คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [Special SF no.01] Absence makes the heart grow fonder
Title : Absence makes the heart grow fonder
Couple : V&Jimin
ปกติผมไม่เคยกังวลกับการประสานงานบริษัทคู่ค้าเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย เพราะผมเป็นมือวางอันดับต้นๆของบริษัทยังไงล่ะ! นี่ใคร! ปาร์คจีมินนะ! ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้อยู่แล้ว ยกเว้นว่าเป็นคนตรงหน้านี่แหละ..
“เนื่องจากผมเล็งเห็นว่า โครงการนี้ถ้าได้ความช่วยเหลือจากทางบริษัทคุณผลตอบรับและผลประโยชน์ดีๆที่เราทั้งคู่จะได้นั้นมีไม่น้อยเลย ขอบคุณทางคุณด้วยที่ตอบรับโครงการของเรา และนี่.. เจ้าของโครงการนี้ คุณคิมแทฮยอง”
“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ผมคิมแทฮยองครับ”
เมื่อคนกลางแนะนำเรียบร้อย อีกฝ่ายก็ยื่นมือมาขอผูกสัมพันธ์ด้วยใบหน้าที่ว่างเปล่า นี่ถามจริงว่าไม่รู้สึกอึดอัดบ้างหรือไง ที่ต้องเก๊กหน้าแบบนั้นน่ะ เฮ้อ~
“อะ.. เอ่อ.. ปาร์คจีมินครับ”
หลังแนะนำตัวและโครงการเสร็จ ก็ไม่มีอะไรต่อหลังจากนั้น พวกเราทานข้าวด้วยกันเงียบๆ ผิดจากงานอื่นๆที่ผมเคยปฏิบัติหน้าที่มา
“พวกคุณ.. เพิ่งเจอกันครั้งแรกแท้ๆ ไม่ถามไถ่อะไรกันหน่อยหรอครับ.. ผมว่าบรรยากาศแบบนี้มันเงียบไปนะ”
เป็นคนกลางที่ทำลายความเงียบออกมา เอาจริงๆ ผมไม่มีอะไรจะถามคนตรงหน้าหรอก เพราะผมรู้หมดแล้วล่ะ ใช่! เราไม่ได้เจอกันครั้งแรกเหมือนที่คนพูดเข้าใจ เรารู้จักกันดี... แต่นั่นมันเมื่อก่อน เหมือนตอนนี้เขาจะจำผมไม่ได้เสียด้วยสิ ฮะ..ฮะ.. น่าเศร้าชะมัด แต่ลึกๆแล้วผมก็มีเรื่องอยากจะถามเขาเหมือนกันนะ แต่ไม่ดีกว่า.. ผมกลัวที่จะได้ยินคำตอบนั้นมากกว่า นั่นทำให้ผมได้แค่ยิ้มบางๆให้คนถาม เพราะผมเองก็ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรเหมือนกัน
“คงเพราะผมเองแหละ หัวหน้าก็รู้ว่าหน้าผมไม่ค่อยรับแขก ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ”
ผมพยักหน้าเออออไปตามนั้น แก้ตัวเก่งเชียวนะ ให้มันได้อย่างนี้สิ เฮ้อ~
==============================================================
หลังจากคุยงานเสร็จ ผมก็ต่อสายเพื่อตามรถกลับทันที อยากหาที่สงบสติอารมณ์มากตอนนี้
“รุ่นพี่ ผมคุยงานเสร็จแล้ว มารับเลย”
“...”
“หือ? หมายความว่าไงยังมาไม่ได้”
“...”
“เฮ้ยพี่! จะไปเที่ยวกับสาวจนเลยเวลามันก็เรื่องของพี่นะ ผมจะไม่เดือดร้อนเลย ถ้า.. พี่ไม่ใช้รถของผมน่ะ! และตอนนี้ผมต้องการกลับด้วย กรุณาเอารถมาคืนผมด้วย ผมอยากกลับบ้าน”
“...”
“เข้าจงเข้าใจอะไรในตัวพี่ พี่นี่ไร้ความรับผิดชอบชิบ ไหนว่าตกลง... ฮัลโหล.. เฮ้ย! ตัดสายกันงี้เลยหรอ!!”
หงุดหงิดครับ คนน่ารักหงุดหงิด ผมแทบจะเอาหัวมุดดิน เอาฟันแทะสนามหญ้าที่เหยียบอยู่ตอนนี้ซะจริงๆ อะไรๆก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง ผมยืนกระฟัดกระเฟียดอยู่อย่างนั้นจนได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆดังมา
“นี่นาย! โอ๊ะ!ไม่สิ คุณแทฮยอง ยังไม่กลับหรอครับ”
ตกใจหมด นึกว่าใครที่แท้ก็คู่กรณี.. คู่ค้าสิ ไม่ได้ๆ อย่าเอาเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวมาปนกันนะจีมิน ตอนนี้เรากับเขาเป็นคนแปลกหน้ากัน ไม่รู้จักกันเสียหน่อย ยิ้มสิ..ยิ้ม... โว้ย! ทำไมมันยากจังนะ
“ทำไมนายพูดแบบนั้นล่ะ อย่าทำเหมือนไม่รู้จักกันสิ”
“ก็นายนั่นแหละ ที่ทำเป็นไม่รู้จักฉันก่อนน่ะ! ฉันก็นึกว่าจำคนผิด เฮอะ!”
ผมโวยวายใส่คนตรงหน้าอย่างเหลืออด ทีแบบนี้ทำมาพูดดี เมื่อกี้นี่หน้ายังไม่มองเลย ถ้าไม่ใช่เพราะผลประโยชน์บริษัทนะ ปฏิเสธไปตั้งแต่เห็นหน้ามันแล้ว
“นายนี่มันดื้อไม่เปลี่ยนแปลงเลยจริงๆนะจีมิน”
เขาพูดแบบนั้นและก้าวเข้ามาใกล้ตัวผม ก่อนจะคว้ามือไปกอบกุม ผมที่สติที่หลุดหายไปเสี้ยววิ รีบสะบัดมือออกทันทีที่รู้สึกตัว
“ทำบ้าอะไร!”
“ทำไมล่ะ? ก็ฉัน... คิดถึงนาย”
ไอ้อาการที่ลมหายใจขาดช่วง หัวใจเต้นรัวๆ หน้าก็ร้อนชาไปหมดนี่มันคืออะไร? ทำไมผมต้องตื่นเต้นกับคำพูดของคนที่เคยทำร้ายผมด้วย ว่าแล้วภาพเหตุการณ์เก่าๆ ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะย้ายมาทำงานที่บริษัทนี้ ก็ไหลเข้ามาหมด ทั้งเสียงหัวเราะ พูดคุย และที่สำคัญคือ.. คำบอกเลิกกันในวันนั้น
“จีมิน.. โอเคไหม? ไม่ได้จะแอบฟังนายคุยโทรศัพท์นะ แต่.. ยังไงให้ฉันไปส่งก็ได้นะ”
แม้แทฮยองจะพูดออกมาแบบนั้น แต่จู่ๆก็มีข้อความนัดเจอของเขาก็ส่งเข้ามา หรือว่า.. คำตอบที่ผมกลัวมันจะเป็นจริง ไวกว่าความคิด ปากของผมก็พูดออกไป
“มีนัดนี่ ไปสิ! ไม่ต้องมาสนใจฉันหรอก ยังไงเรามันก็คนแปลกหน้ากันอยู่แล้วนี่”
“...”
“ไปสิ! ยืนบื้อทำซากอะไร!”
สักพัก เขาก็หันหลังเดินออกไป หึ! ที่ผมคิดไว้มันจริงสินะ เขามักจะเห็นคนอื่นสำคัญกว่าผมเสมอ จะแปลกอะไรถ้าเขาจะมีคนอื่นไปแล้ว นี่นายคาดหวังอะไรอยู่จีมิน.. เลิกไร้สาระได้แล้ว.. โถ่เอ๋ย! แล้วทำไมต้องร้องไห้ออกมาด้วยนะ
==============================================================
ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆเลย จีมินมักจะเป็นแบบนี้เสมอ เอะอะด่า เอะอะไล่ ถ้าจะรังเกียจกันขนาดนี้ ถามจริงเหอะ! ตอนตกลงคบกันนี่คิดอะไรอยู่? แต่... ก็ปฏิเสธไม่ได้นะ ว่าช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันมันมีความสุขมาก จีมินเป็นคนน่ารัก ทำอะไรก็เรียกรอยยิ้มจากคนรอบข้างได้เสมอ จะยกเว้นก็ไอ้ตอนทะเลาะกันนี่แหละ ทำตัวงี่เง่าสิ้นดี แบบนั้นใครจะไปทนไหวกัน ผมเดินคิดเรื่องเก่าๆมาเรื่อยๆจนเข้ามานั่งในรถยนต์สีดำของผมเอง ด้วยลางสังหรณ์แปลกๆ ทำให้ผมส่งข้อความไปขอยกเลิกนัด แม้ว่าไอ้พวกนักศึกษาฝึกงานตัวแสบในสังกัดของผมมันจะอารมณ์ดีเลี้ยงข้าวก็เถอะ ไม่มีอารมณ์ไปติ๊งต๊องกับพวกมันแฮ่ะ ผมขับรถออกมาแล้ว ไม่รู้อะไรดลใจ ให้ผมขับมาอีกทาง... ไปทางที่ผมเจอจีมินเมื่อครู่นี้...
ผมขับรถมาจนถึงที่นั่งพักใกล้ๆทางเข้าออกซึ่งผมกับจีมินมีปากเสียงกันเมื่อครู่ ไม่น่าเชื่อว่าจีมินจะยังอยู่ที่เดิมเหมือนอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ จีมินเอาแต่นั่งก้มหน้าอยู่อย่างนั้น แทบจะไม่ขยับเลย ด้วยความสงสัย ผมดับเครื่องยนต์และเดินตรงไปหา แต่.. ยิ่งเข้าใกล้เท่าไหร่.. ก็ยิ่งทำให้หัวใจผมกระตุกมากเท่านั้น
“จีมิน! เป็นอะไร? ร้องไห้ทำไม?”
ใช่! ที่นั่งนิ่งไม่ยอมไปไหนก็เพราะร้องไห้อยู่นี่เอง ผมตรงเข้าไปเขย่าแขนเรียกสติ แต่จีมินกลับสะบัดมือผมออกอย่างแรง และร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม เพิ่งเข้าใจก็วันนี้เอง ว่าหลังจากจีมินออกปากไล่เขาไปแล้วเจ้าตัวจะเป็นแบบนี้ นั่นทำให้ผมไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี จึงทำได้แค่ยืนอยู่ข้างๆเขาแบบนั้น
หลังจากปล่อยจีมินร้องไห้จนพอใจ ผมก็ขับรถมาส่งจีมินที่คอนโด ไม่น่าเชื่อเลยว่า เขาจะยังอยู่ที่เดิม.. ที่เราเคยอยู่ด้วยกัน ไหนๆก็มาถึงที่แล้ว อดไม่ได้ที่จะเดินตามอีกฝ่ายมาเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็เข้ามาอยู่ในห้องนี้จนได้
“ตามมาทำไม...”
จีมินถามด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนล้า ไม่ชอบเลย ปกติต้องเสียงดังกว่านี้สิ ทำแบบนี้มันใจหายนะ ผมถอนหายใจก่อนจะเบี่ยงประเด็น
“ห้องนี้ยังเหมือนเดิมทุกอย่างเลยนะ”
ผมทำทีเป็นเดินไปตรงนู้นที ตรงนี้ที ตามความเคยชินเหมือนเมื่อก่อน แต่ไม่นานก็ได้ยินเสียงปิดประตูดัง ปัง!
==============================================================
หลังจากเข้ามาในห้องนอน ตัวผมก็ทรุดลงตรงหน้าประตูนั่นแหละ รู้สึกสับสนไปหมด ควรทำตัวยังไง พูดอะไรดี ว่าแล้วก็ฟุบหน้าลงไปกับเข่านั่นแหละ ถึงจะไม่อยากร้องไห้แต่น้ำตามันก็ไหลอยู่ดี เมื่อพอจะสงบสติได้บ้าง ผมเลยลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียหน่อย แค่เรื่องที่เจอก็อึดอัดใจพอแล้ว ยิ่งใส่ชุดทำงานที่อึดอัดนี่อีก เดี๋ยวได้ขาดอากาศหายใจกันพอดี
“นี่ยังอยู่อีกหรอ นึกว่าออกไปแล้วนะเนี่ย”
พอเปิดประตูออกมา ก็เจอแทฮยองนั่งๆนอนๆสบายใจเชิบอยู่บนโซฟาสีครีมในห้องนั่งเล่น นานแล้วที่ไม่ได้เห็นภาพนี้ ที่จริง.. ผมแปลกใจมากกว่าว่าทั้งๆที่ผมหายไปนั่งเงียบๆในห้องตั้งนาน แต่เขาก็ยังอยู่ในห้อง เหมือนรอผมออกมาอย่านั้นแหละ
เขาไม่ตอบคำถามผม แต่ลุกขึ้นและตบเบาะข้างๆตัวเรียกผมไปนั่งด้วย ผมก็บ้าจี้เดินไปทิ้งตัวลงข้างๆเขา รู้สึกขำตัวเองดีแฮ่ะ
"โอ๊ะ! นายยิ้มแล้ว"
แทฮยองพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพร้อมพุ่งเข้าใกล้ๆ ทำให้ผมเสียหลักล้มตัวลงไปนอนกับโซฟา โดยมีแทฮยองทาบอยู่ด้านบน เฮ้ย! เดี๋ยวๆ! แบบนี้มันล่อแหลมไปแล้วนะ ไม่ใช่ละ หัวใจผมค่อยๆเต้นถี่ขึ้น พร้อมกับใบหน้าของคนข้างบนที่ค่อยๆโน้มเข้ามา
แทฮยองทาบริมฝีปากของเขาลงมาอย่างบางเบา และค่อยๆขบเบาๆอย่างอ่อนโยน ละเลียบชิมความหวานที่แสนคิดถึงเหมือนในอดีต...
พลั่ก!
"นาย! ทำแบบนี้ทำไม!!!!"
ผมตะโกนออกไปสุดเสียงด้วยความโมโห ชักไม่แน่ใจแล้วสิ.. ว่าอาการปวดหัวในตอนนี้ มาจากการที่เสียพลังงานจากการตะโกนมาไป หรือเพราะคิดมากกับสถานการณ์ตรงหน้า และมันค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องกุมขมับไว้
"จีมิน.. จีมิน!!"
แทฮยองเขย่าแขนผมเบาๆให้ผมรู้สึกตัว แต่มันไม่ทำให้ความเครียดในหัวน้อยลงเลย ผมจึงกลั้นใจระบายสิ่งที่อยู่ในใจมาหลายปีออกไป
"นาย.. เดินออกไปจากชีวิตฉันแล้วจะกลับมาอีกทำไม? นายน่าจะมีความสุขแล้วไม่ใช่หรอ ที่ไม่มีฉันคอยรบกวนเวลาที่นายทำงาน ไม่มีฉันคอยงี่เง่าถามว่านายไปที่ไหน กับใครและจะกลับเมื่อไหร่ ไม่มีฉันให้นายต้องลำบากใจเวลาตอบคำถามคนอื่น... ว่าเรา... เป็น..อะไรกัน...”
ผมพูดต่อไปไม่ไหวแล้ว แค่ร้องไห้ไปพูดไปก็หนักพอแล้ว ไหนจะยังปวดหัวอีก ที่สำคัญ.. ทำไมในอกข้างซ้ายมันต้องเจ็บขนาดนี้ด้วย ทั้งๆที่ระบายออกไปแล้ว มันน่าจะดีขึ้นไม่ใช่หรือไง
“แทฮยอง.. นาย...ฮึก.. นายมันนึกถึงแต่ตัวเอง ทั้งๆที่แรกๆ นายทั้งตามใจฉัน ..ฮึก.. ใส่ใจฉันทุกอย่าง แต่หลังจากเราตกลงคบกัน... ทำไม.. ฮึก ทำไมนายถึงเห็นฉันเป็นแค่คนน่ารำคาญล่ะ ฮือ....”
แทฮยองเข้าสวมกอดจีมิน ก่อนจะพูดสิ่งที่คิดมาได้สักพัก.. หลังจากได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง หลังจากได้เห็นอีกด้านหนึ่งของจีมินที่เขาไม่เคยสนใจเลย ก็อยากจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องราวต่างๆ แต่เวลามันไม่ไหลย้อนคืน หลังจากทบทวนความผิดพลาดทั้งหมด ก็ต้องเดินหน้าต่อไป และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
“พอแล้ว! จีมิน ฉันขอโทษ... ฉันไม่รู้ตัวเองแหละ ว่าฉันต้องเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตไป เพราะฉันละเลยความสำคัญมันไป เพราะมีอยู่เลยเห็นว่าเป็นแค่ของธรรมดา เพราะมีอยู่เลยไม่คิดจะรักษา”
แทฮยองพูดพลางเช็ดน้ำตาให้ และลูบหัวจีมินเบาๆเพื่อให้อีกคนรู้สึกดีขึ้น แม้ตอนนี้จะไม่มีเสียงสะอื้นจากคนตรงหน้า แต่ก็ใช่ว่าจีมินจะหยุดร้องไห้ แทฮยองฉีกยิ้มบางๆก่อนจะพูด
“ฉันเองก็เพิ่งรู้นะ ว่าหลังจากที่ฉันไม่มีนายคอยกวนตอนทำงาน นอกจากจะเสร็จช้าแล้ว คุณภาพมันยังแย่ลงอีกต่างหาก ไม่มีนายคอยถามว่าไปที่ไหน ทำอะไร ชีวิตทุกวันของฉัน มันก็มีแต่ความว่างเปล่า เวลาใครถามว่าฉันมีแฟนหรือยัง.. รู้ไหม.. ทุกครั้งฉันก็คิดถึงแต่นาย... ทุกครั้งที่ฉันบอกคนอื่นว่าเราเป็นแค่เพื่อนสนิทกัน เพราะฉันมัวแต่กลัว ว่าถ้าพูดไปแบบนั้น เครดิตของเราจะติดลบ เดี๋ยวเราจะไม่ได้งานหรือเปล่า ฉันไม่เคยรู้เลยว่ามันจะทำร้ายจิตใจนายขนาดนี้ ฉันมันโง่เองแหละ ทุกครั้งที่นายไล่ฉัน ฉันควรจะเข้ามากอดนาย ไม่ใช่หนีหน้าออกไปจริงๆ ฉันขอโทษได้ไหม จีมิน”
แทฮยองเองก็ระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกไปจนหมดเช่นกัน จีมินแม้จะรับรู้ทุกอย่าง แต่มันไม่ทำให้เขาสับสนน้อยลง แล้วเขาควรจะพูดอะไรต่อ ควรจะทำตัวอย่างไร แต่ทันใดนั้นเอง แทฮยองก็ยื่นยาเม็ดหนึ่งมาให้ตรงหน้า
“นายเป็นไมเกรนมานานหรือยัง? ฉันเห็นจากกล่องยาน่ะ ว่านายใช้แอสไพรินค่อนข้างเยอะเลย ต่อไปนี้ อย่ากินอีกนะ มันไม่ดีต่อสุขภาพ”
จีมินไม่ตอบ แค่รับยามากินก่อนจะหลับตาและทิ้งตัวพิงพนักโซฟา
“ฉันจะไม่ทำให้นายเป็นแบบนี้อีกแล้วนะ ฉัน.. จะดูแลนายเอง”
แทฮยองประกาศคำสัญญา ซึ่งเรียกให้จีมินให้ไปมอง แทฮยองจึงค่อยๆโน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ และประทับจูบเบาๆไว้บนหน้าผากของคนป่วย แต่แค่นั้นยังไม่ทำให้จีมินตกใจ เท่ากับประโยคถัดมา
“เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมนะ.. กลับมาคบกันอีกครั้งได้ไหม”
จีมินไม่ได้ตอบอะไร แต่ใบหน้าที่ค่อยๆมีรอยยิ้มแต้มขึ้นมา แม้จะมาพร้อมน้ำตา ก็พอจะเดาได้ว่า จีมินกับแทฮยองไม่ได้คิดต่างกันเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งคู่ยังคิดถึงกันและกันเสมอ เพียงแค่เรื่องเล็กๆ ที่ไม่ยอมปรับความเข้าใจกัน ทำให้คนที่ยังรักกัน ได้ห่างกันไป ได้ทบทวนเรื่องราวและความผิดพลาด เพื่อเริ่มต้นใหม่อย่างมั่นคงเช่นวันนี้
คนเรามักจะไขว่คว้าหาสิ่งที่ตัวเองยังไม่มี มองเพียงจุดที่ไกลออกไป จนลืมไปว่า บางทีสมบัติล้ำค่า ที่เราเฝ้าถามหามันตลอดเวลา มันจะวางอยู่ข้างๆตัวเรานี่เอง มองที่ปัจจุบัน รักษาและทำมันให้ดีที่สุด เพราะเมื่อเวลาผ่านไป โอกาสที่เราจะกลับไปแก้ไขนั้นมันเป็นไปไม่ได้ และโอกาสที่ให้เราได้เริ่มต้นใหม่ ก็อาจจะไม่มีเช่นกัน อดีตมันผ่านไปแล้ว และอนาคตยังมาไม่ถึง จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน และทำทุกวินาที ให้มีค่ามากที่สุด
==============================================================
“แทฮยอง~ พอแล้ว จะกอดอะไรนักหนา ฉันไม่สบายอยู่นะ”
“ไม่รู้แหละ ก็คิดถึงนี่ ขอกอดให้หายคิดถึงหน่อย”
ว่าแล้วแทฮยองก็หอมแก้ม ฟัดแก้มบวมๆของจีมินให้หายคิดถึง จีมินเองถึงจะสะบัดด้วยความรำคาญบ้าง แต่ก็ไม่หนีออกไปจากอ้อมกอดของแทฮยอง ต้องขอบคุณโปรเจคบ้าบอของแทฮยอง ที่ทำให้เขามีโอกาสหาหัวใจตัวเองจนเจออีกครั้ง
“โอ๊ย! แทฮยอง!! กลับไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ไม่ไปทำงานหรือไง”
“งั้น.. ขอนอนที่นี่นะ อยากนอนที่นี่~ มีหมูให้กอด โอ๊ย!”
“พูดแบบนี้ก็นอนโซฟาไปนะ”
จีมินสะบัดตัวเดินหนีเข้าห้อง แต่ด้วยความไวของแทฮยอง สุดท้าย ทั้งคู่ก็เข้ามาอยู่ในห้องนอนด้วยกันอยู่ดี
==============================================================
I'm Coming!!!~ //ก็อปคำพูดมาจากคนๆหนึ่งที่เราแอบมองอยู่
ในที่สุดก็จบสมบูรณ์ จนถึงมีรีดเดอร์ทุกท่าน
หลังประสบกับปัญหามากมาย แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีเหมือนเนื้อเรื่องเลย คิคิ
โอ๊ย!! ดีใจ เขียนจบแล้ว~~
หวังว่าคงไม่ผิดหวังกันเท่าไหร่นะ เพราะเรื่องนี้เราบิ๊วท์อารมณ์นานมากอ่ะ -*-
เอาเป็นว่า SF จบแล้ว รอติดตามเนื้อเรื่องหลักตอนต่อไปกันด้วยนะ~
**********************************************************************************************
하지마 하지 하지 하지 하지마!!
อย่าเพิ่งเขวี้ยงของมีค่ามา ที่เอาลงมาให้แค่นิดเดี่ยวเนี่ย
เพราะจริงๆตั้งใจจะลงวันศุกร์ไง แต่ ณ ตอนนี้ยังแต่งไม่จบเรื่องเลย ฟีลลิ่งไม่มา Orz.
ชื่อเรื่องก็ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เพราะฉะนั้น ครึ่งๆกลางๆกันต่อไป
เรื่องนี้ Vmin เต็มๆนะจ๊ะ ไว้สเปฯหน้าจะทำ KukMin บ้าง
ส่วนที่รีเควส GaMin มา.. ถ้าแต่งได้เมื่อไหร่ก็จะเอามาลงเนอะ
อยากจิบ่นว่า.. นอกจากสเปฯนี้ยังไม่เสร็จ ตอนต่อไปก็ยังไม่เริ่มเขียนเลย ฮา~
เรามีบริการที่นอน หมอน มุ้ง ให้รีดเดอร์นอนรอฟิคเรานะ 55+ อย่าได้เป็นห่วงไป~~
แล้วจะรีบๆต่อให้จบนะ แต่ตอนนี้ขอบิ้วท์อารมณ์+ตามหาแรงบันดาลใจก่อนล่ะ ฟิ้ว~
ความคิดเห็น