ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    NAUGHTY&EVIL ☠ ( B.A.P )

    ลำดับตอนที่ #1 : NAUGHTY&EVIL # 00

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ย. 55


        



    NAUGHTY&EVIL
    #00




     

     

    บทนำ

     

     

                    โอ้ยยยยยย

                เด็กน้อยร้องลั่นเมื่อมือใหญ่แตะสำลีชุบแอลกอฮอลเปียกชุ่มลงบนแผลถลอกที่หัวเข่า เสียงนั้นเรียกให้เจ้าของดวงตาคมขมวดคิ้วแน่นก่อนตวัดขึ้นมองราวกับจะพุ่งไปกระชากหัวน้อยๆเข้าปากได้อยู่แล้ว

                “ร้องทำไมวะ ฉันไม่ได้จะปล้ำแกนะเว้ย

                “ผมเจ็บบบบ

                “หุบปากน่า แผลแค่นี้ทำใครตายไม่ได้หรอก

     

                ชายหนุ่มในชุดนักเรียนม.ปลายกล่าวเสียงแข็ง ก่อนจะก้มหน้าก้มหาเช็ดแผลบนหัวเขาเนียนอย่างเบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็ไม่เข้าใจว่าไอ้เด็กนี่มันจะแหกปากทำไมขนาดนั้น        

     

                “ฮืออออ ผมจะตายเพราะมือพี่นั่นแหละ

                เห้ย แหกปากอยู่ได้ แกเป็นตุ๊ดรึไง !!”

                เมื่อเส้นความอดทนขาดผึ่ง อุปกรณ์ปฐมพยาบาลถูกวางกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง ก่อนคนตัวโตจะยันตัวลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันยืนให้สุดความสูงตัวเอง แรงปริศนาก็ฝาดเข้ามาเต็มที่

     

              ผลั่ว !!

     

                ใครใช้ให้แกพูดจาแ บบนั้นกับลูกฉันบังยงกุก! ถ้าจุนฮงเป็นอะไรขึ้นมาแกมีปัญญาทำใช้คืนมั๊ย หญิงสาวท่าทางเอาเรื่องยืนกอดอก ในมือของเธอคือหนังสือเล่มหนา ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เธอใช้ทุ่มใส่หัวน้องชายตัวเองไปเมื่อครู่นี้

     

                ดีตายล่ะตัวพี่น่ะ ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่เมา เค้าไม่เอาพี่หรอก ไม่แปลกใจเลยทำไมพ่อมันไม่ยอมเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียมันน่ะ

                อย่ามาเถียงฉันไอ้เด็กบ้านี่! ทำไม ถึงไม่มีผู้ชายคนนั้น ฉันก็เลี้ยงลูกให้โตเป็นคนดีได้ไม่โหลยโท่ยเหมือนแกหรอก

                ย๊า ตบผมทำไมบ่อยๆห้ะ ให้ผมไปตบลูกพี่บ้างดีมั๊ยล่ะ

                “แกกล้าหรอห๊ะยงกุก แกมันเด็กไม่รู้จักโต โตแต่ตัว สมองแกน่ะมันน่านัก !!!!”

     

                .

                .

     

     

                นั่นคือความทรงจำในวัยเด็กที่ผมพอจะจำได้ มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงวันหยุดฤดูร้อนเมื่อสิบสองปีก่อน ตอนนั้นผมอายุแค่ห้าขวบเอง เลยยังไม่ค่อยรู้หรอกว่าผู้ชายชื่อบังยงกุกที่มีศักดิ์เป็นน้าของผมคนนั้นร้ายกาจขนาดไหน เมื่อก่อนผมว่าเค้าก็เท่ห์ดีอยู่หรอก แต่มาคิดดูตอนนี้ ...เห่อะ ไม่อยากจะนับญาติกันด้วยซ้ำ =___=;

     

                “แกไม่มีทางเลือกจุนฮง ถ้าไม่ย้ายไปอยู่กับมัน แกก็เตรียมอดตายได้เลย

                ไม่เอาน่ะแม่ ที่ไหนก็ได้เหอะ ทำไมต้องเป็นบ้านพี่เค้าด้วย

                “เขาเป็นญาติคนเดียวที่แม่ไว้ใจ ถึงมันจะดูเป็นคนไม่ค่อยดีเท่าไหร่...

                “ทั้งตระกูลเราเหลือญาติคนเดียวรึไง

                “จะให้ฉันเอาแกไปฝากกับพ่อแกมั๊ยล่ะ

                “มะ...ไม่ล่ะ

     

                คำพูดของแม่ทำเอาผมแทบกลืนข้าวเช้าไม่ลง ถ้ารู้ว่าไม่ได้เป็นคนดีแล้วยังจะกล้าส่งผมไปอยู่กับเค้าอีกเรอะ แม่ก็น่าจะรู้ว่าพี่เค้าไม่ชอบหน้าผม ไม่เอาหรอก ไม่อยากชะตาขาดตั้งแต่อายุสิบเจ็ด แล้วยิ่งพูดถึงพ่อ คนที่ผมแทบจะหน้าไม่ได้แล้วว่าเป็นยังไงคนนั้นน่ะนะ ...ผลลัพธ์อาจจะแย่กว่าไปอยู่กับพี่ยงกุกซะอีก

     

                “’งั้นให้ผมไปอยู่กับยายก็ได้นี่

                นั่นยิ่งไม่ได้ใหญ่ ส่งเด็กน่ารำคาญอย่างแกไปอยู่กับยาย แม่ฉันจะหัวใจวายตายเอาล่ะสิ อีกอย่าง...แกพึ่งขึ้นม.ปลาย การเรียนเป็นเรื่องสำคัญมาก แม่ไม่ย้ายแกไปอยู่ที่ไกลๆแน่

                งั้นให้ผมอยู่หอไง เพื่อนผมก็อยู่กันเยอะแยะ

     

                ผมยังพูดไม่ทันจบดี คุณแม่ที่ยืนหันหลังล้างจานอยู่ที่เคาเตอร์ก็หันตัวกลับมาพร้อมกับมีดทำครัวที่เต็มไปด้วยฟองจากน้ำยาล้างจาน ...ผมว่าแม่คงไม่ได้คิดจะเอามันมาตัดไข่ดาวให้ผมคิดง่ายขึ้นหรอก

     

                จุนฮงจ๊ะ ลูกก็รู้ว่าแม่รักลูกแค่ไหน แม่ไม่มีทางปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียวเด็ดขาด เพราะฉะนั้น ...ถ้าแกไม่ไปอยู่กับมัน แกเตรียมตัวได้เลย

                ห้ะ =[]=”

     

                ให้เตรียมอะไรผมไม่รู้หรอก แต่ที่แน่ๆ มีดนั่นดูไม่เป็นมิตรเอาซะเลยแม้ว่าจะอยู่ในมือของบุพการี ก้นของผมย้ายขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว แล้วรีบเผ่นเข้าห้องก่อนทีคอนโดเล็กๆแสนอบอุ่นนี้จะกลายเป็นฉากฆาตกรรม

     

                แม่ของผมต้องไปทำงานที่นิวยอร์กสักพักตามคำสั่งเจ้านาย ส่วนผมก็พึ่งขึ้นม.ปลายปีนี้เอง เลยต้องอยู่เรียนที่เกาหลี นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะดูแลตัวเองไม่ได้สักหน่อย ผมยังเคยแอบคิดว่าแม่ผมน่ะจะมองโลกในแง่ร้ายไปถึงไหน แม่เคยบอกว่าสาเหตุที่มาซื้อคอนโดแพงๆนี้อยู่ ก็เพื่อให้ผมได้อยู่กับแม่ใกล้ๆโรงเรียน ...จนตอนนี้ผมก็ยังไม่เห็นว่าอยู่กับแม่อารมณ์ร้อนแบบนั้นชีวิตมันจะดีขึ้นตรงไหน =_____= ^

     

     

                “ยงกุกมันไม่ได้โหดร้ายอย่างที่แกคิดหรอกน่า แถมบ้านมันก็อยู่ห่างจากเราไปเท่าไหร่เอง ไม่ไกลจากโรงเรียนแกด้วย เก็บข้าวของซะ แม่ต้องบินคืนนี้แล้ว โชคดีนะจุนฮง

                 

                แม่ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นในคืนก่อนที่ท่านจะบินไปอเมริกา ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้เอ่ยปากโต้เถียงอะไรเลยสักนิด บางทีชีวิตของผมอาจมีดวงต้องเกิดมาเพื่อรับมือกับคนแบบนี้ก็ได้มั๊ง แต่เท่าที่ผมจำได้พี่ยงกุกเมื่อสิบสองปีก่อน เป็นเหมือนพี่ชายผมเลยถึงเขาจะดูใจร้อนเหมือนพายุ แต่เวลามีปัญหาอะไรเค้าก็ช่วยผมได้เสมอ จนบางครั้งผมยังคิดเลยว่าสักวันต้องเป็นอย่างพี่เค้า

     

                แต่หลังๆมานี้เห็นแม่คุยโทรศัพท์กับคุณน้าแกทีไร มักจะมีเสียงโวยวายลอดออกมาจากหูโทรศัพท์ทุกที ตอนนี้เขาอายุน่าจะยี่สิบสี่ได้แล้ว ไม่แน่เวลาผ่านไปพี่แกอาจจะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีขึ้นแล้วก็ได้

     

     

    *****

     

                ในที่สุดผมก็มาปรากฏกายอยู่หน้าคอนโดชั้นยี่สิบสามแห่งนี้ พร้อมกับสัมภาระพะรุงพะรังประหนึ่งพวกบ้านนอกที่พึ่งย้ายเข้ากรุงมาหมาดๆ ในใจก็พยายามนึกสรรหาคำพูดดีๆที่จะใช้ทักทายญาติห่างๆที่ไม่ได้เจอกันมาสิบกว่าปี ขณะที่มือก็ยื่นออกไปกดออดที่หน้าประตู

     

                นิ๊งน่องง ~

     

                ผมยืนรออยู่อยู่ครู่หนึ่ง ไม่มีอะไรตอบกลับมาสักนิด ไม่มีแม้แต่สัญญาณที่จะบอกว่ามีคนอาศัยอยู่หลังประตูคอนโดสีดำสนิทนี้เลย

                พี่ยงกุก !” ผมตัดสินใจทุบลงบนบานประตูนั้นเต็มแรง และก็ได้ผลเมื่อมีเสียงก้อกแก้กบางอย่างจากภายใน

     

                บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่งก...

                “O_____O”

                แก...!”

     

              ปังง !!!

     

                ชั่ววินาทีที่ประตูถูกเปิดออกแล้วมีผู้ชายหน้าโหดโผล่ออกมาตะคอกใส่แล้วอยู่ๆก็ผลุบหายเข้าไป เป็นการต้อนรับที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดเท่าที่ผมเคยได้รับมาเลย เมื่อกี้พี่เค้าทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ปิดประตูใส่หน้าผมไปซะก่อน ...ผมไม่ใช่เจ้าหนี้เค้าสักหน่อยนะ ทำไมต้องทำอะไรเวอร์ซะขนาดนั้นด้วย

     

                เปิดประตูหน่อยยย

               

                คราวนี้ผมแทบไม่ต้องออกแรงเคาะประตู เมื่อบานไม้สีดำขนาดใหญ่เคลื่อนเปิดออกด้วยตัวเองมันเอง พร้อมกับร่างเจ้าของห้องที่ยืนขมวดคิ้วเป็นปม พระเจ้าาาา แค่เห็นหน้าแบบนั้นก็ทำเอาผมอยากจะถอยเท้ากลับแล้ว แค่จะทักทายปากยังหนักพูดอะไรไม่ออกเลย TT________TT

                มะ...ไม่เจอกันนานเลยนะครับ

                “….”

                                       

                สิบสองปีผ่านไป บอกให้ผมรู้ว่าเวลามันก็แค่เครื่องมือที่ทำให้คนเราหน้าแก่ขึ้นเท่านั้น แต่นิสัยใจคอและกริยาท่าทางไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเลย

                พี่ยงกุกในชุดลำลองยกมือขึ้นกอดอกแล้วไล่สายตามองผมตั้งแต่เท้าจรดหัว แล้วไล่ลงจากหัวจรดเท้าอีกครั้ง ก่อนจะเหลือบมองไปยังกระเป๋าสัมภาระที่ผมวางกองอยู่ข้างตัว

     

                แกมาทำอะไรที่นี่วะ เข้าค่ายเนตรนารีรึไง

                สาบานได้มั๊ยว่านั้นคือคำทักทายของคนที่ไม่เจอกันมาสิบสองปี ? ให้ตายสิ ถ้าแม่ไม่ขู่จะเอามีดจิ้มผม ผมก็ไม่ย้ายตัวเองมาที่นี่ให้โดนพี่เค้าทำหน้าโหดใส่เล่นๆหรอก

                เนตรนารีพ่องงง ผู้ชายอย่างจุนฮงนะ ค่ายลูกเสือเว้ย =___=+

     

                แม่ไม่อยู่เกาหลีสามเดือน เลยให้ผมมาอยู่กับพี่ ...พี่ยังไม่รู้หรอ

                ห้ะ ยัยบ้านั่นมันพูดอย่างนั้นเรอะ พี่ยงกุกตะคอกแล้วรีบหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกงขาสามส่วนโชว์หน้าแข้งที่ดูแข็งแกร่งซะไม่มี จนน่ากลัวว่าถ้าผมทำอะไรไม่ถูกใจอาจจะโดนเตะก้านคอหักเอาได้

     

                พี่ว่าไงนะ ก็แค่ให้ลูกชายพี่มาอยู่ด้วยสามเดือน เด็กอายุสิบเจ็ดนะเว้ยไม่ใช่หมา แค่ให้อาหารสามมื้อก็จบน่ะ

     

                ขณะที่พี่เค้าเดินวนไปวนมาพร้อมกับคุยโทรศัพท์ ผมได้แต่นั่งทำตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ บนโซฟาที่เต็มไปด้วยกองกระดาษเกลื่อนประหนึ่งมีใครสักคนในนี้รับจ๊อบพับถุงกล้วยแขกขาย เสียงโบ้งเบ้งจากพี่เค้าดังก้องไปทั่วห้องพักขนาดย่อม ตกแต่งทึมๆตามคอนเซปหนุ่มโสด ...จริงๆผมไม่แน่ใจหรอกนะว่าพี่เค้าจะมีแฟนแล้วงรึยัง แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอกถ้าจะยังไม่มี =_=;

     

                ผมเคยเลี้ยงเด็กนี่ตอนห้าขวบ แล้วเป็นไง ...ไม่ใช่เว้ยย มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเงินทอง... ถ้าจะเอาใครมาทิ้งไว้ให้ผมเลี้ยงอีก หัดบอกล่วงหน้าซะบ้างสิวะ อยู่ๆแม่งเอาลูกชายตัวเองมาเคาะประตูบ้านคนอื่นแบบนี้เนี่ย พี่เป็นแม่จริงๆรึเปล่าห้ะ เฮ้ อย่างพึ่งวางนะ บ้าเอ๊ยยยย !”

     

                ร่างกายของผมสะดุ้งเฮือกเมื่อโทรศัพท์เครื่องนั้นถูกโยนข้ามหัวผมไปกระแทกกับหน้าต่างบานใหญ่ที่วิวภายนอกเป็นภาพกรุงโซลที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆฝนครึ้ม แต่เวลานี้ไม่มีอะไรดูอึมครึมไปกว่าบรรยากาศในห้องนี้แล้วแหละ

     

                เห้อะ ยัยบ้านั้นไม่แม้แต่จะฟังฉัน พี่ยงกุกโวยวายอีกครั้ง ก่อนจะทำหน้ายุ่งแล้วหันมาถามคำถามด้วยเสียงแตกๆ “…แกชื่ออะไรนะ

                ห้ะ?”

                ฉันถามว่าแกชื่ออะไร

                จุนฮงครับ ชเวจุนฮง น่าประทับใจชะมัด เป็นญาติกันภาษาอะไร ชื่อกูแม่งยังจำไม่ได้

                แกว่าไงนะพี่ยงกุกหันมาจ้องหน้าผมตาเขม็ง อะไร๊ ผมว่าไอ้ประโยคหลังๆนั้นผมพูดเบาโคตรๆแล้วนะ อะไรจะหูดีขนาดนั้น =[]= !

                                       

                “เปล๊า ผมแค่บอกว่า โชคดีแค่ไหนนะที่ได้มาอยู่คุณน้าสุดประเสริฐอย่างพี่เนี่ย ฮ่ะๆ

                “ตอแหลเหมือนแม่แกไม่มีผิด

                “=_______________=;”

     

                ยี๊ พี่ก็เหมือนกันนั่นแหละ  ดุเหมือนหมาไม่มีผิด !
                ดีตายห่าล่ะบังยงกุกผู้ยิ่งใหญ่ !!

                 


     



     


    เจ๊าะแจ๊ะ , }
    - สวัสดีค่ะรีดเดอร์ทุกคน !!!!!!!!!!!!! ในที่สุดนอร์ตี้แอนด์อีวิ่ลก็กลับมาอีกครั้ง
    เนื้อเรื่องไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากหรอก อ้าว ก็พล็อตเดิม ! 555555555
    แล้วมันต่างจากเดิมตรงไหน ? ไม่มีอะไรมากหรอกตัวเอง ก็แค่...
    # ความสัมพันธ์ของพี่บังกับน้องโล่ ใกล้ชิดกันมากขึ้น (ผิดศีลธรรมกันให้พอ =_=;)
    # โล่กวนติงและปากไวมากขึ้น (ก๋ากั่นไม่เบานะจ้ะ :9)
    # พี่ยงกุกปากหนัก มือหนัก เท้าหนักมากขึ้น (อั่ยย่ะ!! *O*)
    # พี่แดฮยอนหล่อขึ้น (มันเด็ดตรงนี้ =.,=)
    แล้วอีกสามคนที่เหลือล่ะ ????? ไม่รู้ ไม่บอก ไปลุ้นเองเอง อิ______อิ +
    ยังไงก็ฝากฟิคบีเอพีเรื่องนี้ไว้ในออมอกอ้อมใจนะคะ :)))))))))


    ปล.ขอโทษด้วยสำหรับคนที่อยากอ่านแนว ดราม่า,ฟัดกันแอดซีกระจาย
    แฟนตาซีล้นโลก
    เอาไว้เรื่องหน้าแล้วกันเนอะะะะ X__X ! (ยังมีจะเรื่องหน้าอีก !)






     

     
         
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×