คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1. ข่าวฉาวของจิอากิ
1.
ข่าวฉาวของจิอากิ
เช้าวันเปิดเรียนที่หาความสุขมีไม่ของจิอากิ
เธอเดินเข้าโรงเรียนโดยที่มีแต่คนรอบข้างจ้องมองเธอด้วยท่าทางรังเกียจ
แต่จะต้องรู้สึกอะไรอีกล่ะก็ในเมื่อเธอชินกับมันแล้ว
เธอเดินเข้าห้องเรียนเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะเอากระเป๋าวางไว้ที่โต๊ะประจำของเธอที่ถูกจัดไว้โดยที่ไม่ได้ขอ
ใช่แล้ว ถึงขอไปนั่งที่อื่นก็คงไม่มีใครอยากจะเห็นด้วยนักหรอก
เธอเหนื่อยจะอ้างสิทธิของตนเพียงเพราะเพื่อนๆในห้องต่างรังเกียจเธออย่างไร้เหตุผล
สิ่งที่เธอต้องทำก็แค่นั่งในที่ๆถูกจัดไว้ และ ‘เรียน’
ก็พอ
“สวัสดีครับนักเรียนทุกคน” อาจารย์ประจำชั้นเข้ามาพร้อมกับกล่าวทักทายเหมือนกับทุกๆวัน
แต่สิ่งที่วันนี้มีไม่เหมือนทุกๆวันนั่นก็คือ “วันนี้ห้องเรียนของเราจะมีนักเรียนใหม่เข้ามาเรียนด้วยกัน
3 คนนะครับ” ในห้องเริ่มเกิดเสียงฮือฮา
แต่จิอากิหาได้ตื่นเต้นไม่ เธอรู้อยู่แล้วว่าวันนี้คือวันที่จะมีนักเรียนใหม่ย้ายเข้ามา
และหนึ่งในนั้นก็คือ
“สวัสดีครับ ผมอาตาเอะ ชินจิโร่
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” หลังจากที่ชินจิโร่เขียนชื่อของเขาบนกระดาน
เขาก็แนะนำตัวพร้อมกับยิ้มให้ทุกคน
เป็นอย่างที่จิอากิคิด เด็กสาวในห้องต่างพากันตื่นเต้นเมื่อพวกเธอเห็นชินจิโร่
ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับหนุ่มรูปหล่อแบบเขา และใช่
พวกเธอเหล่านั้นต้องเชิญชวนให้เขามานั่งที่โต๊ะใกล้ๆตัวเองอย่างแน่นอน
“เลือกที่นั่งของเธอได้เลยนะอาตาเอะคุง”
“ครับ” ขณะที่ชินจิโร่กำลังมองหาที่นั่งให้ตัวเองอยู่นั้น
กลุ่มผู้หญิงในแต่ละโซนก็ต่างพากันเรียกชินจิโร่ให้ไปนั่งโต๊ะที่ว่างอยู่ใกล้ๆพวกเธอ
ชินจิโร่มีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย เขายังเลือกไม่ได้ว่าจะนั่งตรงไหน จนกระทั่ง
“ผมขอนั่งตรงนี้นะครับ”
จิอากิหันมาทางต้นเสียง ประจวบเหมาะกับที่เผลอสบตาเข้ากับหนุ่มผมทอง
เขาขยิบตาให้เธอหนึ่งครั้งก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะข้างๆเธอ ซึ่งนั่น อาจเป็นสิ่งที่จะทำให้ผู้หญิงในห้องเกลียดเธอเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณ
“สวัสดีครับอิโตะซัง เราเจอกันอีกแล้วนะ”
ชินจิโร่ทักทายอย่างเป็นกันเอง
ซึ่งนั่นต้องเป็นประเด็นให้คนในห้องสงสัยแน่ๆ จิอากิคิด
“สวัสดีค่ะอาตาเอะซัง
ดีใจที่ได้เจอกันอีกนะคะ” จิอากิยิ้มให้เขา โดยที่ตอนนี้
เธอไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกชูตะมองมาอย่างรู้สึกหึงหวง
ในขณะนั้นเอง อาจารย์ก็แนะนำนักเรียนใหม่คนต่อไป คน ๆ นี้
คือคนที่มิซาโกะถึงกับต้องสะดุ้งเมื่อเห็นหน้า เพราะเขาคือ
“สวัสดีครับ ผมนิชิจิมะ ทาคาฮิโระ
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” เขาแนะนำตัวพลางปรายตามองไปยังมิซาโกะที่พยามก้มหน้างุดเพื่อไม่ให้เขาเห็นหน้า
ในขณะที่ทาคาฮิโระเดินผ่านมิซาโกะไปยังโต๊ะที่ว่างอยู่ด้านหลังมิซาโกะนั้น
“เจอกันอีกแล้วนะ ยัยมนุษย์ป้า”
มิซาโกะได้ยินประโยคนั้นก่อนจะหันไปมองทาคาฮิโระตาขวาง
เธอกัดฟันกรอด
“ไอ่มนุษย์ปลาจรวด” มิซาโกะแค่นเสียงลอดไรฟัน
นั่นทำให้ทาคาฮิโระรู้สึกโมโหขึ้นมา
“ยังมีหน้ามาว่าฉันกลับอีกนะ ยัยหัวขโมย”
ยัยหัวขโมย คำ ๆ
นี้ทำให้มิซาโกะแปลกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นโมโห “ไอ้มนุษย์ปลา
นายหาว่าใครเป็นหัวขโมยนะ!”
“เธอไงยัยป้า ยังทำเป็นไม่รู้ตัวอีกนะว่าเอาอะไรของคนอื่นไปน่ะ
เธอนี่มันหน้าด้านจริง ๆ”
มิซาโกะตบโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นประจันหน้ากับทาคาฮิโระทันที “ไอ้บ้า! ฉันไปเอาของ ๆ นายมาตอนไหนไม่ทราบ จู่ ๆ
ก็มากล่าวหาคนอื่นเสีย ๆ หาย ๆ แบบนี้ ใครกันแน่ที่หน้าด้าน!”
คนทั้งห้องต่างพุ่งเป้ามองไปที่ทั้งคู่ด้วยความสับสนปนอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น… รวมถึงอาจารย์ประจำชั้นด้วย
“หนอยยย เธอนี่มันตอแหลเก่งจริง ๆ
เธอจะไม่ยอมรับจริง ๆ ใช่ไหมว่าเมื่อคืนเธอขโมยกระเป๋าเงินของฉันที่ฮับผับไปน่ะ”
“อะไรนะ!” มิซาโกะเอียงศีรษะด้วยความมึนงงว่าตัวเองไปทำอะไรแบบนั้นตอนไหน
ถึงเธอจะเมา แต่เธอก็จำได้แค่ทะเลาะกับไอ้บ้าหน้าปลานี่แล้วก็รีบจ่ายเงินออกจากร้านไป
ก็แค่นั้น เธอมั่นใจว่าไม่ได้หยิบกระเป๋าเงินของเขาติดมือมาแน่ๆ
“นี่ฟังนะ ฉันไม่ได้ขโมยอะไรของนายทั้งนั้น
โอเค ตอนนั้นฉันอาจจะเมา แต่ฉันยืนยันว่าฉันไม่ได้หยิบอะไรของนายติดมือมาเลยแม้แต่อย่างเดียว
นายคงสะเพร่าเพราะสมองนายน่ะมันเล็กเท่าปลาเหมือนหน้าของนายที่ลืมไว้ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้เอง
ซึ่งฉันไม่สามารถตรัสรู้ได้ว่ามันอยู่ที่ไหน
และฉันก็ยืนยันนั่งยันนอนยันว่าฉันไม่ได้เอาของนายไป!”
“ฉันไม่เชื่อผู้หญิงอย่างเธอหรอก คอยดูนะ
ฉันต้องเค้นความจริงออกจากปากเธอให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
ยังไงเธอก็ต้องคืนมันมาให้ฉัน ยัยป้า!”
หนอย ยัยป้างั้นหรอ มิซาโกะกัดฟันกรอด
ก่อนจะคว้าหนังสือเล่มหนาบนโต๊ะขึ้นมาแล้วเงื้อท่าเตรียมจะฟาดหน้าหล่อๆของทาคาฮิโระอย่างเหลืออด
ทั้งอาจารย์และเพื่อนๆในห้องเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดีแล้ว(จริงๆควรจะเห็นตั้งนานแล้ว?) จึงรีบเข้าไปห้ามทัพสองคนนั่น
ก่อนที่ห้องนี้จะกลายเป็นสมรภูมิสงครามระหว่างสองคนนี้จริง ๆ
“พอได้แล้วทั้งคู่น่ะ” เมื่อมิซาโกะกับทาคาฮิโระที่กำลังจะปะทะกันถูกเพื่อนๆจับแยก
อาจารย์ประจำชั้นก็รีบพูดปรามทันที
“นั่งที่เดี๋ยวนี้เลย ทั้งสองคน
ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกัน มีอะไรค่อยไปเคลียร์กันรอบนอก และต้องไม่ใช่ที่นี่”
เมื่อทั้งสองถูกอาจารย์ตำหนิ พวกเขาก็หยุดทะเลาะ แม้ว่าจะไม่เปิดศึกโต้เถียงหรือใช้กำลังกันอีกแล้ว
แต่เมื่อมองจากสายตา ต่างคนต่างก็มองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ
ก่อนจะสลัดจากการเกาะกุมของเพื่อนที่มาห้ามศึกแล้วนั่งประจำที่ของตัวเองทันที
“หึ ๆ” มิตสึฮิโระที่มองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ด้านนอกห้องแค่นหัวเราะออกมา
“ไม่คิดว่าจะเจอหมอนั่นที่นี่นะเนี่ย” จากนั้นเขาก็เปิดประตูเข้าไปในห้องเรียน
“ทุกคน” อาจารย์พูดขึ้นเมื่อเห็นมิตสึฮิโระเดินเข้ามา
“นักเรียนใหม่คนสุดท้ายของวันนี้”
“ผมฮิดากะ มิตสึฮิโระครับ
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” เขายิ้มพลางมองไปยังทาคาฮิโระและมิซาโกะที่นั่งถัดกัน
ในใจก็คิดว่า ช่างบังเอิญอะไรอย่างนี้
จากนั้นเขาก็เดินไปยังโต๊ะที่ว่างตัวสุดท้าย ขณะที่เขากำลังเดินผ่านใครบางคนไปอยู่นั้นเอง
“สวัสดีฮิดากะ” ชูตะเอ่ยทัก
มิตสึฮิโระหยุดเดินก่อนจะมองไปทางชูตะ
“อืม หวัดดี”
“ฉันชูตะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” ชูตะพูดพร้อมกับยื่นมือขวาให้จับ
“อืม” มิตสึฮิโระยื่นมือให้จับแบบส่ง
ๆ ก่อนจะรีบเดินไปยังที่นั่งของตัวเอง โดยที่ไม่รู้ว่าชูตะได้พยายามอ่านทุกอย่างในตัวของเขาอยู่
อะไรกัน ชูตะนึกในใจก่อนจะหันไปมองมิตสึฮิโระซึ่งตอนนี้กำลังล้วงหนังสือออกจากกระเป๋าวางบนโต๊ะ
ทำไมอ่านความคิดหมอนี่ไม่ได้!?
มิตสึฮิโระเงยหน้ามองชูตะที่หันมามองเขา
ชูตะเปลี่ยนเป็นส่งยิ้มยิงฟันให้อย่างอารมณ์ดี แต่มิตสึฮิโระหาได้สนใจไม่
เขาเมินชูตะแล้วจัดระเบียบของบนโต๊ะต่อไป
ชูตะเอาสองมือจับมุมปากที่ยิ้มแฉ่งอยู่ให้หุบลงก่อนจะหันกลับไปด้านหน้าอย่างเศร้า
ๆ แม้จะยังอดแปลกใจไม่ได้
แต่เขาก็สะบัดความคิดนั่นหลุดไปก่อนจะกลับไปตั้งสมาธิกับการเรียนเมื่ออาจารย์ประจำวิชาเดินเข้ามาในห้องแล้ว
เวลาในการเรียนผ่านไปหลายชั่วโมง
ในที่สุดก็ถึงชั่วโมงที่ทุกคนต้องหาชมรมกันแล้ว จิอากิมองรายชื่อชมรมตามประกาศอย่างท้อ
ๆ เธอรู้สึกว่าไม่มีชมรมไหนเหมาะกับเธอเลยสักชมรมเดียว เธอถอนหายใจ
ก่อนจะตัดใจและคิดว่าเธออาจไม่จำเป็นต้องเข้าชมรมก็ได้ แต่แล้ว
“อิโตะซังอยู่ชมรมไหนครับ?” จิอากิหันไปตามเสียง ก่อนจะพบว่าเจ้าของเสียงนุ่มคุ้นหูนั้นคือชินจิโร่
เขายิ้มให้เธอด้วยรอยยิ้มที่สาวคนไหนเห็นเป็นต้องละลาย ก่อนจะชูกระดาษใบปลิวในมือแกว่งไปมา
“คือ…
ผมเพิ่งได้ไอ้นี่มาน่ะ ได้มาจากรุ่นพี่คนนึง ชมรมแนวฟรีสไตล์ รายละเอียดน่าสนใจดี
เลยกะจะมาชวนเข้าชมรมนี้ด้วยกันน่ะครับ” เขายื่นกระดาษแผ่นนั้นให้จิอากิ
จิอากิรับใบปลิวจากชินจิโร่ก่อนจะกวาดสายตาอ่านข้อความรายละเอียดของชมรม “หืม?” จิอากิขมวดคิ้ว
“มีอะไรไม่เข้าใจตรงไหนรึเปล่าครับ?”
ชินจิโร่เอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจของจิอากิ
จิอากิยื่นใบปลิวมาให้พร้อมกับชี้ข้อความบางอย่างให้ชินจิโร่อ่าน “ชมรมของคนมีสิ่งพิเศษ?” ชินจิโร่ทวนประโยคนั้นก่อนจะหันมาหาจิอากิ
“มันทำไมเหรอครับ?”
“ฉันแค่สงสัยในคุณสมบัติตรงนี้น่ะค่ะ
ที่บอกว่าชมรมของคนมีสิ่งพิเศษ มันหมายความว่ายังไง?”
“ผมคิดว่า เค้าคงจะหมายถึง… คนที่มีของดีอยู่ในตัว
ให้ปล่อยของสิ่งนั้นออกมาได้อย่างเต็มที่ในชมรมนี้อะไรแบบนี้มากกว่…”
จิอากิพูดแทรกขึ้น “ไม่หรอกค่ะ
ฉันคิดว่าสิ่งที่เค้าเขียนมา เค้าหมายความถึงอย่างนั้นจริง ๆ” เธอเงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษ “ตกลงค่ะ
ฉันจะเข้าชมรมนี้” ชินจิโร่ที่กำลังงง ๆ อยู่ได้แต่พยักหน้าตอบรับพร้อมกับยิ้มให้เธอ
ชูตะที่ยืนมองสองคนนี้อยู่ห่าง ๆ ได้แต่เจ็บปวดและก่นด่าตัวเองอยู่ในใจที่มันขี้ขลาด
ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปทักทายผู้หญิงที่ตัวเองชอบ
ซ้ำยังปล่อยให้ไอ้นักเรียนใหม่คนนั้นแย่งตีสนิทกับเธอตัดหน้าตัวเอง
แถมยังเป็นคนเดียวกับที่จิอากิเคยเดินถือของไปด้วยตอนที่ชูตะสะกดรอยตามสองคนนั้นไป
ชูตะกำหมัดแน่น พร้อมๆกับขยำใบปลิวชมรมในมือของตัวเองอย่างลืมตัว
เขาไม่สามารถทนเห็นภาพบาดตาบาดใจนี้ได้อีกต่อไป
นั่นทำให้เขาเดินผละออกมาจากที่ตรงนั้นมายังหลังห้องน้ำของโรงเรียน…
ชูตะล้วงซองบุหรี่กับไฟแช็กในกระเป๋ากางเกงออกมา
เขาเอาบุหรี่คาบไว้ในปาก ก่อนจะดีดไฟแช็กเพื่อจุดไฟ
แต่โชคร้ายที่ดีดเท่าไหร่ไฟนั่นดันไม่ติด จนกระทั่ง
‘พรึ่บ!’
ไฟบุหรี่ของชูตะถูกจุดโดยฝีมือของใครบางคน
ชูตะหันไปทางที่มาของไฟนั่น ก่อนจะพบกับผู้ชายที่เขาได้เจอกันก่อนหน้านี้ “นาย!” ชูตะเบิกตาโตเมื่อเห็นชายคนนั้นสามารถจุดไฟให้ติดอยู่บนปลายนิ้วชี้ของเขา
ก่อนที่เขาจะเป่าไฟบนปลายนิ้วนั่นดับ “ไม่ต้องขอบคุณร้อก
ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย” เขาว่าพลางยักไหล่
“นายเป็นใคร” ชูตะเอ่ยถาม
“ชะอุ่ย ทำไมลืมกันง่ายจัง ฉันนาโอยะงายยยย
เพิ่งเจอกันเมื่อวานนี่เองนะซูเอโยชิคุ๊ง!” นาโอยะยืนกอดอกทำท่าเง้างอนแล้วทำปากจู๋
ด้วยรูปร่างและหน้าตาที่ดูนักเลงของนาโอยะแล้ว การทำอากัปกิริยาแบบนี้มันช่างขัดกับลุคของเขาอย่างแท้จริง
นั่นทำให้ชูตะแทบสำลักเมื่อเห็นท่าทางนั้นของนาโอยะ
“เฮ้ๆ ฉันจำนายได้ แต่สิ่งที่ฉันถาม
ฉันหมายถึง…” ชูตะมองไปที่นิ้วมือเรียวสวยของนาโอยะที่กำลังกระดิกนิ้วกลางเล่นอย่างทึ่งๆ
“นายเป็นใครกันแน่ ถึงทำแบบนั้นได้น่ะ!?”
“อ้าว เมื่อวานฉันให้นายแตะมือแล้วนะ
ไม่ได้อ่านอดีตฉันหรอกเหรอ?” นาโอยะพูดยิ้มๆ ชูตะอึกอัก
ตอนนี้เขางงไปหมดแล้วว่านี่มันเรื่องอะไรกัน “ตะ แต่
เมื่อวานฉันเห็นอดีตของนายก็จริง แต่… ไม่ใช่” ชูตะเริ่มตระหนักได้แล้วว่าเรื่องนี้มันชักจะไม่ปกติซะแล้ว “…นั่นไม่ใช่อดีตของนาย”
นาโอยะยิ้มมุมปาก “อา
ว่าแล้ว ไม่รู้ตัวจริงๆด้วยแฮะ”
ชูตะมองนาโอยะอย่างไม่เข้าใจ “ก็เมื่อวาน ภาพอดีตของนายหลั่งไหลเข้ามา แต่ว่า… แต่ทำไม…
ฉันนึกมันไม่ออก ตอนนี้มันนึกไม่ออกแล้ว…”
“นายน่ะ นึกไม่ออกตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
นาโอยะพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้านายรู้อดีตหรืออ่านใจฉันได้จริงๆ
นายคงไม่ย้อนถามฉันหรอก ว่าฉันมีจุดประสงค์อะไรถึงตามนายมา
ฉันรู้พลังของนายได้ยังไง ถ้านายสามารถอ่านความคิดกับเห็นภาพอดีตของฉันได้จริงๆ
นายก็ต้องรู้สิ ว่าฉันเป็นใคร มาจากไหน แถมยังมีพลังพิเศษอีกด้วย”
ชูตะนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่เขาเจอนาโอยะครั้งแรก
“โอเค ฉันแนะนำตัวเองก็ได้ ฉันอุราตะ
นาโอยะ” ในที่สุดเขาก็แนะนำตัวอย่างจริงจัง “ฉันเป็นใครนายเองก็คงรู้หมดแล้วละมั้ง คราวนี้รู้จักยังล่ะ”
“เฮ้…” ชูตะมองนาโอยะอย่างระแวง
“นายรู้พลังของฉันได้ยังไง”
“อ้าว ในความคิดฉันไม่ได้บอกเอาไว้หรอกเหรอ
หวา แย่จัง”
ชูตะเข้าประเด็นทันที “โอเค ไม่ถามเรื่องนั้นก็ได้ แต่สิ่งที่ฉันต้องการถามในตอนนี้ก็คือ จุดประสงค์ที่นายมาที่นี่”
“บอกก็ได้” นาโอยะมุ่ยหน้า
“ฉันแค่สงสัยว่ายายนั่นมันแปลกยังไง”
“เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ด้วย” ชูตะพยักหน้าอย่างเข้าใจ “นายก็เลยตามมาส่องพฤติกรรมของเธองั้นเหรอ?”
“เปล่า” นาโอยะปฏิเสธด้วยท่าทางจริงจัง
“คนอย่างฉันไม่เสียเวลามาเดินตามสังเกตผู้หญิงต้อย ๆ
อย่างนายหรอก”
คำพูดแบบนี้ทำเอาชูตะเกือบจะชกหน้าหมอนี่เข้าให้แล้ว
แต่เขาก็ปล่อยให้นาโอยะพูดต่อไป “คนที่ฉันมาหามันคือนายต่างหากละซูเอโยชิคุง”
“ฉัน?”
“นี่ฉันสับสนอะไรอยู่เนี่ย” ชูตะพึมพำ
“เปล่าหรอก นายแค่ถูกกวนสมาธิน่ะ” นาโอยะเฉลย “ในตอนนั้นนายไม่ได้สนใจฉัน
นายกำลังพุ่งความสนใจไปที่ผู้หญิงกับผู้ชายคนนั้น สำหรับคนที่มีพลังพิเศษ
แน่นอนว่าจะไม่สามารถอ่านความคิดหรืออดีตของอีกคนที่มีพลังพิเศษได้ เพราะพลังของอีกฝ่ายจะเป็นตัวปั่นประสาทให้กับคนที่มีพลังแบบนายไงละ
แล้วยิ่งใจไม่นิ่ง ไร้สมาธิจดจ่อ ก็ยิ่งยากที่จะอ่านใจกันได้ ผลเลยออกมาเป็นแบบนี้”
“สรุปว่านายเป็นใครกันแน่” ชูตะหยุดความคิดที่กำลังสับสนอยู่ก่อนจะมองนาโอยะอย่างระแวง
“ฉันคือคนเชื่อมคนน่ะ” นาโอยะยิ้ม “เอาเป็นว่านายได้รู้แน่
ถ้านายยอมเข้าชมรมของฉัน ชมรม Attack All Around น่ะ สนมะ?”
ชูตะหรี่ตาลง แม้จะยังไม่ไว้ใจ
แต่มันก็ไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย บวกกับที่เขาเองก็อยากจะไขปริศนาที่มาของนาโอยะด้วย
“สรุปจะไม่บอกกันจริง ๆ ใช่ไหมว่านายรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง”
นาโอยะไม่ตอบ ก่อนจะยักไหล่ ชูตะถอนหายใจ พร้อมกับตอบว่า “ตกลง… ก็ได้”
“เห้ยยยยย!!!” จู่ ๆ
ก็มีเสียงผู้ชายร้องเสียงหลงมาจากทางด้านหลังของทั้งสองคน
ชูตะและนาโอยะหันไปตามเสียงร้องทันทีก่อนจะถามขึ้นพร้อมกัน “ใครน่ะ!?”
มิซาโกะนั่งไล่ดูรูปถ่ายในมือถือที่มีรูปเธอกับโทมัสทีละรูป
ทีละรูปอยู่ใต้ต้นไม้ในสวนหลังโรงเรียน เธอถอนหายใจอย่างเศร้า ๆ ก่อนที่น้ำใส ๆ
จะไหลออกมาจากดวงตาของเธอทั้งสองข้างอาบแก้ม
เธอรู้ว่าเรื่องระหว่างเธอกับเขามันจบแล้ว จบแค่เพียงข้ามคืน
เธอยังทำใจรับกับมันไม่ได้ว่าตอนนี้เธอได้เลิกกับแฟนสุดหล่อของเธอไปแล้วจริง ๆ
ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานเธอเมาหนักมาก และเธออกหัก
เธอเลือกที่จะไม่มาโรงเรียนในวันนี้ก็ได้ แต่มิซาโกะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง
เธอไม่ยอมปล่อยให้เรื่องแบบนี้มากระทบกับการเรียนของเธอแน่ แต่ถึงอย่างนั้น
เธอก็ยังทำใจและอดเสียใจกับมันไม่ได้อยู่ดี มันเร็วและกะทันหันเกินไปสำหรับเธอ
“ทำไมล่ะโทมัส
นายยังไม่มีเหตุผลบอกเลิกที่ดีพอจะบอกกับฉันเลยนะ นายอยากจะหมดรักก็บอกเลิกกันง่าย
ๆ แบบนี้เลยอย่างนั้นหรอ?
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาฉันมันไม่มีความหมายอะไรสำคัญมากมายกับชีวิตนายเลยใช่ไหม
ฮึก… ฮือออออออ” มิซาโกะร้องไห้โฮ
เธอกอดมือถือไว้กับตัวก่อนจะนั่งงอตัวเอาหน้าซุกเข่าร้องไห้
เป็นเรื่องจริงที่เธออาจจะดูเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง
แต่ความจริงแล้วเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่อ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้
สิ่งที่เธอต้องการก็มีแค่เพียงใครสักคนที่จะมาปลอบและให้กำลังใจเธอในยามที่เธออ่อนแอ
เธอไร้เพื่อน เพราะเธอเป็นคนปิดกั้นตัวเองและไม่ไว้ใจใคร
ด้วยความหยิ่งยโสและอีโก้สูงของเธอ จึงยากที่จะมีเพื่อนที่รัก รู้ใจเธอและพร้อมที่จะปลอบโยนเธอในยามที่เธอเสียใจ
ตอนนี้เธออยู่ตัวคนเดียว แฟนก็ทิ้งเธอไปแล้ว เธอไม่เหลือใครอีกแล้ว
เธอรู้สึกโดดเดี่ยวเหลือเกิน
‘แผละ’
เปลือกกล้วยถูกโยนลงมาจากบนต้นไม้ก่อนจะหล่นใส่ศีรษะของมิซาโกะ
มิซาโกะเงยหน้าขึ้นจากเข่าก่อนจะหยิบเปลือกกล้วยบนหัวเธอออกมาดู
“กรี๊ดดดด มาจากไหนเนี่ย!” เธอขว้างเปลือกกล้วยออกไปไกลตัวก่อนจะแหงนหน้าขึ้นไปมองบนต้นไม้
และเธอก็พบกับต้นเหตุของเปลือกกล้วยที่หล่นใส่หัวเธอ นั่นทำให้เธอถึงกับปรี๊ด “ไอ้หน้าปลากระดี่!!!!!!”
ทาคาฮิโระมองลงมาอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “เปลี่ยนฉายาใหม่ให้กันอีกละ” เขาปอกกล้วยผลที่สองอย่างไม่สะทกสะท้าน
“นายมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!?”
มิซาโกะถามอย่างแปลกใจปนอับอาย เธอรีบเช็ดน้ำตาออกจากหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ก็ก่อนที่เธอจะมานั่งร้องไห้คร่ำครวญถึงคนรักที่จากไปอะไรนั่นแหละ”
ทาคาฮิโระว่าพลางกัดกล้วยเข้าปากคำใหญ่
“หนอย ไร้มารยาท
มาแอบฟังคนอื่นได้ยังไงกัน!” มิซาโกะกระทืบเท้า
เธอรู้สึกเสียฟอร์มและโกรธทาคาฮิโระที่ดันมาได้ยินเธอคร่ำครวญ
นั่นทำให้เธอพาลใส่เขา แต่ทาคาฮิโระหาได้ใส่ใจคำด่าของมิซาโกะ
เขากระโดดลงมาจากต้นไม้ ก่อนจะยื่นกล้วยอีกผลให้มิซาโกะ “เอาไปกิน
แล้วก็หยุดร้องไห้ได้แล้ว”
มิซาโกะมองทาคาฮิโระอย่างงง ๆ
ก่อนจะปัดมือเขาแล้วเดินฟึดฟัดออกไป
แต่ทาคาฮิโระก็เดินไปจับมือของมิซาโกะไว้ให้เธอหยุดเดิน
ก่อนจะเอากล้วยผลนั้นยัดใส่มือของเธอ “รับไว้เถอะน่า
ถือว่าเป็นของแทนคำขอโทษที่ดันมาได้ฟังเรื่องราวดราม่าของเธอแล้วกัน” มิซาโกะหันมามองทาคาฮิโระ เธอแปลกใจกับท่าทางของทาคาฮิโระในวันนี้เล็กน้อย…
ไม่สิ มาก ๆ เลยล่ะ “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย
เดี๋ยวร้ายเดี๋ยวดี เป็นไบโพล่าเหรอ”
“เปล่า” ทาคาฮิโระยิ้ม
“เอาเป็นว่า ฉันไม่สบายใจเวลาเห็นผู้หญิงร้องไห้… ก็แค่นั้น” มิซาโกะเอียงคอด้วยอาการมึนงง อะไรของหมอนี่?
“เพราะฉะนั้น รับกล้วยนี่ไปซะ ไปละ”
ทาคาฮิโระกุมมือมิซาโกะที่ถือกล้วยที่เขาให้ไว้ ก่อนที่เขาจะเดินออกไป
มิซาโกะยืนทึ่งอยู่ตรงนั้น
ก่อนจะก้มมองกล้วยในมืออย่างงง ๆ จากนั้นเธอก็ตะโกนไล่หลังทาคาฮิโระไป “แล้วกล้วยมันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะไอ้บ้า!”
“ผีเข้าเหรอ เมื่อเช้ายังชวนตีอยู่เลย”
มิซาโกะพึมพำ “มาแล้วก็ไป ฉันก็ยังไม่เข้าใจหมอนี่อยู่ดี…”
แต่แล้วมิซาโกะก็ได้แต่ยักไหล่และบอกตัวเองว่า จะไปสนใจเรื่องของเขาทำไมกัน
มิซาโกะคิดพลางเปิดมือถือขึ้นมาดูรูปเธอกับโทมัสที่ยังค้างอยู่ “ไอ้ผู้ชายเฮ็งซวย!” เธอสบถพร้อมกับไล่ลบภาพเธอกับโทมัสออกจากมือถือทันที
ทีละรูป ทีละรูป… จนกระทั่ง “เดี๋ยวนะ”
มิซาโกะมองรูปในมือถือตาไม่กระพริบ “นั่นมัน…”
เธอแสยะยิ้มก่อนจะปอกเปลือกกล้วยที่ทาคาฮิโระให้ไว้แล้วกัดเข้าปาก เธอตัดสินใจไม่ลบรูปนั้นก่อนจะเดินกลับเข้าห้องเรียน
“นิชิจิมะคุง” เสียงผู้หญิงเรียกทาคาฮิโระจากด้านหลัง
เขาหันไปตามเสียง ก่อนจะพบกับสาวสวยสี่คนเดินเข้ามาทักทาย แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักพวกเธอและไม่รู้ว่าพวกเธอรู้จักเขาได้ยังไง
แต่เขาก็ยิ้มทักทาย “มีอะไรรึเปล่าครับ?”
ผู้หญิงคนที่เรียกชื่อเขาคนแรกยื่นมือถือมาให้อย่างเขินอาย
“ขะ ขอเบอร์ของนายหน่อยสิ” เธอพูดพลางบิดตัวไปมา ทาคาฮิโระอึ้งไปสักพักเมื่อจู่ ๆ
ก็ถูกผู้หญิงเข้ามาจู่โจมเขาอย่างกะทันหันแบบนี้ แต่แล้วเขาก็ทำแค่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“อะฮ่า ๆ ๆ ๆ ทำไมถึงมาขอเบอร์กันดื้อ ๆ แบบนี้ละครับ”
เขาว่าพลางเกาหัวด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ
“กะ ก็แหม” เพื่อนสาวคนที่สองซึ่งยืนข้างคนที่ยื่นโทรศัพท์ให้ทาคาฮิโระพูดขึ้นพร้อมกับกระแทกไหล่เพื่อนเบา
ๆ “ยัยนี่ชอบนายน่ะสุดหล่อ แค่ให้เบอร์โทรเอง
จะสงเคราะห์กันหน่อยไม่ได้หรอจ้ะ” แล้วทั้งสามสาวก็กรี๊ดเล็ก
ๆ ให้กับคำพูดของเพื่อน
ทาคาฮิโระที่ตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ชวนอึดอัดกำลังคิดแผนที่จะปฏิเสธ แต่แล้ว…
“อ่า ก็ได้ครับ ได้เลย” เขาว่าพลางรับมือถือนั่นมาแล้วพิมพ์เบอร์ลงไป จากนั้นก็ยื่นให้เธอ
“อย่าโทรหาผมบ่อยนักละ” เขาขยิบตาให้เธอหนึ่งครั้งก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับโบกมือบ๊ายบาย
ผู้หญิงตรงหน้ารับมือถือนั่นไว้ด้วยอาการที่เรียกว่าระทวย เธอเหม่อลอย
ก่อนที่เพื่อนผู้หญิงรอบตัวเธออีกสามคนจะกรีดร้องอิจฉาเมื่อเห็นการตอบสนองของทาคาฮิโระต่อเพื่อนของพวกเธอ
“กรี๊ดดดด เขาให้เบอร์แกด้วยอ่ะ แอร๊ยยย”
ทาคาฮิโระที่เดินออกมาไกลแล้วหลุดขำออกมา “ก็แค่เบอร์เงินกู้นอกระบบ เอาไปทำอะไรกันน้าสาว ๆ คิก ๆ” เขาจินตนาการตอนที่พวกหล่อนโทรเบอร์ที่เขาให้ไปแล้วก็หัวเราะคิก
ก่อนจะสะบัดความคิดนั่นทิ้งแล้วเดินไปห้องน้ำ ในขณะที่ทาคาฮิโระกำลังจะเดินเข้าไปในห้องน้ำนั้น
เขาก็บังเอิญได้ยินบทสนทนาของคนสองคนดังมาจากด้านหลังห้องน้ำ
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงเดินแอบไปดูว่าเป็นใคร
“นายเป็นใคร” ชายผมหยักศกสีบลอนด์ทองหน้าตาหล่อเหลากำลังยืนถามคำถามด้วยท่าทางตกใจกับชายหนุ่มร่างสูงอีกคนที่มีท่าทางดุดันแต่แฝงความขี้เล่นไว้ในที
ชายร่างสูงทำท่าตกใจพร้อมกับเอามือทาบอก “ชะอุ่ย
ทำไมลืมกันง่ายจัง ฉันนาโอยะงายยยย เพิ่งเจอกันเมื่อวานนี่เองนะซูเอโยชิคุ๊ง!”
คนที่บอกว่าชื่อนาโอยะยืนกอดอกทำท่าเง้างอนแล้วทำปากจู๋ ด้วยรูปร่างและหน้าตาที่ดูนักเลงของเขาแล้ว
การทำอากัปกิริยาแบบนี้มันช่างขัดกับลุคของเขาอย่างแท้จริง นั่นทำให้ทาคาฮิโระแทบสำลักเมื่อเห็นท่าทางนั้นของชายที่ชื่อนาโอยะ
“เฮ้ๆ ฉันจำนายได้ แต่สิ่งที่ฉันถาม
ฉันหมายถึง…” ชายที่ชื่อซูเอโยชิมองไปที่นิ้วมือเรียวสวยของชายที่ชื่อนาโอยะที่กำลังกระดิกนิ้วกลางเล่นอย่างทึ่งๆ
“นายเป็นใครกันแน่ ถึงทำแบบนั้นได้น่ะ!?”
ทาคาฮิโระคิด ก็แค่กระดิกนิ้วกลาง มันแปลกตรงไหน?
“อ้าว เมื่อวานฉันให้นายแตะมือแล้วนะ
ไม่ได้อ่านอดีตฉันหรอกเหรอ?” ชายที่ชื่อนาโอยะพูดยิ้มๆ นั่นทำให้ชายที่ชื่อซูเอโยชิเกิดอาการอึกอัก
ทาคาฮิโระมองทั้งสองคนอย่างไม่เข้าใจ อะไรคือแตะมือ?
อ่านอดีต? ยังไง? ไอ้พวกนี้มันพูดเรื่องบ้าอะไรกันอยู่วะเนี่ย แม้ว่าทาคาฮิโระจะไม่เข้าใจ
แต่ด้วยเพราะต่อมอยากรู้อยากเห็นของเขานั่นเอง
ทำให้เขาจำต้องฟังต่ออย่างช่วยไม่ได้
ชายที่ชื่อซูเอโยชิพูดขึ้นอย่างไม่มั่นใจ “ตะ แต่ เมื่อวานฉันเห็นอดีตของนายก็จริง แต่… ไม่ใช่”
ชายที่ชื่อซูเอโยชิเริ่มมีทาทางไม่แน่ใจ “…นั่นไม่ใช่อดีตของนาย”
ชายที่ชื่อนาโอยะยิ้มมุมปาก “อา ว่าแล้ว ไม่รู้ตัวจริงๆด้วยแฮะ”
ไม่รู้อะไรวะ ทาคาฮิโระตามแอบฟังอยู่ห่าง
ๆ อย่างตั้งใจพร้อมกับสบถไม่เข้าใจในใจเพราะไม่รู้เรื่องอะไรเป็นระยะ ๆ
ชายที่ชื่อซูเอโยชิมองชายที่ชื่อนาโอยะอย่างไม่เข้าใจ “ก็เมื่อวาน ภาพอดีตของนายหลั่งไหลเข้ามา แต่ว่า… แต่ทำไม…
ฉันนึกมันไม่ออก ตอนนี้มันนึกไม่ออกแล้ว…”
“นายน่ะ นึกไม่ออกตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
ชายที่ชื่อนาโอยะพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้านายรู้อดีตหรืออ่านใจฉันได้จริงๆ
นายคงไม่ย้อนถามฉันหรอก ว่าฉันมีจุดประสงค์อะไรถึงตามนายมา
ฉันรู้พลังของนายได้ยังไง ถ้านายสามารถอ่านความคิดกับเห็นภาพอดีตของฉันได้จริงๆ
นายก็ต้องรู้สิ ว่าฉันเป็นใคร มาจากไหน แถมยังมีพลังพิเศษอีกด้วย”
ชายที่ชื่อซูเอโยชิพึมพำ
แต่เนื่องจากทาคาฮิโระแอบฟังในสถานที่ที่ไกลเกินไป จึงยากที่จะได้ยินประโยคนั้น
แล้วชายที่ชื่อนาโอยะก็พูดขึ้น “เปล่าหรอก นายแค่ถูกกวนสมาธิน่ะ” เขายังพูดต่อไป “ในตอนนั้นนายไม่ได้สนใจฉัน นายกำลังพุ่งความสนใจไปที่ผู้หญิงกับผู้ชายคนนั้น
สำหรับคนที่มีพลังพิเศษ
แน่นอนว่าจะไม่สามารถอ่านความคิดหรืออดีตของอีกคนที่มีพลังพิเศษได้
เพราะพลังของอีกฝ่ายจะเป็นตัวปั่นประสาทให้กับคนที่มีพลังแบบนายไงละ
แล้วยิ่งใจไม่นิ่ง ไร้สมาธิจดจ่อ ก็ยิ่งยากที่จะอ่านใจกันได้ ผลเลยออกมาเป็นแบบนี้”
“สรุปว่านายเป็นใครกันแน่” ชายที่ชื่อซูเอโยชิเอ่ยถามประโยคนี้อีกครั้ง
ซึ่งเป็นคำถามเดียวกันกับของทาคาฮิโระที่อยู่ในใจเหมือนกันตอนนี้
แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลยก็ตาม
ทาคาฮิโระที่แอบฟังมาสักพักเริ่มจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้บ้างแล้ว
ที่เขาเข้าใจในตอนนี้คือ คนที่ชื่อซูเอโยชิ
เป็นคนที่มีพลังพิเศษบางอย่างที่สามารถอ่านความคิดหรืออดีตของคนอื่นได้โดยการสัมผัส
แล้วจากนั้นก็พูดถึงเรื่องกวนสมาธิจากพลังที่มาจากคนที่มีพลังพิเศษเช่นกัน
และอื่นๆบางส่วนที่ทาคาฮิโระยังไม่เก็ทเท่าที่ควร เขาตั้งใจฟังต่อไปเพื่อเก็บข้อมูลที่น่าสนใจที่กำลังดึงดูดเขาอยู่ในตอนนี้
“ฉันคือคนเชื่อมคนน่ะ” ชายที่ชื่อนาโอยะพูดยิ้ม ๆ “เอาเป็นว่านายได้รู้แน่
ถ้านายยอมเข้าชมรมของฉัน ชมรม Attack All Around น่ะ สนมะ?”
ชมรมงั้นเหรอ ทาคาฮิโระนึก
เขาเหมือนเคยได้ยินชื่อชมรมนี้จากที่ไหน
ชายที่ชื่อซูเอโยชิหรี่ตาลง “สรุปจะไม่บอกกันจริง ๆ ใช่ไหมว่านายรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง” ชายที่ชื่อนาโอยะไม่ตอบ ก่อนจะยักไหล่เป็นเชิงว่า ใช่
ชายที่ชื่อซูเอโยชิได้แต่ถอนหายใจ ก่อนที่เขาจะตอบว่า “ตกลง… ก็ได้”
ทาคาฮิโระที่มัวแต่ตั้งใจฟังอยู่เลยไม่ทันได้ระวังตัว
จู่ ๆ เขาก็ถูกใครบางคนจู่โจมจากทางด้านหลัง
“จ๊ะเอ๋!”
“เห้ยยยยย!!!” ทาคาฮิโระร้องเสียงหลงก่อนจะหันไปทางผู้มาเยือน
เป็นเวลาเดียวกันกับชายที่ชื่อนาโอยะและซูเอโยชิหันมาทางเขาแล้วตะโกนถามพร้อมกัน “ใครน่ะ!?”
ทาคาฮิโระพบว่า คนที่มาทำให้เขาตกใจคือ โคนิชิ ฮิโรกิ
หนุ่มหล่อระดับท็อปในโรงเรียนซึ่งเป็นเพื่อนใหม่ของทาคาฮิโระที่เจอในวันแรกก็สนิทกันทันที
ด้วยนิสัยที่เฟรนด์ลี่ขี้เล่น ทำให้เขาดูจะเล่นไม่รู้กาลเทศะไปสักหน่อย
“ตกใจเสียงดังเลย ฮ่า ๆ มาทำอะไรตรงนี่ล่ะนิชชี่
ไม่เข้าห้องน้ำล่ะ?” ฮิโรกิถามอย่างซื่อ ๆ ในขณะที่ทาคาฮิโระนี่แทบอยากจะบีบคอเขาให้ตายคามือด้วยความโกรธจัดมากในตอนนี้
ถ้าไม่ติดว่าชายที่ชื่อนาโอยะและซูเอโยชิเดินมาหาเขาแล้ว
“เฮ้ ๆ นิสัยไม่ดีเลยนะครับ” ชายที่ชื่อนาโอยะมองมาทางทาคาฮิโระด้วยสีหน้าบ่งบอกได้เลยว่าหงุดหงิดสุด ๆ
งานเข้าแล้วไง! ทาคาฮิโระหันไปมองหน้าทั้งสองคนก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ
ในขณะที่ฮิโระกิที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็ส่งยิ้มอารมณ์ดีทักทายผู้มาเยือน “สวัสดีครับ! มีอะไรกันรึเปล่าครับเนี่ย?”
ไอ้โคนิชิ ไอ้บ้า!!!!! ทาคาฮิโระแทบอยากกัดลิ้นตัวเองตาย
“ไม่มีอะไรหรอกครับ” ชายที่ชื่อนาโอยะพูดกับฮิโรกิด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ก่อนจะปรายตามองไปไปยังทาคาฮิโระที่ตอนนี้ได้ยิ้มเจื่อน “เรามีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนของคุณนิดหน่อยน่ะ”
มิซาโกะเดินไปหาประธานชมรมข่าวในโรงเรียนที่กำลังนั่งพิมพ์อะไรสักอย่างบนแล็ปท็อปของตัวเอง
คาดว่าน่าจะเป็นการเขียนข่าว หรือไม่ก็การจัดการข้อมูลสมาชิกใหม่
เนื่องจากวันเปิดเทอม ก็จะมีคนสมัครชมรมนี้เยอะมากทีเดียว
จึงต้องมีการคัดเลือกก่อนเข้าชมรม หรือจะอะไรก็ตามแต่
จุดประสงค์ที่เธอเดินทางมายังชมรมนี้ไม่ใช่เพราะเธอต้องการจะมาเข้าชมรมหรอก
เพราะแน่นอนว่าก่อนหน้านี้เธอไม่มีชมรมอยู่แล้ว และเธอก็ไม่ต้องการจะเข้าร่วมอีกด้วย
แต่เธอต้องการที่จะมา ‘ขายข่าวเด็ด’ ของเธอต่างหากละ
“สวัสดีค่ะซาโต้ซัง” มิซาโกะเอ่ยทักทายเขา ซาโต้ ทาเครุ หนุ่มรูปหล่อผู้เป็นหน้าเป็นตาแห่งวงการชมรมข่าวของโรงเรียน
เรียนแก่งโปรไฟล์ดี แล้วยังพ่วงด้วยตำแหน่งประธานชมรมข่าวของโรงเรียนอีก แต่ด้วยนิสัยของเขานั้นเป็นคนที่เจ้าเล่ห์พอตัว
บวกกับที่เจ้าตัวนั้นฉลาดเป็นกรด หากไม่ระวัง
อาจจะถูกชายคนนี้แย่งชิงผลประโยชน์โดยไม่รู้ตัว
ทาเครุเงยหน้าจากจอแล็ปท็อปของเขา ก่อนจะส่งยิ้มให้มิซาโกะ
“สวัสดีครับอุโนะจัง สบายดีไหมครับ?”
“ฉันสบายดีค่ะ ซาโต้ซังล่ะคะ
เปิดเรียนวันแรก ยุ่งมากรึเปล่า?”
“อา สุด ๆ เลยละครับ” เขาผละออกจากแล็ปท็อปของเขา ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะเครื่องดื่มด้านหลัง “ดื่มอะไรหน่อยไหมครับ? เครื่องดื่มเรามีทุกอย่างเลยนะ”
“กาแฟค่ะ ฉันขอกาแฟดำ”
ทาเครุรินกาแฟลงถ้วยทั้งสองใบสำหรับของทั้งเขาและเธอ
ก่อนจะนำมายื่นให้มิซาโกะ มิซาโกะรับมาพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
“ว่าแต่ คุณมาเยี่ยมผมถึงที่นี่
มีธุระอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ?” ทาเครุเข้าประเด็นทันที
“แน่นอนค่ะ” มิซาโกะวางถ้วยกาแฟลงก่อนจะหยิบมือถือของเธอเปิดรูปในเครื่องแล้วยื่นให้ทาเครุดู
“หืม?”
“ซาโต้ซังรู้จักเธอใช่ไหมคะ?”
“อา ครับ รู้จัก เธอดังออก” เขายิ้มมุมปาก “อย่าบอกนะว่า อุโนะจังต้องการให้ผม…”
“ใช่ค่ะ” เธอยิ้ม “แลกกับราคาที่เราตกลงกันได้”
“ที่นี่รึเปล่านะ
สถานที่ตั้งชมรมที่ว่าน่ะ” ชินจิโร่มองแผนที่บนกระดาษพร้อมกับมองตึกชมรมขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังของโรงเรียน
“ทำไมมันใหญ่และดูหรูหราขนาดนี้ละเนี่ย มันดูดีเกินกว่าจะเป็นแค่ตึกชมรม”
เขาพูดอย่างแปลกใจก่อนจะหันไปมองจิอากิที่เดินมากับเขาด้วย
“ลองเข้าไปดูด้านในก่อนไหมคะอาตาเอะซัง”
เธอว่าพลางชี้ไปที่รั้วประตูทางเข้าที่เปิดอยู่
“ครับ” แล้วทั้งสองก็เดินเข้าไป
หากจะพูดถึงสภาพด้านนอกตึกว่าหรูหราแล้ว
ด้านในนี่หรูหรากว่าหลายเท่าเลย
ชินจิโร่ถึงกับรู้สึกเหวอไปเลยทีเดียวเพราะไม่อยากจะเชื่อ มันหรูเกินกว่าจะเป็นชมรมอย่างที่เขาคิดจริง
ๆ แต่สิ่งที่เขาและจิอากิต่างรู้สึกเหมือนกันก็คือ “มันเงียบไปรึเปล่าคะเนี่ย”
จิอากิมองไปรอบ ๆ อย่างระแวง
“สถานที่ก็หรูหรา แต่ทำไมไม่มีคนเลยล่ะ”
ชินจิโร่เดินไปรอบ ๆ ห้องโถง ซึ่งเป็นที่ ๆ กว้างมาก
แล้วก็โล่งมากเช่นกัน ไร้ซึ่งสิ่งที่เรียกว่าเฟอร์นิเจอร์ มีแต่ห้องโล่ง ๆ
ที่ตกแต่งดูหรูหราโอ่อ่าเท่านั้น หากแต่จะถามหาเก้าอี้
ดูเหมือนชินจิโร่จะต้องผิดหวังเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เพราะมันไม่มีเลย
“มีใครอยู่ไหมครับ!” ในที่สุดชินจิโร่ก็ตัดสินใจตะโกนถามเมื่อรู้สึกว่า บรรยากาศมันเงียบและวังเวงแปลก
ๆ เขาไม่อยากจะอยู่ที่นี่นานสักเท่าไหร่หากรู้ว่ามันไม่มีคน และแน่นอนว่านอกจากเสียงสะท้อนของชินจิโร่แล้วก็ไม่มีเสียงใครตอบกลับมาอีก
เขาถอนหายใจ พร้อมจะถอดใจกลับแล้วถ้าไม่เห็นว่าจิอากิเจออะไรบางอย่าง “อาตาเอะซัง” เธอเรียกให้ชินจิโร่เดินเข้าไปหา “ตรงนี้มีประตูค่ะ”
“อิโตซังคิดว่าเราควรจะเข้าไปเหรอครับ?”
เขาพูดติดตลก ในใจเขาอยากจะออกไปจากที่นี่เต็มทน
“ค่ะ ไหน ๆ เราก็มาแล้ว
เผื่อเปิดประตูเข้าไปอาจจะเป็นห้องของประธานชมรมก็ได้” นั่นเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความคิดของชินจิโร่เมื่อสักครู่นี้โดยสิ้นเชิง
เขาต้องผิดหวังเมื่อรู้ว่าจิอากิอยากเข้าไปในนั้นทั้ง ๆ ที่เขาอยากกลับจะแย่
ไว้ไปหาชมรมใหม่ที่มีคนเป็น ๆ ให้เขาเจอยังดีซะกว่ามาไม่เจออะไรแบบนี้ แต่แล้วจู่
ๆ ก็มีเสียงผู้ชายตะโกนก้องมาจากด้านหลัง “พวกเธอสองคนกำลังจะทำอะไรน่ะ!”
ชินจิโร่และจิอากิหันไปตามเสียงนั่นก่อนจะพบกับชายหนุ่มรูปงามสามคนที่ย่างเท้าเดินเข้ามาอย่างกับบอยแบนด์
“เอ่อ…” ชินจิโร่ที่มัวแต่สติลอยพยามนึกคำพูดสวย
ๆ ที่เขารู้สึกพลาดมากที่ไม่ได้เตรียมมันมาตั้งแต่ต้น
แต่ก็ถูกขัดด้วยบุคคลที่เพิ่งมาเยือนใหม่และเป็นคนเดียวกับที่ตะโกนถามพวกเขาสองคนเมื่อสักครู่
“พวกเธอมาเข้าชมรมใช่ไหม?” ชายร่างสูง
หน้าตาดุดันเดินมาใกล้เขา ชินจิโร่รู้สึกโล่งอกเมื่อถูกถามแบบนั้น แน่นอน
จุดประสงค์ที่เขากับจิอากิมาที่นี่ก็เพราะจะมาเข้าชมรมเนี่ยแหละ “ใช่ครับ”
ชายร่างสูงยิ้ม
ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนท่าทางเป็นกระโดดโลดเต้น “เย่!!
มีสมาชิกหน้าตาดีมาเข้าชมรมเราอีกสองคนเลยแหน่ะซูเอโยชิคุง ~
ฮ่า ๆ” ชายร่างสูงว่าพลางหันไปมองชายผมทองหยักศกที่ตอนนี้ชินจิโร่ก็เดาสีหน้าไม่ออกว่าเขารู้สึกยังไง
เขารู้แต่เพียงว่าชายร่างสูงที่กำลังทำท่าลิงโลดดีใจอยู่นั้น
ช่างเป็นคนที่หน้าตาขัดกับบุคลิกในตอนนี้จริง ๆ
“มา ๆ เชิญ ๆ
พวกเธอสามารถเปิดประตูเข้าไปในห้องรับแขกของฉันได้เลย ชมรม Attack All Around
ของเรายินดีต้อนรับเสมอ” ชายร่างสูงว่าพลางเดินไปเปิดประตูด้านหน้าแล้วผายมือเชิญพวกเขาเข้าไป
แน่นอน เมื่อเข้าไปแล้วชินจิโร่ก็พบว่า ด้านในนั้นก็หรูหราโอ่อ่าไม่แพ้ด้านนอกนั่น
แต่สิ่งที่แตกต่างจากห้องโถงเมื่อสักครู่คือ ด้านในนี้มีเฟอร์นิเจอร์ครบครับ
และทุกชิ้นล้วนเป็นเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงที่ชินจิโร่คุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี
“เชิญนั่งได้ตามสบายเลย” ชายร่างสูงว่าพลางผายมือไปที่โซฟาตัวใหญ่ ก่อนที่ชินจิโร่จะนั่งลงไป จู่ ๆ
ชายผมทองหยักศกก็เดินมาหาเขาแล้วแนะนำตัว “สวัสดี ผมซูเอโยชิ
ชูตะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เขายิ้มให้ชินจิโร่ก่อนจะยื่นมือมาให้จับ
ชินจิโร่แนะนำตัวบ้าง “ผม…” แต่ยังไม่ทันพูดจบ
ชูตะก็แทรกขึ้น “อาตาเอะ ชินจิโร่ ใช่ไหมครับ
คุณแนะนำตัวเมื่อเช้า เราอยู่ห้องเดียวกันน่ะครับ”
“อะ อ๋อ ครับ” ชินจิโร่ยิ้มให้ก่อนจะยื่นมือให้จับ
ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเอง หรือเป็นเรื่องจริงก็ไม่รู้ได้ ที่เขารู้สึกว่า มือที่ชูตะให้เขาจับนั้นเริ่มบีบรัดแน่นขึ้นเรื่อย
ๆ พร้อม ๆ กับสายตาดุดันแวบหนึ่งที่ชูตะมองมาที่เขา แล้วชูตะก็ปล่อยมือจากเขา
ก่อนจะหันไปทางจิอากิที่นั่งอยู่พร้อมกับทักทาย “สวัสดีครับ”
จิอากิยิ้มให้เขา “สวัสดีค่ะซูเอโยชิคุง
นึกไม่ถึงเลยนะคะเนี่ยว่าคุณก็อยู่ชมรมนี้ด้วยน่ะ”
“อา เอ่อ… ครับ
ผมก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าอิโตะจังก็อยู่ชมรมนี้…” หูชูตะเริ่มเป็นสีแดง
ก่อนจะรีบหลบหน้าจิอากิแล้วเดินไปนั่งตรงโซฟาที่อยู่ใกล้ ๆ เขา
“ฉัน อุราตะ นาโอยะ
เป็นประธานชมรมนี้เองแหละ” ชายร่างสูงคนเมื่อสักครู่นั่งกอดอก
“อยู่ชมรมนี้สบาย ๆ นะ เดี๋ยวมีงานอะไรให้ทำฉันจะมาบอกเอง
ตอนนี้ก็อยู่กันชิวๆแบบนี้ไปก่อนละกัน” นาโอยะหันไปทางผู้ชายอีกคนที่นั่งเงียบอยู่บนโซฟาอีกฟาก
ชินจิโร่เห็นแล้วรู้ทันทีว่าชายคนนี้คือใคร
เพราะเขาเองก็เป็นนักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาเข้าที่นี่วันแรกเหมือนกัน “ไม่แนะนำตัวหน่อยเหรอนิชิจิมะคุง ~”
“เอ่อ…” ชายที่ชื่อนิชิจิมะมีท่าทางอึกอักเล็กน้อย
ก่อนจะแนะนำตัว “ผมนิชิจิมะ ทาคาฮิโระ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
เขากล่าวกับทุกคน สีหน้าเหมือนไม่เต็มใจ
“เอาละทุกคน” นาโอยะพูดขึ้น
“สมาชิกของเราในตอนนี้ ถ้ารวมตัวฉันด้วย เราก็มีกัน 5
คน ตามกฎของชมรมนี้ เราต้องการอยู่ทั้งหมด 7 คน
หรืออาจจะมากกว่านั้น ซึ่งยังขาดอีก 2 คน
นั่นแปลว่าชมรมนี้ยังพร้อมที่จะเปิดรับคนอื่นเข้ามาในชมรมได้ตลอดเวลา ดังนั้น
หากใครจะชวนเพื่อน ๆ มาเข้าชมรมนี้ ก็ตามสบาย กี่คนก็ได้ ฉันยินดีต้อนรับ” นาโอยะพูดยิ้ม ๆ “แล้วก็นะ สำหรับสมาชิกในชมรม ให้คิดว่าที่นี่เป็นเหมือนบ้านของพวกเธอนะ
จะทำอะไรก็ได้ โดดเรียนมานอนเล่นที่นี่ก็ได้ เพราะที่นี่เป็นชมรมฟรีสไตล์
สามารถทำได้ทุกอย่างตามแต่ใจต้องการ แต่มีข้อแม้” ทุกคนตั้งใจฟัง
“หากว่าฉันมีคำสั่ง หรือมอบหมายให้ทำงาน ‘อะไรบางอย่าง’ ทุกคนต้องทำ ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
เข้าใจไหม”
ทุกคนเงียบ…
“เอ่อ… ถ้าเงียบนี่
เอาเป็นว่าตกลงแล้วกันนะ” พูดเองตกลงเองเสร็จสรรพเลย ชินจิโร่คิด “ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว จะกลับเลยก็ได้
หรือจะอยู่ที่นี่ต่อก็ได้ จะนอนที่นี่ก็ได้ เพราะพวกเธอเป็นสมาชิกของชมรมนี้แล้ว
นี่คืออภิสิทธิ์ของพวกเธอ” นาโอยะพูดพร้อมกับผายมือออก และแน่นอนว่าไม่มีใครตอบ
ก่อนที่ทุกคนต่างก็แยกย้ายออกไปแบบงง ๆ
“เดี๋ยว ๆ มีอีกเรื่อง” นาโอยะพูดดักไว้ก่อนที่ทุกคนจะลุกออกไป “พรุ่งนี้เจอกันที่นี่หลังเลิกเรียนนะ
มาทุกวันด้วยละ” ทุกคนต่างพยักหน้า แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับ
ชินจิโร่ที่เดินออกมาอย่างงง ๆ กับจุดประสงค์ของชมรมก็กำลังคิดว่ามันแปลก
ๆ ยังไงพิกลกับกฎของชมรมนี้ที่เซอร์วิสมันดีเกินไป เขารู้สึกไม่ไว้ใจและแปลกใจมากที่ชมรมดีขนาดนี้ทำไมคนถึงมาเข้าร่วมน้อยจัง
แต่แล้วความคิดของเขาก็ต้องถูกขัดจังหวะด้วยเสียงร้องของจิอากิ
“โอ๊ย!” จู่ ๆ จิอากิก็สะดุดล้มลงไป
ชินจิโร่รีบเข้าไปหาเธอทันที
“เกิดอะไรขึ้นครับ เป็นอะไรไหม” เขาถามอย่างเป็นห่วง พร้อมกับมองเข่าที่ถลอกของเธอ “อา
แผลใหญ่เลย”
“ฉันเดินไม่มองทางน่ะค่ะ
ก็เลยไม่เห็นว่าตรงนี้มันเป็นทางต่างระดับ” ชินจิโร่มองทางที่เดินมา
ถึงพบว่าทางตรงนี้เป็นทางต่างระดับจริงๆ ซึ่งไม่แปลก หากว่าเธอซึ่งอาจจะเดินเหม่อลอยไม่มองเท้าตัวเองแล้วสะดุดเข้ากับตรงนี้อย่างง่ายดาย
“ลุกขึ้นเดินไหวไหมครับ ให้ผมช่วยนะ” เขาพยุงจิอากิให้ลุกขึ้น
จิอากิมีสีหน้าเจ็บปวดเมื่อเธอต้องพยายามฝืนยืน “อ๊ะ! โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย!!” เธอร้องเสียงหลงเมื่อต้องยืนตัวตรงก่อนจะเสียหลักล้มลงไปซบกับแผงอกของชินจิโร่
“อิโตะซัง” ชินจิโร่โอบเธอไว้เพื่อไม่ให้ตก
“ทะ เท้าฉันค่ะ เท้าฉันมัน ฮืออออ”
เธอร้องออกมาด้วยเสียงขาดห้วง มันเจ็บจนเค้นเสียงพูดไม่ออก
ณ ตอนนี้ชินจิโร่รู้แล้วว่าจิอากิข้อเท้าแพลงแน่นอน “ขออนุญาตนะครับ” เขาตัดสินใจช้อนร่างของจิอากิขึ้นมาอุ้ม
จิอากิเบิกตาโตด้วยความตกใจก่อนจะรีบพูดกับชินจิโร่ “อะ
อาตาเอะซังคะ ดะ เดี๋ยว…”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยครับ
เดี๋ยวผมจะรีบพาอิโตะซังไปห้องพยาบาลก่อน โอบคอผมแน่น ๆ นะครับเดี๋ยวตก”
จิอากิที่ตอนนี้ไร้ทางเลือกจึงต้องจำยอมเอาแขนโอบรอบคอของเขาให้เขาอุ้มเธอไว้แบบนั้นแล้วพาไปยังห้องพยาบาล
ชินจิโร่ที่ขณะนี้ในสองมือกำลังอุ้มร่างของจิอากิเดินตรงไปยังห้องรักษาพยาบาล
พวกเขาทั้งสองคนถูกคนทั้งโรงเรียนมองมายังพวกเขาเป็นจุดเดียวพร้อมกับถูกซุบซิบนินทา
แน่ละ พวกเขาสองคนจะไม่ถูกนินทาและจับจ้องหนักขนาดนี้
หากว่าไม่มีข่าวที่ส่งผ่านมือถือทางสำนักพิมพ์ออนไลน์ของโรงเรียน และใช่
ข่าวนั่นแพร่ไปไวมาก ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังถูกจับตามองเป็นพิเศษ แล้วยิ่งชินจิโร่กับจิอากิเดินเข้ามาในใจกลางของโรงเรียนด้วยสภาพแบบนี้
ยิ่งตอกย้ำความถูกต้องของข่าวฉาวที่กำลังแพร่สะพัดไปทั่วอยู่ในขณะนี้ขึ้นไปอีกเท่าทวีคูณ
ชินจิโร่ไม่สนว่าใครจะมองพวกเขาสองคนตอนนี้ยังไง
จะเป็นจุดสนใจมากแค่ไหน เขาสนแค่ว่า เขาต้องพาจิอากิไปถึงห้องพยาบาลให้เร็วที่สุด
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอครับ?” เจ้าหน้าที่ห้องพยาบาลเอ่ยถามชินจิโร่พร้อมกับจัดแจงเตียงให้ชินจิโร่วางตัวจิอากิลงนอน
“สะดุดครับ เธอสะดุดเข้ากับทางต่างระดับ
ทำให้เข่ากับแขนถลอกและขาแพลงครับ” ชินจิโร่บอกจุดที่บาดเจ็บให้กับเจ้าหน้าที่
ก่อนที่เขาจะทำการรักษาให้กับจิอากิในจุดที่เธอบาดเจ็บทันที
ชินจิโร่นั่งรอเจ้าหน้าที่ทำแผลเสร็จ
ก่อนที่เขาจะเข้าไปหาเธอข้าง ๆ เตียง จิอากิที่ตอนนี้ถูกทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้วสามารถกลับบ้านได้
แต่ประเด็นที่น่ากังวลคือ เธอจะกลับบ้านยังไงในสภาพแบบนี้
“อิโตะซังกลับเองไหวไหมครับ?
ที่บ้านมีรถมารับรึเปล่า? ให้ผมไปส่งไหม?”
“ฉันอยากให้อาตาเอะซังไปส่งค่ะ” จิอากิเอื้อมไปจับมือชินจิโร่ “ขอบคุณนะคะอาตาเอะซังสำหรับวันนี้
ถ้าไม่ได้อาตาเอะซังละก็ ฉันต้องแย่แน่ ๆ เลยค่ะ”
“ด้วยความยินดีครับ ผมไม่มีวันปล่อยให้อิโตะซังเป็นอะไรแน่
ถ้าอิโตะซังเป็นอะไรหนักขึ้นมา
ผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองที่ดูแลคุณไม่ดีอย่างแน่นอน”
“สุภาพบุรุษจังนะคะ” จิอากิยิ้มเขิน ชินจิโร่หัวเราะ
ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้คำพูดดูเลี่ยนมากไปกว่านี้ “แต่แน่ใจเหรอครับ ว่าจะกลับกับผม ผมเอาแค่จักรยานมานะ”
“สบายมากค่ะ ถ้าเป็นอาตาเอะซังละก็
ยังไงฉันก็เชื่อใจค่ะว่าคุณจะไม่ทำให้ฉันเป็นอันตรายเด็ดขาด”
“นี่ผมกลายเป็นSecurityของคุณไปแล้วสิใช่ไหมครับเนี่ย ฮ่า ๆ”
“ก็คงจะอย่างนั้นละมั้งคะ ฮ่า ๆ ๆ”
“ว่าแต่
ตอนนี้อิโตะซังเดินไหวรึเปล่าครับ? หรือว่า” ชินจิโร่ยิ้มกรุ้มกริ่ม
“จะให้ผมอุ้มแบบเมื่อกี้ดี?”
จิอากิรีบบอกปัด “ไม่ค่ะไม่
ฉันไหวค่ะ ฉันไหว” จิอากิปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมกับทำท่าทางแข็งแรงเป็นเครื่องยืนยันให้ชินจิโร่เชื่อว่าเธอไหว
นั่นทำให้ชินจิโร่หัวเราะกับท่าทางนั้นของเธอ “ฮะ ๆ ๆ
โอเคครับ โอเค เดี๋ยวผมช่วยพยุงแล้วกันนะครับ ที่นี่ไม่มีรถเข็นให้
ลำบากนิดนึงนะครับ”
“ค่ะ” จิอากิตอบรับก่อนจะลุกขึ้นนั่ง
โดยมีชินจิโร่ช่วยพยุงให้ลุกขึ้นเดิน
เอาอีกแล้ว สายตาทุกคู่จ้องมองมายังชินจิโร่กับจิอากิที่ช่วยพยุงกันเดิน
แม้จะเป็นแวลาเลิกเรียน แต่คนในโรงเรียนก็ยังพลุกพล่าน
ชินจิโร่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยถึงมากที่สุดที่จู่ ๆ
เขากับจิอากิก็กลายเป็นจุดสนใจขนาดนี้
“อึดอัดรึเปล่าคะ?” จิอากิเอ่ยถามชินจิโร่ในขณะที่เขากำลังช่วยพยุงเธอเดิน
“อึดอัด? ทำไมต้องอึดอัดละครับ แล้ว… อิโตะซังหมายถึงอึดอัดเรื่องอะไร?”
“ที่คนกำลังมองเราสองคนอยู่ในตอนนี้นั่นแหละค่ะ”
เธอหมายถึงเรื่องนี้เอง ชินจิโร่คิด
ความจริงเขาเองก็แปลกใจ ว่าทำไมจู่ ๆ เขาถึงตกเป็นเป้าสายตาขนาดนี้ทั้ง ๆ
ที่เขาเพิ่งจะได้มาเรียนที่นี่วันแรก
จะบอกว่าเพราะเขาเป็นนักเรียนใหม่มันก็ไม่น่าใช่ นักเรียนใหม่ที่ย้ายเข้ามาในวันเปิดเทอมก็มีเยอะแยะมากมาย
ไม่เป็นเป้าสายตากันหมดหรอกเหรอ?
“ก็นิดนึงครับ” เขายอมรับ
“ผมไม่เข้าใจว่าเขามองพวกเราทำไม”
จิอากิเดินก้มหน้า เหมือนเธอกำลังพยามข่มอารมณ์ไว้ “เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” ชินจิโร่ถามจิอากิอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นเธอรู้สึกไม่ค่อยดี
“ไม่เป็นไรค่ะ รีบเดินไปถึงโรงเก็บรถเร็ว
ๆ ดีกว่านะคะ” เธอพูดตัดบท ชินจิโร่ตัดสินใจไม่ถามต่อ
เขาพยุงจิอากิไปจนกระทั่งถึงลานจอดจักรยานของเขา
“ขอผมปลดโซ่ล็อครถก่อนนะครับ”
“โอเคค่ะ”
ชินจิโร่ทำการปลดโซ่ล็อครถ เขาจูงจักรยานออกมา “อิโตะซังขึ้นนั่งได้รึเปล่าครับ?”
จิอากิพยักหน้าตอบรับยิ้ม ๆ เธอค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้นนั่งบนเบาะด้านหลังของจักรยาน
ชินจิโร่เอื้อมมือไปจับมือจิอากิแล้วเอามือของเธอวางไว้บนเอวของเขา “กอดแน่น ๆ นะครับ เพื่อความปลอดภัย”
“ค่ะ” จิอากิยิ้มเขิน
พร้อมกับเอามืออีกข้างกอดเอวของชินจิโร่ไว้ ก่อนที่เขาจะออกตัวปั่นออกไป
จิอากิหยิบมือถือขึ้นมาก่อนจะส่งข้อความไปหาพ่อบ้านของเธอ
[วันนี้กลับช้าหน่อย ไม่ต้องมารับนะ]
หลังจากส่งข้อความเสร็จ เธอเก็บมือถือ
ก่อนจะพูดกับชินจิโร่ “อาตาเอะซัง
ยังไม่ไปส่งฉันที่บ้านได้ไหมคะ”
ชินจิโร่เหมือนจะชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะถาม “แล้ว… อิโตะซังจะไปที่ไหนล่ะครับ?”
“หอพักของอาตาเอะซัง”
“…”
“ได้ไหมคะ?”
ณ หอพักยามางุจิ
ชินจิโร่รู้สึกเหมือนเหตุการณ์นี้มันลูปมาอยู่จุดเดิม
คือการที่มีสาวสวยที่เขาเพิ่งพบเธอเมื่อวาน และได้รู้ว่าเธอเรียนโรงเรียนเดียวกันและห้องเดียวกันกับเขา
มาเยือนหอพักของเขาอีกครั้ง
ครั้งก่อนเธอมาที่นี่เพราะความบังเอิญเพื่อช่วยเขาถือของและยังทำอาหารเย็นให้
แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เธอมาเพื่อจุดประสงค์อะไร เขาเองก็ยังไม่เข้าใจ
ชินจิโร่พยุงเธอเดินเข้ามาในห้องก่อนจะพาเธอนั่งบนโซฟา เขาเดินไปยังห้องครัวก่อนจะออกมาพร้อมกับน้ำส้มคั้นที่เขาคั้นไว้เองหนึ่งแก้ว
จิอากิรับมาพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
“ขอโทษที่ต้องรบกวนให้ลำบากใจนะคะ”
จิอากิพูดขึ้น “ตอนนี้ฉันยังไม่อยากกลับบ้านน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้รบกวนอะไรเลย”
ชินจิโร่ยิ้มให้เธอ
“วันนี้…” จิอากิวางแก้วน้ำส้มในมือลงบนโต๊ะ
“ฉันต้องขอโทษอาตาเอะซังจริง ๆ นะคะ
ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดความอึดอัดใจ”
ชินจิโร่ที่ยังไม่เข้าใจเอ่ยถาม “เดี๋ยวนะครับ ต้นเหตุแห่งความอึดอัดใจอะไรกัน อิโตะซังไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ
แล้วก็ เรื่องที่ผมช่วยอิโตะซังนี่ผมก็เต็มใจทำจริง ๆ นะครับ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นค่ะ”
“…”
“ฉันหมายถึงเรื่องที่คนมองเราทั้งโรงเรียนน่ะค่ะ”
“เอ่อ เรื่องนั้น… มันจะไปเกี่ยวกับอิโตะซังได้ยังไงละครับ
ผมว่าคนเค้าก็ชอบมองกันเป็นปกติอยู่แล้วละมั้ง แค่เพราะผมอาจจะยังไม่ชิน”
“อาตาเอะซังเห็นข่าวนี่รึยังคะ” จิอากิยื่นมือถือของเธอมาให้ชินจิโร่ เขารับมาก่อนจะเปิดอ่าน
[หลุด! สาวสวยหน้าซื่อควงหนุ่มหล่อเข้าห้อง
รายละเอียด คลิก!]
เขาเบิกตาโตด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าบุคคลในภาพนั้นคือเขาและจิอากิอย่างชัดเจน
“อะไรกัน!”
“มันเป็นความผิดของฉันเองค่ะอาตาเอะซัง”
จิอากิเริ่มร้องไห้ “ฉันมันเป็นตัวซวยที่ใครอยู่ด้วยก็มักจะซวยไปด้วย
รวมถึง… รวมถึง อาตาเอะซัง”
“มะ ไม่ใช่นะครับ
เรื่องนี้มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด เราต้องไปแก้ข่าวนะครับอิโตะซัง
มันไม่ใช่ความผิดของคุณ หรือของใครทั้งนั้น อย่าเพิ่งร้องไห้นะครับ” ชินจิโร่รีบเข้าไปปลอบจิอากิทันทีด้วยความตกใจที่จู่ ๆ เธอก็ร้องไห้ออกมา
จิอากิโผเข้ากอดชินจิโร่
ก่อนที่เธอจะพูดทุกสิ่งทุกอย่างที่เธออัดอั้นเก็บมันไว้อยู่ในใจออกมา “ฉันมันเป็นตัวซวย ใคร ๆ ก็เกลียดฉัน ใคร ๆ ก็ยี้ฉัน โดยที่พวกเขาไม่รับรู้
ไม่รับฟังเหตุผลอะไรจากฉันบ้างเลย
พวกเขาเชื่อแต่ข่าวที่ถูกเขียนขึ้นและสิ่งที่เล่าปากต่อปากอย่างไม่รู้ที่มา
มันทำให้ฉันเสียหาย แต่ฉันทำอะไรไม่ได้ ฉันไม่มีเพื่อน ไม่มีใครคอยช่วยเหลือฉันเลย
ฉัน… ฉัน ฮึก ทำไม…
ทำไมทุกอย่างต้องลงมาที่ฉันคนเดียว ฮืออออ”
ชินจิโร่ที่ตอนแรกยังงงกับอาการที่กะทันหันนี้ของจิอากิทำได้เพียงเงียบฟัง
แล้วกอดปลอบจิอากิที่ตอนนี้กำลังร้องไห้ฟูมฟายและพูดระบายทุกอย่างออกมา
ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
แต่เขาก็พอจะรับรู้ได้ว่าเธอเจ็บปวดและอดทนกับสิ่งเหล่านี้มานานแค่ไหน
“ตอนนี้ฉันไม่เหลือใครแล้ว” จิอากิผละจากอ้อมกอดของชินจิโร่ “อาตาเอะซังที่กำลังจะเป็นเพื่อนกับฉัน
ก็ต้องมาเจอเรื่องร้าย ๆ แบบนี้เพราะฉันอีก” เธอปล่อยโฮอีกครั้ง
“แล้วอาตาเอะซังก็อาจจะทิ้งฉันไปอีกก็ได้…. เหมือนที่คนอื่น ๆ เคยทำ ฮือออออ”
“ไม่หรอกครับ ผมไม่ทำแบบนั้นแน่นอน”
ชินจิโร่พูดอย่างหนักแน่น “ผมอยู่ข้างอิโตะซังเสมอนะครับ”
เขาพูดพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้จิอากิ “เชื่อใจผมนะครับ”
“อาตาเอะซัง…” จิอากิยิ้มทั้งน้ำตา
เธอโผเข้ากอดชินจิโร่อีกครั้ง “ขอบคุณนะคะ”
“อ่า… ครับ ครับ”
แม้ว่าชินจิโร่จะยังงง ๆ
อยู่บ้างกับท่าทางดีใจเกินเหตุนั่นของจิอากิ
แต่เขาก็ดีใจที่สามารถทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาได้ เขากอดจิอากิตอบ
แม้ว่าเธอจะยังคงร้องไห้ แต่เขาก็ปล่อยให้เธอได้ระบายมันออกมา ในใจก็กำลังหาสาเหตุ
ว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้กับผู้หญิงคนนี้ได้ ทั้ง ๆ
ที่เธอเป็นคนที่ดูไม่มีพิษมีภัยอะไร ไม่น่าจะเป็นศัตรูกับใครได้ แต่ถึงอย่างนั้น
ตอนนี้เขาก็ทำได้แค่เพียงอยู่ข้าง ๆ เธอ และปลอบเธอในยามที่เธอเจ็บปวดเท่านั้น
บางทีนับจากนี้ หากเขาได้รับรู้ถึงอะไรที่ลึกลงไปหรือมากกว่านั้น
ความจริงบางอย่างก็อาจจะทำให้เขาเข้าใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
ก็เป็นได้…
............................................................................................................................................................................................
ความคิดเห็น