยกันอย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะคุยกับคนข้างๆหรือคุยกับเครื่องมือสื่อสารรูปร่างสี่เหลี่ยมก็ตาม และ 1 วันของคนเราก็ได้เริ่มต้นขึ้นจากตรงนี้

                ตอนนี้รถเมล์สายที่ผมรอได้มาถึงแล้ว ในขณะที่ผมกำลังจะก้าวไปยังประตูรถ ฝูงชนมากมายก็ถลาเข้ามาแทรกแซงอย่างล้นหลาม ทำให้ผมต้องถอยหลังไปนิดหนึ่ง ซึ่งแน่นอน ผมโดนหลายๆคนตัดหน้าขึ้นรถไปแล้ว เมื่อผมขึ้นมาถึงก็พบว่า ไม่เหลือที่นั่งสำหรับผมแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่หรอก ระยะทางไม่ได้ไกลเกินจะทนยืนไม่ได้ คนที่นั่งอยู่บางคนก็ผ่อนคลายกับการมองออกไปนอกหน้าต่าง บ้างก็ผล็อยหลับไป ส่วนคนที่ได้ยืนบางคนก็มุ่ยหน้าหงุดหงิดบ้าง เข้าใจว่าใครๆก็ติดสบายกันทั้งนั้น ในบางครั้งใครเร็วกว่าก็ย่อมคว้าสิ่งที่ดีกว่าไปได้ก่อน นั่นคือความจริงของโลกใบนี้ล่ะ

                บรรยากาศภายในรถที่มีผู้คนมากมาย แต่กลับมีเพียงเสียงตอบรับอัตโนมัติบอกสถานีต่างๆที่รถแล่นไปถึง ยุคนี้สมัยนี้คนเรามักจะละเลยที่จะคุยกับคนข้างๆและก้มหน้าให้ความสนใจกับโทรศัพท์ซะมากกว่า เหอะ! ว่าแต่คนอื่นผมเองก็ไม่ได้ดีกว่าคนอื่นสักเท่าไหร่นะ ถึงจะไม่ก้มดูหน้าจอ แต่ก็ใส่หูฟังตัดความสนใจจากสภาพแวดล้อมรอบตัวเหมือนกัน บางคนก็ส่งข้อความคุยกับอีกคนซึ่งคงจะอยู่ที่ไหนสักแห่ง บางคนก็อัพเดตโซเชียลเน็ตเวิร์ค บางคนก็เล่นเกมอย่างสนุกสนาน แต่ผมจะไม่อะไรเลยนะถ้าไม่ใช่เพราะเล่นเกมแท็บดนตรีในขณะที่ยืนโหนรถเมล์อยู่ แน่ะ! ยังจะหันมาทักทายอยู่นะ อุตส่าห์ทำเป็นมองไม่เห็นซะแล้วเชียวนะชานยอล เขาเป็นเพื่อนจากโรงเรียนเก่าที่เข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันกับผมเองแหละ เอ้อ! ลืมแนะนำตัวสินะ ผมจอนจองกุก ตอนนี้เป็นนักศึกษาคณะธุรกิจ ส่วนชานยอลที่บ้าคลั่งเกมนั้นเข้าเส้น (ก็ผมเห็นมันเล่นตั้งแต่อยู่โรงเรียนเก่าแล้ว Super star..อะไรสักอย่างนี่แหละ) อยู่คณะดนตรี เราไม่ได้สนิทกันหรอก เพียงแค่ชื่อเสียงเราไม่ธรรมดา เลยทำให้พอจะรู้จักกันผ่านๆ เจอกันก็ทักทายกันนี่แหละ

                วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดเรียนเทอมที่ 2 เพราะเป็นวันแรก หน้ามหาวิทยาลัยจึงเต็มไปด้วยนักศึกษามากหน้าหลายตาที่รีบมากันแต่เช้า เพื่อพบปะพูดคุยกับเพื่อนๆที่คงจะไม่ได้เจอกันในช่วงวันหยุด ส่วนผมเองก็ไม่อะไรมากอยู่แล้ว สายอโลน บุกเดี่ยว มีเพียงบางคนที่สนิทกันเท่านั้น และผมก็ไม่ไร้สาระพอจะต้องมาดี๊ด๊าเจอเพื่อนก่อนเข้าเรียนด้วย ถึงเวลาเดี๋ยวก็ได้เจอกันเองแหละ แหม...

     
     

    =================================================================


     

                เข้าช่วงคาบบ่าย หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็เดินทอดน่องไปห้องเรียนเรื่อยๆอย่างไม่เร่งรีบ เพราะยังพอมีเวลาเหลืออยู่มาก และก็เป็นข้อดีอีกอย่าง เพราะผมไม่ค่อยได้มาเรียนที่ตึกนี้เท่าไหร่ ทั้งเทอมนี้และเทอมที่แล้วก็มีเรียนที่นี่แค่วิชาเดียว ฉะนั้นเดินช้าๆ ค่อยๆหาห้องเพื่อความแน่ใจนั่นแหละดีที่สุด

                เมื่อมาถึงหน้าห้อง ผมลองส่องเข้าไปก็พบว่ามีนักศึกษามาถึงแล้ว 4-5 คน และความวุ่นวายก็เข้าครอบงำผมทันทีเมื่อผมเปิดประตูเข้าไปในห้อง

    Hey! มาแล้วหรอ My Friend!!

                ไอ้ที่เสียงดังมาแต่ไกลนั่น แจ็คสัน เทอมที่แล้วที่ผมลงเรียนการเขียนภาษาอังกฤษ และก็ได้ลูกครึ่งฮ่องกงคนนี้แหละ เป็นพาร์ทเนอร์เวลาเขียนรายงานหรือช่วยเหลือกันเรื่องเรียน และที่เทอมนี้ลงสนทนาภาษาอังกฤษอีก ก็เพราะมันนั่นแหละที่รบเร้าให้ลงเรียนเป็นเพื่อนกัน

                ผมไม่ไดเสียงดังตอบ แค่ยิ้มและเดินตรงไปยังที่นั่งซึ่งเพื่อนรักได้จัดเตรียมไว้ให้ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันไปตามประสาคนคุ้นเคย จนอาจารย์เข้ามาในห้อง


    Welcome everybody to TONY’s class

     
               ครับ ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าอาจารย์ชื่อโทนี่ เล่นแนะนำตัวซะขนาดนั้น อีกอย่างนะ ไปกินชาสูตรแปลกๆมากหรือเปล่า ถึงได้ร่าเริงเสียขนาดนั้น


    “วันนี้วันแรก เราจะเริ่มที่การแนะนำตัวกันก่อน เพราะหลายๆคนในคลาสนี้ไม่ได้เรียนเมเจอร์ภาษาอังกฤษ เริ่มจากแจ็คสันก่อนเลย”

                นั่นไงครับ ทีคนแรกนี่พูดชื่อแม่น ก็เด็กเมเจอร์นี้นี่ ดูท่าจะสนิทกับอาจารย์พอสมควรเสียด้วย หลังจากอาจารย์เริ่มประมวลผลและจัดเก็บรายชื่อแล้ว ก็มอบงานให้ทำในหัวข้อ Tell me about your friend เพื่อเป็นการให้คนในห้องได้ทำความรู้จักกันไปด้วยในตัว แต่ท้ายที่สุดแล้ว.. ก็เลือกคนข้างๆ ซึ่งเป็นเพื่อนกันอยู่แล้วเกือบทั้งหมดไม่ใช่หรือไง

    “โอ๊ะ! จีมินยังไม่มีคู่สินะ ถ้าอย่างนั้นมาอยู่รวมกลุ่มกับแจ็คสันและจองกุกนะ”

                และเจ้าของชื่อก็ย้ายตัวและหนังสือมานั่งโต๊ะข้างๆพวกผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม กล้าพูดเลยว่า.. น่ารัก น่ารักมาก!! นี่ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวใช่ไหมเนี่ย แค่เพิ่งเจอแท้ๆ แต่กล้าพูดเลยว่าไม่อยากละสายตาจากคนตรงหน้าเลย

                และเพราะต้องถามไถ่ที่มาที่ไป ทำให้ผมพอรู้ว่าบ้านของเขาอยู่ปูซาน และเพิ่งย้ายมาอยู่โซลก็ตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยนี่แหละ แถมยังเป็นคนดูเขินๆอายๆไม่ค่อยกล้าพูดเสียเท่าไหร่ แต่มันก็เป็นมุมที่เข้ากับบุคลิกดีนะผมว่า

     
     

    =================================================================

     
     

                ตอนนี้เลิกเรียนแล้ว ด้วยความระวังตัวที่จะโดนแจ็คสันรั้งเพื่อชวนไปเที่ยว ผมจึงรีบเผ่นออกมาก่อน วันแรกเอะอะก็ชอบชวนเที่ยว ที่จริงไม่ใช่อะไรหรอก แค่วันนี้ผมอยากกลับไปดูหนังให้จบทุกภาคที่ดูค้างไว้ตั้งแต่ช่วงวันหยุด เพราะวันหยุดผมยังต้องช่วยงานธุรกิจที่บ้าน ต่อให้มีเวลามากขึ้นในการไร้สาระ แต่มันก็ไม่พออยู่ดี ถ้าวันนี้ดูจบ เจอกันคราวหน้า เพื่อนๆจะชวนไปกินข้าว คาราโอเกะ เข้าห้องสมุด หรือแม้แต่ไปเที่ยวต่างจังหวัดก็ไปหมดเลยอ่ะ!

                เมื่อเดินมาถึงป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย ก็ทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้า กึก! คนที่ยืนรอรถนั้นมีมากมายก็จริง แต่ในสายตาผมตอนนี้ เห็นเพียงคนๆหนึ่งซึ่งเขาเคยทำให้ผมละสายตาไม่ได้มาแล้วครั้งหนึ่ง ปาร์คจีมิน

                ถึงอย่างนั้น ผมก็เดินเลี่ยงๆออกมา ไม่ได้เดินเข้าไปทักเขาตรงๆหรอก จะบอกว่ากลัวก็ไม่ใช่นะ แค่ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทักอะไรดี แต่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกนะ เมื่อผมกำลังจะหันไปมองจีมิน มันดันเป็นจังหวะเดียวกับที่จีมินหันมาทางผมพอดี เราสบตากัน ยิ้มให้กัน และโบกมือทักทายกันตามปกติของคนที่รู้จักกัน ครับ.. แค่นั้นเลย ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

                รถเมล์มาแล้ว ผมตรงไปยังประตู แต่ก็เหมือนเดิม คนมาจากไหนกันนะ อยู่ๆผมก็โดนตัดหน้าเสียอย่างนั้น ทำให้ผมรั้งท้ายมานิดหน่อย และพบกับใครอีกคนเข้า

    “จะกลับบ้านหรอ”

    “ใช่! นายด้วยหรอ?”

                จีมินเป็นคนเริ่มเอ่ยปากถามผมก่อน ผมจึงตอบกลับด้วยคำถามเดียวกัน ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มให้เป็นคำตอบ เมื่อเข้ามาในรถแล้ว เนื่องด้วยที่นั่งเหลือไม่มาก เรา 2 คนจึงไม่ได้นั่งใกล้ๆกัน แต่อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าจีมินจะกลับบ้านเวลานี้ อา... ผมเองก็ควรจะกลับเวลานี้บ่อยๆเหมือนกันสินะ

     
     

    =================================================================

     
     

                เมื่อเวลาผ่านไป ด้วยเนื้อหาของวิชานี้ที่เรามักจะต้องพูดคุยโต้ตอบกัน ทำให้ผมได้รู้จักเขามากขึ้น จีมินเรียนเมเจอร์วรรณกรรม และมีความฝันอยากจะเป็นนักเขียน งานเขียนที่ชื่นชอบคือ แฮมเล็ตของเชคสเปียร์ หลายๆครั้งที่เราต้องแสดงบทบาทสมมุติ จีมินเองก็ชอบทำท่าทางน่ารักๆออกมาบ่อยๆ ซึ่งมันเป็นเองโดยธรรมชาติ ไม่ได้ผ่านการฝืนความรู้สึกใดๆ แต่เห็นมีความสุขแบบนี้ ก็เป็นคนที่ค่อนข้างป่วยง่ายเมื่ออากาศเปลี่ยน มีไหวพริบในการตอบคำถามมากๆ แม้สำเนียงภาษาจะไม่ชัดเท่าไหร่ก็เถอะ

                นี่ก็ใกล้วันสอบมิดเทอมแล้ว ด้วยความที่พวกเราสนิทกันมากขึ้น เวลาเลิกเรียนจึงมักจะเดินไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นแก๊งก็ว่าได้ และวันนี้ก็เช่นกัน

    “ตอนนี้จะไปไหนกัน กลับบ้านใช่ไหม?”

                ชานฮยอก เด็กหนุ่มที่ต้องบอกเลยว่าบุคลิกใสซื่อไม่สมกับหน้า ถามออกมาเสียเฉยๆแบบทุกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบของทุกคนคือ ใช่ เจ้าตัวจึงยิงคำถามต่อ

    “มีใครอยู่แถวอับกูจองไหม?”

    “บ้านจองกุกมันอยู่แถวนั้น แต่ฉันอยู่แถวซินซาดง”

                แจ็คสันตอบตัดหน้าผม ปกติผมไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว ยิ่งได้คู่เป็นคนพูดมากแบบแจ็คสันยิ่งแล้วใหญ่เลย แย่งผมพูดหมด เฮ้อ~

    “โอ๊ะ! ซินซาดง จีมินก็อยู่หอแถวซินซาดงนะ”

                เท่านั้นแหละครับ! หูผึ่งเลยทีเดียว ข้อมูลใหม่ที่ผมจะจำไว้อย่างดี สงสัยคราวหลังต้องไปเที่ยวแถวนั้นบ่อยๆเสียแล้ว เผื่อจะเจอ อ่อใช่! เพิ่งนึกได้อีกอย่างว่าปกติจีมินจะลงรถเมล์ก่อนผม 2 ป้าย เพื่อเปลี่ยนรถไปซินซาดงนี่เอง เข้าใจแล้ว...

                ไม่นานนัก พวกเราก็แยกย้ายกัน ใครมีรถส่วนตัวก็ไปลานจอดรถ ใครมีเรียนก็เดินขึ้นตึกเรียนไป ซึ่งแน่นอนว่าจีมินกลับหอแน่ๆ เฮ้อ~ ถ้าไม่ติดว่ามีนัดทำรายงานกับเพื่อนนะ ผมคงจะไปที่ป้ายรถเมล์ด้วยคน

     
     

    =================================================================

     
     

                วันสอบมิดเทอมได้เวียนมาถึงแล้ว เนื่องด้วยต้องสอบบทสนทนาและตอบคำถามแบบตัวต่อตัว จึงต้องเข้าไปสอบทีละคู่เท่านั้น เมื่อผมมาถึงหน้าห้องพักอาจารย์ก็พบชานฮยอกและจีมินยืนรออยู่ อ๋อ.. คู่นี้สอบก่อนผมสินะ ว่าแต่แจ็คสันมันหายหัวไปไหนไม่ทราบ?? เคว้งสิครับท่านผู้ชม แต่ยังดีที่ชานฮยอกชวนคุยเล่นบ้างนิดๆหน่อยๆ ทำให้ผมไม่เหงาจนกระทั่งได้ยินเสียงสับฝีเท้าถี่ๆตรงบันไดที่ดังขึ้นเรื่อยๆนั่นแหละ


    “มาได้แล้วหรอ?”

    “ฉันก็ต้องเตรียมสอบวิชาอื่นนะ ไม่ได้หัวดีไปทุกเรื่องจนไม่ต้องอ่านหนังสือสอบก็ได้แบบนายน่ะจองกุก!

                แล้วเราต่างก็ซ้อมบทพูดกับคู่ตัวเองกันไป จนกระทั่งคู่ก่อนหน้าออกมา และชานฮยอกกับจีมินที่กำลังจะเข้าไปก็ต้องสะดุ้งที่อาจารย์โทนี่เดินออกมา

    “ขอไปซื้อกาแฟสักครู่ รอหน่อยนะ”

                แล้วอาจารย์โทนี่ก็เดินออกไปเลย พวกเรา 4 คนจึงสัมภาษณ์บรรยากาศการสอบ ว่าเจออะไรบ้าง

    “ยากไหมอ่ะ”


                แจ็คสันคนแรกเลยครับ ที่เอ่ยปากถามนัมจุนกับอิลฮุนที่เพิ่งสอบเสร็จ

    “ก็นิดหน่อยนะ อย่างตอบคำถามเรื่องในอดีต ชอบเผลอตอบเป็นรูปประโยคธรรมดา”

    “นายจะกลัวอะไรล่ะนัมจุน บทพูดนายออกจะสมบูรณ์แบบซะขนาดนั้น”

                ผมกับแจ็คสันแซว เพราะตอนที่พวกเราเตรียมบทพูดกัน บังเอิญเจอนัมจุนในคาเฟ่ด้วย จึงชวนกันคุย และได้เห็นบทพูดของนัมจุน บอกเลยว่าเอา A+ ไปเถอะ ไม่แย่ง...

                เมื่ออาจารย์กลับมา ก็ถึงตาชานฮยอกกับจีมินเข้าไปสอบ ผมเองก็ยิ้มให้กำลังใจไป ซึ่งจีมินเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน เมื่อทั้งคู่ออกมาก็ถึงตาพวกผมบ้าง ได้กำลังใจเต็มเปี่ยมเลยล่ะ

     
     

    =================================================================

     

     

                พักหลังๆมานี้ ตั้งแต่หลังสอบมิดเทอม ผมรู้สึกว่าการได้มองหน้าจีมินในคาบเรียนอย่างเดียวมันไม่พอ บางครั้งหลังเลิกเรียนแต่ผมยังไม่กลับบ้าน เพราะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผมก็จะชอบเดินผ่านป้ายรถเมล์ ทำทีไปซื้อกาแฟบ้างล่ะ ไปเดินเล่นในร้านของเล่นบ้าง ขอแค่ให้ผ่าน ขอแค่ให้ได้เห็น อีกสัก 2 นาทีก็ยังดี และถ้าหันมาเห็นผมด้วยก็ดี เผื่อผมจะได้เป็นคนในสายตาเขาบ้าง....

     

     

    =================================================================

     
     

                ผมเกลียดการเรียนชดเชยที่สุดในสามโลก มันเสียเวลาผมกลับไปเล่นเกมครับอาจารย์ ทีเวลาเรียน ดันไล่ไปงานมหาวิทยาลัย พอถึงตอนนี้จะมาเบียดเบียนเวลาเพื่อเรียน กว่าจะเลิกเรียนฟ้าก็มืดแล้ว เพราะตารางเรียนทุกคนไม่ตรงกัน ทำให้ตอนมาเรียนเอาเสีย 5 โมง กว่าจะเลิกก็เกือบ 2 ทุ่ม ผมเดินเรื่อยๆจนถึงป้ายรถเมล์ เหนื่อยๆ เบื่อๆ พลันสมองก็นึกถึงจีมิน

    ถ้าได้วนมาเจอกันที่ป้ายรถเมล์เวลานี้ก็ดีสินะ

                นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดเล่นๆ ตลกดีนะ ที่หายใจเข้า-ออก เป็นชื่อเขา ว่างปุ๊บก็คิดถึงปั๊บ ทำไมคนๆหนึ่งถึงได้มีอิทธิพลกับชีวิตของอีกคนมากขนาดนี้นะ

                สงสัยว่าผมจะมาถึงหลังจากรถเพิ่งออกไปพอดี ทำให้รถยังไม่ออกมาเสียที หันซ้าย หันขวาดูรถไปเรื่อยๆ พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับ กระเป๋าที่คุ้นเคย ผ้าพันคอสีนั้น การแต่งตัวแบบนั้น เห็นไกลๆก็รู้ว่า... ปาร์คจีมิน!

                เดี๋ยวๆ จีมินอย่าเพิ่งเห็นผมนะ เพราะตอนนี้ผมหลุดยิ้มออกมาอย่างชัดเจน ถ้าไม่เกรงใจคนอื่นๆที่ยืนรอรถอยู่ ก็อยากจะร้องตะโกนดีใจดังๆ ผมหันหน้าออกถนนและดีดดิ้นเล็กน้อย เชื่อว่าเขายังไม่เห็นผม ขอปรับอารมณ์ให้เต็มที่หน่อยเถอะ ใครจะไปคิดว่าโชคชะตาจะเข้าข้างขนาดนี้เล่า โถ่เอ๊ย!!!

                ตอนนี้รถสายที่ผมรออยู่มาแล้ว และก็ตามสเต็ปครับ ประชากรมันไหลมาจากไหนกัน เผลอแว๊บเดียว ออเต็มทางขึ้นไปหมด เฮ้อ~ รออีกสายแทนดีไหมนะ ขณะที่กำลังจะหันไปดูรถอีกคัน ก็พบว่ามีคนๆหนึ่งเดินมาหยุดยืนข้างๆผมพอดี

    ปาร์คจีมิน

                เขาส่งยิ้มให้ผม ซึ่งแน่นอนว่าผมก็ยิ้มให้เช่นกัน ด้วยความที่เราไม่ได้สนิทกันมาก การทักทายจึงจบลงแค่รอยยิ้มที่มอบให้กัน แค่นั้นก็มากพอแล้วล่ะ เราขึ้นรถคันเดียวกันตามเคย ตอนนี้ในรถคนเยอะเสียจนแทบจะหาที่ยืนไม่ได้ ผมจึงได้แค่เดินชิดเข้าไปเท่าที่ทำได้ จีมินก็เช่นกัน ตลอดการเดินทาง เรา 2 คนยืนห่างกันแค่ช่องว่างสำหรับทางเดินกั้น แต่มันเพียงพอแล้วล่ะ แค่ได้อยู่ใกล้ๆ ได้เห็นหน้าก็พอแล้วจริงๆ

     
     

    =================================================================

     
     

                ในที่สุดวันสอบปลายภาคก็มาถึง และมันอาจจะเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้พบกับจีมิน แต่ถ้าโชคดีมากๆเทอมหน้าก็คงบังเอิญลงคลาสเดียวกัน แต่โอกาสเป็นไปได้ก็น้อยไง คิดแล้วก็เสียดาย แต่โชคยังคงเข้าข้างผมอยู่ เพราะจีมินเลือกที่นั่งข้างหลังผมพอดี อย่างน้อยก็ยังได้ใกล้กันบ้าง

                หลังสอบเสร็จ พวกเราเดินลงมาเป็นแก๊งอีกแล้ว และก็เป็นชานฮยอกอีกนั่นแหละ ที่ชอบเปิดประเด็นเวลาเราเดินด้วยกัน

    “ใครทำข้อสุดท้ายไม่ทันบ้าง”

                แทบจะยกมือตอบพร้อมกัน มันผิดคาดจริงๆนี่นา ไม่คิดว่าจะข้อเยอะขนาดนี้ ทำไม่ทันกันก็ไม่แปลกหรอก

    “ยังไงนัมจุนกับจองกุกก็ตัวเต็งได้เออยู่แล้วนี่ คนอื่นๆคงได้บี ส่วนฉันจองเกรดซีนะ”

                มุขตลกทำร้ายตัวเองของชานฮยอกทำเอาพวกเราหัวเราะกันอย่างมีความสุข ผมอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้เสียจริงๆ ถึงพวกเราจะเพิ่งรู้จักกันได้เพียงเทอมเดียว แต่พูดเลยว่าความทรงจำดีๆระหว่างพวกเรานั้นไม่อยากให้มันจบลงเพียงแค่นี้เลย

                และตามเดิม ที่เดินไปเรื่อยๆทุกคนก็ค่อยๆแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง และจนถึงป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย ก็เหลือแค่ผมกับจีมิน ถึงจุดนี้แล้ว ผมคงต้องตัดสินใจทำมันสินะ อุตส่าห์เตรียมมาเป็นสัปดาห์เพื่อวันนี้

    “จีมิน”

                ผมออกปากเรียกไป ซึ่งอีกฝ่ายก็หันหน้ามายิ้มให้ผมตามปกติที่เรามักจะทำเมื่อพบกัน ผมหยิบกล่องขนาดไม่ใหญ่มากใบหนึ่งออกจากกระเป๋าของผม และยื่นให้คนตรงหน้า

    “ให้ฉันหรอ?”

                จีมินเอ่ยปากถาม ผมแค่พยักหน้าตอบ อีกฝ่ายแสดงสีหน้าไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมทำ ผมก็แค่ยิ้มและยัดใส่มืออีกคนเท่านั้น พร้อมบอกให้จีมินเปิดมันดู เมื่อจีมินเปิดออกมาก็เพียงแค่อ้าปากค้างไม่พูดอะไร และค่อยๆช้อนสายตาขึ้นมามองผมที่ยิ้มให้เขาอยู่แล้ว

                บริเวณป้ายรถเมล์ตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนทั้งที่ยืนรอรถและที่เดินผ่านไปผ่านมา ไม่เพียงเท่านั้น รถเมล์สายที่เราจะขึ้นก็ได้ออกไปแล้ว แต่ตอนนี้ราวกับบรรยากาศรอบตัวมีเพียงเราสองคนภายในช่วงเวลาที่ถูกหยุดเอาไว้เท่านั้น

     



     

    =================================================================

     

                ภายในกล่องสีขาวบรรจุผ้าพันคอไหมพรมสีแดงสวย บนผ้าพันคอมีกระดาษแข็งสีครีมวางอยู่ พร้อมข้อความจากใจของคนให้...

    ‘I’m falling in love you’

     

    =================================================================

     

    โง่ยยยยยยย~ เขียนไปเขินไป~
    ก็มันมาจากเรื่องจริงของไรท์เองนี่น่า หุหุ อ๊าก!! หนุ่มเกาหลีน่ารัก♥
    ก็แค่อยากให้เรื่องของเราจบเหมือนในนิยายนี้เท่านั้นเอง
    อย่างว่า.. ถ้าโชคดีขอให้เทอมหน้าเราเจอกัน จะฝึกภาษามาอย่างดีเพื่อคุยด้วยเลยอ่ะ!

    อยู่ดีๆSFก็โผล่มา ถาว่าตอนต่อล่ะ.. ได้ 2 บรรทัดอยู่เลยค่ะท่าน =_=
    เดี๋ยวค่อยมาต่อ เอาเรื่องนี้ไปก่อน โอ่ย~ อดไม่ได้ สงสัยคิดถึงเขามากเกินไป 55+

    ปัญหาของSFนี้คือ.. เขียนตอนดึกๆเพื่อ? ไม่เหนื่อยหรอ? พรุ่งนี้เรียนเช้าด้วย?
    เออนะ อัพละหนีนอนละจ้าาาาาาา~


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×