Avenue of Eternal. เส้นทางแห่งนิรันดร์
เรื่องราวของเด็กหนุ่มและเด็กสาวคู่หนึ่ง ความรัก คำสัญญา และความฝัน จะจบลงเช่นไร หรือจะดำเนินต่อไป บนเส้นทางแห่งนิรันดร์
ผู้เข้าชมรวม
189
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
…เคยคิดไหมว่า…
…บางทีแล้วยามที่เรามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนแล้ว…
…ดวงดาวจะมองเราตอบ พระจันทร์จะยิ้มให้เรา…
…และได้มอบสิ่งที่เราทำหายไปกลับคืนมา…
…นั่นคือความทรงจำ…
…เป็นดั่งสายลมที่ทำให้เราอบอุ่น เป็นทั้งสายฝนที่ทำให้เราเหน็บหนาว…
…นั่นคือความทรงจำ…
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Avenue of Eternal.
เส้นทางแห่งนิรันดร์
Story By : Solar Sunshine
…เคยคิดไหมว่า…
…บางทีแล้วยามที่เรามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนแล้ว…
…ดวงดาวจะมองเราตอบ พระจันทร์จะยิ้มให้เรา…
…และได้มอบสิ่งที่เราทำหายไปกลับคืนมา…
…นั่นคือความทรงจำ…
…เป็นดั่งสายลมที่ทำให้เราอบอุ่น เป็นทั้งสายฝนที่ทำให้เราเหน็บหนาว…
…นั่นคือความทรงจำ…
ในชีวิตของผมนั้นไม่ค่อยมีอะไรสำคัญนักหรอกครับ ผมเองก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาๆคนหนึ่งที่มีอะไรเหมือนๆกับคนทั่วๆไป เดินอยู่บนถนนสายโชคชะตาที่ฟ้ากำหนดมาให้เหมือนคนอื่นๆ แม้บางครั้งมันจะผิดแปลกไปบางก็ตามแต่ แต่ว่าผมก็มีอะไรบางอย่างเล่าให้คุณฟัง มันไม่ใช่เรื่องที่สำคัญนักหรอกครับ
…ไม่สิ…
สำหรับ “ผม” แล้วมันสำคัญที่สุดเลยล่ะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ไง วันนี้มาแต่เช้าเลยนะ”
เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นเมื่อผมก้าวเท้าลงจากรถประจำทาง ท่ามกลางบรรยากาศของโรงเรียนยามเช้าที่แสนอึกทึกเสียเหลือเกิน ความจริงแล้วผมเป็นคนจำพวกเกลียดที่คนเยอะๆ เกลียดเข้าไส้เลยด้วยซ้ำ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะมันคือความจริง ผมก็ยิ้มและทักทายเด็กสาวที่ทักผมก่อนคนนั้นอย่างไม่คิดอะไรมาก เธอชื่อว่าพลอย พลอยเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ สูงถึงแค่คอผมเท่านั้น ผมมักจะเห็นเธอพร้อมแว่นสายตาทรงสี่เหลี่ยมและกระเป๋าใบโตซึ่งหนักมากๆผมเคยเล่นพนันกับพลอยแล้วแพ้บทลงโทษคือถือกระเป๋าให้เธอเป็นเวลาหนึ่งวัน เท่านั้นล่ะครับผมก็ได้รู้ซึ้งถึงคำว่า “ภาระอันหนักหนาสาหัส”อย่างแท้จริง
…ผมกับพลอยเจอกันครั้งแรกเมื่อ4ปีก่อน…
ในวันนั้นผมนั่งทำข้อสอบเข้าโรงเรียนตอนม.1ที่โรงเรียนประจำอำเภอซึ่งมีผู้เข้าสอบแค่400กว่าคนเท่านั้น ยังไงๆโรงเรียนก็รับหมดอยู่แล้วล่ะ แต่ที่สอบนี่ก็สอบพอได้จัดห้องพอเป็นพิธีเฉยๆ เราสอบห้องเดียวกัน ในตอนนั้นผมกำลังนั่งกุมขมับอย่างแรง สมองตีบตันไปหมด กระดาษคำตอบลบเป็นครั้งที่3แล้วอีก10นาทีก็หมดเวลาการสอบซึ่งอาจารย์ผู้คุมสอบได้แจ้งไปเมื่อครู่ ผมเริ่มมองไม่เห็นทางรอดทางอื่นจึงเริ่มใช้สูตร “ยีราฟ”หรือ “ความรู้รอบโต๊ะ” ทันใดนั้นสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือของผม หน้าตาของเธอน่ารักสมวัย เธอสวมแว่นสายตาและจับจ้องไปที่กระดาษคำตอบราวกับว่ากำลังตรวจทานคำตอบอยู่ ผมเห็นว่าน่าจะพึ่งพาได้จึงอาศัยจังหวะที่ผู้คุมสอบเผลอหักยางลบแล้วโยนไปที่เธอซึ่งดูเหมือนเธอจะรู้ตัวแล้ว เธอจึงหันมาทางผม
“นี่…ขอลอกข้อสอบหน่อยดิ”ผมได้พูดด้วยเสียงเบาที่สุดที่คิดว่าจะสื่อไปถึงเป้าหมาย ผู้คุมสอบเองก็หันไปหันมาทำเอาหัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความระทึก
“จะบ้าเหรอ…ลอกข้อสอบนี่นะ”เธอเอ็ดและขึงตาใส่ผมอย่างไม่พอใจ แต่ผมก็ไม่ละลดความพยายามที่จะยื้อฟางเส้นสุดท้ายไว้ให้ได้
“เอาน่า…นะ”
“นายนี่ท่าจะเพี้ยนนะ ใครเขาจะยอมให้ลอกกัน”
“งั้นเอางี้ไหม? เธออยากกินอะไร เดี๋ยวเราเลี้ยงเอง”
“พูดจริงนะ…”
“อืม!”
“งั้นนายต้องเลี้ยงไอติมฉันหลังสอบเสร็จ ตกลงไหม?”
“ตกลง สอบเสร็จเราจะเลี้ยงไอติมเธอ…”
เธอทำปากขมุบขมิบ2-3ครั้งแล้วก็เอียงกระดาษคำตอบให้ผมดู ผมก็ใช้วิชา “ปั่นงานมหากาศเร็วทะลุโลก”ที่เคยใช้บ่อยๆลอกข้อสอบอย่างรวดเร็วแล้วส่งซะ…รอดตัวไป
…แต่เหตุการณ์หลังจากนี้สิ ทำเอาผมไม่กล้าลืมหน้าเธอไปตลอดชีวิต…
เพราะว่าผมนั้นไม่เคยเห็นเด็กคนใหนกินไอติมเยอะเท่าเธอมาก่อนเลย ทันทีที่ถึงร้านไอติมคุณเธอก็เล่นกิน กิน แล้วก็กิน ไม่หยุด จนผมเองก็นึกสงสัยว่าผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอนั้นเอาพุงส่วนใหนไปเก็บไอติม เงินที่ผมพกไปสอบตั้ง200เหลือกลับมาไม่ถึง50ด้วยซ้ำผมน่ะใช้ค่ารถไป20ค่ากับข้าวอีก30นอกนั้นค่าไอติมทั้งนั้น แน่นอนว่าสมัยที่ผมเป็นเด็กนั้นเงินจำนวนนี้ไม่ใช่น้อยๆ ผมคำนวณแล้วค่าไอติมตั้งร้อยกว่าบาท คิดแล้วก็อดปวดใจไม่ได้
…นั่นเป็นครั้งแรกที่เราพบกัน…
…หลังจากนั้นผมก็รู้สึกว่ามันบังเอิญเกินไปหรือเปล่า…
ผมกับพลอยได้อยู่ห้องเดียวกันคือห้อง1/7 ผมเองก็พึ่งรู้ชื่อเธอในวันที่รายงานตัวเหมือนกัน ในตอนนั้นผมเองก็รู้สึกแปลกๆที่ต้องมาอยู่ห้องเดียวกันกับผู้หญิงที่กินไอติมหมดไปเกือบร้อยบาท ในห้องนั้นผมเลขที่5 เธอเลขที่25 เราสองคนเลือกลงวิชาเสริมเหมือนกันอีกคือเกษตรและคหกรรม ซ้ำร้ายยังลงชมรมเดียวกันอีกคือชมรมวรรณกรรมและห้องสมุด
ที่ผมเลือกลงชมรมนี้ก็เพราะว่าแม่ของผมนั้นมีอาชีพเป็นบรรณารักษ์ประจำห้องสมุด ช่วงเด็กๆผมจึงไปคลุกคลีกับหนังสือที่ห้องสมุดบ่อยครั้ง ผมเองก็ชอบอ่านหนังสือมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ซึ่งผมนั้นชอบอ่านสารคดีท่องเที่ยวมากชอบดูรูปทะเล ภูเขา และอวกาศผมว่ามันสวยงามไม่แพ้ทุ่งนาข้างบ้านของผมรองลงมาก็เป็นนิทานพื้นบ้าน และด้วยความที่ผมชอบอ่านหนังสือนี่ล่ะครับทำให้ผมเลือกชมรมห้องสมุด
…ด้วยเหตุนี้เหตุการณ์นี้จึงเกิดขึ้นทุกวัน…
“แกนี่มันโง่จริงๆเลย!!!!”พลอยแผดเสียงพร้อมกับเหวี่ยงหนังสือตำราคณิตศาสตร์ม.ต้น-ม.ปลายความหนากว่า600หน้าปกแข็งเข้าที่หัวของผมอย่างแรงแทบกระอักเลือด “บอกล้านครั้งแล้วนะว่าลบคูณลบเป็นบวกน่ะ…แกนี่มันโง่จริงๆเลย!!!”
เรื่องของเรื่องก็คือ ผมไม่รู้ตัวครับว่าผมไปคบพลอยเป็นเพื่อนตั่งแต่เมื่อไร ถึงจะเห็นพลอยอย่างนี้ก็เถอะแต่ว่าหมัดกับเท้าหนักสุดๆ ชนิดที่ว่าสู้กับผู้ชายตัวใหญ่กว่าตัวเองได้สบายๆเลยด้วยซ้ำจึงไม่แปลกที่แบกกระเป๋าหนักๆได้สบาย และทุกครั้งหลังพักเที่ยงเรา2คนต้องมาเฝ้าห้องสมุดทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ หน้าที่ของผมคือเก็บกวาดหนังสือ ส่วนของพลอยคือทำเรื่องยืม-ส่งหนังสือ ด้วยเหตุที่ห้องสมุดโรงเรียนผมเงียบมากเพราะไม่มีคนชอบเข้ามา ทำให้ผมมีเวลาสนทนาธรรมกับพลอย ส่วนใหญ่แล้วผมจะชอบอ่านหนังสือคนเดียว แต่ด้วยเหตุผลที่ว่าวิชาเลขของผมนั้นมันห่วยเกินไป ทำให้ผมคิดที่จะหาใครสักคนมาติวให้
…และคนๆนั้นก็คือพลอย…
เนื่องจากพลอยนั้นเป็นคนที่เรียนเก่งที่สุดในห้อง แถมเธอเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งกับใครเท่าไหร่ออกจะเป็นคนเงียบๆ แถมเข้าถึงตัวง่ายทำให้ผมสามารถเข้าไปขอให้เธอมาช่วยติวให้ได้ แต่มันดันติดตรงที่ว่าพลอยเป็นคนออกจะนิยมความรุนแรงนิดหน่อย(ล่ะมั้ง) ซึ่งมันก็ช่วยไม่ได้แฮะผมเองก็ไม่ใช่คนเก่งเลขนี่หว่า การบ้านก็ขี้เกียจทำ แต่ว่าให้เราลอกเฉยๆก็ได้ไมต้องอธิบายด้วยก็ไม่รู้ หนวกหูที่สุด…
“อั๊ก!!...เจ็บนะ!!! ยัยบ้าเอ๊ย!!! ลองดูดีๆซิมันคูณที่ไหนมันบวกกันแท้ๆ”
“เหรอ…ตาทึ่มมันเขียนวงเล็บติดกันแปลว่าคูณย่ะไม่ใช่บวก...โง่แล้วยังอวดฉลาดอีกนะ”
…ยัยนี่…
…คำก็โง่ สองคำก็โง่…
“ยัย…”
“ไม่ต้องพูดมากทำข้อต่อไปเดี๋ยวนี้ ถ้าผิดอีกล่ะก็นายโดนทุบยกกำลัง2แน่”
…ในตอนนั้นผมอาฆาตเธออย่างสุดแค้น…
…ฆ่า...สักวันฉันจะฆ่ายัยนี่ทิ้ง…
ผมจำไม่ได้เลยว่าในชีวิตนี้เคยคบเพื่อนเป็นตัวเป็นตนกับเขาหรือเปล่า เท่าที่จำความได้ผมจำได้แค่ว่าผมมีเพื่อนเป็นนก ไก่ หมา แมว ต้นไม้ เป็นต้น บ้านที่ผมอยู่นั้นเป็นบ้านสวนครับพ่อกับแม่ของผมปลูกต้นไม้กับดอกไม้ไว้เต็มบ้าน โดยเฉพาะมะม่วงนั้นมีครบทุกรสทั้งหวาน-มัน-เปรี้ยว ไม่แค่นั้นยังมีน้อยหน่า มะขาม ขนุน มะพร้าวซ้ำร้ายหลังบ้านยังปลูกแปลงผักแปลงโต แต่ทว่าพ่อกับแม่ของผมนั้นไม่ค่อยลงรอยกันนัก ความจริงแล้วท่านทั้งสองก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้ตั้งแต่แต่งงานหรอกครับ ครอบครัวของผมเคยเป็นครอบครัวแสนสุขมาก่อน เรามีกัน4คนมีพ่อ แม่ พี่ชาย แล้วก็ผม พี่ของผมนั้นเกิดก่อนผมตั้งหลายปี เป็นพี่ที่เพอร์เฟคมาก พี่ของผมนั้นทั้งเรียนเก่งกีฬาก็เก่ง โล่ประกาศนียบัตรและเหรียญทองกีฬาปิงปองและกรีฑาเต็มตู้ ส่วนผมน่ะรึบวกเลขยังผิด สูตรคูณก็ท่องไม่ได้ วิ่งก็บ๊วยตลอด อย่าว่านู้นนี้เลยครับผมน่ะมันโง่บรมเลยล่ะ จึงไม่แปลกที่พี่ของผมนั้นจะเป็นลูกรักของพ่อและแม่ ท่านทั้งคู่นั้นเวลาที่พี่ชายของผมคว้าที่1ของห้องมาได้ท่านก็จะซื้อทั้งเกมส์ ทั้งเสื้อผ้า ทั้งของใช้ต่างๆให้พี่ผม ส่วนผมก็ไม่แปลกหรอกครับที่นานๆทีจะได้ของเล่นโดยส่วนมากจะได้แต่ของเหลือๆจากพี่มากกว่า ทั้งชุดนักเรียนเก่า กางเกง เข็มขัด กระเป๋า เสื้อผ้าและของใช้นั้นผมจะได้จากเสื้อที่พี่ใส่ไม่ได้แล้วหรือกระเป๋าสายขาดและชุดนักเรียนสีซีด พอวันเกิดพี่ชายของผมท่านก็จะพาไปเลี้ยงฉลองนอกบ้าน ส่วนวันเกิดผมนั้นก็มีหลายปีที่ท่านจะลืม ผมมักจะโดนเปรียบเทียบกับพี่ของผมเสมอ ทั้งพ่อแม่และครูที่โรงเรียนก็เอาแต่พูดว่า “เธอน่ะไม่เก่งเหมือนพี่เธอเลยสักนิด” หรือ “หัดขยันเหมือนพี่เธอหน่อยสิ”พูดเหมือนผมไม่มีหัวใจ เอาแต่พูดว่าหมอนั่นดีอย่างนู้น หมอนั่นดีอย่างนี้ มีหลายครั้งด้วยซ้ำที่ผมแอบไปร้องไห้คนเดียวหลังบ้าน แต่แล้วนานๆไปผมก็เริ่มเย็นชากับคำพูดเหล่านั้นและกลายเป็นคนไม่สนใจใครแต่เมื่อไรก็ไม่รู้เอาแต่หลอกตัวเองด้วยคำว่า “ไม่ใช่เรื่องของเรา”มาตลอด
…แล้วพี่ผมก็ตาย…
พี่ของผมตายเมื่ออายุ16พ่อและแม่ของผมก็ต่างใจเสียทั้งคู่ ถึงผมจะปฏิเสธไม่ได้ว่าผมเกลียดพี่ก็เถอะแต่เอาเข้าจริงผมก็เศร้าเหมือนกัน จากนั้นพ่อและแม่ของผมก็เปลี่ยนไป จากที่ท่านทั้งคู่ไม่เคยทะเลาะกันก็ทะเลาะกันทุกวี่วัน ส่วนตัวผมที่บังเอิญเหงาอยู่แล้วก็ยิ่งเหงาขึ้นอีกมาก จากนั้นเรา3คนก็ต่างคนต่างอยู่ ตัวผมเองก็โทษอะไรไม่ได้
…มันเป็นความจริงที่ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธไม่ได้…
…แถมมันนานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้…
…ผมจำไม่ได้…
“เฮ้ย…นายเป็นอะไรของนายอีกเนี่ย วันนี้ดูซึมๆอีกแล้วนะ”
ทุกครั้งที่ผมไม่สบายใจหรือเกิดอะไรขึ้นผมจะไม่พูดอะไร สบตากับใครหรือพูดกับใครเลย และเมื่อพักเที่ยงผมจะหอบใบงานทุกใบที่อาจารย์สั่งมาที่ห้องสมุดหลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ จากนั้นก็เขียน เขียน แล้วก็เขียน จนกระทั่งงานทุกอย่างเสร็จก่อนกำหนดทั้งหมด ความจริงแล้วนั้นผมอยากจะอยู่คนเดียวมากกว่าแต่ว่าพลอยนั้นจะเอางานมาเช่นกันแล้วก็มานั่งข้างๆผมแล้วทักแบบนี้ทุกครั้ง ช่วงแรกๆผมก็รำคาญแต่ท้ายสุดก็ปล่อยเลยตามเลย ทั้งที่ความจริงแล้วในตอนนั้นพลอยเป็นคนเดียวที่ถามผมด้วยความเป็นห่วงแบบนี้
“ก็ไม่มีอะไรหรอก…แกอย่ารู้เลย”
“โดนซ้อมมาอีกล่ะสิ”พลอยชี้ไปที่แก้มของผมที่เป็นรอยแผลฟกช้ำ “พ่อนายอีกล่ะสิ…เฮ้อ! น่าสงสารเนาะ”
“…”
“ช่างเหอะฉันไม่ยุ่งกับนายก็ได้…ไหนดูซิใบงาน3.1 เฮ้ย! เสร็จแล้วเหรอดูหน่อยดิ”
พลอยมักจะมาแบบนี้เสมอ หยิบใบงานของผมไปแล้วก็ลอกอย่างรวดเร็วราวกับจะทวงหนี้ที่ผมลอกข้อสอบเธอในวันนั้น พอเธออ่านลายมือผมไม่ออกเธอก็จะหันมาถามผม ผมก็จะเขกหัวเธอไปครั้งนึงแล้วค่อยตอบ พลอยก็จะทำแก้มป่องใส่ผมแต่จากนั้นก็จะยิ้ม ผมปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมรักเพื่อนคนนี้ พลอยมีรอยยิ้มที่งดงามและเปี่ยมไปด้วยความสุข ผมรู้ว่าผมทำแบบนั้นไม่ได้ แต่ว่าแค่ได้เห็นรอยยิ้มของเธอผมก็รู้สึกเป็นสุขและพอที่จะลืมทุกอย่างไปได้ชั่วคราว
พลอยนั้นเป็นหัวหน้าห้องที่ผมอยู่เป็นเด็กสาวที่ค่อนข้างแปลก ผมกับพลอยมักไปไหนมาไหนด้วยกัน นั่งเรียนด้วยกัน ทำงานด้วยกัน กินข้าวด้วยกันเสมอจนเพื่อนๆหลายคนเอาไปนินทาแต่พลอยก็ไม่ได้สนอะไรส่วนผมน่ะก็คงไม่ต้องบอกหรอกมั้งด้วยเหตุนี้ทำให้เราสองคนนั้นคบกันได้ไม่มีอะไรต้องกังวลใจ
ผลสอบตอนม.1ปรากฏออกมา ผมรู้สึกว่ามันดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนตอนอยู่ประถมมากเลยทีเดียว ไม่มี0หรือ1เลยสักตัว วิชาคณิตที่ผมเคยโง่บรมกลับได้ตั้ง3แน่ะ ผมเองก็งงตัวเองเหมือนกัน ได้ตั่งอันดับที่11ของห้องแน่ะ ส่วนพลอยเหรอครับที่1ของห้องครับ3.97
“เฮ้ย!!!…นายทำได้เพื่อนนายทำด้ายยยย!!!”
…เผอิญว่าคนที่ดีใจจนออกนอกหน้ากลับเป็นพลอยซะนี่…
“นี่…คนที่ดีใจควรจะเป็นฉันไม่ใช่เรอะยัยแว่น”ความจริงแล้วผมนั้นดีใจมากๆแถมตอนนี้ผมยังยิ้มไม่หุบด้วย
“โฮ่ๆๆ เป็นเพราะใครหนอนายถึงได้เกรดดีขึ้นน้อ ใครเอ๋ยใครหนอ?”พลอยยืนกอดอกแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ปากก็ทวงบุญคุณ…เอาเหอะวันนี้ผมมีความสุขที่สุดซักหน่อยหน่อยก็ได้
“เออๆ…รู้แล้วน่าไอติมใช่ไหม ก็ได้”
“เย้!!!”
…ในช่วงเวลานั้น…
…ผมยอมรับครับว่าผมมีความสุขจริงๆ…
พอขึ้นม.2ผมกับพลอยก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่สิเราสนิทกันมากกว่าเดิมอีก ผมเล่าประสบการณ์ตอนกลับบ้านเกิดในช่วงปิดเทอมให้เธอฟัง พลอยก็เล่าเรื่องตอนที่กลับไปที่เชียงใหม่ให้ผมฟังเช่นกัน ผมเองก็พึ่งรู้ว่าพลอยนั้นเป็นคนภาคเหนือ เป็นลูกสาวคนเดียว พ่อของพลอยนั้นเป็นตำรวจเป็นสารวัตรที่ย้ายมาประจำที่สถานีตำรวจอำเภอ ซึ่งเธอย้ายตามพ่อมาที่อำเภอนี้ แน่นอนผมพึ่งรู้ว่าฐานะเราแตกต่างกันขนาดนี้เชียว แต่ว่าแม้พลอยจะเป็นถึงคุณหนูทว่าก็ยังใช้ชีวิตติดดินผิดกับบางคนที่ผมเคยพบที่มีฐานะยากจนแต่ว่าไม่รู้จักคำว่าพอเพียงไม่เหมือนเธอคนนี้ทำให้ผมรู้สึกนับถือพลอยขึ้นมานิดๆ
ช่วงม.2ผมก็ยังคงบ้างานเช่นเดิมพลอยก็ยังทำตัวเหมือนเดิม ผมรู้สึกว่าผมกำลังเปลี่ยนไปทีละนิดรอยยิ้มเริ่มปรากฏบนหน้าของผมและเริ่มพูดคุยและวางตัวกับคนอื่น แต่จะว่าไปก็ยังคงมีบางอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
“โอ๊ย!!!...ไม่รู้จะสอนยังไงแล้วทำไมนายหัวช้าจังเนี่ย ก็บอกแล้วไงหน้ากำลังสองบวกสองหน้าหลังบวกหลังกำลังสอง สูตรน่ะจำง่ายๆเองนะไหนลองท่องใหม่ซิ”
“หน้ากำลังสองบวกสอง…สอง…อะไรนะลืมแล้วง่ะ”
“โอ๊ย…จะเป็นลม”
…เอาน่าสอนนิดสอนหน่อยอย่าบนเลยน่ายัยแว่น…
เอาตามความจริงไหมครับผมน่ะก็ใช่ว่าจะโง่ทุกวิชาซะหน่อย วิชาที่ผมเรียนได้ดีคือวิชาภาษาไทย สังคม เกษตร ภาษาอังกฤษก็พอถูๆไถๆไปได้แต่ว่าวิชาวิทย์กับคณิตย์นี้มึนตึบ ผมเคยแต่งกลอนวันสุนธรภู่แล้วได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับสาม กลอนวันพ่อก็เคยได้ที่2 กลอนวันแม่ก็ได้รางวัลชนะเลิศเชียวนะครับ พรสวรรค์ตั้งแต่เด็กของผมคือการเขียนและร้องเพลงแต่ไม่รู้ทำไมเพลงสตริงที่ผมร้องกลับออกมาเป็นแนวลูกทุ่งซะหมด แต่ก็ช่างเถอะถึงผมจะตามติดพลอยจนได้แต่พลอยก็ยังได้ที่1อยู่ดี
ผมนั้นไม่รู้ตัวเลยว่าผมเริ่มคิดกับพลอยเกินเพื่อนตั่งแต่เมื่อไร เราทั้งคู่ก็ยังหยอกล้อกันเช่นเดิม ทำงานก็ทำงานด้วยกันเช่นเดิมแต่ว่ามีบ่อยครั้งที่ผมนั้นเคยเผลอจ้องหน้าพลอยแล้วเอาไปนอนฝัน มันก็น่าอยู่หรอกครับความจริงแล้วพลอยเป็นผู้หญิงที่น่ารักคนนึงแต่ว่ามีแว่นสายตาและเสื้อผ้าสีเชยๆบังไว้อยู่ทำให้เธอดูไม่สะดุดตาแต่ถ้าหากเธอถอดแว่นแล้วแต่งเนื้อแต่งตัวสักนิดก็จัดว่าเป็นคนสวยคนนึงเลยทีเดียว บวกกับนิสัยน่ารักแบบเด็กๆของเธอเข้าไปทำให้เธอมีเสน่ห์มากสำหรับผม จะว่าไปแล้วพลอยเป็นรักครั้งแรกของผม
“นี่…นายชอบฉันรึเปล่า?”พลอยถามขึ้นในวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังกินไอติมกับเธออยู่ที่ม้าหินอ่อนหน้าร้านค้าสหกร พอโดนคำถามนี้เข้าไปผมก็แทบสำลักไก่ที่กินเข้าไปเมื่อตอนเที่ยงออกมาเป็นตัว
“อุ๊ก!!!...แค่กๆ!!!...วะ…ว่าไงนะ”
“ไม่รู้ดิ…แต่เดี๋ยวนี้นายมองหน้าฉันแปลกๆนะ นายมีอะไรรึเปล่า?”
“ม…ไม่มีอะไรสักหน่อย ทำไม…จะบอกว่าตัวเองน่ารักขึ้นงั้นสิ”
“ก็คงใช่นะ รู้หรือเปล่าเมื่อวานมีรุ่นพี่มาบอกฉันว่าฉันน่ารักด้วยล่ะ”
“หา?…มันเป็นใคร”
“คิกๆ ทำไมล่ะ…หึงเหรอ”
“บ้า…ใครจะไปหึงแก ใครจะชอบแกรึแกจะชอบใครก็ไม่เกี่ยวกับเรานี่”
“นายพูดคำว่า ‘ไม่เกี่ยวกับเรา’อีกแล้วนะแสดงว่าหงุดหงิดล่ะสิ”
…ชิ…
“ช่างเหอะ”
“แล้วตกลงว่าไง…ชอบฉันหรือเปล่า” ผมมองหน้าพลอยที่มุมปากมีคราบไอติมเลอะอยู่ก่อนที่จหันไปทางอื่นด้วยความรู้สึกที่แปลกออกไป
“เออ…ชอบ”
“จริงนะ!”
“โกหก”
“หนอย…ไอ้เล็บขบเอ๊ย!”พูดเสร็จพลอยก็กระทืบลงไปบนเท้าซ้ายจุดที่เป็นเล็บขบของผมอย่างไม่มีการปราณีความเจ็บปวดที่หายไปนานได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง
“อ๊าคคค!!! ยัยแว่น! ฉันเจ็บนะโว้ยยยย!!!”
…เฮ้อ…
…รู้สึกเจ็บอกซ้ายนิดๆแฮะ…
พอเช้าวันต่อมาผมจึงได้รู้ว่าพลอยไม่ได้โกหก คนที่มาชอบพลอยเป็นรุ่นพี่ที่อยู่ม.4ที่ชื่อว่าไก่ แม้เขาจะไม่ใช่คนดีอะไรมากนักแต่เขาก็ไม่ใช่คนเลว เขาก็ดีต่อพลอยคอยดูแลคอยเป็นห่วง มีหลายครั้งที่หลังเลิกเรียนหรือตอนพักเที่ยงพี่ไก่จะมารับพลอยเสมอ ผมที่ยืนอยู่ข้างๆก็รู้ดีผมเองก็ได้แต่บอกพลอยว่า “เราไปก่อนนะ”แล้วก็ก้าวขายาวๆเดินเร็วๆนำหน้าพลอยไปพร้อมกันกลุ่มเพื่อนๆ ในตอนนั้นผมรู้แค่ว่าหนาวสุดหัวใจ และแม้ว่าในตอนพักเที่ยงผมจะไปนั่งกินข้าวร่วมกันกับเพื่อนๆแต่แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนนั่งกินคนเดียวก๋วยเตี๋ยวแห้งที่เป็นของโปรดกลับไม่รู้รสชาติ ไอติมก็ไร้รสชาติ ทั้งๆเมื่อหลายวันก่อนตอนที่ผมนั่งกินกับพลอยมันยังอร่อยอยู่แท้ๆ
…แต่ทำไมวันนี้…
…มันไร้รสชาติอย่างนี้…
ในคืนหนึ่งขณะที่เวลาจะเที่ยงคืนอยู่รอมร่อ ผมกำลังนั่งแต่งกลอนอยู่หลังจากทำการบ้านเสร็จ ก็มีเสียงกริ่งของโทรศัพท์รุ่นโบราณดังขึ้นผมจึงกลิ้งลงจากเตียง เพราะในคืนนั้นพ่อของผมไปอยู่เวรที่โรงเรียนส่วนแม่ก็ไปประชุมต่างจังหวัดทำให้ผมนั้นอยู่บ้านคนเดียว ผมหยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพูดออกไป
“ครับ…ต้องพูดครับ”
“ต้อง…นี่พลอยเองนะ”เสียงแหบพร่าของพลอยทำหัวใจผมกระตุกวูบ ผมเงียบอยู่พักหนึ่งก่อนตอบกลับด้วยเสียงที่พยายามไม่ให้สั่นอย่างที่สุดแล้ว
“อ้าว…มีอะไรล่ะโทรมาซะดึกดื่น…ถ้าเรื่องรายงานล่ะก็พิมพ์เสร็จแล้วล่ะเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยให้ไอ้ทิวมันออกไปรายงานหน้าชั้นล่ะกันไม่ต้องห่วงหรอก”
“…”
“พลอย…อ้าว…ทำไมเงียบไปล่ะ…ฮัลโหล”
“อึก…ฮึก…ฮือ…”
…เสียงสะอื้นจากปลายทางทำเอามือเท้าผมชาไปหมด…
…เกิดอะไรขึ้น?...
“เฮ้ย…พลอย นี่แกร้องไห้เหรอ…ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรแก”
“พี่ไก่เขา…พี่ไก่เขา…” ทันทีที่พลอยเอ่ยชื่อพี่ไก่ ผมก็พอเดาอะไรได้จากที่ผมเคยเห็นพี่ไก่เข้ามาในห้องสมุดกับคนอื่น ความโกรธที่ก่อตัวขึ้นทำให้ผมตะคอกออกไป
“ทำไม! พี่ไก่ทำไม!”
“พี่ไก่เขาเลิกกับฉันแล้ว…”
…อะไรกันเนี่ย…
ในนาทีนั้นสมองของผมตีบตันไปหมด ในหัวของผมมีแต่ภาพพลอยใจสภาพโดนทำร้ายจิตใจอย่างชัดเจน ภาพของเด็กสาวที่ร่าเริง แจ่มใสอยู่เสมอ ภาพของเด็กสาวที่เคยเข้มแข็ง ภาพของเด็กสาวที่เรียกผมว่าเพื่อนรัก ภาพของเด็กสาวที่ผมรักหมดหัวใจได้นั่งกอดเข่าร่ำไห้อยู่อย่างเดียวดายมันเหมือนมีดแทงเข้าที่หน้าอกของผม มันเจ็บอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
…เจ็บที่สุด…
“กึ๊ก!!!...”
ผมเผลอกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดออก เราทั้งคู่เงียบกันอยู่นานผมถอนหายใจออกมาครั้งนึง ผมรู้ว่าตอนนี้เพื่อนผมกำลังลำบากและต้องการความช่วยเหลือ หัวใจผมยังคงเต้นแรงด้วยความโกรธที่ยังเหลืออยู่ แต่ว่าบางทีที่เธอโทรมานี้เพื่อต้องการบางอย่างพอที่จะทำให้ความรู้สึกนั้นมันหายไป ในตอนนั้นผมนิ่งคิด บางทีวิธีนี้อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วก็ได้
“เอาสิ…มีอะไรก็พูดกับเราได้พลอย เราจะอยู่เป็นเพื่อน”
…จะอยู่จนถึงเช้าเลย…
เช้าวันต่อมาพลอยเองก็กลับมาเป็นอย่างเดิมแล้วกลับมาร่าเริงดังเดิม เพียงแต่นัยน์ตาที่เคยสดใสของเธอที่ยังคงเหลือร่องรอยสีแดงที่แฝงอยู่ในแววตาหลังเลนกระจกนั้นยังทำผมเจ็บไม่น้อย ผมพึ่งเคยรู้สึกถึงตอนที่คนที่เรารักนั้นโดนทำร้ายมันรู้สึกอย่างไร ในวันนั้นพลอยได้พยายามทำตัวร่าเริงเพื่อที่จะกลบเกลื่อนความเจ็บปวดในจิตใจ แต่ว่าผมนั้นรู้สึกสงสารเธอเหลือเกิน
…ในนาทีนั้น…
…ผมได้รู้สึกว่า…
…ผมนั้นรักพลอยมากเท่าไร…
พอเรียนจบม.2เกรดของผมออกมาดีมาก3.50 เกรด4ตั้ง6ตัว ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ แต่ของพลอยสิครับจากเกือบ4.00เหลือเพียง3.7กว่าๆทำเอาเราสองคนเสียวสันหลังไปเลย เราทั้งสองมองเกรดที่ครูเอามาติดไว้หน้าลานก่อเกิดปัญญา แล้วมองหน้ากันอยู่พักใหญ่ ฝ่ายที่หยุดเกมส์จ้องตาคือพลอย เธอเหยียบเข้าที่เท้าซ้ายของผมอย่างแรง อ๊าคคค!!! เจ็บว้อยยยยยยย!!!
“โอ๊ยยย!!! พลอย…ฉันเจ็บนะโว้ย ทำไมแกไม่เป็นเล็บขบมั่งวะ”
“แสดงว่าไม่ได้ฝันน่ะสิ…นี่คนอย่างแกบังอาจจะเทียบรัศมีฉันแล้วเรอะ ฝันไปเถอะไม่มีทางหรอก…อย่างแกน่ะต้องเจออย่างนี้”พลอยเหยียบซ้ำเข้าที่เท้าข้างขวาของผมอีกครั้งโชคดีที่ข้างนี้ไม่สาหัสเลยไม่รู้สึกเจ็บเท่าไรแต่ที่แน่ๆมันจี๊ดใจจริงๆ
“โอ๊ย…หน็อยยัยค่างแว่นเอ๊ย!”ผมวิ่งขาโขยกไล่พลอยไปทั่วลานประกาศเพื่อนๆที่เห็นก็อมยิ้มไปตามๆกัน แม้ว่าจะอาย
…แต่อย่างน้อยพวกเราก็มีความสุข…
พลอยเคยชมว่าผมนั้นร้องเพลงลูกทุ่งเพราะ ทุกครั้งที่พลอยเซ็งๆเธอจะขอให้ผมร้องให้ฟัง ผมเองก็ร้องเพราะดูสีหน้าพลอยนั้นมีความสุขมากทั้งๆที่เป็นคุณหนูแท้ๆกลับมาชอบเพลงลูกทุ่งเชยๆได้อย่างไรก็ไม่รู้ ทุกครั้งที่ผมร้องเพลงอยู่กับเพื่อนผู้ชายที่หลังห้องพร้อมกับทิวที่เป็นมือกีต้าร์ประจำห้อง พลอยก็จะมานั่งตบมือแปะๆและเป็นคอรัสให้ แต่สำเนียงพลอยนั้นร้องลูกทุ่งไปไม่ไหวหรอก ทำให้คีย์ออกมาเพี้ยนๆหน่อย แต่พลอยก็ดูมีความสุขมาก เพื่อนๆก็ชอบเพลงที่ผมร้องอาจเป็นเพราะผมร้องเพลงเพราะนี่ล่ะมั้ง
ชีวิตในช่วงชั้นม.3ของผมก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก ผมก็ยังคงใช้ชีวิตดังเดิมเช้ามาก็วิ่งขึ้นรถไปโรงเรียนค่ำลงก็วิ่งลงรถกลับบ้าน ไอ้กระบี่หมาพันธุ์บางแก้วของผมก็ยังคงหน้าเหมือนหมาเหมือนเดิม (แกจะให้หน้ามันเหมือนลิงเรอะ!) บทเพลงก็ยังคงขับขานอยู่ในความทรงจำเช่นเดิม รอบข้างตัวผมก็แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเพียงแต่ตัวของผมเองก็ยังคงมีความสุข ไม่ค่อยเหงาแล้วล่ะ
ในคืนหนึ่งผมออกมานอนเล่นที่แคร่นอกบ้าน พระจันทร์เต็มดวงสาดแสงสลัวสีนวลไปทั่ว หน้าฝนพึ่งจะสิ้นสุดไปลมหนาวกำลังพัดมาแทนที่ ช่วงเวลาใกล้จะสามทุ่ม ผมก็ยังคงนอนสบตากับดวงดาวพลางเรียบเรียงความคิดในหัว…ทำไมกันนะทั้งๆที่พลอยก็เป็นผู้หญิงขี้บ่น จุกจิก ตัวก็เตี้ย กินก็เยอะ แต่ทำไมไม่อ้วนก็ไม่รู้ ขี้งอน เอาแต่ใจ ชอบไล่ทุบเพื่อน ใส่แว่นหนาเตอะ แต่งตัวก็เชิยแท้ๆ แต่ว่าบางทีก็อ่อนหวาน อ่อนไหว น่ารักเป็นบางโอกาส เป็นคนที่ไม่ปิดบังความรู้สึก มีอะไรก็กล้าพูดออกมา แทบจะต่างจากผมโดยสิ้นเชิงขณะที่เจอกันใหม่ๆเลยทีเดียว แต่ด้วยเหตุผลใดกันทำให้เราผูกพันกัน เพราะอะไรทำให้เราเป็นเพื่อนกัน และเพราะอะไร
…ทำให้ผมคิดถึงเธออย่างนี้…
“นี่พลอย”ผมพูดขึ้นในวันหนึ่งขณะที่ผมกับพลอยกำลังนั่งทำการบ้านอยู่ในห้องสมุดพลอยก็ค่อยๆโงหัวขึ้นมาจากสมุดแบบฝึกหัด
“หือ…อะไรเหรอ”
“ทำไมวันนี้แกสวยจัง”
“หา?...ไอ้บ้า…แกพูดอะไรของแกวะ เพี้ยนแหงๆ”พลอยพูดกับผมทว่าแก้มของเธอนั้นแดงหมดแล้ว ซ้ำร้ายผมยังทำตาหวานใส่เธออีก พลอยก็อมยิ้มแล้วเหยียบเข้าที่เท้าซ้ายของผมอย่างแรงผมร้องโอ๊ยทีนึง“สมน้ำหน้า”
“ทำไมวะก็วันนี้แกสวยจริงๆน่ะ”ใช่แล้ววันนี้พลอยสวยจริงๆ ไม่รู้ว่าพลอยนั้นไปทำอะไรมาแต่หลายๆวันนี้ผมรู้สึกว่าพลอยน่ารักขึ้นเยอะเลย
“แกเป็นอะไรอีกล่ะวันนี้ กินยาลืมเขย่าขวดรึไง”
“ก็…ไม่เป็นอะไรมากหรอกแค่มีความสุขน่ะ”
“ประสาท…เลิกทำตาหวานได้แล้ว ถ้าแกไม่เลิกฉันจะโกรธจริงด้วย” พลอยพูดพร้อมกับทเป็นไม่สนใจทั้งๆที่หน้าแดงหมดแล้ว ผมเห็นพลอยเป็นแบบนั้นยิ่งทำให้น่าแกล้งมากขึ้นกว่าเดิม
“ทำไมล่ะ นี่เธอรังเกลียดเราตั้งแต่เมื่อไร”
“ตอนนี้ยัง…แต่อีกหน่อยไม่แน่”
“โธ่พลอย…ไอ้เรานะก็อุส่าคิดถึงแกทุกวันคืนไม่นึกเลยว่าเพื่อนกันจะมาทำแบบนี้”ผมเอามือกุมอกพร้อมกับทำหน้าเจ็บปวดรวดร้าวสุดแสนจะบรรยาย พลอยก็ยิ่งหน้าแดงขึ้นกว่าเก่าแล้วก็เหยียบเข้าที่เท้าซ้ายของผมอีกครั้งคราวนี้ไม่ใช่แค่เหยียบแต่ยังมีการบดบี้ขยี้ด้วย อ๊าคคคค!!! เจ็บบบบ!!!
ผมเคยได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่งว่า มุมมองคามรักของคนเราจะเกิดจากรักครั้งแรก ในตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างผมและพลอยก็ยังคงไม่ต่างจากเดิม ระยะห่างของเราก็ยังเท่าเดิม มีเพียงความรู้สึกในหัวใจของผมเท่านั้นที่นับวันยิ่งทวีคูณ ผมเองก็เคยคิดเข้าข้างตัวเองว่าพลอยอาจจะมีใจให้ผมก็ได้ แต่ปฏิกิริยาที่เราสองคนมีให้กันนั้นก็คือ ถ้าหากผมเดินเข้าไปหาพลอยก้าวหนึ่ง พลอยก็จะเดินถอยหลังไปก้าวนึงและถ้าพลอยเดินเข้ามาหาผมก้าวนึง ผมก็จะเดินถอยหลังไปก้าวนึง สิ่งที่ทำให้เราถอยหลังไปนั้นก็คือคำว่า “ตัวเองยังไม่พร้อม” และ “เป็นเพื่อนกันต่อไปดีกว่า”ค้ำถ่วงจิตใจอยู่ ผมว่าความรักนั้นมันเข้าใจยากกว่าการแก้อสมการตัวแปรเดี่ยวที่อาจารย์พูดจนปากเปียกปากแฉะให้ผมฟังเสียอีก และผมเองก็ไม่อยากให้มันเปลี่ยนไปเลย
ในวันหนึ่งผมกำลังยืนล้วงกระเป๋าพลางเหลียวซ้ายแลขวาอยู่หน้าสถานีตำรวจในตัวอำเภอ ในวันอาทิตย์ซึ่งในวันนี้ผมกับพลอยนัดกันออกไปทำงานสำรวจอยู่ ผมเองก็ได้หิ้วกระเป๋าสายเดียวสีดำใบเก่าของผมมาด้วยซึ่งผมก็ใช้มันมาได้หลายปีแล้ว สายกระเป๋าเย็บเป็นครั้งที่สิบได้แล้วล่ะมั้ง ผมเองก็คิดๆอยู่ว่าคงจะถึงวันเกษียณอายุของมันเสียที
“นี่ต้องเรามาแล้ว”ผมเห็นพลอยโบกมือเดินมาแต่ไกลผมก็ยิ้มให้เธอ วันนี้พลอยใส่กระโปรงลายลูกไม้สีขาวยาวเลยเข่าลงไป กับเสื้อผ้าฝ้ายสีฟ้าอ่อนไม่มีลวดลาย หวีผมและติดกิ๊ฟมาพองาม ผมเองก็ใจสั่นเพราะความน่ารักของพลอยไปพักใหญ่พลอยเองก็เอียงคอมองผมด้วยความฉงน
“อะไรเหรอ”
“เปล่าหรอก…วันนี้แกสวยมากเลยล่ะ”
“แฮะๆ…”พลอยหัวเราะคิกคักทำเอาหัวใจของผมสั่นอีกรอบก่อนตอบกลับ “เอาน่าวันนี้นายเองก็แต่งตัวมาหล่อเหมือนกันนั่นล่ะ”พลอยพูดพลางมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าวันนี้ผมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินกางเกงขายาวสีกรมท่าและเสื้อกันหนาวสีดำตัวเก่าซึ่งทั้งหมดนั้นเคยเป็นของพี่ผมมาก่อนทั้งหมดตั้งแต่พี่ของผมตายไปผมก็ได้ของพวกนี้เป็นมรดก แถมวันนี้ผมก็ได้แอบขโมยน้ำหอมของแม่มาฉีดแล้วก็ขโมยเยลแต่งผมของพ่อมาแต่งผม ก่อนที่จะขับรถมอเตอร์ไซออกมาจากบ้านแต่ผมรู้สึกว่ามันไม่น่าจะได้ผลเท่าไหร่
“ขอบใจนะ”
“ว่าแต่ไปกันได้หรือยัง”
“อะ…เออเนาะไปกันเหอะ”แล้วผมก็ไปสตาร์ทรถมอเตอร์ไซด์รุ่นโซนิก125ของผมขึ้นแล้วพลอยก็ขึ้นมานั่งซ้อนท้าย…พูดตามความจริงเลยนะ ว่านอกจากแม่ของผมแล้วผมไม่เคยขับรถมอเตอร์ไซด์ให้ผู้หญิงคนไหนซ้อนท้ายมาก่อน พลอยจึงนับว่าเป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมให้ผู้หญิงคนอื่นซ้อนโดยที่ไม่ใช่แม่
“อ๊ะ!”ผมอุทานเบาๆเมื่อพลอยโอบกอดผมจากข้างหลังหัวใจของผมเต้นแรงจนแทบจะวายผมหันกลับไปข้างหลังเห็นพลอยยิ้มอย่างซื่อๆ
“ขอโทษนะ ฉันไม่เคยซ้อนมอเตอร์ไซใครมาก่อนน่ะถ้านายไม่ชอบฉันเปลี่ยนไปเกาะไหล่นายก็ได้”พลอยเปลี่ยนมาเกาะไหล่ผมอย่างกล้าๆกลัวๆผมยิ้มอย่างโล่งใจว่าที่จริงแล้วมันไม่มีอะไร
“ไม่ต้องห่วงเราไม่ขับซิ่งหรอก”
“อืม”
“ไปนะ”
“อืม”พูดจบผมก็ขับรถออกไปบนถนน
…ไปบนเส้นทางแห่งนิรันดร์ที่มีจุดสิ้นสุด…
เราสองคนไปถ่ายรูปวัด ตลาดนัดในอำเภอ วัดป่าแล้วก็ขับรถเลยไปเขื่อน (สมัยนั้นเรายังใช้กล้องฟีล์มอยู่) ซึ่งบางที่พลอยไม่เคยไปด้วยซ้ำอย่างเช่นเขื่อนนี้ พอเราได้รูปที่ต้องการแล้วพลอยก็บอกให้ผมหาที่ดีๆข้างสันเขื่อนแล้วก็พักเครื่องรถส่วนตัวเองก็ออกไปเดินเล่นพลางสูดอากาศบริสุทธิ์ในหน้าหนาวเสียเต็มปอด ผมก็ได้แต่ยิ้มแล้วก็มองพลอยอยู่ห่างๆ ซึ่งผมก็ชอบเธอที่เป็นคนร่าเริงอย่างนี้ล่ะ
“นี่ต้อง…พูดอะไรหน่อยสิ”
“เอ๋…จะให้พูดอะไรล่ะ”
“ก็…”พลอยหยิบหินที่พื้นขึ้นมาแล้วนั่งลงตรงโขดหิน “พูดอะไรก็ได้ที่นายอยากจะพูดกับฉันนั่นล่ะ…จะสารภาพรักก็ได้นะ”ผมสะดุ้งกับคำพูดของเธอจนแทบตกน้ำ “ฮะๆล้อเล่นน่านายนี่ตลกชะมัด”
“เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวก็ทิ้งให้หาทางกลับบ้านเองซะให้เข็ด”ผมพูดอย่างงอนๆพลอยก็หัวเราะคิกๆทำผมโกรธไม่ลง ผมเองก็นิ่งอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเดินไปนั่งลงข้างๆพลอย เราเงียบกันอยู่นานก่อนที่ผมจะพูดทำลายความเงียบขึ้นพลอยก็จ้องหน้าผมราวกับรอให้ผมพูด “อีกไม่กี่เดือนเราก็จะจบม.3แล้วนะ พลอยจะไปเรียนต่อไหนล่ะ”
“เราอยากจะไปเรียนต่อในเมืองนี่ล่ะ เรียนให้จบม.6แล้วก็ค่อยไปต่อคณะคุรุศาสตร์ล่ะ”
“อยากเป็นครูเหรอ”
“อืม…แล้วนายล่ะ”
“เราเหรอ...เราเองก็ไม่รู้หรอก...จะเกิดอะไรขึ้นในวันพรุ่งนี้เราก็ยังไม่รู้เลย”
“งั้นก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”พลอยเอ่ยขึ้น “ก็เราพึ่งอยู่ ม.3อยู่เลยนี่นา”พลอยพูดพลางโยนก้อนหินลงน้ำ ผมนั่งนึกไตร่ตรองดูสักพัก ผมเห็นภาพผมกับพลอยสวมชุดม.ปลายเรียนที่โรงเรียนในเมืองและยังคงมีความสุขอย่างเดิม ในนาทีนั้นผมก็พลันนึกบางอย่างขึ้นได้ ถ้าหากเราต้องจากกันล่ะ แค่ลองจินตภาพว่าเราสองคนต้องจากกันผมก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันใด ผมจ้องหน้าพลอยเพื่อเป็นหลักฐานว่าเธอยังคงอยู่ข้างผมยังไม่ได้จากไปใหนพลอยก็มองผมเช่นกัน
“นี่ต้อง…ถ้าเราได้เรียนด้วยกันอีกก็คงดีสินะ”ดูท่าพลอยเองก็คงกำลังคิดแบบเดียวกับผม เราสองคนหันหน้ามาสบตากันตรงๆแววตาของพลอยที่ผมเห็นเหมือนกับในวันที่ผมเจอกับเธอหลังจากที่พี่ไก่เดินจากเธอมา ผมไม่เคยลืมนัยน์ตาที่ดูเศร้าหมองในวันนั้นเลยผมไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไรแต่วันนี้ผมได้รู้แล้วว่ามันคืออะไร
…ความกลัวการจากลา…
“ไม่ต้องห่วงหรอก”ผมทนความหนักอึ้งนั้นไม่ไหวจึงหลบสายตาพลอย “เราจะสอบเข้าไปเรียนในเมืองด้วย ต้องได้เรียนด้วยกันอีกอยู่แล้ว…เชื่อสิเราสัญญา”
“จริงนะ…”
“อืม”ผมยืนยันแล้วยิ้มให้พลอย พลอยก็ได้หันกลับมาแล้วยิ้มตอบในนาทีนั้นผมได้สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าผมจะขออยู่ข้างๆพลอยตลอดไปแม้ว่าผมคนนี้จะเป็นแค่คนไม่ค่อยเอาไหนก็ตามแต่ แต่ว่าผมก็จะไม่ปล่อยให้พลอยนั้นต้องเดินอยู่อย่างเดียวดายอย่างที่ผมเคยได้สัมผัสความเหงามันน่ากลัวเกินกว่าจะรับมือด้วยตัวคนเดียวได้ถ้าหากไม่มีใครบางคนคอยฉุดดึงไว้ เราอาจไม่มีวันที่สวยงามเช่นนี้ได้เลย
“อ๊ะ…”พลอยสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อผมเอื้อมมือไปถอดแว่นพลอยออกเธอดูตกใจเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะยิ้มให้เธอ ท่ามกลางบรรยากาศในฤดูหนาวและหัวใจที่เต้นรัว
“เราเคยบอกหรือเปล่าว่าเราไม่ชอบเวลาเธอใส่แว่นเลยนะ”เราสองคนสบตากันในระยะใกล้ที่เราสองคนไม่เคยใกล้กันขนาดนี้มาก่อน “ก็เราไม่ชอบเวลามองตาเธอผ่านแว่นใสๆนี่เลย”
“นาย…”พลอยมองหน้าผม ผมก็สบตาเธออยู่เป็นเวลานานเราสองคนใกล้กันจนแทบได้ยินเสียงหัวใจของอีกผ่ายเต้น ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนพลอยได้หลบสายตาผมแล้วถอยออกห่างผมไป สติที่กระจายไปของผมเริ่มกลับมารวมกันอีกครั้งเราทั้งคู่เงียบกันอยู่นานก่อนที่พลอยจะยื่นมือมาทางผม
“ขอแว่นเราคืนเถอะ”ผมยื่นคืนเธอไปอย่างว่าง่าย “ฉันว่าเรากลับได้แล้วล่ะเดี๋ยวก็เที่ยงแล้วนายต้องรีบกลับไม่ใช่เหรอ”
“พลอย…”
“หือ…”
“เรา…ขอโทษนะ”
ในใจของผมตอนนี้ได้รู้สึกผิดอย่างรุนแรง เหมือนได้ทำสิ่งที่ร้ายแรงลงไปผมกลัวว่าพลอยจะโกรธผม ผมรู้ว่าได้ทำสิ่งที่ไม่ควรลงไปถ้าพลอยจะโกรธผมก็ไม่แปลก ผมรู้สึกว่าผมได้พังทลายอะไรบางอย่างลง ผมมองขึ้นไปบนฟ้าเพื่อกลบเกลื่อนความคิด ผมได้ยินเสียงพลอยถอนหายใจแล้วก็พูดขึ้น
“ขอโทษเรื่องอะไรล่ะ…นายไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกนายไม่ได้ผิดอะไรซักหน่อย ไปกันเถอะ”พลอยเองก็รีบลุกขึ้นผมก็ได้ขอไปส่งเธอที่บ้าน พลอยก็พยักหน้าแล้วผมก็ขับรถออกไประหว่างทางเราไม่ได้คุยกันสักคำ ผมได้ขับรถไปส่งพลอยที่บ้านเช่าของเธอที่อยู่นอกตัวอำเภอออกมาเล็กน้อย ก่อนกลับพลอยก็ได้ยิ้มและโบกมือให้ผมก่อนที่ผมจะขับรถกลับบ้านไปผมรู้สึกเหมือนทุกอย่างขาวโพลนไปหมดในนาทีนั้นผมได้รู้สึก
…ว่าผมได้ทำสิ่งที่ไม่สมควรลงไปแล้วสินะ…
ในคืนนั้นหลังจากที่พิมพ์รายงานสำรวจเสร็จ ผมก็ออกมานอนอฐิฐานต่อดวงดาวอีกครั้งว่าอย่าให้เธอจากผมไปเลย ผมรู้ตัวว่าผมไม่ใช่คนดีสักเท่าไร ไม่ใช่คนเรียนเก่งมากมาย ตั่งแต่ที่เจอกันครั้งแรกผมก็ตั้งพลอยเป็นเป้าหมายที่ผมจะต้องก้าวข้ามไปให้ได้มาตลอด ผมรู้ดีว่าถ้าหากผมไม่เข้มแข็งและดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ล่ะก็ผมก็ไม่มีสิทธิ์สบตาพลอยและขอให้เธอมีใจให้ ขอได้ใหมครับดวงดาวทุกดวงขอให้ผมได้อยู่ข้างๆเธอจนกว่าจะถึงวันนั้นได้ใหมครับ
…สายลมหนาวพัดมาอีกครา…
…ผมจ้องมองไปยังดวงจันทร์อีกครั้ง…
…เธอจะจ้องมองเหมือนผมหรือเปล่า…
ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ผมได้ไปขนหนังสือเตรียมสอบที่ห้องสมุดของแม่ผมมาลองอ่านลองทำข้อสอบดู วิทยุก็ไม่ฟัง โทรทัศน์ก็ไม่ดู จากนั้นก็ทำงานและอ่านหนังสืออย่างหนัก รวมไปถึงขอให้พ่อช่วยติววิชาภาษาไทยให้ด้วย แล้วก็หาเวลาไปสนทนาธรรมกับพลอยบ่อยๆ กลายเป็นเด็กเรียนไปซะได้ พลอยก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมอยู่ดีๆผมก็หันมาขยันขึ้นผิดหูผิดตา ผมก็ตอบไปว่าผมจะสอบตามพลอยไปเข้าโรงเรียนในเมืองให้ได้ก็ต้องขยันขึ้นอีกเป็นเท่าตัว พลอยก็ทำหน้าตกใจกับคำตอบของผมครู่นึงแล้วก็พูดว่า “ตามมาให้ทันล่ะ”พร้อมกับยิ้มให้ผม ผมเองก็ยิ้มตอบแค่นี้ผมก็พอใจแล้ว
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วแทบไม่รู้สึกเลยทั้งวันปีใหม่ วันวาเลนไทน์ จวบจนวันสอบปลายภาคและจบลงด้วยวันงานเลี้ยงอำลากันที่บ้านของอาจารย์เป็นวันสุดท้ายที่เพื่อนๆม.3/7จะได้เห็นหน้ากันครบทุกคนเป็นวันสุดท้าย ซึ่งตลอดสามปีที่เราเจอกันมาก็ได้มีหลายคนในห้องได้จากไปและมีหลายคนเข้ามาเป็นเพื่อนใหม่ สามปีที่เราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาได้ผูกสายสัมพันธ์เชื่อมพวกเราไว้อย่างหนาแน่นเนิ่นนานตลอดไป ซึ่งงานนั้นผมได้ไปช่วยเพื่อนๆจัดงานกันตั้งแต่ช่วงบ่าย เสร็จตอนห้าโมงกว่าๆ เพื่อนๆก็มาครบทุกคน แล้วของกินก็มาวางอยู่ตรงหน้าผมก็แทบจะกินอย่างเดียวไม่ได้สนใจใครอื่นเลย ปล่อยให้เพื่อนๆร้องคาราโอเกะไป
“นี่ต้อง…”พลอยที่นั่งอยู่ข้างกับผมก็หันมาสะกิดหลังจากที่ผมยัดส้มโอเข้าปากไปได้สามลูกแล้วผมก็หันไปหาเธอวันนี้พลอยสวมเสื้อสีฟ้าและกระโปรงคลุมเข่าสีขาวซึ่งเป็นสีโปรดของเธอมางาน ซึ่งผมก็เคยถามเธอว่าไม่อยากลองใส่สั้นๆดูบ้างรึไงพลอยก็ตอบว่าไม่ไหวหรอกอันตรายออกเดี๋ยวนี้ผู้ชายยิ่งไว้ใจไม่ได้ด้วย นี่ก็ถือว่าเป็นเสน่ห์อีกอย่างของเธอ
“มากับเราหน่อยสิ”
“มีอะไรเหรอ”
“อาจารย์ให้ไปช่วยเก็บของในครัวน่ะ…มาช่วยหน่อยสิ”ว่าแล้วพลอยกับผมก็ลุกออกจากที่นั่งไปยังหลังบ้านของอาจารย์ ทองกับทิวก็ช่วยกันล้างจานอยู่ผมกับพลอยก็ช่วยกันเก็บกวาดของในครัวทั้งหม้อ กระทะ จานชามเต็มไปหมดพี่ต๊อกซึ่งเป็นลูกชายของอาจารย์ก็มาช่วยอีกแรงจึงเสร็จค่อนข้างไวพอเก็บของเสร็จก็ไปช่วยพวกทองกับทิวล้างจานต่อ
“เฮ้ยต้องเอ็งจำได้ไหมวะ…ตอนเข้าค่ายลูกเสือน่ะโคตรฮาเลยว่ะเอ็งจำได้มั้ยไอ้ทิวน่ะแต่งเป็นกระเทยไปได้ยังไงวะโคตรเหมือนเลย”ทองกับพวกผมกำลังคุยเรื่องความหลังกันค่อนข้างออกรสไอ้ทิวก็พูดเชิงกระซิบว่า ‘เอ็งอย่าพูดดังได้มั้ย’พลางก้มหน้างุด ผมกับพลอยก็หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง
“เออ…จำได้ตอนนั้นเอ็งยืมเงินข้าไป50ยังไม่คืนนะ”
“เออน่าจะได้ไม่ลืมกันไง…เออใช่ตอนกีฬาสีน่ะจำได้มั้ยพลอยตอนแข่งบอลน่ะข้ายิงคนเดียวสามลูกเลยนะเห็นรึยังว่าใครโปร”
“เอาเถอะ…”ทิวที่เงียบอยู่นานก็เอ่ยปากพูด “ว่าแต่พวกแกสามคนจะกลับยังล่ะฉันเอารถมาใครจะกลับด้วยก็ได้นะ”
“ข้าเอามอเตอร์ไซมาก็กลับเองได้อยู่”ทองพูดเสร็จแล้วก็ชูมือขึ้น “ล้างเสร็จแล้วโว้ย…ข้าไปร้องเพลงก่อนล่ะ ป๊ะ!ต้อง ไปกันเหอะ”
“อืม…”ผมมองทอง ทิว แล้วก็พลอยเดินนำหน้าไปก่อนแล้วก็ยกชามที่เหลือวางไว้บนชั้นตากจาน ผมเหลือบไปเห็นตัวหนังสือที่ไอ้ทิวเขียนด้วยฟองน้ำยาล้างจานบนพื้นว่า ‘เพื่อนกันตลอดไป’ก็อมยิ้มแล้วจึงค่อยเดินตามทั้งสามไป
พอเลิกงานทุกคนก็แยกย้ายกลับบ้าน ผมก็กำลังพยายามสตาร์ทรถมอเตอร์ไซด์ฮ่างของผมเตรียมตัวกลับบ้านแต่ว่าในกระเป๋าถือของผมนั้นก็มีน้ำครีมโซดาที่แอบยัดเข้ากระเป๋าจากในงานมาด้วย เอ่อ…ผมไม่ได้ทำผิดนะผมก็ออกตังค์เยอะเหมือนกัน จะว่าไปแล้วผมนี่ก็ทำเรื่องแอบเลวอย่างขโมยน้ำแฟนต้าได้เหมือนกันแฮะ
“นี่ต้อง”พลอยเดินมาสะกิดหลังผม “เรากลับด้วยดิ”
“หือ…แล้วตอนมามายังไงล่ะ”
“ก็มารถสองแถวน่ะสิ ตอนนี้มันอีก30นาทีก็4ทุ่มแล้วรถที่ไหนมันวิ่งล่ะ”
“อ้าว…แล้วไม่กลัวเราปล้ำแกกลางทางรึไง เหอ…เหอ…”
“ไอ้บ้า…ไอ้โรคจิต!”พลอยเอากระเป๋าถือของตัวเองตีหัวผมครั้งนึงแล้วทำแก้มป่องใส่ ผมพูดตามความจริงผมชอบเวลาที่เธอทำแก้มป่องใส่ผมนี่ล่ะ
“เอาน่า…ล้อเล่น กลับกับเราก็ได้ขึ้นมาดิ”ผมมองพลอยแล้วก็ถอดเสื้อกันหนาวออกแล้วยื่นให้พลอย “ใส่ซะขับรถตอนกลางคืนมันหนาวนะ”
“อ้าว…แล้วแกล่ะกล้อง”
“เราเป็นผู้ชาย จะปล่อยให้แกหนาวได้ไงล่ะเราน่ะไม่เป็นไรหรอก”
“อืม…งั้น ขอบใจนะ”พลอยหยิบเสื้อกันหนาวของผมไปคลุมร่างแล้วเราทั้งคู่ก็ยิ้มให้กันก่อนที่ผมจะสตาร์ทรถแล้วพลอยก็ขึ้นมานั่งซ้อนท้ายเธอโอบกอดผมจากทางด้านหลังทำหัวใจผมเต้นไม่ถูกจังหวะด้วยความไหวหวั่น ผมกำลังจะพูดเตือนเธอทว่าพลอยกลับพูดขึ้นก่อน
“อย่าห้ามเราเลยเราขอแค่ครั้งเดียว ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายนี้ก็พอ”ผมนิ่งชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างยากลำบากพลอยก็ยิ่งกอดแน่นขึ้นผมก็กุมมือเธอไว้อย่างยากลำบากพลางสำผัสได้ถึงไออุ่นจางๆ
“ฉันจะไม่ลืมนาย…จะไม่ลืมนายเลย” ผมไม่เข้าใจที่เธอพูดและที่เธอทำ ผมได้กลิ่นความเศร้ามาจากที่ไหนสักแห่งแต่ว่าในตอนนี้คงไม่เหมาะที่จะถามอะไรผมจึงตัดใจเสีย
“ไปล่ะนะ”ผมบอกเธอ พลอยพยักหน้าทั้งๆที่ยังซบอยู่ที่หลังของผมจากนั้นผมก็ได้สตาร์ทรถแล้วขับออกไปในถนนยามราตรี
…ไปบนเส้นทางแห่งนิรันดร์ที่มีจุดสิ้นสุด…
…เพราะว่ามันเป็นวันสุดท้ายที่เราได้พูดคุยด้วยกัน…
ในคืนหนึ่งผมกำลังนั่งมองบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบของโรงเรียนประจำจังหวัดซึ่งกำหนดวันสอบคือวันพรุ่งนี้ที่จะถึงนี่เอง ผมคิดในใจว่าแค่ผ่านวันพรุ่งนี้ไปได้ผมกับพลอยก็จะได้เรียนด้วยกันอยู่ที่โรงเรียนเดียวกันแล้ว หลังจากนั้นเส้นทางแห่งนิรันดร์ที่ผมวาดฝันไว้ก็จะดำเนินต่อไป ผมมองไปรอบห้องนอนที่เต็มไปด้วยหนังสือและใบสรุปความรู้ที่ผมเขียนขึ้นเอง ผมมองไปบนท้องฟ้าผ่านทางหน้าต่างห้องนอนอย่างมั่นใจ อยากจะหมุนเวลาให้มันมาถึงเร็วๆ
…ผมจ้องมองไปยังดวงจันทร์อีกครั้ง…
…เธอจะยังคงจ้องมองเหมือนผมหรือเปล่า…
ในวันรุ่งขึ้นผมได้อาบน้ำแต่งตัวแล้วออกเดินทางไปยังโรงเรียนประจำจังหวัดที่ตั้งอยู่ในเมือง ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นผมรู้สึกเหมือนภาพเมื่อสามปีก่อนออกมาโลดแล่นอย่างมีชีวิตอีกครั้งราวกับว่าพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวาน ในวันที่ผมได้พบกับพลอยวันแรกผมก็เคยได้กลิ่นแบบนี้ ในตอนนั้นผมยังคงเป็นไอ้เด็กที่สมองทึ่มลอกข้อสอบเธออยู่เลย ผมบอกกับตัวเองว่าการที่ผมพยายามมาตลอดก็เพื่อวันนี้ไม่ใช่เหรอ ในนาทีสุดท้ายที่ต้องเดินเข้าห้องสอบผมกลับไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือเครียดสักนิดแม้ผมจะรู้ว่าเปอร์เซ็นของผู้ที่จะสอบเข้าได้นั้นมีถึง1ใน50ก็ตามแต่ ผมกำปากกาในมืออย่างมั่นใจ ผมจะทำให้ทุกคนโดยเฉพาะพลอยได้เห็น
…ว่าคนๆนี้จะก้าวข้ามคำว่า ‘ไม่มีทางเป็นไปได้’ให้ดู…
ช่วงเวลาผ่านไปไวเหลือเกินราวกับโลกกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่างอยู่ แต่ว่าผมนั้นกำลังยืนอยู่กับที่เผ้ารอผลสอบที่กำลังออกมา และแล้วก็ถึงวันประกาศผลครอบครัวของผมก็อพยพไปที่ห้องสมุดแม่ของผมเนื่องจากที่นั่นมีคอมพิวเตอร์ติดตั้งอินเตอร์เน็ต ทั้งพ่อกับแม่ผมก็หน้าเครียดไปตามๆกันผมก็ยังสงสัยอยู่ว่าจะตีหน้าเครียดไปทำไม สอบได้ก็คือได้ สอบไม่ได้ก็คือไม่ได้จะไปคิดอะไรมากมาย…ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่ในใจผมมันกำลังเต้นตูมตาม
“เย้!!!”
ผมลุกขึ้นอย่างลืมตัวเมื่อเห็นรายชื่อของผมติด 1 ใน40คนที่สามารถสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดสาขานักเรียนทั่วไปได้ได้สำเร็จ ผมแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง แม่ของผมก็ดีใจกระโดดโลดเต้นแทบไม่เกรงใจสังขาร พ่อของผมก็ยิ้มแล้วก็ลูบหัวผม เหมือนที่พ่อเคยทำกับพี่ไม่มีผิดเวลาที่พี่ของผมคว้าคะแนนท็อปมาได้ ผมเองก็ฝันอยากจะให้พ่อทำแบบนี้กับผมบ้าง ทันใดนั้นผมก็นึกถึงพลอยขึ้นมาได้แล้วสายตาก็รีบกวาดหาชื่อของนางสาวพลอยไพลิน อย่างรวดเร็ว...แต่ว่ามันกลับ...
…ไม่มี…
…ไม่มี…
…ไม่มี…
…อะ…อะไรกัน…
ในวินาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนหัวใจกระตุกวูบตามด้วยความรู้สึกหูอื้อตาลาย ไม่จริงน่าไม่มีชื่อของพลอยงั้นรึ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีชื่อของพลอย ถึงผมจะเป็นคนที่อยู่กับความจริงก็เถอะแต่ความจริงนี้ผมไม่ยอมรับ ให้ตายยังไงผมก็ไม่ยอมรับ ไหนสัญญากันไว้แล้วไง ทำไมมันเป็นแบบนี้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น
“แม่ครับผมยืมรถหน่อยเดี๋ยวตอนเย็นกลับ”ผมรีบคว้ากุญแจรถมอเตอร์ไซแล้วพุ่งออกไปโดยไม่ฟังคำตอบ ผมจะไปหาพลอย จะไปคุยกันรู้เรื่อง มีคำถามมากมายอยู่ในหัวผมคำถามพวกนั้นผลักดันให้ผมออกไปหาคำตอบ
…มันสั่งให้ผมออกไปหาเธอ…
“ครืดดดด!!!...โครมมม!!!...”
"กรอด..."ผมกำเบรกกะทันหันจนรถเสียหลักล้มลงหน้าบ้านพักของพลอยแต่ผมไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิดถ้าเทียบกับในใจของผมตอนนี้แล้วมันเจ็บยิ่งกว่า ผมค่อยๆทรงตัวรถขึ้นมาแล้วมองไปยังบ้านพักของพลอยกลับพบเพียงความว่างเปล่า ความเงียบสงัดราวกับไม่มีใครอยู่ที่นี่อีกแล้ว ผมหลอกตัวเองว่าพลอยกับพ่อของเธออาจจะออกข้างนอกก็ได้ จากนั้นก็รอจนกระทั่งเส้นสีส้มเส้นสุดท้ายใกล้จะลับขอบฟ้าไปก็ไม่มีวี่แววใครจะกลับมา ผมเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาจับใจจึงตัดสินใจจูงรถไปที่บ้านที่อยู่ตรงข้ามบ้านของพลอยเผอิญพบป้าคนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าบ้านพอดีผมจึงเดินเข้าไปหารู้สึกเจ็บอย่างรุนแรงที่ขาด้านขวาผมก็ไม่สนใจ ผมได้ยกมือไหว้แล้วเอ่ยปากถาม
“ขอโทษครับป้า…คนที่อยู่ตรงข้ามบ้านป้าเขาไปใหนเหรอครับ”ผมแทบควบคุมเสียงไม่อยู่ผมได้พยายามไม่ให้สั่นอย่างที่สุดแล้วขอเถอะอย่าให้คำตอบออกมาเป็นอย่างที่ใจผมกลัวเลย
“อ้อ…เขากลับไปเชียงใหม่ตั้งแต่หลายสัปดาห์ก่อนแล้ว…มาช้าแล้วล่ะหนู”
…อะ…
…อะไรกัน…
ผมขับรถกลับบ้านอย่างเหน็บหนาวที่สุด ทุกอย่างขาวโพลนไปหมดรู้สึกเจ็บอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในคืนนั้นผมซบหน้าลงกับกองหนังสืออย่างปวดร้าวเป็นครั้งแรกที่ผมอยากร้องไห้ สายฝนตกลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว วันนี้ดวงดาวและพระจันทร์ต่างหายไปจนหมด ผมนั้นยังอยากคุยกับเธอ อยากเล่นกับเธอ อยากกินข้าวด้วยกันอีก ผมยังมีอีกหลายอย่างที่อยากทำร่วมกับเธอ ไหนล่ะที่สัญญา ไหนล่ะที่ผมเคยอฐิฐาน ผมทำสำเร็จแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมฟ้าทำกับผมแบบนี้
“เฮ้ย…นายเป็นอะไรของนายอีกเนี่ย วันนี้ดูซึมๆอีกแล้วนะ”
“เฮ้ย!!!…นายทำได้เพื่อนนายทำด้ายยยย!!!”
“โอ๊ย!!!...ไม่รู้จะสอนยังไงแล้วทำไมนายหัวช้าจังเนี่ย ก็บอกแล้วไงหน้ากำลังสองบวกสองหน้าหลังบวกหลังกำลังสอง สูตรน่ะจำง่ายๆเองนะไหนลองท่องใหม่ซิ”
“ประสาท…เลิกทำตาหวานได้แล้ว ถ้าแกไม่เลิกฉันโกรธจริงด้วย”
“อย่าห้ามเราเลยเราขอแค่ครั้งเดียว ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายนี้ก็พอ”
“ฉันจะไม่ลืมนาย…จะไม่ลืมนายเลย”
…พลอย…เธอจะไม่ลืมเราจริงๆหรือเปล่า…
…ถ้าหากเราเจอกันอีกครั้งเราจะจำกันได้ไหม…
…เส้นทางนิรันดร์ของผมสิ้นสุดลงแล้วสินะ…
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผมรู้ว่าทุกอย่างย่อมมีจุดสิ้นสุด ในวันนี้ผมก็เดินตามทางของผม พลอยก็เดินตามทางของเธอ มีบางวันที่ผมฝันเห็นผมกับเธอนั่งรถมอเตอร์ไซด้วยกันอย่างที่เคย เรายิ้มให้กันอย่างเช่นวันก่อน เราเรียนด้วยกันอย่างเช่นวันเก่าๆที่ผ่านมา ในฝันนั้นผมมีความสุขมาก ผมเคยถามพลอยในฝันว่า “เราจะอยู่ข้างกันไปตลอดหรือเปล่า”พลอยก็พยักหน้าและยิ้มให้ผม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมในตอนนี้นั้นไม่มีเธออีกแล้ว เส้นทางที่ผมเคยฝันไว้ได้สิ้นสุดลงแล้วแทบไม่เห็นทางที่มันจะกลับมาเป็นอย่างเดิม แต่เส้นทางแห่งนิรันดร์ที่ผมมีให้พลอยนั้นกลับยังคงดำเนินต่อไป ผมเคยเข้าใจผิดใครหลายๆคนว่าเป็นพลอย ผมได้แต่พูดคำว่า “ขอโทษครับทักผิดคน”มาตลอดใครจะรู้ว่ามันหนาวแค่ไหน จนถึงวันนี้ทุกครั้งที่ผมยิ้มหรือหัวเราะก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองนั้นมีความสุขจริงหรือเปล่า ผมก็ได้แต่หวังว่าในวันหนึ่งที่ผมได้เจอกับพลอยอีกครั้ง จะก็อาจจะมีอาชีพเป็นครูดั่งฝันและอาจจะมีคนรักไปแล้วก็ได้ แล้วเขาจะรู้ไหมนะว่าพลอยนั้นชอบไอศกรีม เวลางอนเธอก็ชอบให้ง้อ และเธอชอบให้ร้องเพลงลูกทุ่งให้ฟัง เขาคนนั้นจะดูแลเธอดีหรือไม่นั้นผมไม่รู้ ผมรู้แค่ว่าในชีวิตนี้ผมเคยได้ “รัก” เพื่อนคนนี้และผมนั้นไม่เคยต้องการให้คนที่ผมรักนั้นรักผมตอบ ผมขอแค่ได้เป็นคนหนึ่งซึ่งทำให้คนที่ผมรักนั้นมีความสุข เพียงแค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว…
…ถามดาวไม่ตอบฉัน ถามจันทร์เมินหน้าหนี
อยู่ไหนนะคนดี คนทางนี้คิดถึงจัง…
…ผมกำลังจ้องมองไปยังดวงจันทร์อีกครั้ง…
…เธอจะยังคงจ้องมองเหมือนผมหรือเปล่า…
ผลงานอื่นๆ ของ Solar Sunshine ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Solar Sunshine
ความคิดเห็น