คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : 8th Box
แทฮยอง : สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอต้อนรับเข้าสู่ Talking Box โดยผม คิมแทฮยอง…
จองกุก : และจอนจองกุกครับ อ้า~ ว่าแต่วันนี้เราจะมาคุยกันในเรื่องที่น่าสนใจมากๆนะครับ นั่นคือเรื่องอะไรครับคุณแทฮยอง
แทฮยอง : ครับผม ก่อนจะเข้าสู้หัวข้อสนทนา ผมขอย้อนถึงที่มาของเรื่องที่เราจะคุยกันสักนิดนะครับ ไปชมกันเลย!!
=================================================================
แทฮยองที่เดินหน้าตาอ่อนโรยจากการเรียนและทำโปรเจคเข้ามาที่ร้าน ก็ต้องเหนื่อยใจต่อ เมื่อซอกจินจิกตาใส่ตั้งแต่ยังเดินไม่พ้นประตู โดยไม่ต้องถาม ซอกจินก็พูดขึ้นมาก่อน
“แทฮยอง! นายเอาเบอร์ฉันไปแจกมั่วซั้วใช่ไหม?”
ได้ยินเพียงเท่านั้นก็เรียกสีหน้างุนงงจากแทฮยองรวมถึงจีมินและจองกุกที่กำลังจัดของอยู่เช่นกัน และก็ต้องร้อง อ๋อ~ เมื่อได้ยินประโยคถัดมา
“ดูนี่สิ! พี่นาย Kakao มาหาฉันได้ยังไง ถ้าไม่ใช่เพราะได้เบอร์จากนาย”
แทฮยองที่ไม่มีแรงจะตอบและเถียงจึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างเดียว ก็เขาไม่ได้ให้จริงๆนี่ เขาไม่อยากมีพี่สะใภ้(?)ขี้เหวี่ยงแบบนี้หรอกนะ แต่ต่อให้ปฏิเสธแค่ไหนซอกจินก็ไม่เชื่อท่าเดียว จนนัมจุนเดินเข้ามาพร้อมกับให้คำตอบเสียเอง
“ผมขโมยมาจากโทรศัพท์ของแทฮยองเองแหละ อ่ะนี่... ซื้อมาฝาก”
นัมจุนยื่นถุงขนมปังจากร้านแบรนด์ดังให้ซอกจิน แต่ซอกจินกลับกระชากมาแล้วโยนไปข้างหลังทันที ก่อนจะระเบิดออกมาชุดใหญ่
“นายต้องการอะไรกันแน่! ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้วนะ พูดคุยกันดีๆเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้หรือไง ทำไมต้องพูดหยอดกันด้วย คิดว่าจะให้ฉันตกหลุมรักงั้นหรอ เฮอะ! รักกันคบกันแล้วยังไง สุดท้ายก็เลิกกันอยู่ดี แล้วระหว่างที่คบกันก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากฉันไปใช่ไหม? อย่าหวังเลย! แทฮยอง! เหนื่อยนักก็กลับซะไป!! เอาพี่นายไปให้พ้นๆสายตาฉันด้วย!!”
=================================================================
แทฮยอง : ครับ และเรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหละครับ *ซับน้ำตา*
จองกุก : ครับ ฉะนั้นเรื่องราวที่เราจะนำเสนอในวันนี้ ก็คือที่มาที่ไปว่า ทำไมคิมซอกจิน ถึงได้เกลียดคนที่เข้ามาจีบตัวเองนักหนา พร้อมแล้ว.. ไปชมกันเลยไหมครับ.. ขอเชิญทุกท่านรับชม~
จองกุก+แทฮยอง : Once upon a JIN
=================================================================
โฮซอกที่เพิ่งเปิดร้านวันนี้เป็นวันแรก แม้จะวุ่นนิดๆกับการเตรียมของที่ยังจำไม่ได้ว่าอยู่ตรงไหนบ้าง โชคดีที่ลูกค้ายังเข้ามาไม่เยอะ แม้จะมีโปรโมชั่น จึงมีเวลาเล็กน้อยสำหรับพักผ่อน จึงมานั่งเล่นที่หน้าร้าน ซึ่งเยื้องกันไปนิดหน่อยเป็นร้านกิ๊ฟท์ช้อปที่เต็มไปด้วยของน่ารักๆ และเขาก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งวิ่งวุ่นทั้งจัดของและคิดเงิน จึงสงสัยว่า
‘ทั้งร้านมีพนักงานแค่คนเดียวจริงดิ?’
และด้วยอัธยาศัยที่ดีผิดมนุษย์ของโฮซอก หลังจากปิดร้าน โฮซอกจึงทำเครื่องดื่มแก้วหนึ่งและเดินไปที่ร้านนั้น
“เอ่อ.. สวัสดีครับ พอดีผมเพิ่งเปิดคาเฟ่ตรงนี้ นี่ครับ ถือเป็นของขวัญทักทายนะครับ”
แต่ผลตอบรับกลับไม่เป็นดังคาด เมื่ออีกฝ่าย ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา และเพราะประโยคนั้นทำให้โฮซอกตกใจอย่างมาก
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่ร้านผมไม่รับโฆษณาหรอกนะครับ บอกไว้ก่อน”
“โอ๊ะ! เปล่านะครับ ผมแค่เห็นคุณทำงานเหนื่อยๆคนเดียวมาทั้งวันแล้ว เลยตั้งใจทำมาให้ ยังไงผมวางไว้ตรงนี้นะครับ ผมต้องขอตัวไปเก็บร้านต่อก่อน”
โฮซอกรีบเดินออกมาจากจุดนั้น เพราะไม่รู้ต้องทำตัวอย่างไรเมื่อเจอคนแบบนี้ ซอกจินเองก็หันไปเก็บข้าวของต่อ สักพักเมื่อเหลือบมาเห็นเครื่องดื่มในแก้วที่เริ่มละลาย จึงหยิบมาดื่ม
‘เสียดายของหรอกนะ ไม่ได้อยากกินสักนิด’
หลังจากนั้นทุกวัน ทุกวัน โฮซอกจะทำเครื่องดื่มอร่อยๆมาฝากซอกจินเสมอ แม้จะโดนเมิน ถามไม่ตอบ หรือแม้แต่โดนไล่ โฮซอกก็ยังจะมาหาอยู่ดี แม้จะถามประวัติไปซอกจินไม่ตอบ แม้ว่าเขากับซอกจินจะไม่เหมือนคนรู้จักกันเลย แต่เขาแค่อยากให้คนๆนี้หายเหนื่อยเท่านั้นเอง เพราะลึกๆแล้ว สำหรับโฮซอกนั้น ซอกจินคือแรงบันดาลใจให้เขาต่อสู้กับงานในแต่ละวัน ขนาดผู้ชายตัวเล็กๆคนเดียว ยังวิ่งทั้งจัดของ ทั้งบริการลูกค้าได้ แล้วร้านเขาทำงานสบายกว่าตั้งเยอะ ทำไมเขาจะทำไม่ได้ล่ะ
และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่โฮซอกตั้งใจมาป่วนซอกจิน แต่ต้องตกใจเล็กน้อย ที่เวลานี้ยังมีลูกค้าอยู่ แถมยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่เลย บนหน้าอกมีป้ายชื่อเขียนว่า ‘จอน จองกุก’ เขาเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าซอกจินก็เข้ามาถาม พร้อมหยิบนู่นหยิบนี่มาให้ แต่เหมือนจะไม่ถูกใจเจ้าตัวเสียเท่าไหร่ และเด็กคนนั้นก็เอ่ยปากบอกซอกจินว่า
“พี่ไม่ต้องเหนื่อยหาให้ผมก็ได้ครับ ผมว่าผมลองหาดูเองดีกว่า ขอบคุณมากเลยครับ”
แล้วเด็กน้อยจองกุกก็เดินวนเวียนไปรอบๆร้าน โฮซอกที่วันนี้นำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ จึงไม่มีทีท่าโดนโวยแต่อย่างใด เพราะมีลูกค้านี่เอง แต่ก็ยังมีคำถามจิกกัดกลับมาอยู่ดี
“มาวนเวียนอะไรตรงนี้ ยังไม่กลับหรือไง”
“อ๋อ ผมว่าจะดูของไปตกแต่งร้านเพิ่มครับ แฮ่ะๆ”
เรียกว่าข้ออ้างก็ได้ แต่โฮซอกอยากจะซึมซับมุมเงียบๆของซอกจินบ้างเท่านั้นเอง และเมื่อเดินไปก็พบกับกล่องกระดาษวางอยู่ รอนำสินค้าขึ้นชั้นวาง ดังนั้น โฮซอกจึงแอบหยิบขึ้นไปเรียงให้ จองกุกที่เห็นแบบนั้น จึงแอบทำในมุมของตัวเองบ้างนิดหน่อย ไม่นาน จองกุกที่จะขอตัวกลับ แต่เห็นว่าดึกแล้วซอกจินจึงเป็นห่วง ก็ได้โฮซอกอาสาไปส่ง ทำให้วันเหนื่อยๆของซอกจินก็ผ่านไปอีกวัน
โฮซอกที่ค่อนข้างดูวุ่นวาย เพราะร้านเริ่มเป็นที่รู้จักพร้อมๆลูกค้าที่เพิ่มขึ้น แต่ไม่เพียงเท่านั้น ความสงบสุขในชีวิตของโฮซอกกำลังจะหายไปโดยสมบูรณ์ เพราะ...
“จะเข้าร้านนี้!!!!”
“เออ รู้แล้วน่าจีมิน เสียงนี่สูงเกินตัวไปเยอะเลยนะรู้ไหม?”
“นี่นายว่าฉันเตี้ยหรอแทฮยอง!!!!”
เสียงดังแปดหลอดที่แหวกอากาศมาแต่ไกลนั้น ทำเอาคนละแวกนั้นต้องหันมามองเป็นตาเดียว สงสารสุดก็คนที่เดินมาด้วยนั่นแหละที่ต้องรับกรรมเต็มๆ แม้เจ้าตัวจะพูดด้วยเสียงนุ่มทุ้มเหมือนผู้ชายทั่วๆไป แต่คนข้างๆนี่เสียงผู้หญิงยังแหลมสู้ไม่ได้เลยเหอะ
“คาเฟ่ลาเต้ 2 แก้วครับ~”
จีมินเดินเข้ามาสั่งอย่างร่าเริง ส่วนแทฮยองก็ดูขนมไปพลางๆ ก่อนจะหยิบติดไม้ติดมือมาคิดเงิน ซึ่งก็เรียรอยยิ้มจากจีมินได้อย่างดี แต่อย่างที่รู้ว่าความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ เพราะจู่ๆก็มีเสียงโวยวายจากร้านที่อยู่เยื้องๆกัน
=================================================================
“นี่นายยังมีหน้ามาขอพึ่งพาฉันอีกหรอ? จินอุน นายทำลายชีวิตฉันยังไม่พอใช่ไหม?”
ซอกจินกำลังตะคอกใส่ผู้ชายที่รูปร่างหน้าตาดีตรงหน้า ทุกครั้งที่เขาพยายามจะเข้าใกล้ ทุกครั้งซอกจินก็จะถอยหนี ไม่ยอมแม้แต่จะให้แตะเนื้อต้องตัว
“แต่..ซอกจิน....”
“อะไร!!”
เสียงตะวาดที่ค่อนข้างดังนั้นเรียกความสนใจของคนที่ผ่านไปผ่านมาได้อย่างดี แต่ซอกจินไม่สนใจ เพราะในสายตาที่โกรธแค้นมีแต่ภาพของสิ่งที่คนตรงหน้าเคยทำลงไปเท่านั้น ยิ่งคิด ยิ่งเครียด พลันซอกจินก็ขาดสติและเริ่มทำลายข้าวของรอบตัวทันที....
=================================================================
- ย้อนไปประมาณ 3 ปีก่อน –
“จริงนะซอกจิน ก็คุณเก่งขนาดนี้ เราลงทุนด้วยกันนะ นะๆๆ”
ท่าทางออดอ้อนที่น่ารักของจินอุน มักทำให้ซอกจินใจอ่อนเสมอ เจ้าตัวจึงพยักหน้าทั้งรอยยิ้ม แต่ก่อนจะก้มลงไปดูโปรเจคอีกครั้ง ก็ถูกอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาหอมแก้มเบาๆและผละออกอย่างรวดเร็ว เรียกอาการเขินอายจากซอกจินได้อย่างดีเลยทีเดียว
อย่างที่ทราบว่าการเรียนในปีสุดท้าย มันมีอะไรให้คิดมากกว่าบทเรียนและการสอบ จบแล้วไปไหน ทำอะไรกิน จะเลี้ยงตัวเองได้ไหม? จินอุนและซอกจินก็เช่นกัน ที่กำลังคุยกันเกี่ยวกับการเริ่มต้นธุรกิจด้วยกัน แต่สุดท้ายก็วนมาที่เรื่องหวานๆอยู่ดี ใครๆก็รู้ว่าทั้ง 2 คนนั้นชอบพอกัน แต่ดันบอกทุกคนว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน น่าจะเรียกว่าอยู่ในช่วงจีบกันนั่นแหละนะ
หลังจากนั้นมา ด้วยทักษะการวางแผนที่เรียกได้ว่าชาญฉลาดของซอกจิน ทำให้ร้านอาหารเล็กๆที่เขาและกลุ่มเพื่อนๆช่วยกันสร้างขึ้น เปิดตัวอย่างสวยงาม และรายได้ดีพอสมควร แต่แล้ว.. เรื่องราวที่สวยงามนี้มีอันต้องพังลง
“บ้าน่าจินอุน! นายไม่ได้คบกับซอกจินอยู่หรอกหรอ?”
“อย่ามาพูดสร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวคนอื่นสิ ก็บอกอยู่ตลอดไม่ใช่ไง? ว่าฉันกับซอกจินเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ตัวจริงของฉันอยู่นี่ต่างหาก”
ในเวลาที่ไม่มีลูกค้า จินอุนและคยองที่นั่งคุยกันเล่นตามปกติ เพียงแต่วันนี้ ตั้งแต่ที่จินอุนเดินเข้ามา ได้ควงสาวที่ตอนนี้นั่งข้างๆเขามาด้วย และด้วยปากที่ไวกว่าสมองเป็นปกติของคยอง จึงถามออกไปแบบนั้น ทำให้ผู้มาใหม่มีคำถาม
“ซอกจินนี่ใครกันค่ะ?”
“ไม่มีอะไรหรอกซอนฮวา ก็แค่เพื่อนร่วมงานกันเฉยๆ คุณไปอยู่เมืองนอกตั้งหลายปี ผมก็ต้องรู้จักคนเยอะเป็นธรรมดานี่”
ว่าแล้วจินอุนก็โอบกระชับหญิงสาวมากกว่าเดิม เรียกอาการยู่หน้าหมั่นไส้ให้คยอง แต่คงไม่ใช่กับผู้มาใหม่ที่ตอนนี้แทบจะขว้างข้าวของในมือทิ้ง แม้ไม่ต้องส่งเสียง แต่รังสีอำมหิตได้แผ่ไปทั่วจนทุกคนรู้ แต่เหมือนตัวต้นเหตุจะยังคงหน้าระรื่นอยู่เหมือนเคย ซอกจินจึงขอเรียกไปคุยส่วนตัว
“หมายความว่าที่ผ่านมา นายแค่ต้องการให้ฉันยอมรับใช้นายง่ายๆแค่นั้นใช่ไหม? ตลกหรอที่ล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่นแบบนี้น่ะ!”
แม้จะพยายามข่มอารมณ์แล้ว แต่ก็ยังไม่พ้นต้องตะคอกลงไปในท้ายประโยคอยู่ดี จินอุนเพียงยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะพูดถ้อยคำที่เรียกได้ว่าทำร้ายคนตรงหน้าอย่างสาหัส
“ก็นายมันง่ายเอง..”
การสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น ซอกจินขอตัวกลับก่อนโดยไม่พูดอะไร บุคคลกลางที่สุดอย่างคยองจึงทำได้แค่ถอนหายใจด้วยเข้าใจความรู้สึกของซอกจินดี
วันต่อมา ซอกจินเดินเข้ามาในร้านตามปกติ จริงๆแค่ต้องการเอาของมาส่ง แล้วเขาตัดสินใจว่าจะไม่ขอทำงานร่วมกับทุกคนอีกต่อไป แต่เหมือนไม่ต้องบอกลา เกือบทุกคนก็พร้อมจะถีบส่ง เพราะเมื่อวานหลังจากซอกจินออกไป ตัวการได้ปล่อยระเบิด พูดจาใส่ร้ายป้ายสีเจ้าตัวเอาไว้ไม่น้อย ซึ่งคงมีแต่คยองคนเดียว ที่ถอนหายใจไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ซอกจินเดินจากไปทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ทั้งแค้น ทั้งเสียใจ พยายามที่จะไม่ร้องไห้หรือแสดงความอ่อนแอใดๆ แม้จะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ก็ตาม แต่มันก็ไม่เป็นผล เมื่อซอกจินได้รับข้อความจากคนๆหนึ่ง
‘ปาร์ค คยอง - ฉันเข้าใจความรู้สึกนายนะ ขอโทษที่ฉันช่วยอะไรนายไม่ได้เลย ขอโทษจริงๆ ’
=================================================================
หลังจากนอนซึมเป็นผักเหี่ยวๆอยู่หลายวัน ซอกจินก็โดนผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบุพการีเรียกตัวไปคุย แม้จะโดนต่อว่าอยู่มาก แต่ที่สำคัญที่สุดในนั้นคือ กำลังใจจากครอบครัว พร้อมเงินสนับสนุนในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ และเหมือนเขาได้รับของขวัญที่ยิ่งใหญ่ จึงเลือกซื้อเฟรนไชน์ร้านกิ๊ฟท์ช้อป เพราะอยากเห็นคนอื่นๆมีความสุขและส่งต่อความสุขเช่นกัน แต่หลังจากที่เขาใช้ชีวิตอย่างสงบๆนี้มาได้ร่วมปี ตัวการที่ทำให้ชีวิตเขาต้องพบกับเรื่องเศร้า ก็กลับมาอีกครั้ง
=================================================================
เพราะการอาละวาดของซอกจิน โฮซอกจึงขอให้จินอุนล้มเลิกความคิดที่จะตามตื้อซอกจินดีกว่า ก่อนที่คนอื่นจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ เมื่อจินอุนไปแล้ว ซอกจินจึงทิ้งตัวลงร้องไห้อย่างหนัก โฮซอกเองก็ไม่รู้จะปลอบอย่างไร เพราะเขาเองก็ไม่รู้ตัวตนในอดีตของซอกจินสักนิด จึงทำได้แค่เป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นแทฮยองกับจีมิน ที่ตามมาตอนไหนไม่รู้ ก้มลงเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น ซอกจินที่เห็นดังนั้นจึงโวยออกไป
“ไม่ต้องมายุ่ง! ทุกคนเลย!!”
ทำเอาทั้งแทฮยองและจีมินตกใจจนหน้าเสีย โฮซอกเองก็เช่นกัน ที่ตกใจกับสิ่งที่ซอกจินเอ่ยออกมา แต่กลับเป็นแทฮยองที่ระบายยิ้มออกมาก็เอ่ยเสียงเรียบ
“โถพี่.. อย่าพูดแบบนั้นสิ พวกผมตั้งใจช่วยนะ พี่เองก็กลับบ้านก่อนเถอะ”
เพราะแบบนั้น ซอกจินจึงยอมปิดร้านกลับไปสงบสติ และตั้งใจว่า เช้านี้จะลืมเรื่องเมื่อวานให้หมด แต่เหมือนจะไม่เป็นดังคาด เพราะ...
“จีมิน อย่าเพิ่งหลับสิ เช้าอยู่เลย ตัวเองชวนออกมาแท้ๆ เฮ้ยๆ! จะตายแล้ว ลุกออกไปเลยเล่นไม่ถนัด”
แทฮยองกับจีมินที่มาดักรอหน้าร้านแต่เช้า สร้างความแปลกใจให้ซอกจินอย่างมาก เมื่อทั้งคู่เห็นซอกจิน จึงพากันลุกขึ้นโค้ง 90 องศาให้ทันที
“มาทำไมอะไรกันตรงนี้ตั้งแต่เช้า?”
“มาช่วยพี่จัดร้านครับ!”
จีมินตอบคำถามซอกจินอย่างร่าเริง แทฮยองจึงจิกตาใส่เล็กน้อย ทีเมื่อกี้ง่วงจะเป็นจะตาย ทีแบบนี้ล่ะคืนชีพไวจริง ด้านซอกจินที่ได้รับคำตอบนั้น รีบร้อนรนปฏิเสธทันที
“ไม่ต้องๆ ทำไมเราต้องมาช่วยพี่จัดร้านด้วยล่ะ”
“เอาน่า.. พวกผมเต็มใจ พี่ดูแลร้านคนเดียวไม่ใช่หรอ? สภาพร้านแบบนั้นทำคนเดียวทั้งวันก็ไม่เสร็จหรอก”
จีมินอธิบายและหันหน้าไปขอแรงสนับสนุนจากแทฮยอง ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบรับอย่างดี ซอกจินจึงปล่อยเลยตามเลย แต่มันไม่จบเพียงแค่วันนั้น เพราะวันต่อๆมา เจ้า 2 ตัวป่วนนี้จะมาช่วยเขาดูแลร้านเสมอๆ จนโฮซอกแนะนำซอกจินไปว่า
‘พี่ก็จ้างให้อยู่ประจำร้านไปเลยสิ พี่จะได้สบายใจด้วย’
หลังจากนั้นมา ทั้งคู่จึงเริ่มทำงานที่นี่อย่างเต็มตัว งานที่ร้านจึงไหลลื่นมากขึ้น รวมถึงรายได้ที่เพิ่มเข้ามา เพราะความประทับใจที่เด็กๆมอบให้กับลูกค้า
“พี่.. เดี๋ยวนี้ที่ร้านรับคนทำงานพาร์ทไทม์แล้วหรอ?”
เด็กน้อยคนหนึ่งที่ซอกจินคุ้นเคย จู่ๆก็เดินเข้ามาถาม ส่วนจะให้คำตอบอย่างไรดีนั้น ซอกจินค่อนข้างลำบากใจพอสมควร จึงพยักหน้าส่งๆไป แต่จะว่าไป สายตาของเด็กคนนั้นก็ไม่ได้สนใจเขาเท่าไหร่นัก
“แปลกใจขนาดนั้นเลยหรอ.. เอ่อ... จอน จองกุก”
“ถ้าพี่จะเรียกชื่อเพราะอ่านจากป้ายที่เสื้อนักเรียนแบบนี้ ไม่ต้องเรียกชื่อก็ได้ฮะ ผมไม่โกรธ”
เสียงบอกไม่โกรธ แต่ปากนั้นคว่ำไปแล้ว นั่นทำให้ได้รับเสียงล้อเลียนดังมาแต่ไกล
“โอ๊ะ! พี่ซอกจินทำเด็กร้องไห้หรอ อิอิ”
จีมินพูดขึ้นเมื่อเดินผ่านพอดี และด้วยความน่ารักนี้ ทำให้จองกุกยิ้มกว้างออกมาทันที ซึ่งจีมินเองก็ยิ้มตอบให้ ก่อนจะนำของไปจัดบนชั้น
“พี่! ผมขอทำงานที่นี่ด้วยคนสิ!”
“โอ๊ะ! น่าอิจฉา มีแต่คนอยากทำงานด้วย อ้าว? แล้วทำไมพี่ต้องกุมขมับด้วยล่ะ? กลัวเสียเงินเพิ่มหรอ?”
โฮซอกที่เดินเข้ามาเสิร์ฟน้ำตามปกติ บังเอิญได้ยินคำขอของจองกุกเข้า จึงแซวไป เพราะร้านเขาไม่เห็นจะมีใครมาขอช่วยบ้างเลย แต่ซอกจินเหมือนจะไม่เต็มใจนี่สิ แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้อยู่ดี
‘เพราะเห็นเป็นลูกค้าประจำหรอกนะ ถึงยอมตอบรับน่ะ’
และหลังจากวันนั้นมา ชีวิตของซอกจินก็ไม่สงบสุขอีกต่อไป แม้จะเต็มไปด้วยเรื่องไร้สาระน่าปวดหัว แต่ทุกๆวันของซอกจิน กลับถูกเติมเต็มด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ จากบุคคลที่อยู่เคียงข้างเขาในวันที่ลำบาก เช็ดน้ำตา ปลอบใจ รับฟังปัญหา และมอบความสุขคืนให้กับเขา แม้นิสัยปากร้ายขี้โวยวายจะยังไม่หายไป แต่ตลอดเวลาทุกๆวินาที ซอกจินพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะตอบแทนความสุขที่เขาได้รับจากทุกคน เพราะในที่สุดแล้ว เขาก็พบกับแรงใจที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้เขากล้าที่จะก้าวข้ามผ่านไปสู่วันพรุ่งนี้ได้อย่างเต็มฝีเท้า
‘ลาก่อนตัวฉันในอดีต’
=================================================================
ความคิดเห็น