"สังสดีค่ะคุณเจ..."ลักกี้เดินเข้ามาทักทายผมก่อนที่จะเดินยังส่วนที่เป็นครัว แล้วค่อยเก็บกวาดของทุกอย่างให้เป็นระเบียบ
"สวัสดีครับคุณน้านงค์" ผมยกไหว้แม่ของไอ้ทีเป็นคนที่เดินตามเข้ามาต่อจากลักกี้ ที่ผมเรียกเธอว่าน้า เพราะว่าประเมินจากหน้าแล้ว น่าจะอายุน้อยกว่าแม่ผมเป็นแน่
"น้าเน้ออะไรกัน เรียกแม่ซิจ๊ะ เพื่อทีทุกคนเรียกแม่ว่าแม่หมดแหล่ะ คนกันเองทั้งนั้น"เธอยกมือรับไหว้ผม
"ครับ คุณแม่นงค์"
"น่ารักที่สุด" เธอหยิกคางผมอย่างเอ็นดู คนบ้านนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีครอบครัวอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้รับความอบอุ่นแบบนี้มานาน
............................
"ทำใจดีๆไว้เจ เดี๋ยวกูไปหาตอนนี้แหล่ะ มึงยังอยู่โรงพยาบาลอยู่ใช่มั้ย" เสียงจากปลายสายโทรศัพท์พูดอย่างตระหนกเพราะอีกฝ่ายกำลังเสียงสั่นเครือร้องไห้อยู่อย่างนั้น
"บอม...กูไม่เหลือใครแล้ว ..ฮือ.....ฮือ....ช่วยกูด้วย..." อีกฝ่ายยังร้องไห้ไม่หยุด น้ำตาที่ไหลเป็นสายผ่านแก้มใสๆของหนุ่มน้อยหน้าหวานเหมือนผู้หญิงก็ไม่ปาน สายตาขุ่นมัวมองไปที่ร่างของหญิงวัยกลางคนที่นอนแน่นิ่งบนเตียงคนไข้ ขณะที่กลุ่มหมอ พยาบาลต่างทำการแกะเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์ต่างๆ ออก
ไม่นานบอมก็มาถึง ในระหว่างที่ชายหนุ่มหน้าหวานคนนั้นยืนท่ามกลางผู้คนมากมาย บ้างก็นั่งรอ บ้างก็เดิน บ้างก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ในขณะนั้นโสตประสาทของเขาไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น เหมือนยืนอยู่เวิ้งว้างเพียงลำพัง สิ่งรอบข้างเป็นเพียงแสงข้าวๆที่เขารับรู้ได้เท่านั้น มือที่แข็งแรงของบอมแตะที่บ่าเขาเบาๆ ดึงความรู้สึกทุกอย่างของเขากลับมา ร่างเล็กๆ หันหน้าเข้ามากอดเพื่อนที่ร่างใหญ่กว่านั้นทันที พลางมือใหญ่ของคนที่เขาสวมกอดไว้นั้น กอดรับและมอบความอบอุ่นที่คุ้นเคย ที่มีให้เขาได้เสมอนั้น ทั้งสองสวมกอดท่ามกลางกลุ่มคนเดินไปมาอยู่สักพัก จนร่างเล็กๆของคนที่สวมกอดก่อนนั้นเลิกสั่นริกๆ เขาจึงผลักร่างนั้น ด้วยแรงเบาๆ ทว่ารู้สึกได้
"เฮ้ย พอๆ กูอายเค้า เดี๋ยวคนทั้งโรงพยาบาลหาว่ากูเป็นเกย์" บอมพูดพลางครั่นเสียงหัวเราะในลำคอ เป็นสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้น
"บอม ขอบใจมากนะ จริงๆแล้วกูก็เตรียมใจไว้นานแล้วเหมือนกัน แต่พอถึงเวลา กูก็ทนไม่ได้ แม่คงเจ็บมาก แม่น้ำตาไหล แต่แม่ไม่พูดอะไรเลยซักคำ" น้ำตาระรอกที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่รู้ไหลออกมาอีกครั้ง
"เอาน่าๆๆมึง เดี๋ยวกูช่วยงานมึงเต็มที่ เดี๋ยวจะบอกแม่กู ว่าแม่มึงเสียแล้ว แม่กูคงช่วยเป็นเจ้าภาพ ว่าแต่มึงรู้จักใครที่เป็นญาติฝ่ายแม่มึงบ้าง ก็ติดต่อมาแล้วกัน ส่วนกูบอกแม่กูอย่างเดียว รายนั้นเค้าเก่ง แป๊บเดียวคงได้เรื่อง" ว่าแล้วบอมก็ยกหูโทรศัพท์แจ้งข่าวร้ายกับทางบ้าน หลังจากนั้นทั้งคู่ก็คุยกันน้อยลง เพราะเจต้องไปกรอกเอกสารอะไรต่อมิอะไรอีกมาก ที่ทางโรงพยาบาลให้กรอก และบอมก็ต้องยกหูโทรศัพท์แจ้งข่าวกับทางเพื่อนๆให้ได้รับรู้ข่าวเศร้านี้ทั่วกัน
งานที่เต็มไปด้วยความเศร้าที่ทุกคนต่างพากันใส่ชุดดำ มองดูควันสีดำที่ลอยออกจากปล่องเป็นการส่งคนที่เขารักเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสายตาที่แสนเศร้า แต่ใบหน้าที่ขาวสะอาดโดดเด่นที่ยืนร้องไห้น้ำตาอาบหน้านั้น มีใบหน้าที่เศร้าเหนือกว่าคนอื่นมากนัก ไม่นานนักทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังเก็บข้าวของอยู่นั้น ก็มีมือที่คุ้นเคย ที่สัมผัสกี่ครั้งก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยจากเขา มาแตะที่บ่าอีกครั้ง
"มากูช่วย" บอมพูดเรียบๆ
"ขอบใจมากนะบอม ไม่ได้มึงกับแม่ กูคงแย่ ทำอะไรไม่เป็นซักอย่าง" เจหันไปทางแม่แล้วยิ้มให้บางๆ เชิงขอบคุณ แทนคำขอบคุณที่พูดมาแล้วเป็นพันๆรอบ
"เออ ไม่เป็นไร แม่มึงก็เคยช่วยครอบครัวกู มึงจำไม่ได้เหรอ"
"ใช่จ่ะเจ เราก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน แม่ก็เห็นเจมาตั้งแต่เด็ก เล่นเป็นเพื่อนบอมมา ส่วนแม่เจกับแม่ ก็คุ้ยเคยกันมา ตอนที่บ้านแม่มีปัญหาเรื่องเงินทองตอนนั้น ไม่ได้แม่เจมาช่วย แม่กับบอมก็คงลำบาก อย่าถือว่าเรื่องแค่นี้เป็นเรื่องรบกวนเลยนะ เรามันก็ครอบครัวเดียวกัน"
"ใช่เจ ... ต่อไปนี้ แม่กูก็เหมือนแม่มึง ครอบครัวกูก็เหมือนครอบครัวมึง ห้ามคิดเด็ดขาดว่ามึงมีตัวคนเดียว มึงยังมีกูนะเว้ย" บอมกอดคอเจไว้อย่างคุ้นเคย ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมามาก
"กูยกแม่กูให้มึงก็ได้ มึงกอดแม่กูก็ได้ หอมแก้มแม่กูก็ได้ แต่ห้ามดูดนมนะเว้ย ฮ่าาาาาา"
"นี่แหน่ะ ไอ้ลูกคนนี้" คนที่เป็นแม่ตีหัวลูกเบาๆ ทั้งหมดก็หัวเราะกัน เป็นครั้งแรกที่เห็นร้อนยิ้มจากใบหน้าหวานๆนั้น บอมแอบมองใบหน้าหวานๆนั้นยิ้ม แล้วก็อดดีใจไม่ได้ ที่ได้เห็นมันอีกครั้ง
................
ผมเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ตามคำเชื่อเชิญของเจ้าของบ้าน มองดูบ้านหลังนี้รอบๆ โห..ใหญ่ยังกะวัง ไอ้นี่รวยมากจริงๆ 0 มองดูข้าวของเครื่องใช้ที่ล้วนชิ้นใหญ่โต แบบไม่รู้ว่าชาตินี้จะใช้ของพวกนี้หมดได้หรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นพื้นหินอ่อนที่ปูไว้อย่างเรียบหรู ผมลองถอดรองเท้าสลีปเปอร์ที่เปลี่ยนตั้งแต่หน้าบ้านแล้วเดินด้วยเท้าเปล้า พื้นเย็นเจี๊ยบ แทบเท้าชา มิน่าหล่ะ บ้านถึงได้เย็นขนาดนี้ แล้วสายตาผมก็สะดุดตรงแกรนด์เปียโนที่ตั้งตระหง่านที่มุมหนึ่งของบ้าน ทำเป็นเวทีเล็กๆ ตรงส่วนโค้งๆของบ้าน ทำให้มุมนั้นดูโดดเด่นกว่ามุมอื่นๆของบ้าน ผ้าม่านสีทองตัดกับสีของไม้โอ๊คสีดำๆ เป็นภาพที่ผมฝันตลอดชีวิต
"จ้องใหญ่เลยนะ อยากเล่นอะดิ" ไอ้เจ้าของบ้านเดินมาทางผม
"สวยโคตรๆอ่ะมึง แต่กูเล่นคลาสสิคไม่เป็นนะ บอกไว้ก่อนเลย"
"อือ มึงเล่นอะไรกูก็ฟังทั้งนั้น" มันหันมาพูดเสียงเรียบๆ แต่ยิ้มมุมปากเล็กๆ โคตรเจ้าเล่ห์เลยมึง - -"
ผมเดินไปที่เวทีเล็กๆนั่นทันทีแล้วลูบแกรนด์เปียโนไม้โอ๊คเบาๆ มันเย็นที่ปลายนิ้วอย่างที่เขาบอกไว้จริงๆครับ ผมมองดูแล้วไม่มียี่ห้อด้วยครับ แต่มีตราเป็นภาษาอังกฤษแกะสลักไว้สวยงาม บ่งบอกว่าเป็นเปียโนที่ถูกสั่งทำพิเศษ ไม่ได้มีขายตามท้องตลาดทั่วไปแน่นอนครับ หลังนี้ไม่ต่ำกว่า สามล้านชัวร์เลย ๐ ผมเปิดฝาครอบลิ่มออกมา ก็ต้องตาค้างอ้าปากหวออีกครั้งหนึ่ง งา...ลิ่มทำจากงาช้าง หมายถึงงาจากช้างตัวเป็นๆ โคตรของโคตรคลาสสิค มีราคา ส่วนลิ่มสีดำๆนั่นก็ทำจากเขาสัตว์ อะไรมันจะหรูกว่านี้มีอีกมั้ย ในประเทศไทยคงมีเปียโนแบบนี้อยู่ไม่กี่ตัว นับว่าเป็นบุญของผมแท้ๆ ที่ได้เห็นกับตา ผมเผลอเอามือกดลิ่มนั้นไล่เสกลทดสอบเสียง เสียงดังกังวาลแบบที่เปียโนดีๆหลังหนึ่งจะผลิตรเสียงออกมาได้เลยครับ สมบูรณ์แบบจริงๆไม่นานผมก็กดเป็นคีย์เพลงที่ผมถนัดซึ่งก็เป็นเพลง บลู นั่นเองครับ พอฟิวมาถึงแล้ว ผมก็ต้องร้องด้วยสิครับ เพลงบลูแบบนี้ ต้องอิมโพไวซ์ถึงจะมัน..พะยะคะ
"...good bye baby ....good bye my girl
... cuz I know you never love me then I need to tell you good bye..."
ผมบรรเลงเพลงของผมเรื่อยๆ เนื้อหามันก็วนๆอยู่กับที่แหล่ะครับ แต่ที่มันเพราะก็คือตอนที่อิมโพไวซ์เปียโน ไปตามอารมณ์ของผมนี่แหล่ะครับ ผมลืมตาขึ้นมามองไอ้หน้าหล่อที่สักลายขึ้นมาถึงคอ ที่ตอนนี้เปลี่ยนชุดจากชุดผู้ป่วยแล้ว ทำให้มันดูดีขึ้น และดูมีน้ำมีนวล ต่างจากไอ้ตัวประหลาด ที่ผมพาเข้าโรงพยาบาล เมื่อ 2 วันที่แล้ว ไอ้ทียืนกอดอกดูผมอย่างตั้งใจมันจ้องหน้าผมจนผมเขินเลยหล่ะ มึงจะจ้องเชี่ยไรนักหนา เล่นไม่ออกแล้วนะเว่ยยย - -' ไม่พอมันยังลากแม่มันมายืนดูด้วย แม่นงค์ยืนดูพลางยิ้มมาที่ผมแล้วก็ปรบมือเป็นครั้งคราว เมื่อเจอลูกเล่นเปียโนของผมไปเป็นช่วงๆ แทรกกับเนื้อร้องที่ผมร้องไปตามอารมณ์ของบลู
เสียงปรบมือที่ไม่มากเสียงแต่ก็ดังกึกก้องบ้านหลังใหญ่หลังนี้ ดังขึ้นหลังจากที่ผมกดเปียโนคีย์สุดท้ายของเพลงลงไป เป็นสัญญาณว่าเพลงได้จบลงไปแล้ว
"เพราะจริงๆจ่ะลูกเจ"
"งั้นๆอ่ะแม่ ผมเล่นเพราะกว่าเยอะ" แหว่ะ ไอ้หลงตัวเองเอ๊ยยย
"งั้นลูกเจมาร้องเพลง ให้ลูกทีเล่นเปียโนให้แม่ฟังดีกว่านะ"
"....."
"แม่อยากฟัง ป่ากามเทพ คนวัยแม่ชอบฟังเพลงเก่าๆ จัดให้ได้มั้ยลูกๆ" ทำไมจะไม่ได้ครับแม่ เพลงป่ากามเทพเป็นเพลงที่สมัยผมเรียนร้องเพลงใหม่ อาจารย์ที่สอนร้องเพลงผมให้ร้องบ่อยมาก เพราะเพลงนี้เป็นเพลงที่โชว์พลังเสียงสุดๆ เจ้าของเพลงเป็นครูอ้วน มณีนุช นักร้องระดับเอเชียเลยนะ ^ ^ ว่าแต่ไอ้ทีเหอะเล่นได้รึป่าว สิ้นความคิดของผม ไอ้คนที่ผมนึกถึงก็กดคีย์เป็นทำนองเพลงนี้โดยลดคีย์ลงมาให้เหมาะกับเสียงผู้ชายเรียบร้อย
"หลีกหนี...เพียงไร ให้ไกลตา... ไม่ยอมนำพาใกล้ดวงใจ
แต่ก็ดูเหมือน ยิ่งหลีกหนี กลับยิ่งตามมาชิดใกล้
หมดแรงกาย สุดแรงใจ จะหยุดยั้ง..."
ไอ้ทีสอดเสียงร้องมาประสานผมอย่างลงตัว เพราะทีมันเสียงสูงปรี๊ดกว่าผมตั้งหลายเท่า ทำเอาคุณแม่ยิ้มไม่หุบ แต่สิ่งที่ทำผมแทบร้องเพลงต่อไปไม่ได้ เห็นจะเป็นสายตาของไอ้ที ที่เอาแต่จ้องมาทางผม โดยเฉพาะเวลาร้องคำว่า "หมดแรงกาย สุดแรงใจ จะหยุดยั้ง" เหมือนกับว่ามันจะกลืนผมเข้าไปในตัวมันให้ได้ เชี่ยเอ๊ยยย กูเขินเว้ยยย อย่าทำตาหวานแบบนั้นดิวะ ..=' '=
"สุดยอดเลย ลูกๆทั้งสองคน นึกถึงสมัยพ่อจีบแม่ใหม่ๆ อุ๊ยเขิน"แม่พูดไปบิดไป น่ารักดีแฮะ "โดยเฉพาะ พอพ่อร้องถึงตอน หมดแรงกาย สุดแรงใจ จะหยุดยั้ง แล้วพ่อก็เดินมาขอแม่เป็นแฟน อุ๊ยเขินๆๆ พอแล้วๆๆ ไปหาอะไรทานกันเถอะมาๆๆ"
คุณแม่เขินม้วนแล้วก็เดินเข้าไปห้องกินข้าวนั่นทันทีเลยครับ ผมก็กำลังจะเดินตามไป ทว่ามีมือหนึ่งมาดึงข้อมือผมไว้ก่อน
"...หมดแรงกาย...สุดแรงใจ...จะหยุดยั้ง.."ไอ้ทีเข้ามากระซิบข้างหู ทำเอาผมขนลุกซู่ แล้วผมก็ต้องสะดุ้ง เมื่อ..
ฟอดดดด ... @_@ ไอ้ทีฝังจมูกเข้ามาที่แก้มของผมอีกครั้งทำเอาผมหน้าชาก้าวขาไม่ออก ผมกำลังจะเผยอปากด่ามันออกไป แต่ไม่ไวเท่ามือของมันมาปิดปากผมไว้ก่อน แล้วตามด้วยริมฝีปากของมันประกบลงบนมือของมันอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นมันจึงถอนปากออกมา
"อย่าเพิ่งโกรธกูเลยนะเจ ให้กูได้ทำในสิ่งที่อยากทำซักครั้ง เพราะเวลาเห็นหน้ามึงทีไร ก็ต้องอยากทำแบบนี้ทุกครั้ง กูก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร กูไม่รู้จะเรียกชื่อมันว่าอะไร ถ้ากามเทพมีจริง กูว่ากูถูกกามเทพลวงกูเข้าให้แล้วหว่ะ เพราะเจอหน้ามึงทีไร กูก็หมดแรงจะห้ามใจตัวเอง จนต้องทำแบบนี้ทุกครั้ง กูขอ.." ไม่ทันที่มันจะพูดจบประโยค ผมก็เอามือปิดปากมันไว้ แล้วก็ตามด้วยปากของผมประกบบนมือของผมเหมือนกัน
แทนคำตอบทั้งหมด ไอ้ทียืนตาค้าอยู่ที่เดิมผมผละมือออกจากปากของมัน
"เพราะกูก็หมดแรงกาย สุดแรงใจ จะหยุดยั้ง...เหมือนกัน..." พูดเสร็จผมรีบเดินออกจากมันทันที มันรีบเดินตามผมแล้วเข้ามาโอบเอวผมไว้
"เฮ้ยย ทำเชี่ยไร นี่ที่บ้านนะเว้ย"ผมแกะมือมันออก
"ก็บ้านกู กูจะกอดใครก็ได้ ไม่ผิดกฏหมาย"
"กูจะร้องเรียกแม่แน่"
"เอาดิ กูจะได้บอกแม่เลย"
"เฮ้ย ไอ้เชี่ยนี่ ปล่อย"ผมตีมือมัน
ฟอดดด มันโนมคอมันลงมาหอมแก้มอีกครั้งแล้วกอดผมแน่นอยู่อย่างนั้น
"มัดจำไว้ก่อน"
"..."
"รอจนกูแน่ใจ แล้วตั้งชื่อให้สิ่งนี้ได้เมื่อไหร่ กูจะบอกมึงเป็นคนแรก รอกูก่อนนะเจ.."ทีพูดแผ่วเบา
"...."
"ป่ะไปกินข้าว แม่รอนานแล้ว" แล้วมันก็หอมแก้มผมอีกข้างหนึ่ง ฟอดดด แล้วหัวเราะวิ่งเข้าไปในครัว ไอ้บ้าเอ้ยยย แก้มกูหวงนะเว้ยย ไม่ได้ให้ใครหอมง่าย นอกจากแม่ ก็...อนุญาตมึงอีกคนก็ได้ ^ ^ ผมลูบแก้มแล้ววิ่งไล่เตะตูดไอ้ตัวประหลาดนั่นเข้าไปในครัว เสียงหัวเราะดังไปทั่วบ้าน ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านตัวเองไม่มีผิด
"ขอบใจมากมึง"ผมกล่าวขอบคุณมัน พลางส่งหมวกกันน็อคคืนให้ไอ้ตัวประหลาดนั่น
"ขับรถดีๆนะ"ผมพูดต่อ เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ
"ขอบใจ กูกลับแล้วนะ" ไอ้ทีพูดน้ำเสียงเรียบๆ
"อือ"ผมหันหลังให้มันกำลังจะเปิดประตูบ้าน
"ฝันถึงกูด้วยนะ"มันพูดขึ้นมา ทำให้ผมชงัก
"...."
"กูคงนอนไม่หลับแล้วหล่ะ เพราะไม่ชินที่นอนคนเดียวแล้ว"ไอ้ทีพูดต่อ
"เว่อไปแล้ว กูอยู่ด้วยแค่ สองคืนเอง"
"ฮ่าาาา เอาเป็นว่าจะพยายามนอนให้หลับแล้วกัน"มันพูดพลางใส่หมวกกันน๊อค
ผมมองใบหน้าของไอ้คนที่เคยทำให้ผมเกลียดขี้หน้าจนถึงขั้นที่อยากฆ่ามันทิ้ง แต่ก็ทำไม่ลงหรอกครับ ผมเป็นคนดีอ่อนโยนจะตายทุกคนก็รู้จริงมั้ยครับ มันจ้องมองหน้าผมผ่านประจกใสๆของหมวกกันน๊อค หวังให้ผมเข้าบ้านจนลับสายตามันไป มันถึงจะยอมออกรถกลับบ้านไป มันยิ้มให้ผมเล็กน้อย เชี่ยเอ้ยยย ทำไมมึงถึงน่ารักขึ้นทุกวัน กูไม่ไหวแล้วนะเว้ยยย ไอ้บ้าาาา...- -' ผมเดินเข้าไปหามันใกล้ๆ แล้ว จุ๊บบบบ ที่ปากของมันโดยมีแผ่นกระบางๆของหมวกกันน๊อคกลั้นไว้ ไอ้ทีตาโตค้างทำเอาผมอดที่จะขำนิดๆไม่ได้ ผมถือโอกาสที่มันยังตกใจอยู่นั้น รีบวิ่งหนีเข้าบ้านแล้วปิดประตู ขณะที่ไอ้ตัวประหลาด ถอดหมวกกันน๊อคอีกครั้ง เผยใบหน้าหล่อๆของมันอย่างชัดเจน ทว่าเต็มไปด้วยความงงงวย ผมหัวเราะในใบหน้านั้นอย่างสะใจ
"มึงออกมาเลย ไอ้เจ ฉวยโอกาส"
"ไม่เว้ย ออกไปให้โง่"
"มึงจำไว้เลย มึงจูบกู"
"กูจูบหมวก"
"แต่มันตรงกับปากกู"
"แต่ไม่โดน ฮ่าาาา ไปๆๆๆ ขับรถดีๆ แยกย้ายๆ"
"จำไว้เลยมึง กูเอาคืนแน่"
"กลัวก็ป๊อดดิวะ" ผมยกนิ้วกลางใส่มัน พลางแลบลิ้น
ไอ้ทีถือหมวกกันน๊อคของมันขึ้นมาดูรอยปากของผมยังคงอยู่บนกระจกนั้นอย่างชัดเจน ไอ้ทีมองหน้าผมครั้งหนึ่ง ก่อนจะก้มลงไปประกบปากของมันบนรอยปากของผมอย่างแผ่วเบา ผมมองสิ่งที่มันทำโดยที่ใจสั่นๆ แทบจะหลุดออกมาจากร่าง ไอ้ทีเงยหน้าขึ้นมาจากหมวก แล้วยิ้มให้ผมเจ้าเลห์ ทำเอาผมเริ่มใจหวั่นๆ
"ครั้งนี้ฝากไว้ก่อน ครั้งหน้าเตรียมตัวไว้ให้ดี กูจะเก็บรอยปากมึงไว้ จนกว่าจะได้ ..."แล้วมันก็เงียบเสียงลง
"...."??
"จนกว่าจะได้ จูบมึงจริงๆ" เป็นเสียงที่แผ่วเบาภายใต้หมวกกันน๊อค แต่ว่าก็ได้ยิน ....
ผมเดินหันหน้าเข้ามาในบ้าน แล้วก็ต้องมาชะงักเมื่อหน้าบ้านของผมมีรองเท้าคู่หนึ่งที่คุ้นเคย แต่ผมยังนึกไม่ออกมาเป็นของใคร ผมมองเข้าไปในบ้านของผม พบว่าที่ห้องรับแขกเปิดไฟเรียบร้อยแล้วมีร่างคนๆหนึ่งนั่งดูโทรทัศน์อยู่ตรงนั้นด้วย คงเป็นใครซักที่อยู่ในวงแน่นอนครับ เพราะว่าทุกคนมันมีกุญแจเข้าบ้านผมได้ เพราะว่าทั้งวงมีผมคนเดียวที่อยู่บ้านคนเดียว เวลาใครมีอะไรมักจะใช้บ้านผมในการซ่องสุม โดยที่ไม่ต้องขออนุญาติ ไอ้ประโยคหลังนี่ไอ้เชี่ยบอมมันกล่าวไว้ คือบางทีบอกกูบ้างก็ยังดี
"อ้าวเคนโด้ มาได้ไงวะ ไม่อยู่ที่ร้านอะ"ผมเดินเข้าไปเมื่อเห็นเคนโด้ก็ประหลาดใจมากกว่าเดิมอีก ปกติไอ้เรื่องแบบนี้ต้องเป็นไอ้บอม เวลามันขี้เกียจฟังแม่มันบ่น ก็จะหนีมานั่งเล่นบ้านผม เพราะบ้านเราใกล้กันแต่ไม่กี่หลัง
"อ้าวพี่เจ สวัสดีครับ เลิกงานแล้วดิครับพี่ ดูนาฬิกาด้วย ไม่ใช่ยืนจู๋จี๋กับแฟนจนลืมเวลา" ผมหน้าชาเลยครับ ที่ยืนอยู่หน้าบ้าน ที่พูดกัน ที่จูบ อันที่จริงก็แค่หมวกกันน๊อค ไอ้เคนโด้เห็น... - - '
"จู๋จี๋พ่องงง" ผมเสียงดังกลบเกลื่อน "ว่าแต่มึงเหอะ ไม่กลับห้องกลับหับ มานั่งเล่นบ้านกูดึกๆดื่นๆ"
"ก็ไอ้ฟลุ๊กหน่ะสิพี่ พาผู้หญิงมาฟาดที่ห้องอีกแล้ว โคตรเซ็ง" คือไอ้ฟลุ๊กกับเคนโด้เป็นรูมเมทกันครับ เพราะมันเรียนโรงเรียนมัธยมมาด้วยกัน พอมาเรียนมหาวิทยาลัยเลยมาพักที่เดียวกัน เช่าห้องอยู่ด้วยกันครับ
"เอาน่า งั้นคืนนี้มึงก็นอนนี่"
"ว่าแต่ผมนอนนี่นะ เดี๋ยวพี่ละเมอมาปล้ำผม คิดว่าเป็นพี่ลายสักหนุ่มหล่อนั่น"
"ไอ้เชี่ยยย"ต้องตบหัวซักฉาด
"ขึ้นไปนอนบนห้องดิ ตรงนี้มันยุงเยอะ จะนอนได้ยังไง กูไม่หน้ามืดขนาดนั้นหรอก เออ แล้วกินไรมารึยัง หากินในตู้เย็นเองเลยแล้วกัน ไม่รู้ว่ามีอะไรให้กินบ้างนะ ไม่ได้อยู่บ้านหลายวัน"
"เรียบร้อยแล้วครับพี่"
แล้วผมกับไอ้เคนโด้ก็ขึ้นไปนอนด้วยกัน อันที่จริงแล้ว ผมสนิทกับเพื่อนๆในวงทุกคนครับ แต่กับเคนโด้กับฟลุ๊กนี่ไม่ค่อยสนิทมากเท่าไหร่ เพราะวัยที่ต่างกันมาก ทำให้น้องไม่กล้าพูดอะไรกับผมมากก็ว่าได้ ผมนอนมุมชิดกำแพง โดยมีหมอนข้างมากั้นเอาไว้ ผมอ้างว่าติดหมอนข้าง แต่ที่จริงแล้วกลัวว่าจะเผลอไปกอดเคนโด้เข้า เพราะส่วนลึกๆก็จงชินกับการมีคนนอนกอดมา 2 คืนแล้ว เฮ้อออ ป่านนี้ไอ้ทีหลับรึยังวะ มันจะนอนหลับหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะไม่มีใครซักคนนอนกอด
"ผมเห็นพี่จูบพี่คนนั้นด้วย" เสียงเคนโด้ปลุกผมจากพวัง
"หา...อะไรนะ"
"ผมบอกว่า ผมเห็นพี่จูบกับพี่คนนั้นด้วย" เคนโด้นอนตะแคงข้างมาพูดกับผม
"เฮ้ยบ้า จูบเหี้ยไร บ้าไปแล้ว" ผมบ่ายเบี่ยง
"ก็พี่ยืนจูบหมวกกันน๊อค แล้วพี่คนนั้นก็จูบรอยปากพี่อีกที" เถียงไม่ออกเลยกู - -"
"..."
"มันรู้สึกยังไงวะพี่ การที่เราจะยอมรับว่ารักใครซักคน"
"..."
"มันคงยากนะครับ ที่เราจะยอมรับ ว่าเรารักผู้ชายซักคน ทั้งๆที่เราก็เป็นผู้ชาย"
"..."
"ผมคิดว่าคงเป็นเพราะความใกล้ชิด ทำให้เราใจอ่อน เผลอใจไปก็แค่นั้น แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ เวลาผมอยู่กับคนอื่นก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้"
"..."
"เฮ้ยพี่ไม่ต้องงงหรอก ไอ้ฟลุ๊กนั่นแหล่ะครับ ผมบีบยาสีฟันให้มันทุกวัน เวลามันทำห้องรก ผมรู้สึกหงุดหงิดนะครับ แต่ก็เต็มใจที่จะเก็บให้ เวลามันเจ็บป่วย ผมก็ดีใจที่ได้อยู่ข้างๆมัน จนทุกวันนี้ ผมไม่รู้ว่าไปรักไปชอบมันตอนไหน มารู้ตัวอีกที ผมก็ขาดมันไม่ได้ซะแล้ว"
"แล้วที่มันพาผู้หญิงมา โด้รู้สึก..."
"เจ็บดิพี่ แต่ผมก็เลือกที่จะไม่คิดดีกว่า เพื่อให้มิตรภาพเรายังอยู่ อย่างน้อยๆ ผมก็ไม่เสียมันไป"
"สุดยอด อยากมีคนที่รักกูขนาดนี้บ้างจัง"
"ก็พี่ลายสักคนนั้นไงครับ"
"..."
"พี่รู้มั้ย พี่บอมเล่าให้ฟังเกี่ยวกับพี่คนนั้นว่าไงบ้าง"
"..."
"พี่คนนั้นเค้าเป็นคนด้านชา แทบไม่มีความรู้สึกเลยก็ว่าได้ เวลาเค้าทำงาน มีสาวๆสวยๆมาเกาะแกะ เค้าก็ไม่เคยยุ่งเลยนะครับ ไม่ว่าจะเมาแค่ไหน เค้าก็จะพยายามกลับบ้านให้ได้ ไม่เคยไปพักที่ไหนเลย แล้วพี่คนนั้นเค้าก็เป็นคนไม่เคยทำเพื่อใครได้ขนาดนี้มาก่อน ถึงขนาดยอมบาดเจ็บเพื่อที่จะไปเอารถจักรยานมาให้พี่ อ้อ จักรยานพี่ผมหยิบมาด้วยนะครับ อยู่ในกล่องข้างล่างอ่ะ เห็นอยู่ที่ร้านนานแล้วเดี๋ยวอะไหล่หาย"
"อืม ขอบใจมาก" รักเหรอ...เป็นไปไม่ได้ ไอ้นั่นจะมารักผม... มันมีแฟนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เป็นผู้หญิงสวยซะด้วย ไอ้เคนโด้พูดเพ้อเจ้อ
"เออ นอนได้แล้วมึง" ผมไล่มันนอนดีกว่า เดี๋ยวมันเพ้อเจ้อไปมากกว่านี้
"ครับ ฝันดีนะพี่เจ"
"เออ แล้วมึงไม่คิดจะบอกไอ้ฟลุ๊กบ้างเหรอวะ"
"ไม่หรอกครับ ไม่กล้า" เคนโด้พูดอู้อี้ในลำคอ ผมมองมันหลับไปภายใต้ใบหน้าที่เศร้าหมอง ถึงไม่ห็นดวงตาก็รับรู้ถึงสิ่งนั้นได้...
...หลีกหนีเพียงใดให้ไกลตา ไม่ยอมนำพาใกล้ดวงใจ
แต่ก็เหมือนยิ่งหลีกหนี กลับยิ่งตามมาชิดใกล้
หมดแรงกาย สุดแรงใจ จะหยุดยั้ง
ต้องยอมจำนน......
บทสัมภาษณ์
.....................................................................
เจ : เคนโด้นหลับรึยังวะ
เคนโด้ : ไงพี่
เจ : มึงชอบไอ้ฟลุ๊กจริงเหรอวะ
เคนโด้ : พี่เจเป็นคนเขียนนิยายนะฮะ ถามผมเพื่ออออ พี่เขียนให้ผมรักใครก็ต้องรักแหล่ะ
เจ : จะได้มีหลายๆคู่ไง ช่วยๆกันจิ้น
เคนโด้ : งั้นหาอิมเมจให้ผมหล่อๆด้วย จบนะ
เจ : ok
เคนโด้ : แยกย้ายกันนอน
ความคิดเห็น