คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : NAUGHTY&EVIL # 10
NAUGHTY&EVIL#10
ผมส่งชูครีมคำสุดท้ายเข้าปาก หลังจากนั่งละเลียดขนมทั้งถุงมาตลอดทางตั้งแต่ออกจากบริเวณหน้าโรงเรียน แอร์เย็นๆกับขนมอร่อยๆเป็นอะไรที่ชวนเคลิ้มจริงๆนะ ยิ่งรวมกันกลิ่นน้ำหอมยี่ห้อดังจากคนที่นั่งข้างๆแล้วด้วย ...อ่า พูดแล้วก็เขิน แต่น้ำหอมที่พี่ยงกุกใช้มันดูพิเศษจริงๆ ขนาดผมแอบฉีดบ้าง เหมือนยังไม่หอมขนาดนั้นเลย
เหยดดดดดดด ! ผมคิดอะไรของผมอยู่เนี่ย !!
“นี่ พี่ยงกุก ผมมีเรื่องจะถาม” เริ่มเปิดประโยคสนทนาอีกครั้ง พยายามหาเรื่องคุยไปงั้นแหละ จิตใจมันจะได้หายกระสับกระส่ายแบบนี้สักที
“อะไร”
“แต่ผมว่าพี่ไม่สนใจหรอก”
“ก็เล่ามาสิ”
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายอยากรู้อย่างแรง ถึงแม้จะยังพยายามคุมโทนเสียงให้น่าเกรงขามก็ตาม จริงๆผมก็ไม่ได้หวังว่าจะได้คำแนะนำหรอกถ้าเล่าอะไรไป เพราะดูจากท่าทางแล้วคนอย่างพี่ยงกุกไม่น่าจะเคยมีประสบการณ์รักในวัยเรียนมาก่อนแหงๆ =_=;
“สมมุติชื่อ AกับB ละกัน ...คือAเป็นรุ่นพี่ที่เหมือนจะสนใจBอยู่อ่ะ ชอบมาวุ่นวายกับBตลอด แต่Bก็เป็นเพื่อนรักกับC ..Bก็แม่งโง่ คิดไปได้ว่าตอนนี้ไอ้พี่AคงกำลังจะตามจีบCอยู่ ก็เลยพยายามทำให้AกับC งุ้งงิ้งๆกันอยู่บ่อยๆ ไอ้Cที่คิดมาตลอดว่ายังไงๆไอ้พี่Aก็ต้องชอบBแน่ๆ แต่มาวันนึง ไอ้พี่Aกลับทำท่าเหมือนจะจีบCแบบจริงจังอ่ะ ...ถ้าพี่เป็นCพี่จะทำยังไงหรอ”
พี่ยงกุกฟังไปพยักหน้าไป ทำอย่างกับว่าตัวเองเข้าใจอย่างงั้นแหละ เขาทิ้งช่วงไปสักพักก่อนจะตอบกลับมา
“ก็ให้ไอ้พี่Aอะไรนั่นจีบๆไปเถอะ เด็กปากเสียน่ารำคาญอย่างC มีคนหน้ามืดมาตามจีบก็เป็นบุญเท่าไหร่แล้ว”
“พี่พูดเหมือนรู้จักCอ่ะ”
“มันแกไม่ใช่รึไง เหอะ เด็กอย่างแกไม่มามีทางเอาเรื่องคนอื่นมาปรึกษาฉันหรอก น่าจะเป็นพวกเอาตัวรอดเองซะมากกว่า”
อะหื้ออ สันนิษฐานเป๊ะอย่างกับโคนันเลยนะ ฉลาดจริงๆ ฉลาดทุกเรื่องเบยยยย T__T ไอ้พี่ยงกุกหันมายกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์เป็นที่สุด ดูท่าทางจะสะใจมากที่ตอกหน้าผมได้ขนาดนั้น
“แล้วถ้าผมทำอย่างที่พี่บอกจริงๆอ่ะ”
“ก็เรื่องของแกสิ ทำไม หรืออยากให้ฉันตอบว่า ฉันชอบแก ฉันไม่มีทางยกแกให้ใครหรอก ...แบบนี้หรอ?”
ฉันชอบแก ฉันไม่มีทางยกแกให้ใครหรอก
ผมรู้ว่าพี่เค้าแค่พูดเล่นๆ เป็นคำประชดประชันที่ผมน่าจะคุ้นเคยได้แล้ว แต่ถ้าคุณลองมาเป็นผม มันก็ต้องใจเต้นตึกตักบ้างเป็นธรรมดาล่ะน่ะ ! โฮร้ยย วันนี้พี่ยงกุกเป็นอะไรของเค้าวะ มารมณ์ไหนเนี่ย ฮรึก บ้าจริง TT////TT
“...สบายใจได้ ฉันไม่มีทางคิดแบบนั้นหรอก”
เขากลับมาใช้เสียงต่ำๆกับโทนนิ่งๆอีกครั้ง บรรยากาศที่อยู่ๆก็ทำให้น้ำลายในคอผมเหนียวหนืดจนแทบกลืนไม่ลง พากันจุกอยู่ที่คอจนไม่อยากจะพูดอะไรต่อ ผมแอนหัวไปพิงกับกระจกรถก่อนจะหลับตาลงเบาๆ
สบายใจได้งั้นหรอ... ?
ถ้าผมรู้สึกสบายใจอย่างที่พี่เค้าพูดได้ก็ดีสิ
*****
19:45 PM
ดึกแล้ว แต่จุดหมายปลายทองของรถแอสตันมาร์ตินสีดำสนิทกลับไม่ใช่คอนโดที่ตนเองอยู่ ไฟหน้าค่อยๆดับลงเมื่อรถแล่นมาจอดในตัวอาคาร ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลหันไปมองหน้าเด็กที่ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่องตั้งแต่ชั่วโมงก่อน ใบหน้าที่ดูยังไงก็เป็นเด็กใสซื่อนั่นทำเขาแทบไม่อยากเชื่อว่าเวลาพูดอะไรออกมาจะกวนประสาทใครต่อใครได้ขนานนั้น
“เห้ย ตื่น” มือหนาเอื้อมไปแตะที่ร่างนั้นเบาๆ ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่เขาต้องมาปลุกไอ้เด็กนี่ให้ตื่นจากการหลับใหล
“อืม...เลว”
ใบหน้าบูดบึงขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อคำๆนั้นหลุดออกมาจากเรียวปากสีชมพู ร่างหนาขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่จำเป็น เพราะยังไงไอ้เด็กนี่ก็หลับอยู่ มันไม่รู้หรอกว่าตัวเองพูดอะไรออกมา แต่ถึงกระนั้นก็ยังกระชากคอเสื้อขึ้นมาถามอยู่ดี
“แกว่าใครวะ”
“งืมม ...จงออบ มึงจะเลวไปแล้วน้า~”
“เออ แล้วไป” ดูเหมือนอาการโกรธจนเลือดขึ้นหน้าจะหายไปทันทีที่ได้รับคำเฉลยว่าที่โดนด่าอยู่นั้นไม่ใช่ตัวเอง ยงกุกส่งเสียงฮึดฮัดแล้วหันไปเปิดประตู เขาเดินออกมาก่อนจะเดินอ้อมมายังประตูอีกฝั่งที่หลานตัวเองนั่งอยู่
“แกจะไม่ตื่นใช่มั๊ยจุนฮง !”
“อืม... ~”
มีแต่การส่งเสียงอือออในลำคอกลับมาเท่านั้น ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนตัดสินใจดึงร่างบางออกมาจากรถ ก่อนจะยกขึ้นจับให้อยู่ในท่าขี่คอตัวเอง โดยท่อนแขนของเด็กมัธยมคนนี้ก็กระชับเข้ากับคอนั้นอย่างรู้งาน ใบหน้าเนียนใสซุกลงกับไหล่แข็งแกร่งนั้นอย่างเต็มอกเต็มใจ
นานแค่ไหนที่แผ่นหลังกว้างๆนี้ไม่มีใครมาซบ ผิวกายนุ่มนิ่มและกลิ่นโรสแมรี่อ่อนๆทำเอาจังหวะหัวใจแทบแปรปรวน ยิ่งเมื่อรวมกับเสียงผมหายใจแผ่วเบาที่คลอเคลียอยู่ข้างหู ยงกุกตัดสินใจรีบเร่งผีเท้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้สถานการณ์อันตรายนี้ผ่านไปโดยเร็ว ปากก็บ่นนู่นไปนี่ไปเรื่อยเพื่อสงบจิตสงบใจตัวเอง
“ทำไมฉันต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ”
“บอส ! บอสมา! บอสมาแล้วๆๆ”
เสียงเอะอะดังขึ้นพร้อมกับเจ้าหน้าที่ชายหญิงหลายคนที่พร้อมใจกับลุกไปทำงานอย่างพร้อมเพรียงทันทีที่ร่างโปร่งเดินกลับเข้ามาในแผนก สายตาดุๆส่งให้ทุกคนที่ก่อนหน้านี่นั่งเอื่อยเฉื่อย แต่ความน่ากลัวเหล่านั้นกลับแทบทำอะไรใครไม่ได้เมื่อเสียงแซวดังแว่วมาไม่ได้หยุดหย่อน
“บอสกลับมาแล้ว ว๊ายๆๆ ออฟเด็กที่ไหนมาด้วยนั่น”
“โหยๆ บอสไปเอาเด็กที่ไหนมาละเนี่ย น่ารักซะด้วย”
“หุบปากแล้วก้มหน้าลงทำงานกันสักที ถ้าคืนนี้เรื่องที่ให้ทำไม่คืบหน้าฉันเล่นพวกแกเรียงตัวแน่” ว่าเสียงน่าเกรงขามพร้อมส่งสายตามาคุใส่จนหลายคนเริ่มรู้สึกถึงชะตาตัวเองที่อาจจะขาดสะบั่นลงมันวันนี้ถ้าไม่รีบทำตามที่หัวหน้าสั่ง
ท่อนขายาวกระแทกเท้าหนักๆมายังโต๊ะทำงานสุดทางเดินที่ดูจะใหญ่และรกกว่าชาวบ้านเป็นสามเท่า มันเต็มไปด้วยกระดาษ แฟ้มเอกสาร รูปถ่ายต่างๆ พร้อมกับชิ้นสิ่งของส่วน ข้างกันคือโต๊ะของเพื่อนร่วมงานคนสนิทที่ไม่รู้ตอนนี้หายหัวไปไหนซะแล้ว
“ฮิมชานล่ะ?”
“ซื้อกาแฟ” เจ้าหน้าที่สาวอีกคนที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่ไกลเท่าไรนักตอบกลับมา
“แล้วบนหลังนายนั่นมันอะไรล่ะนะ”
คนถูกถามไม่ได้ตอบอะไร ตอนนี้ทำแค่มองซ้ายมองขวาหาที่เหมาะๆเพื่อจะวางไอ้เด็กตัวโตแบกมาด้วยนี้ลง แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนใจทันทีเมื่อเสียงงุ้งงิ้งดังออกมาจากปากหลานรัก(?)อีกครั้ง
“อืมมม...เลว”
“อะไรอีกวะ”
“เรื่องเลวๆมึงยังเทียบพี่ยงกุกไม่ได้เลยว่ะจงออบ~”
“อ๋อหรอ”
ตุบ !!
*****
“โอ้ย!”
แรงกระแทกนั้นทำให้ผมต้องลุกขึ้นมานั่งทันที ที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนผม พยายามสอดส่องสายตาไปรอบๆ ตรงหน้าผมนั้นน่าจะเป็นแผ่นหลังของพี่ยงกุก เขาเดินกระแทกเท้าไปไหนไม่รู้แฮะ ดูท่าทางจะอารมณ์บ่จอย ใครไปกวนตีนเค้ามาล่ะนั่น คงจะซวยน่าดู
“ว่าไงจ๊ะหนุ่มน้อย”
“O__O”
เสียงของพี่สาวคนหนึ่งดังขึ้น ....ปกติแล้วที่บ้านพี่ยงกุกไม่น่าจะมีเสียงพี่สาวแบบนี้นะ
หรือที่นี่จะเป็นที่ผับทำงานของพี่ยงกุก ?
“พี่ยงกุก! พี่จะทิ้งผมไว้ที่นี่ไม่ได้นะ !!”
ผมยันตัวลุกขึ้นยืนแล้วโวยลั่น จนทุกสายตาหันมามอง เอ่อะ …ที่ผับบาร์ไม่น่ามีผู้ใหญ่ใส่สูทเดินกันให้ควั่กแบบนี้เลยนะ แถมแต่ละคนก็ดูจะวุ่นวายอยู่กับ การรับโทรศัพท์ การใช้คอมพิวเตอร์ เกินกว่าจะมานั่งดื่มดริ้งเที่ยวเล่นกับสาวที่ไหนได้ซะด้วยสิ
“เอ่อ...” พี่สาวที่น่าจะเป็นคนพูดกับผมเมื่อกี้ดูพูดอะไรไม่ออกเลยล่ะ แน่นอนตอนนี้ผมก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน อ้ากก น่าอายชะมัด ดูสายตาทุกคู่ที่จ้องมาที่ผมเส่ TT_____TT
“นั่งก่อนเถอะ ยงกุกมันก็อย่างงี้แหละอย่าไปถือสาเลยนะ เธอไม่เจ็บมากใช่มั๊ย” พี่สาวผมสั้นหันมาพูดกับผมด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ผมไม่ได้เจ็บอะไรเลย แต่อยากรู้ว่าที่นี่ที่ไหน แล้วผมมาที่นี่ได้ยังไงก็แค่นั้นแหละ
“...บอกตรงๆเลยนะ ตั้งแต่ทำงานกับเค้ามาสี่ปี ยังไม่เคยเห็นผู้ชายคนนั้นพาใครขี่หลังขึ้นมาถึงนี่เลยนะเนี่ย”
“ห๊ะ!” เมื่อกี้พี่สาวผมกลางหลังบอกว่าพี่ยงกุก ให้ผมขี่หลัง แล้วพาขึ้นมาที่นี่งั้นหรอ ม่ายๆๆ นี่มันต้องเป็นการเข้าใจผิดแน่ๆ ถ้าอย่างที่ยกกุก คงต้องฉุดผมขึ้นมา หรือไม่ก็ลากผมมากับพื้นเท่านั้น ไม่มีทางทำอะไรพระเอ๊กพระเอกแบบนั้นหรอก
ว่าแต่ไอ้ที่ผมฝันว่าตัวเองหล่นจากหน้าผาลงมากระแทกพื้นเนี่ย เป็นเพราะพี่ด้วยใช่มะ =_=+
“ฉันจอนฮโยซอง เพื่อนร่วมงานพี่ยงกุกของเธอ”
พี่สาวคนนั้นกล่าวแนะนำตัวก่อนจะยื่นมือมาจับมือผมเขย่าไปมา
...เพื่อนร่วมงานพี่ยงกุกของเธอ ...พี่ยงกุกของเธอ …ของเธอ !!!!!
ขอโทษนะครับพี่สาว ผมไม่เคยคิดเอาผู้ชายแบบนั้นมาเป็นของตัวเองเลยสักครั้ง เห่อะ ผมไม่เคยเห็นการแนะนำตัวไหนจะน่าขนลุกขนพองได้ขนาดนี้เลยนะเนี่ย =____=;;
“เจลโล่...ครับ”
“ว๊ายย ชื่อน่ารักจัง”
“ฮ่ะๆ”
“ไหนๆๆๆ เด็กไอ้บังอยู่ไหน คนไหนๆๆๆ *0*”
เสียงเอะอะที่หน้าประตูมาพร้อมกับการปรากฏตัวของผู้ชายตัวสูงใบหน้าหวานเหมือนผู้หญิงในบางมุม ผมสีดำซอยสั้นขั้นสุด แถมฟันที่ออกจะดูล้ำหน้าไปนิด เอ่อ ผมเปล่าว่าเค้านะ ก็แค่พูดอย่างที่เห็นเอง แล้วไอ้ เด็กยงกุก ที่พี่เค้าพูดถึง มันหมายความว่ายังไงล่ะน่ะ =____=;
คนออฟฟิตนี้เพี้ยนๆทุกคนรึเปล่าเนี่ย
“เห้ย เกะกะจริงๆ” พี่ยงกุกปรากฏตัวด้านหลังชายคนนั้น ก่อนเดินเบียดตัวผ่านมาแล้วทำหน้ายุ่งเลี้ยวไปอีกทาง ขณะที่คุณพี่ชายฟันนำหน้าที่ยืนถือแก้วกาแฟอยู่ตรงหน้าประตูกำลังจ้องหน้าผมตาเป็นมัน
“โว้วววว นี่นะหรอหลานนรกแตกที่ยงกุกพูดถึงบ่อยๆ โอ้ยย ทำไมน่าฟัดแบบนี้เนี๊ย !”
“ว้ากกกO[]O” เขาพุ่งเข้ามาทางผมราวจรวด ไอ้ตัวผมที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ก็หาทางหนีทีไล่ยากเหลือเกิน มารู้สึกตัวอีกทีพี่คนนั้นก็วิ่งมาวาดวงแขนโอบกอดผมไว้ซะแล้ว อ๊ากกกกก นี่พี่เป็นใครกันเนี่ย
“ได้ยินไอ้บังบ่นถึงบ่อยมาก ไม่นึกเลยนะเนี่ยว่าจะน่ารักขนาดนี้ ฉันคิมฮิมชานเพื่อนร่วมงานของน้านาย ส่วนนี่ยองแจ ยัยผู้หญิงนั่นชื่อฮโยซอง”
“อ่ะเอ่อ เจลโล่ครับ... แล้วตอนนี้ผมมาอยู่ไหนอ่ะครับ”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ทั้งพี่ฮิมชาน พี่ฮโยซอง พี่ยองแจรวมไปถึงพี่คนอื่นๆที่อยู่แถวๆนั้นหันมาจ้องหน้าผมเป็นตาเดียว แถมจ้องด้วยสายตาประมาณ ‘แกเป็นคนเกาหลีจริงรึเปล่า’ ด้วยอ่ะ T[]T
“ดูโน่น” นิ่วเรียวของหญิงสาวชี้ไปยังตรารูปนกอินทรีย์สีทองอร่ามดูอลังการเป็นยิ่งนักที่แปะหราอยู่บนกำแพงไม้สีเข้ม ขนาบสองข้างด้วยธงอินคงกีกำลังทิ้งตัวลงมาอย่างสงบนิ่ง ต่างกับบรรยากาศความวุ่นวายของทุกชีวิตที่กำลังทำหน้าที่ของตนเพื่อปกป้องประเทศชาติเป็นที่สุด ไล่สายตาลงมา ก็พึ่งจะสังเกตว่าโต๊ะพี่ยงกุกอยู่ใต้สักลักษณ์นั้นพอดิบพอดี บอกให้รู้ว่าตำแหน่งพี่เค้าไม่ใช่เล่นแน่นอน
“ถึงจะดูติสแตกแบบนั้น แต่พี่ยงกุกของเธอเป็นผู้บัญชาการของที่นี่ สมบัติสำคัญของชาติเชียวนะนั่น”
“ห๊า!”
“อะไร นี่เธอดูไม่ออกเลย?”
คำนิยามของพี่ยงกุกทำขนในกายผมลุกเกรียวกราว ถ้าพี่ยงกุกจริงๆแล้วคือนายตำรวจมาดแมนแสนเท่ห์ที่ใช้ชีวิตด้วยมาดผู้ชายน่ากลัวเพื่อปกปิดตัวเอง นี่ต้องเป็นนิยายพล็อตโบราณและน้ำเน่าโคตรแน่ๆ ! ตายโหงแล้ววววววว ผมด่าพี่เค้าไว้ซะเยอะจะโดนจับเชือดมั๊ยเนี่ย T[]T
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า จริงๆยงกุกไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น”
“โหพี่ มันขนาดนั้นเลยแหละ”
ตอนนี้ผม พี่ฮิมชาน พี่ฮโยซอง แล้วก็พี่ยองแจกำลังนั่งจ้อกันอย่างออกรส ด้วยหัวข้อเรื่องผู้ชายชื่อบังยงกุก พี่ทั้งสามคนดูไม่ได้เกรงกลัวอะไรพี่ยงกุกอย่างที่ผมเป็น พวกเค้าก็เมาส์ไปด่าไปเหมือนคนๆนั้นเป็นเพื่อนแค่เพื่อนร่วมงาน ไม่ได้มีตำแหน่งสูงส่งมากจากไหน แถมความสัมพันธ์ของพี่ๆก็ดูแน่นแฟ้นจนผมนึกอิจฉาเลยล่ะ ...ถึงจะไม่ชอบหน้าพี่ยงกุกยังไง แต่ผมก็อยากรู้จักพี่ยงกุกมากกว่าอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้นะ
“แต่ฉันรู้สึกได้นะว่าหลังมานี้เริ่มมีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนชาวบ้านเค้าบ้าง ไม่ได้มีแต่อารมณ์นิ่งเฉยกับโมโหอย่างเดียว” พี่ฮิมชานพูดด้วยเสียงตื่นเต้นขณะที่พี่ฮโยซองก็พนักหน้าเห็นด้วย
“ช่ายย จำได้ว่าตั้งแต่เลิกกับจีอึน ยงกุกก็ไม่เหมือนปกติอีกเลย ทั้งๆที่เมื่อก่อนออกจะเป็นคนสนุกสนานนะ โหย ยิ่งช่วงแรกๆ ที่นี่เหมือนสึนามิซัดวันละสามเวลา” พี่ยองแจพูดเสริม
“จริงหรอครับ”
ผมกำลังตั้งใจฟังเรื่องพวกนี้เต็มที่ ในใจก็พยายามจะวาดภาพพี่ยงกุกตอนยังเป็นคนปกติดีอยู่ แต่มันไม่ได้ง่ายเลยนะน่ะ แม้ว่าต่อมจินตนาการของผมมันจะดีเลิศกว่าคนทั่วไปก็ตาม
“จริงๆยงกุกน่ะออกจะเป็นคนอ่อนโยน แล้วก็แคร์คนอื่นมากๆด้วย เหมือนจะรู้ใจชาวบ้านไปซะทุกเรื่องเลยล่ะจนบางครั้งฉันยังนึกเลยนะว่ามันอ่านใจคนอื่นออกด้วยหรอ ถึงจะแสดงออกไม่ได้เรื่องเลยก็เหอะ ...ยงกุกมันก็ดูเย็นชาแค่ภายนอกเท่านั้นแหละน่า ถ้าเธอได้รู้จักจริงเธอชอบมันแน่ๆ...”
“พวกแกว่างมากเลยรึไง”
“เห่ยย”
เราสี่คนแตกฮือเมื่ออยู่ดีๆเสียงทุ้มแตกดังขึ้นอยู่เหนือหัวพร้อมกับเงาดำที่ลงมาทาบทับ พี่ยงกุกกลับมาแล้วพร้อมกับรามยอนรสชีสแบบถ้วยในมือ
“เอานี่ ที่นี่ก็มีแต่ไอ้นี่ให้กินเท่านั้นแหละ” เขายืนรามยอนถ้วยนั้นมาให้ผมแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง ผมก้มลงมองรามยอนในถ้วยกระดาษสีสดใสสลับไปใบหน้าที่กำลังจดจ่ออยู่กับเอกสารแผ่นแล้วแผ่นเล่าไปมา คงจะนานพอดูเลยล่ะเพราะพี่ยงกุกเงยหน้าขึ้นมาตะคอกจนผมสะดุ้งเลย
“มองอะไร กินสิ” ตาดุๆคู่นั้นเหลือบขึ้นมาสบตาผมที่กำลังจ้องท่าทางของเขาอยู่พอดี เขาตะคอกผมเล็กน้อยแล้วหยิบแฟ้มเอกสารปึกใหญ่ขึ้นมาแล้วเดินหายไปจากบริเวณนี้ในที่สุด
...จนตอนนี้ผมยังหาคำตอบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมมองพี่เค้าทำไม จนเส้นรามยอนในถ้วยกระดาษของผมเริ่มอืดขึ้นมานั่นแหละ ผมถึงนึกได้ว่าต้องกินมัน
ยงกุกน่ะออกจะเป็นคนอ่อนโยนนะ แล้วก็แคร์คนอื่นมากๆด้วย
ไม่หรอก พี่ยงกุกคงแคร์ได้ทุกคน ยกเว้นหลานตัวเองนี่แหละ...
- ในที่สุดไรเตอร์และรีดเดอร์ก็ได้รู้จักพี่ยงกุกมากขึ้นอีก1สเต๊ปแล้วววว
55555555555555555555555 กลับมาอัพฟิครับสงกรานต์นะคะ ดองไว้นาน
เพราะไปตจว.นี่แหละ ขอโทษที่ให้รอ ใครเดาถูกว่าพี่ยงกุกทำงานอะไรอยู่
ก็ตรบมือให้ตัวเองไปเลย *เย้ / ตัวละครมาครบทั้งวงล่ะนะ อิอิ
อย่าพึ่งด่าไรเตอร์ว่าทำไมฮิมกับแจ้บทน้อยเหลือเกิน เป็นแค่ตัวประกอบหรอ ?
ไม่จริงงงง มันเป็นแค่การเริ่มต้นนะจ๊ะ ติดตามกันต่อไป สองคนนี้สำคัญมากนะ OwO !
แล้วเจอกันตอนหน้านะฮ๊าฟฟฟฟฟฟ ♥
ความคิดเห็น