คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
บทนำ
อาตาเอะ
ชินจิโร่
หนุ่มหน้าหล่อผู้มีนิสัยตรงข้ามกับคนที่ถูกเรียกว่าหนอนหนังสือกำลังเดินตรงเข้าไปในร้านหนังสือที่ตั้งอยู่ใกล้หอพักของเขา
ซึ่งเป็นสิ่งที่ค่อนข้างย้อนแย้งอยู่สักหน่อยสำหรับคนที่เกลียดการอ่านหนังสือแบบเขา
ตอนนี้เขากำลังยืนเลือกอ่านนิตยสารและหนังสือมาใหม่ในมุมที่เขาชอบมายืนอ่านประจำ
แน่นอน เขาเพียงแต่ยืนอ่าน ไม่ซื้อกลับบ้านหรอก ซึ่งนั่นมันก็ไม่ใช่นิสัยที่ดีนักหรอกนะ
เขาเองบางครั้งก็จะซื้อกลับไปอ่านหากว่าต้องการจริง ๆ เขาแค่มาอ่านบ้างเป็นครั้งคราวเพราะเขาไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบเก็บสะสมหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ
แต่ก็นั่นแหละ เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เจ้าของร้านก็มีเคืองเขาบ้างเมื่อเห็นว่าเขานั้นชอบเข้าร้านของตัวเองบ่อย
ๆ แต่กลับไม่เคยคิดจะซื้อหนังสือสักเล่มกลับไปเลย
และอีกมุมหนึ่งข้างนอกร้านนั่น
หญิงสาวตัดผมสั้นบ๊อบย้อมผมทองทำไฮท์ไลต์สีชมพูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับชินจิโร่
รูปร่างหน้าตาจัดว่าอยู่ในขั้นสวยมาก เธอเดินตรงเข้าไปหาหญิงชราคนหนึ่งที่กำลังยืนลังเลว่า
หล่อนควรจะข้ามถนนนี้ดีหรือไม่ ก่อนที่เธอจะพูดกับหญิงชราอย่างสุภาพ
“ให้หนูพาข้ามไหมคะ?” หญิงสาวเอ่ยถาม
หญิงชราหันมาพร้อมกับยิ้มให้อย่างยินดี
“โอ้ว ขอบใจนะจ้ะ” หญิงชราจับแขนของหญิงสาวไว้
ก่อนที่เธอจะพาหญิงชราเดินข้ามถนน
ชินจิโร่มองพฤติกรรมนั้นของเธอผ่านกระจกกั้นร้านหนังสือ
ก่อนจะเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ให้ตายสิ
เธอสวยชะมัด
ชินจิโร่เดินออกมาจากร้านหนังสือพร้อมกับหนังสืออีกสามเล่ม
แน่นอน เป็นครั้งแรกที่เขายอมจ่ายเงินเพื่อซื้อหนังสือสามเล่มนี้ เพราะอะไรอย่างนั้นน่ะเหรอ…
“มันต้องมีสักเล่มน่าที่จะช่วยให้เราได้กินมื้อเย็นของวันนี้”
ชินจิโร่มองหนังสือในมือพร้อมกับยิ้มแห้ง
ก็เพราะตอนนี้เขากำลัง ‘พยายาม’
ที่จะทำอาหารกินเองด้วยหนังสือคู่มือทำอาหารพวกนี้อยู่น่ะสิ
เมื่อชินจิโร่เดินออกมาจากร้านหนังสือ เขาก็พบว่าหญิงสาวคนที่เขาเห็นเมื่อสักครู่นั้นหายไปแล้ว
เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ได้เจอเธออีกครั้ง แต่แล้วก็ทำแค่เพียงยักไหล่และปลอบตัวเองว่าสาวสวยๆในเมืองหลวงยังมีให้เห็นอีกเยอะ
ไม่ได้มีแค่สาวร่างเล็กคนนั้นคนเดียว
หลังจากนั้นชินจิโร่ก็เข้าไปซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ต
แน่นอนว่าของที่เขาซื้อล้วนแต่เป็นวัตถุดิบในการทำอาหารเย็นในวันนี้ของเขาทั้งสิ้น… เขาเองก็กะจะฝากท้องไปกับหนังสือคู่มือที่เขาเพิ่งจะซื้อมาเมื่อเร็ว ๆ นี้นี่แหละ
ชินจิโร่หอบข้าวของพะรุงพะรังจนคนรอบข้างที่เดินผ่านไปมาพากันมอง
เขาเองก็อาย ในใจได้แต่คิดว่าก็สมควรจะมองกันละนะ เล่นหอบของเป็นบ้าหอบฟางขนาดนี้
ไหนจะหนังสือ ไหนจะอุปกรณ์ทำอาหารเย็น
ตั้งแต่เขาเกิดมาเขายังไม่เคยทำอาหารกินเองมาก่อน เห็นอะไรก็เลยหยิบซื้อมาซะหมดทุกอย่าง
ก็เลยพะรุงพะรังอย่างที่เห็น ๆ กัน
และแล้วเหตุการณ์ที่หนุ่มหล่อแทบไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น…
‘โป๊ก!!’
“อ๊ากกกก!!!” ชินจิโร่ล้มลงไปนอนหงายพร้อมกับของที่ทั้งแบกทั้งหิ้วมาประมาณยี่สิบกว่าอย่างที่หล่นทับตัวเขา…
ให้ตายเถอะ ชินจิโร่เองก็ไม่ได้อยากเจอกับสถานการณ์แบบนี้หรอกนะ
แต่ที่ต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะข้าวของที่เขาแบกหิ้วมาเล่นบังตาเขาซะจนเผลอเดินชนเสาอะไรสักอย่างเข้าน่ะสิ!!
ชินจิโร่ลูบหน้าผากตัวเองเบา ๆ ก่อนจะสบถ “บ้าชิบ!! วันซวยอะไรวะเนี่ย!” แค่หิ้วของเยี่ยงบ้าหอบฟางมาเขาก็ขายหน้าคนที่เดินผ่านไปมาจะแย่อยู่แล้ว
นี่ยังมาเดินชนเสาเข้าอีก หมดกันภาพลักษณ์…
ชินจิโร่ลูบหัวตัวเองเบา ๆ พร้อมกับคิดตัดพ้อในโชคชะตา
“ให้ฉันช่วยไหม?” เสียงผู้หญิงดังขึ้นเหนือศีรษะของเขา
ชินจิโร่ที่กำลังนั่งลูบหน้าผากตัวเองอยู่ด้วยความเจ็บปวดเงยหน้ามองเจ้าของเสียง
ก่อนจะพบว่าเป็นหญิงสาวคนเดียวกับที่เขาเห็นเธอช่วยหญิงชราข้ามถนนตอนที่เขากำลังอยู่ในร้านหนังสือนั่นเอง
“เอ่อ ครับ ขอบคุณครับ” เขาพยักหน้าพลางดันตัวลุกขึ้นด้วย
แม้จะยังมึน ๆ แต่เขาก็รู้สึกดีใจที่ได้เจอผู้หญิงใจดีมาช่วยเขา
หญิงสาวเก็บของที่ตกรอบ
ๆ ตัวชินจิโร่ขึ้นมาช่วยถือ ชินจิโร่เองก็เก็บของมาถือเช่นกัน เขารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจหญิงสาวสุด
ๆ จนแทบอยากจะบอกขอบคุณเธอสักล้านครั้งที่อย่างน้อยเธอก็เข้ามาช่วยเขา
“เดี๋ยวช่วยถือให้นะคะ” เธอพูดพร้อมกับยิ้มให้
“ขะ ขอบคุณมาก ๆ เลยครับ” ชินจิโร่พูดพลางน้ำตาจะไหลพรากเพราะซึ้งมาก จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่า
เขาคงถือของทั้งหมดนี้กลับที่พักของเขาในสภาพนี้ไม่ได้แน่ ๆ ดังนั้น เพื่อป้องกันเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ความอายซ้ำรอย
เขาจึงจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากผู้หญิงตรงหน้าของเขาอย่างช่วยไม่ได้
“เอ่อ จะว่าอะไรไหมครับถ้าผมจะให้ช่วยถือของเอาไปไว้ที่หอพักของผมน่ะครับ”
ชินจิโร่พูดอย่างเกรงใจ เพราะจริงๆเขาเองก็ไม่อยากจะรบกวนหญิงสาวมากนักหรอก
เพียงแต่ ของที่เขาซื้อมานั้นมันมีเยอะมากจริง ๆ ซึ่งหากเขาต้องแบกของทั้งหมดนี่
ครั้งต่อไปเขาอาจจะไม่ได้โชคดีเหมือนครั้งนี้ที่แค่หน้าจูบกับเสาแล้วหงายท้องล้มลงด้วยท่วงท่าที่ไม่อยากจะอธิบายเท่าไหร่
แค่นี้ก็ทุเรศพอแล้วสำหรับชีวิตในวันนี้ อีกอย่างหอพักของเขาก็อยู่ใกล้ ๆ ซึ่งถ้าเดินอีกนิดก็ใกล้จะถึงแล้ว
หากคิดในอีกแง่นึง มันอาจจะเป็นการรบกวนเธอ
แต่ถึงกระนั้น คำตอบของหญิงสาวกลับเป็นคำตอบรับโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
“ได้สิคะ แล้วหอพักของคุณอยู่ที่ไหนล่ะ?”
ณ
หอพักยามางุจิ
เมื่อมาถึงหอพัก
เขาเชิญให้เธอเข้ามาในห้องของเขาเพื่อที่จะเอาของมาเก็บ ส่วนตัวเขาเองก็จะได้ไปหาน้ำมาให้เธอดื่มด้วย
เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนหญิงสาวอย่างไรดีนอกจากคำขอบคุณสำหรับน้ำใจในครั้งนี้
“ขอบคุณมาก ๆ เลยนะครับ ไม่มีคุณช่วยเนี่ย
ผมต้องแย่แน่ ๆ เลย”
หญิงสาวหัวเราะ “ไม่เป็นไรค่ะ
บ้านของฉันก็อยู่แถวๆนี้แหละ เดาว่าคุณคงจะเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่สินะคะ”
“เอ่อใช่ครับ” เขาตอบตามจริง
“ว่าแต่ ขออนุญาตถามชื่อได้ไหมครับ เอ่อ… จะได้เรียกถูกน่ะครับ ตั้งแต่เมื่อกี้เรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย” ชินจิโร่พูดพลางเกาหัว “ผมอาตาเอะ ชินจิโร่”
“ฉันอิโตะค่ะ อิโตะ จิอากิ”
“อา อิโตะซัง ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะอาตาเอะซัง”
จิอากิยิ้มให้เขา จากนั้นเธอก็เริ่มมองไปรอบ ๆ ห้องของชินจิโร่เพื่อแก้อาการอึดอัด
ชินจิโร่รู้สึกเขินเล็กน้อยที่จู่ ๆ ก็มีคนเข้ามาในห้อง แน่นอน จิอากิคือแขกคนแรก
และยังเป็นผู้หญิงคนแรกอีกด้วยที่ได้เข้ามาเยี่ยมในห้องใหม่ของเขา
แถมยังเป็นผู้หญิงสวยอีกต่างหาก ถึงแม้ว่าห้องของเขาจะไม่รกและดูสะอาดเอี่ยมอ่องทุกคราที่มองเพราะคนอย่างเขาไม่มีวันปล่อยให้ห้องของตัวเองรกเป็นเด็ดขาด
เขาก็ยังคงรู้สึกอายแขกที่เข้ามามองรอบ ๆ ห้องของเขาอยู่ดี
จิอากิเหลือบมองไปยังของที่ชินจิโร่ซื้อมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ต
เธอเอ่ยถามเขา “ขออนุญาตถามนะคะ” เธอชี้ไปที่ของเหล่านั้น
“ของพวกนี้…
อาตาเอะซังจะเอามาทำอาหารเหรอคะ?”
“เอ่อ… อ่า ใช่ครับ”
ชินจิโร่เกาหัวแก้เขิน แน่นอนว่าเขาอายมากถ้าต้องบอกว่าเขาซื้อเพื่อเอามาฝึกทำ
“มันคืออุปกรณ์ในการทำอาหารเย็นของผมในวันนี้”
จิอากิเบิกตาโต “ต้องซื้อเยอะขนาดนี้เลยเหรอคะเนี่ย!”
เธออุทานขึ้น นั่นทำให้ชินจิโร่หน้าแดงขึ้นมา
จิอากิเหมือนรู้ตัวว่าทำให้เขาอายซะแล้ว ซึ่งใช่ ชินจิโร่อายมาก ความจริงก็อายตั้งแต่เริ่มมีความคิดที่จะทำอาหารเองแล้วละ
จิอากิรีบพูดกลบเกลื่อน “เอ่อ ขอโทษค่ะ คือแบบว่า
ฉันแค่สงสัยน่ะค่ะ ว่าทำไมทำกับข้าวแค่นี้ต้องซื้อเยอะขนาดนี้เลย
หรือเพราะจะเอาไว้ทำในมื้ออื่นด้วย?” เหมือนการพูดกลบเกลื่อนของจิอากิจะไม่ได้ช่วยทำให้สถานการณ์มันดีขึ้น
ชินจิโร่ยิ้มแห้ง ๆ “อ่า
ใช่ครับ ใช้ประมาณนี้แหละ ผมว่ามันเป็นส่วนผสมที่ถ้าใส่ลงไปทั้งหมดนี่มัน(อาจจะ)อร่อยนะ” เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นบนหน้าผากของเขา
“งะ งั้นเหรอคะ” จิอากิยิ้มฝืน
ๆ “อืม… จะว่าอะไรไหมคะถ้าฉันอาสาจะช่วยอาตาเอะซังทำอาหารเย็นสำหรับวันนี้?”
นั่นเป็นคำถามที่ชินจิโร่ไม่ได้คาดฝัน
แต่มันก็เป็นอะไรที่โคตรวิเศษไปเลยสำหรับเขาหากว่าจิอากิต้องการอยากจะช่วยเขาทำอาหารจริง
ๆ
“จะดีเหรอครับ อิโตะซังช่วยผมถือของมาให้ก็รบกวนจะแ…”
“ไม่รบกวนเลยค่ะ! เรื่องทำอาหารน่ะเรื่องโปรดฉันเลยนะคะ” ยังไม่ทันที่ชินจิโร่จะพูดจบจิอากิรีบพูดสวนขึ้นมาทันที ตาของเธอลุกวาวไปด้วยไฟแห่งความมุ่งมั่น
นั่นทำให้ชินจิโร่เดาว่าเธอคงไม่ได้แค่ชอบทำอาหาร แต่ยังรักการทำอาหารสุด ๆ ไปเลย
“งะ งั้นก็โอเคครับ… ตามสบายเลย” เขายิ้มอย่างยินดี “แต่จะว่าอะไรไหมถ้าผมจะให้อิโตะซังสอนผมทำอาหารด้วย?” ชินจิโร่พูดพลางเกาหัวและก้มหน้างุด ๆ แหงสิ
เขากำลังขอให้ผู้หญิงที่เพิ่งเจอกันวันแรกสอนทำอาหารนะ
มันก็แอบรู้สึกเสียฟอร์มเล็ก ๆ ที่ต้องบอกว่าเขาแทบไม่มีความรู้ในการทำอาหารเลย
จิอากิยิ้มเหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เธอเหลือบตามองหนังสือฝึกทำอาหารบนโต๊ะที่ชินจิโร่ซื้อมาก่อนจะหัวเราะคิก
“ได้เลยค่ะ
เดี๋ยววันนี้อิโตะเซนเซย์จะสอนอาตาเอะซังเอง!”
สามชั่วโมงผ่านไปกับการทำอาหารและเรียนทำอาหารไปด้วยของชินจิโร่
ในที่สุดกับข้าวหน้าตาน่ารับประทานก็ได้ถูกจัดวางอยู่เต็มโต๊ะกินข้าว
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ฝีมือเขาหรอก แต่เป็นจิอากิ
หากจะถามว่า กับข้าวที่ชินจิโร่ทำเองล่ะ?
เรียกได้ว่าอยู่ในขั้น ‘เละเทะ’
แทบทุกอย่าง แค่ทอดไข่ก็ไหม้แล้ว เขาเกือบทำหม้อหุงข้าวซื้อใหม่ป้ายแดงของตัวเองพังตั้งแต่ยังไม่ทันเดบิวท์
เขาใช้น้ำเปล่าทอดปลาแทนน้ำมัน และที่เลวร้ายกว่านั้นคือ…
เขาทำให้ทรงผมของตัวเองที่เซ็ตมาอย่างดีกลายเป็นทรงคล้ายฝอยขัดหม้อ…
โอเค เขายอมรับแล้วว่าเขาคงไปไม่รอดกับเส้นทางการทำอาหาร
เขาคิดพลางทำท่าคอตกและลูบผมทรงใหม่ของตัวเองเมื่อเห็นปลาและไข่ไหม้ๆบนจานของเขา
เขาดับฝันตัวเองลงทันทีพร้อมกับตั้งปณิธานว่าเขาจะคว้าผู้หญิงทำอาหารเก่งๆมาเป็นภรรยาเขาในอนาคตให้ได้เลย
เพราะคงไม่มีหนทางไหนที่จะเยียวยาความสามารถในการทำอาหารของชินจิโร่ได้แล้วละ
“อาตาเอะซัง ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” จิอากิพูดปลอบเมื่อเห็นสีหน้าแสนเศร้าของชินจิโร่ “วันหลังสู้ใหม่นะคะ
สำหรับวันนี้ ลองมาชิมอาหารเย็นฝีมือของฉันก่อนก็แล้วกันเนาะ”
ชินจิโร่ฉีกยิ้มดีใจที่ได้ยินคำปลอบของจิอากิ
แม้เขาจะคิดไว้แล้วว่าอนาคตเขาจะไม่แตะต้องการทำอาหารด้วยตัวเองอีกต่อไปแล้วก็ตาม
แต่ว่า ถ้าเขาไม่ทำอาหารเอง เขาก็ต้องออกไปหาอะไรกินด้านนอก
ซึ่งนั่นเขาไม่ค่อยจะชอบสักเท่าไหร่ อีกอย่าง จิอากิก็ทำอาหารให้เขาได้แค่วันนี้วันเดียว
ซึ่งนี่ก็ถือว่ารบกวนเธอมากพอแล้ว เขารู้สึกดีใจที่ได้เจอเธอวันนี้
แต่ก็รู้สึกเสียใจเมื่อต้องพบว่าเขาอาจจะไม่ได้เจอเธออีกเป็นครั้งที่สอง
หากเป็นไปได้ เขาอยากให้เธอมาช่วยทำอาหารให้เขาทุกวัน!
ชินจิโร่สะบัดหน้าไล่ความคิดนี้ออกไป งี่เง่าน่า
อย่าเห็นแก่ตัวไปหน่อยเลยชินจิโร่ นายต้องพึ่งตัวเองเซ่!! เขาบอกกับตัวเอง
“งั้นก็ทานกันเลยดีกว่านะครับอิโตะซัง”
ชินจิโร่กล่าวชักชวน จิอากิยิ้ม “เอ๋
จะให้ฉันร่วมโต๊ะด้วยอย่างนั้นเหรอคะ?”
ชินจิโร่พยักหน้า “แน่นอนสิครับ
อิโตะซังอุตส่าห์อาสามาทำอาหารให้ ทานกับผมก่อนสักมื้อนะครับ ถือว่าผมตอบแทนที่รบกวนอิโตะซังมากขนาดนี้”
“เปล่าเลยค่ะ อาตาเอะซังไม่ได้รบกวนอะไรฉันเลยนะคะ
ฉันแค่อาสาอยากจะทำเอง แต่ถ้าชวนกันฉันก็ไม่เกรงใจแล้วนะคะ” จิอากิยิ้มแป้น
ก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะพร้อมกับเสิร์ฟถ้วยข้าวให้ตัวเองและชินจิโร่
ในระหว่างที่รับประทานอาหาร
ชินจิโร่ก็ชวนจิอากิคุยไปด้วย เขาเผลอถามด้วยว่าเธอมีแฟนหรือยัง
ซึ่งเขาเองก็รู้สึกว่ามันอาจจะเป็นคำถามที่ดูละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวไปหน่อย
ตอนแรกเขาจะเปลี่ยนเรื่อง แต่จิอากิก็ตอบเขาโดยไม่อิดออด
“แฟนน่ะฉันยังไม่มีหรอกค่ะ” เธอตอบยิ้ม ๆ นั่นทำให้ชินจิโร่รู้สึกดีใจจนอยากวิ่งกระโดดรอบบ้านแล้วร้อง
เยสสสสสส!!!! งั้นเขาก็มีสิทธิจีบเธอสิน้า ~
“สวย ๆ แบบอิโตะซังนี่นะยังไม่มีแฟน?
ผมไม่อยากจะเชื่อเลยครับ” เขาอุทานด้วยความประหลาดใจ แต่แล้วก็รู้ตัวอีกทีว่าตัวเองเผลอเสียมารยาทไปแล้ว
เขารีบขอโทษ “เอ่อ ขอโทษนะครับ”
จิอากิหัวเราะ “ฮะ
ๆ ๆ ๆ อาตาเอะซังคิดอย่างนั้นเหรอคะ งั้นฉันขอถามกลับบ้างนะ”
“ถามมาเลยครับ
ดูเหมือนผมจะถามอิโตะซังมาเยอะแล้ว แย่จัง แหะ ๆ ” ชินจิโร่เกาหัวยิ้มเก้อ
ๆ
“อาตาเอะซังมีแฟนรึยังล่ะคะ?”
นั่น!! เขาโดนถามกลับแล้ว
เขารู้สึกสมน้ำหน้าตัวเองที่ไปถามจิอากิแบบนั้น
“ผมเองก็ยังโสดครับ” เขาตอบยิ้ม ๆ
จริง ๆ เหตุผลที่ชินจิโร่ยังโสด เป็นเพราะเขายังไม่เจอใครที่ถูกใจ
จะบอกว่าเขาเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างจะ ‘เลือก’
ก็ไม่ผิด… แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยคบกับใครมาก่อน
เขาแค่ไม่อยากจะเอ่ยถึงผู้หญิงคนที่เขาเคยคบด้วยก่อนหน้านี้ คนที่บอกเลิกเขาอย่างเจ็บปวด
เขาไม่มีทางลืมเธอแน่…
จิอากิเบิกตาโตเหมือนเขาในตอนแรก “หล่อ ๆ แบบอาตาเอะซังนี่นะยังไม่มีแฟน? ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะ” ชินจิโร่แทบสำลักข้าว เขารู้สึกเหมือนโดนประโยคที่เขาพูดกับจิอากิเมื่อกี้ตอกกลับ
แต่เขาก็(แอบ)รู้สึกดีใจที่อย่างน้อยจิอากิก็ชมว่าเขาหล่อ
“ขะ ขอบคุณนะครับ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ตอบเหมือนกันเด๊ะเลย แหะ ๆ ๆ ”
ชินจิโร่หัวเราะเขิน ๆ และเขาเองก็สังเกตว่าจิอากิเองก็เขินเหมือนกัน
จิอากิพูดกลบเกลื่อนแก้เขิน “ก็… ก็ถือว่าชมกลับแล้วกันนะคะ” แล้วพวกเขาทั้งสองคนก็หัวเราะพร้อมกัน
หลังจากที่ทั้งสองคนทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว
พวกเขาก็ช่วยกันเก็บจานชามพร้อมกับล้างเก็บเข้าที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งทำให้ชินจิโร่รู้สึกปลื้มมากที่เห็นจิอากิเก็บของทุกอย่างของเขาเข้าที่อย่างเป็นระเบียบโดยไม่จำเป็นต้องถามเขาเลยว่าต้องเก็บอะไรยังไงตรงไหน
เขาชอบนิสัยจิอากิที่เหมือนกับเขาตรงนี้ ผู้หญิงที่ระเบียบจัดเป็นสเป็กของเขาเลยละ
จนกระทั่งเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย
ชินจิโร่ดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ เวลาสองทุ่ม แน่นอนว่ามันเริ่มจะดึก
เขาเป็นห่วงจิอากิในตอนขากลับบ้าน
เขาจะปล่อยให้ผู้หญิงที่วันนี้อุตส่าห์สละเวลามาเป็นธุระให้กับคนแปลกหน้าอย่างเขากลับบ้านคนเดียวในยามวิกาลแบบนี้ไม่ได้
ชินจิโร่เอ่ยถามจิอากิที่กำลังล้างมืออยู่ที่อ่างล้างมือ “อิโตะซังบ้านอยู่ที่ไหนเหรอครับ ไกลรึเปล่าให้ผมไปส่งไหม? ตอนนี้มันก็มืดแล้วนะ”
จิอากิหันมายิ้มให้ชินจิโร่ก่อนจะตอบ “ไม่ไกลหรอกค่ะ แต่ฉันคิดว่า… ฉันคงต้องรบกวนอาตาเอะซังแล้วละค่ะ”
บ้านของจิอากินั้นจัดว่าหลังใหญ่มากทีเดียว ฐานะของเธอแทบไม่ต่างกันกับเขา
จะบอกว่าเธอเป็นลูกเศรษฐีก็ไม่แปลก ผู้หญิงคนนี้นอกจากจะสวย
ฐานะดีแล้วยังมีน้ำใจอีกด้วย นั่นทำให้ชินจิโร่รู้สึกชอบเธอมากและอยากจะเป็นเพื่อนกับเธอ
ชินจิโร่นั้นเพิ่งจะย้ายจากเกียวโตบ้านเกิดขึ้นมาที่โตเกียวเพื่อมาเข้าไฮสคูลที่นี่
เหตุผลที่เขาขอที่บ้านย้ายมาอยู่คนเดียวนั่นก็เพราะเขาอยากจะลองใช้ชีวิตคนเดียวในเมืองหลวง
ชีวิตการเป็นคุณหนูอยู่ที่บ้านนั่นไม่ใช่สไตล์ของเขาสักเท่าไหร่ เขาจึงได้มาเช่าหอพักเดี่ยวอยู่ที่นี่
แต่ประเด็นปัญหาในตอนนี้คือ ที่แห่งนี้เขาไม่รู้จักใครเลย เขาจึงดีใจมากที่ได้มาเจอกับจิอากิที่บ้านของเธอนั้นอยู่ใกล้กับหอพักของเขาเนื่องจากอยู่ซอยเดียวกัน
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” จิอากิหันมายิ้มให้ชินจิโร่
“ถือเป็นการตอบแทนด้วยครับที่อิโตะซังช่วยผมถือของและทำอาหารมื้อเย็นด้วย
อีกอย่างคุณเป็นผู้หญิง เดินในซอยเปลี่ยวคนเดียวมันอันตรายน้า”
“นั่นสิเนาะคะ” จิอากิหัวเราะ
“เป็นผู้หญิงนี่มันอยู่ยากจริง ๆ”
“เป็นเพศที่น่าปกป้องน่าทะนุถนอมต่างหากละครับ”
เป็นคำพูดที่ฟังแล้วจั๊กจี้ชะมัด
ร้อยวันพันปีชินจิโร่ไม่เคยแม้แต่จะพูดอะไรแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน เมื่อเขารู้ตัวอีกทีว่าพูดประโยคแบบนี้ออกไป
เขาเลยรู้สึกเขินเล็กน้อย ซึ่งก็เหมือนจะไม่ต่างกันกับจิอากิที่ตอนนี้แก้มของเธอเริ่มกลายเป็นสีชมพูเข้ม
“งะ งั้น… ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ชินจิโร่บอกลาแก้เขิน
เพราะดูเหมือนเขาจะมายืนคุยกับจิอากิตรงหน้าบ้านของเธอนานแล้ว เขาไม่อยากรบกวนเธอนัก
“เจอกันที่โรงเรียนนะคะ!”
“เอ๋?” ชินจิโร่อุทานขึ้น
เขาอยู่โรงเรียนเดียวกับเธองั้นเหรอ? เอ… วันนี้เขาไม่ได้ไปโรงเรียนนี่นา
เพราะเขาเพิ่งจะมาถึงโตเกียวในวันนี้…
แล้วเธอรู้ได้ยังไง? แต่ท่าทางและน้ำเสียงที่ยืนยันมั่นใจแบบนั้น…
“มีอะไรเหรอคะ?” จิอากิถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของชินจิโร่
“เอ่อ เปล่าครับ” แต่แล้วเขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะถามต่อ
ก่อนจะเดินออกไป “เจอกันครับ บ๊าย บาย!” ชินจิโร่หันมาโบกมือให้หญิงสาว จิอากิเองก็ยืนโบกมือส่งเขาอยู่หน้าประตูบ้านเช่นกัน
จนกระทั่งร่างของชินจิโร่เดินไกลจนลับตาหล่อนไป
จิอากิถอนหายใจยาว เธอยิ้มพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหลอาบแก้ม
เธอพึมพำกับตนเอง
“ในที่สุดฉันก็พบนายซะทีนะ… ชินจัง”
เป็นเรื่องแย่ๆเรื่องหนึ่งในชีวิตที่วันนี้เธอต้องเดินกลับบ้านคนเดียวหลังจากที่เพิ่งไปเดทกับแฟนมา
อุโนะ มิซาโกะ หญิงสาวมาดมั่นใจผู้ไม่เคยโดดเดี่ยวเลยสักครั้ง แต่วันนี้เธอกลับต้องถูกทิ้งแล้วเดินกลับบ้านคนเดียวมันเป็นอะไรที่
‘แย่’ สำหรับเธอสุด
ๆ
“โธ่เว่ย!” เธอสบถพลางเดินเตะฝุ่นไปตามทาง
เป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดมากเมื่อแฟนหนุ่มของเธอที่คอยมาส่งเธอกลับบ้านทุกครั้งต้องมาติดธุระแสนงี่เง่าจนไม่สามารถมาส่งเธอกลับบ้านได้
แต่แล้วเธอก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงและผู้ชายสองคนที่เดินถือของมาด้วยกัน
นั่นเป็นอะไรที่ดึงดูดความสนใจของมิซาโกะมากทีเดียวเมื่อเธอเห็นว่าผู้หญิงคนที่เดินมากับผู้ชายคนนั้นคือ
อิโตะ จิอากิ สาวสวยลึกลับที่คนทั้งโรงเรียนต่างก็ยี้หล่อนอย่างไม่มีเหตุผล
“ว้าว ดูซิว่าฉันเจออะไร” มิซาโกะยักไหล่ “ยัยคุณหนูไร้เดียงสาที่โดนเกลียดทั้งโรงเรียนกับหนุ่มรูปหล่อนิรนาม
น่าสนใจแฮะ… ว่าแต่ ผู้ชายคนนั้นใครกัน” มิซาโกะสงสัยเมื่อเพ่งมองไปยังใบหน้าของชายหนุ่ม เธอไม่เคยเห็นและไม่คุ้นหน้าเขามาก่อน
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นบวกกับความหงุดหงิดใจทำให้เธออยากหาอะไรทำแก้เซ็งก่อนจะกลับถึงบ้าน
เธอจึงตัดสินใจเดินตามทั้งสองคนไป จนกระทั่งพบว่าผู้ชายคนนี้เช่าหอพักเดี่ยวอยู่ และยังอาศัยอยู่ในซอยใกล้บ้านของเธอและจิอากิอีกด้วย
มิซาโกะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปของทั้งสองคนไว้ทันทีในขณะที่ทั้งสองคนเดินเข้าไปในหอพักของผู้ชายคนนั้นด้วยกัน
“ข่าวเด็ดแน่ ๆ ถ้าฉันเอาภาพไปขายให้หัวหน้าชมรมข่าวของโรงเรียน
แปลกชะมัด ยัยจิอากิเห็นซื่อๆแบบนั้นดันมั่วผู้ชาย ข่าวแซ็บขนาดนี้ราคาดีแน่ ๆ ฮึ ๆ
” เธอแสยะยิ้มอย่างนึกสนุก เธอเก็บมือถือที่ใช้ถ่ายรูปเข้ากระเป๋าเสื้อ
ก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้นเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว
จู่ ๆ มิซาโกะก็มีความรู้สึกเหมือนว่ามีใครบางคนกำลังเดินตามเธอมา
เธอหยุดเดิน ก่อนจะเหลียวหลังหันไปมอง จากนั้นก็หันซ้ายขวาไปมาเพื่อความมั่นใจและปลอดภัยว่าเธอคงจะคิดไปเอง
แน่นอนว่าเธอไม่เจอใคร ความคิดที่ว่าเธอคิดไปเองคือคำตอบ
เมื่อมิซาโกะเดินออกมา เธอไม่ตรงกลับบ้าน เธอมีแผนที่จะแวะไปเที่ยวที่อื่นต่อ
ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น นั่นเป็นสายจากโทมัสแฟนฝรั่งสุดหล่อของเธอ
เธอเบะปากใส่มือถือหนึ่งครั้ง ก่อนที่เธอจะรับสายนั้นโดยไม่อิดออด
“ว่าไงยะโทมัส” เธอพูดกับปลายสายเป็นภาษาอังกฤษด้วยน้ำเสียงกระแทกแดกดัน
“มิซาโกะ โทษทีนะ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?” มิซาโกะมองไปรอบๆตัวเพื่อจะได้หาตำแหน่งบอกที่อยู่ของเธอในตอนนี้ได้ถูกต้อง
ในขณะที่มิซาโกะกำลังจะบอกปลายสายว่าเธออยู่ที่ไหน ปลายสายก็ชิงพูดขึ้นก่อน “โอ้ว ฉันเจอเธอแล้วดาลิ้ง” โทมัสพูดจบเขาก็ตัดสายไป
มิซาโกะเห็นเขาปั่นจักรยานมาหาเธอจากด้านหลัง
“ไปไหนมาเนี่ย? แล้วนี่ไปเอาจักรยานมาจากไหน?”
มิซาโกะเอ่ยถามเมื่อโทมัสปั่นจักรยานมาจอดตรงหน้าเธอ
“เพื่อนของฉันมีปัญหานิดหน่อยน่ะมิซาโกะ
ส่วนนี่ก็จักรยานฉันยืมเพื่อนมาเพื่อมาหาเธอเลยนะ”
“มาหาฉัน? มาทำไมล่ะ?” มิซาโกะทำท่าเง้างอน เธอยืนหันหลังให้โทมัสแล้วกอดอก “ในเมื่อเรื่องของเพื่อนนายสำคัญกว่าแล้วนายจะมาหาฉันทำไมล่ะ?”
โทมัสจอดรถจักรยาน ก่อนจะเดินไปสวมกอดมิซาโกะ “โอ๋ อย่างอนน้า มันเป็นธุระสำคัญจริงๆครับ แล้วนี่ที่ฉันมาหามิซาโกะเนี่ย
เพราะฉันมีเรื่องสำคัญที่จะมาบอกเธอ ตั้งแต่ที่เราคบกันมาฉันไม่เคยทิ้งให้มิซาโกะไปไหนมาไหนคนเดียวมาก่อนเลย
ครั้งนี้ครั้งแรก ฉันเลยเป็นห่วงมิซาโกะน่ะก็เลยมาหา แล้วก็กะว่า…”
มิซาโกะหันมาถามอย่างอยากรู้ “กะว่าอะไร?”
โทมัสผละกอดมิซาโกะก่อนจะยิ้มแป้น “ก็… กะว่าจะชวนมิซาโกะไปทานอาหารเย็นด้วยกันไงครับ”
“ดะ ดินเนอร์งั้นเหรอ…” มิซาโกะหน้าแดงระเรื่อ “ละ
แล้วเรื่องสำคัญที่นายจะบอกล่ะ?”
“ถ้ามิซาโกะตกลงจะไปดินเนอร์กับฉัน
ฉันก็จะคุยเรื่องนี้กับมิซาโกะที่นั่น”
ซึ่งแน่นอนว่าเธอตอบตกลงไปทานอาหารเย็นกับโทมัสทันทีโดยไม่ปฏิเสธ
ณ ตอนนี้มิซาโกะและโทมัสได้มานั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร
แน่นอนว่าไม่มีอะไรจะโรแมนติกมากไปกว่านี้อีกแล้วสำหรับมิซาโกะเท่ากับการได้มาเดทช่วงเย็นด้วยการดินเนอร์สองต่อสองกับโทมัสในภัตตาคารสุดหรู
“สั่งอะไรดีครับ?” โทมัสเอ่ยถามมิซาโกะ
เธอเปิดเมนูไปเรื่อย ๆ และไม่ได้คิดจะสั่งอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว ความจริงมิซาโกะไม่ใช่คนที่ชอบทานอาหารเย็น
แน่นอนว่าตอนนี้เธอไม่หิว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะแฟนหนุ่มของเธอชวนเธอมาดินเนอร์ครั้งแรกตั้งแต่คบกันมาหนึ่งเดือนเต็ม
เธอไม่อยากเสียโอกาสนี้ไป
“นายสั่งก่อนเลยโทมัส” มิซาโกะวางเมนูลง “ฉันขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง”
“อือ ได้สิ”
มิซาโกะลุกจากโต๊ะอาหารก่อนที่เธอจะตรงไปยังห้องน้ำ เป็นจังหวะพอดีกับผู้ชายโต๊ะข้าง
ๆ เธอที่เขาเองก็เหมือนจะลุกไปเข้าห้องน้ำเช่นกัน
มิซาโกะมาถึงห้องน้ำ เธอยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจก จัดผมเผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย
พร้อมกับแต่งหน้าเพิ่มอีกนิด เธอถอนหายใจยาว รู้สึกตื่นเต้น
เธอล้วงถุงยางอนามัยที่เธอพกไว้ในกระเป๋าถือออกมาดู
แน่นอน วันนี้เป็นวันที่เธอตัดสินใจแล้วว่าเธอจะมีเซ็กส์กับโทมัส
ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกของเธอ…
มิซาโกะเหม่อลอยเมื่อนึกถึงว่าวันนี้เธอกำลังตัดสินใจจะทำอะไรลงไป
ก่อนจะตั้งสติแล้วรีบเก็บถุงยางอนามัยเข้ากระเป๋า
เธอเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกันกับผู้ชายที่อยู่โต๊ะข้าง
ๆ เธอเมื่อสักครู่โดยบังเอิญ…
“รอนานไหมโทมัส?” มิซาโกะเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ของเธอ
โทมัสส่ายหน้าเบา ๆ เป็นเชิงว่า ไม่ ไม่นานเลย
มิซาโกะถามต่อเมื่อนั่งประจำที่แล้ว “ว่าแต่ นายสั่งอะไรบ้างล่ะ?”
“ก็ หลายอย่างนะ จำไม่ได้แล้วซี…” โทมัสเกาหัวแกรก ๆ เป็นเชิงนึกไม่ออก มิซาโกะหลงใหลกับท่าทางแบบนี้ของเขาจริง
ๆ จากนั้นโทมัสก็ยื่นเมนูมาให้มิซาโกะ “ไม่คิดจะสั่งอะไรหน่อยเหรอ?
สั่งเพิ่มได้นะ”
มิซาโกะโบกมือ “ไม่ดีกว่า
ฉันคิดว่านายคงสั่งให้ฉันเรียบร้อยแล้ว ใช่มะ?”
“แหะ ๆ รู้ทันอีก” โทมัสเกาหัวอีกครั้งพร้อมกับหัวเราะแห้ง
ๆ
หลังจากที่อาหารที่โทมัสสั่งมาถึงโต๊ะแล้ว โทมัสจัดการกับมันทันที
ด้วยท่าทางนั้นมิซาโกะรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังหิวมากๆ ส่วนมิซาโกะนั้นกินแค่เล็กน้อยเพราะเธอต้องรักษาหุ่น
หลังจากนั้นเธอก็เอาแต่นั่งมองแฟนหนุ่มของเธอกินอาหารบนโต๊ะอย่างเอร็ดอร่อย
“กินน้อยจังเลย” โทมัสมุ่ยปากเมื่อเห็นอาหารที่เหลือบนจานของมิซาโกะ
มิซาโกะแค่นหัวเราะ
เธอไม่อยากให้แฟนหนุ่มของเธอผิดหวังที่ชวนเธอมา แต่เธออิ่มแล้วจริง ๆ “ฉันอิ่มแล้วน่ะโทมัส ฮะ ๆ” มิซาโกะนึกขึ้นได้ว่าโทมัสมีเรื่องสำคัญอยากจะบอกเธอ
“ว่าแต่ เรื่องสำคัญที่นายอยากจะบอกฉัน
มันคือเรื่องอะไรเหรอ?”
เมื่อมิซาโกะเอ่ยถาม
โทมัสที่กำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยกลับหยุดชะงัก ก่อนจะวางส้อมและมีดลงทันที
เขามีสีหน้าลำบากใจก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
แน่นอนว่าท่าทางแบบนี้ของโทมัสทำให้มิซาโกะรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที… มันจะต้องมีเรื่องอะไรแน่ ๆ
“มีอะไรอย่างนั้นเหรอโทมัส?
มีอะไรบอกฉันได้นะ เรื่องใหญ่มากรึเปล่า?”
“คือว่าอย่างนี้นะมิซาโกะ” โทมัสพูดขึ้นพลางยิ้มอ่อน ๆ เขามีสีหน้าจริงจัง “ฉันก็ไม่อยากจะทำแบบนี้กับเธอนะแต่…
พอมาคิด ๆ ดูแล้ว ตอนนี้”
มิซาโกะขมวดคิ้ว “เรื่องอะไรกันโทมัส?”
“มิซาโกะ”
“?”
“เราเลิกกันเถอะ”
“ห๊ะ!!??”
*ตึง!!* มิซาโกะร้องห๊ะพร้อมกับตบโต๊ะเสียงดังก้องไปทั่วภัตตาคาร
ทำเอาคนทั้งภัตตาคารถึงกับหันมามองเธอเป็นจุดเดียว… ไม่สิ
สองจุดต่างหาก เพราะชายหนุ่มที่โต๊ะข้าง ๆ ของมิซาโกะเองก็มีท่าทีเดียวกันกับมิซาโกะเปี๊ยบบนโต๊ะของเขาเช่นกัน… ซึ่งมันคือเหตุการณ์โคตรบังเอิญที่คนแต่งเองก็ยังสงสัย
“ทะ ทำไม” มิซาโกะช็อกมาก
ตอนนี้แค่เธอจะบังคับตัวเองให้นั่งลงที่เดิมยังยากเลย
โทมัสเอามือกุมหัว เขาพยายามอธิบาย “คะ คือ… ฉันขอโทษมิซาโกะ ฉันคิดว่าเส้นทางของเรามันควรจะจบลงแค่นี้”
“โทมัส…”
“ฉันพยามแล้ว
พยามที่จะทำให้ทุกอย่างมันออกมาดีที่สุด แต่มันก็มาได้แค่นี้… ฉันขอโทษ”
“ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!”
แล้วมิซาโกะก็ปล่อยโฮเสียงดังลั่นภัตตาคาร… พร้อม
ๆ กันกับผู้ชายคนที่นั่งโต๊ะข้าง ๆ เธอเช่นกัน
มิซาโกะวิ่งออกมาจากภัตตาคารทันทีที่เธอกรีดร้องออกไป ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่ามีผู้ชายอีกคนที่อยู่โต๊ะข้าง
ๆ กันกับเธอก็กรีดร้องแล้ววิ่งออกมาจากภัตตาคารนั้นพร้อม ๆ กับเธอเช่นกัน
มิซาโกะจำไม่ได้ว่าเธอวิ่งออกมาไกลแค่ไหน
เธอไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้นนอกจากเสียงลมหวีดหวิวผ่านหูของเธอเวลาเธอวิ่ง
สมองของเธอตื้อและชา มันไม่พร้อมจะรับรู้อะไรในตอนนี้ทั้งสิ้น
นี่น่ะเหรอความรู้สึกที่ผู้หญิงมักจะเป็นเมื่อพวกเธออกหัก
มิซาโกะหยุดวิ่งเมื่อเธอมาถึงฮับผับที่เปิดอยู่ใกล้ ๆ
เธอเดินเข้าไปนั่งทันทีโดยไม่สนเรื่องอายุของตัวเองแล้วสั่งเครื่องดื่ม พร้อม ๆ
กันกับผู้ชายที่วิ่งมาพร้อมกับเธอด้วย เธอและเขาสั่งเบียร์เหมือนกัน
วันนี้ฮับผับแห่งนี้ไม่ค่อยมีคนเข้า
ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้ถ้าไม่นับเจ้าของร้านก็เหลือเพียงแค่มิซาโกะกับผู้ชายปริศนาอีกคนที่วิ่งออกมาจากภัตตาคารพร้อมกันกับเธอ
มิซาโกะร้องไห้คร่ำครวญพร้อมกับสั่งเบียร์เพิ่มไม่ยั้ง พอ
ๆ กับชายหนุ่มที่นั่งข้าง ๆ เธอก็มีอาการเดียวกัน เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง…
“ทำไมโทมัส นายบอกเลิกฉันทำไม… เราคบกันมาตั้งหนึ่งเดือน หนึ่งเดือนเลยนะ!! มาเลิกกันง่าย
ๆ แบบนี้ได้ยังไง ฉันมันไม่ดีตรงหนาย ทั้ง ๆ ที่วันนี้เป็นวันที่ฉันตัดสินใจจะมอบความบริสุทธิ์ของฉันให้นายแท้
ๆ ฮือ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” มิซาโกะร้องไห้ เธอพูดคร่ำครวญกับแก้วเบียร์
ก่อนจะเผลอไปได้ยินเสียงอีกฝ่ายที่เขาเองก็คร่ำครวญเช่นเดียวกันกับเธอ
“ทำไมล่ะฮารุจัง เธอบอกเลิกฉันทำไม…
เราคบกันมาตั้งหนึ่งเดือน หนึ่งเดือนเลยนะ!! มาเลิกกันง่าย
ๆ แบบนี้ได้ยังไง ฉันมันไม่ดีตรงหนาย ทั้ง ๆ ที่วันนี้ฉันอุตส่าห์เตรียมซิงมาให้เสียแล้วแท้
ๆ ฮือ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”
เมื่อมิซาโกะได้ยินชายหนุ่มพูดประโยคเหมือนเธออย่างกับก็อปปี้วางแบบนั้น
เธอก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
เธอหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งโอดครวญกับแก้วเบียร์ในมือ
เธอวางแก้วเบียร์ในมือของตัวเองลงบนโต๊ะดัง ‘ตึง!!’
ก่อนจะเริ่มตวาดใส่ชายหนุ่มว่า “นี่นาย!
มาเลียนแบบคำพูดฉันทำไมยะ ห๊ะ!!”
ชายหนุ่มหยุดร้องไห้ เขาสูดน้ำมูกดัง ‘ฟื้ดดดดดดด’ ก่อนจะสะบัดหน้าหันมาทางมิซาโกะ “ฉันไปเลียนแบบคำพูดของเธอตอนไหน ห๊ะ!!!!” เขาตวาดกลับ
เมื่อมิซาโกะเห็นใบหน้าของเขาเท่านั้นแหละ ให้ตายสิ
หมอนี่หน้าตาหล่อเหลาอย่างเหลือเชื่อเลยแหละ ไม่สิ สวยต่างหาก
หน้าสวยอย่างกับผู้หญิง… แม้จะมีน้ำมูกน้ำตาไหลเลอะเทอะปะปนกันบนใบหน้าหล่อเหลานั่นก็เหอะ
อี๋ สภาพทุเรศกว่าที่คิดไว้ซะอีก แต่ว่านะ หน้าตาดีแล้วไงล่ะ
เมื่อตะกี้ยังมาริอ่านเลียนแบบคำพูดของมิซาโกะ เธอไม่ยอมแพ้ให้กับผู้ชายแบบนี้หรอก
“เอ๊ะ!! ไอ้นี่
มาปฏิเสธหน้าด้านๆแบบนี้เลยหรอ! ห๊ะ!!! เมื่อกี้ฉันได้ยินเต็มสองหูเลยนะว่านายกำลังเลียนแบบคำพูดคร่ำครวญอันแสนดราม่าของฉันอยู่น่ะ”
“อ๋อหรอ ขอโทษทีนะ
ฉันไม่มีจิตใจไปฟังคนอย่างเธอคร่ำครวญคำพูดแสนดราม่าแล้วเอามาเป็นแบบอย่างมาพูดหรอก
ตอนนี้ฉันอกหักอยู่ เข้าใจม๊าย อกหักน่ะ!!!!
คำพูดพวกนี้มันออกมาจากจิตใจอันแสนบอบบางของฉัน
อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลยยัยมนุษย์ป้า!!!”
มนุษย์ป้า… คำ
ๆ นี้เพิ่มความโมโหให้มิซาโกะเป็นเท่าทวีคูณ นั่นทำเธอปรี๊ดแตก
“หนอย!! เรียกฉันว่ายัยมนุษย์ป้าหรอ
ห๊า!!!!”
“ก็เออน่ะสิ ยัยมนุษย์ป้าไร้เหตุผล เอะอะ ๆ
ก็โวยวาย ใส่ร้ายคนอื่น เหมือนเธอเลย!!!”
“มันจะมากไปแล้วนะ ไอ้หน้าปลาจรวด!!!”
มิซาโกะโกรธมากถึงขั้นปัดแก้วเบียร์บนโต๊ะลงพื้น
นั่นทำให้เจ้าของร้านไม่พอใจมากทีเดียว แต่ไหนเลยมิซาโกะจะสน
ตอนนี้เธอมีคู่อริใหม่ให้ต้องจัดการเปิดศึกปะทะฝีปาก
“ปะ ปลาจรวด?” ชายหนุ่มทำท่างงกับฉายาใหม่ที่มิซาโกะตั้งให้
“คืออะไรอะ?”
“ก็คือหน้าแกไงละ ไอ้บ้า!!!!”
“เธอนั่นแหละบ้า ยัยมนุษย์ป้า!!!!!!”
“พอได้แล้วโว้ยยยยยยยยยย!!!!!!!!!”
เจ้าของร้านวิ่งเข้ามาห้าม “ทั้งสองคนเลย
เมาแล้วทำไมต้องหาเรื่องกันด้วย นี่ฮับผับนะครับ ไม่ใช่สนามโต้วาที สงบสติอารมณ์แล้วก็หุบปากกันได้แล้วครั…”
มิซาโกะและชายหนุ่มหันมาทางเจ้าของผับก่อนจะตวาดพร้อมกัน
“แกนั่นแหละหุบปาก!!!!!!”
ตลอดอายุ 17 ปีของฮิดากะ มิตสึฮิโระไม่เคยเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้มาก่อนนับตั้งแต่ที่พ่อเขาแอบหนีไปเที่ยวต่างประเทศกับแม่พร้อมกับทิ้งฮับผับไว้ให้เขาดูแลแทนชั่วคราว
ซึ่งมิตสึฮิโระโกรธมากพร้อมสัญญากับตัวเองว่าถ้าพ่อกับแม่กลับจากเที่ยวมาเมื่อไหร่จะตามเฉ่งเป็นรายตัวเลย
แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่รู้จะรับมือยังไงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ลูกค้าในร้านเขาที่เหมือนเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากำลังมีศึกกันเนื่องจากความเข้าใจผิดที่เขาเองก็ตามนั่งเผือกฟังอยู่ห่างๆ(ก็แหม) จากศึกปะทะริมฝีปากระหว่างชายหญิงหน้าตาดีสองคนที่อกหักมาพร้อมกันทั้งคู่
กำลังจะกลายเป็นศึกปาแก้วเบียร์โดยมีแก้วของร้านและหัวของเขาเป็นเดิมพัน
สนามรบคือร้านของพ่อเขาเอง
และให้ตายซี่… พอเขาทนไม่ไหวออกปากห้ามศึก
กลับโดนทั้งคู่ด่ากลับมาพร้อมกันเป็นใจความประมาณ “หุบปาก
อย่าเสือกเรื่องของพวกข้าแล้วไปให้พ้น!!”
มิตสึฮิโระแทบอยากจะร้องไห้และร้องเหี้Eเพราะเขาไม่รู้จะทำยังไงดี
จะโทรแจ้งตำรวจเขาเองก็ไม่กล้าเพราะตัวเองก็เพิ่งจะเป็นผู้เยาว์อายุยังไม่ถึงสิบแปด
มาเปิดร้านพร้อมกับนั่งขายเหล้าเบียร์(แทนพ่อ)เชื่อสิว่าเขานั่นแหละจะโดนโทษที่หนักกว่าทั้งคู่ที่กำลังก่อการทะเลาะวิวาทในร้านของ(พ่อ)เขา แต่ว่านะ หญิงชายทั้งสองคนก็ใช่ว่าอายุจะถึงสิบแปด
พวกเขาเข้ามาในฮับผับนี้โดยไม่แม้แต่จะชะเง้อดูป้ายคำเตือนเลยสักนิด… มิตสึฮิโระถอนหายใจ
เขาไม่ได้กลัวหรอกว่าสองคนนี้จะเป็นอะไรหากมีศึกปาแก้วเบียร์
แต่สิ่งที่เขาแคร์ก็คือ แก้วเบียร์ที่ราคาแสนแพงและฮับผับแสนสวยที่พ่อของเขาตกแต่งทะนุถนอมจะต้องพังพินาศ
เขายังไม่อยากโดนพ่อของเขาอาละวาดเมื่อกลับมาเห็นความพินาศของร้านที่เกิดจากความขี้ขลาดของลูกชาย
ความคิดเหล่านี้ทำให้มิตสึฮิโระโมโหขึ้นมาทันที เอาละ โอเค
อยากมีเรื่องกันนักใช่ไหม
“เฮ้ๆ! สาวสวยและหนุ่มหล่อสองคนตรงนั้นน่ะ
โอเค ผมไม่อยากจะยุ่งเรื่องของพวกคุณหรอกนะหากว่าที่นี่ไม่ใช่ร้านของ(พ่อ)ผม แน่นอนว่าผมจำเป็นต้องยุ่งเมื่อพวกคุณกำลังก่อการทะเลาะวิวาทและทำลายข้าวของของร้าน
ช่วยตั้งสติกันได้แล้ว ดึงสติกันหน่อย ทั้งสองคนเลย ไม่งั้นผมจะโทรแจ้งตำรวจจริงๆด้วย”
มิตสึฮิโระว่าพลางชูโทรศัพท์มือถือขึ้นพร้อมกับกดหมายเลขที่จะแจ้งตำรวจไว้รอแล้ว
เอาละ ทีนี้เป็นไงเป็นกัน
ผู้หญิงและผู้ชายสองคนนั้นเหมือนจะรู้ตัวว่าพวกเขาทำอะไรกันอยู่
พวกเขาดูสงบลง ก่อนที่ฝ่ายชายจะวางแก้วเบียร์ในมือลงเช่นกัน เขาพูดขึ้น “คนอย่างนิชิจิมะ ทาคาฮิโระไม่รังแกผู้หญิง โดยเฉพาะยัยมนุษย์ป้าหน้าแก่บ้าพลังและปากเน่าเฟะแบบยัยนี่ยิ่งไม่อยากจะเข้าใกล้หรือสุงสิงด้วย
เฮอะ!!”
คำพูดนี้เหมือนไปจี้อารมณ์ของอีกฝ่าย
แต่เธอเหมือนกับพยามข่มอารมณ์ไว้แล้วเค้นรอยยิ้มออกมา “ก็ได้ย่ะคุณเจ้าของร้าน ฉันเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นเลดี้พอ
ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับผู้ชายที่ไม่มีความเจนเทิลแถมหน้าตายังคล้ายกับปลาจรวดมิตไซส์อย่างหมอนี่เหมือนกัน!!”
ซึ่งทั้งสองคนต่างก็แยกเขี้ยวใส่กันก่อนจะสะบัดหน้าเชิดกอดอกไม่ยอมมองหน้ากันอีก
มิตสึฮิโระรู้สึกโล่งอกที่ศึกมันจบง่ายแบบนี้ อย่างน้อยมันก็ไม่มีอะไรเสียหายนอกจากแก้วเบียร์แก้วเดียวที่แตกกระจายบนพื้นเนื่องจากผู้หญิงคนนี้เป็นคนปัดมันลงด้วยความโมโห
ซึ่งก็เหมือนเธอจะรู้ตัวและรู้สึกผิดเมื่อเห็นสายตาของมิตสึฮิโระที่มองไปยังแก้วที่แตกกระจายใบนั้น
เธอถาม “ทั้งหมดนี่เท่าไหร่คะ”
มิตสึฮิโระเหมือนจะรู้ว่าเธออยากจะรับผิดชอบและอยากจะออกไปจากร้านนี้เร็วๆ
เขารีบคำนวณเสร็จสรรพ เขาบอกราคาตามจริงพร้อมกับบวกด้วยค่าเสียหาย
ผู้หญิงคนนี้จ่ายโดยไม่อิดออด เธอจ่ายมาเกินเยอะอยู่แต่ไม่รอเงินทอน
ก่อนจะรีบเดินออกไปด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด
ฝ่ายชายที่ชื่อทาคาฮิโระเองก็ทำท่าเหมือนจะจ่าย
แต่แล้วเมื่อเขาล้วงเงินที่จะเอามาจ่าย ดูเหมือนจะมีอะไรหายไป
“เห้ย! กระเป๋าตังค์ผม!”
เขาดูแตกตื่นเมื่อพบว่ากระเป๋าตังค์หาย
ซึ่งแน่นอนว่ามิตสึฮิโระเองก็แตกตื่นเช่นกัน เพราะไม่อย่างนั้น
ผู้ชายคนนี้ก็จะไม่มีเงินมาจ่ายค่าเบียร์ให้เขา รึเปล่านะ?
“ให้ผมช่วยหาไหม?
กระเป๋าเงินลักษณะแบบไหนครับ?”
“สีเทาครับ รูปร่างคล้ายกระเป๋าผู้หญิง
ใบขนาดกลางและปักหมุด รู้สึกผมจะวางไว้บนโต๊ะข้างตัวผมครับ”
มิตสึฮิโระนึกลักษณะของกระเป๋า
ก่อนที่เขาจะนึกออกว่าเขาเห็นมันที่ไหน เขาหันไปบอกทาคาฮิโระ “ผู้หญิงคนเมื่อกี้ครับ กระเป๋าเหมือนกับที่ผู้หญิงคนเมื่อกี้ที่ล้วงเงินจ่ายเงินให้ผมเปี๊ยบเลย!”
“อะไรนะ!”
ทาคาฮิโระตบโต๊ะ “หนอย
ที่แท้ยัยมนุษย์ป้าก็ขโมยของฉันไปนี่เอง ให้ตายสิยัยตัวแสบ! นี่เจ้าของร้าน
ฉันขอติดไว้ก่อ…”
“ไม่ต้องหรอกครับ เพราะส่วนที่ผู้หญิงคนนั้นจ่ายเกินมาให้ผม
มันเหมือนจะรวมกับค่าเบียร์ของคุณพอดีเป๊ะเลย”
“งั้นเหรอ” ทาคาฮิโระเหมือนโล่งอก
แต่เขาก็ดูจะโกรธมากไม่น้อยเหมือนกัน เขารีบเดินตามผู้หญิงคนนั้นออกจากร้านไปทันที
เมื่อมิตสึฮิโระเห็นว่าทาคาฮิโระออกไปพ้นจากร้านของเขาแล้ว
เขาแสยะยิ้ม ก่อนจะหยิบกระเป๋าตังค์สีเทาของทาคาฮิโระใบนั้นขึ้นมา “โง่ชะมัด” เขาว่าพลางจุดบุหรี่สูบ
นี่ก็ดึกมากแล้ว
เขาคิดว่าคงจะไม่มีใครเข้าร้านเขาแล้วละ อีกอย่าง เขาง่วง
พรุ่งนี้เขาต้องตื่นแต่เช้าไปโรงเรียนเพราะมันเป็นวันเปิดเทอม ซึ่งคนอย่างเขาก็ไม่อยากจะไปเรียนนักหรอก
หากไม่ติดว่าพ่อโทรมาขู่เขาว่าถ้าเขาไม่ไปโรงเรียน เขาจะถูกตัดเงินเดือนละก็นะ
ในขณะที่เขากำลังปิดร้าน
จู่ๆก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาเขาโดยที่มิตสึฮิโระไม่ทันได้ตั้งตัว
เธอโผเข้ากอดเขาแล้วจูบเขาทันที
แน่นอนว่ามิตสึฮิโระเองก็จูบเธอกลับ
เมื่อทั้งสองผละจูบกันแล้ว มิตสึฮิโระก็เปิดประเด็นถามเธอทันที “ไปหักอกใครมาอีกแล้วละสิ ฮารุนะ”
ฮารุนะยิ้มให้เขาก่อนจะจูบเขาอีกครั้ง เธอกระซิบข้างหู “ไปห้องนอนดัชจังกัน เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟัง”
นี่ไม่ใช่คืนแรกที่พวกเขาทั้งสองคนมีเซ็กซ์กัน แน่นอน
พวกเขาคบกันมานานแล้ว มิตสึฮิโระรู้นิสัยของฮารุนะดี เธอเป็นสาวรักสนุก
เธอคบใครไม่ซ้ำหน้าและไม่ชอบผูกมัด บอกเลิกผู้ชายและหักอกใครต่อใครไม่เว้นวัน
ยกเว้นก็แต่มิตสึฮิโระซึ่งเขาเป็นแฟนตัวจริงของเธอ
พวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์แบบเปิด คบกันโดยไม่มีหึงหวง
ใครจะไปนอนกับใครไม่มีใครห้าม แต่พวกเขาก็รักกันมาก
มิตสึฮิโระรู้สึกปลดปล่อยทุกครั้งเมื่อได้นอนกับฮารุนะ
เธอเป็นผู้หญิงที่แกร่งและเชี่ยวชาญในเรื่องบนเตียงพอตัวเลยละ เธอสามารถทำให้เขามีอารมณ์และสนุกกับเธอได้ทั้งคืน
เขาฟังเธอเล่าเรื่องชายหนุ่มที่เธอไปหักอกเขามาในวันนี้
เธอบอกเขาว่าเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาพอตัวเลยละ จะว่าไปเธอก็แอบเสียดาย
แต่ด้วยกฏเหล็กที่เธอตั้งไว้ว่าเธอจะไม่คบใครเกินหนึ่งเดือน
เธอจึงต้องจำใจบอกเลิกเขา ซึ่งมิตสึฮิโระก็รู้อยู่แล้วว่าหนุ่มหล่อคนนั้นคือนิชิจิมะ
ทาคาฮิโระที่มาเปิดศึกปะทะฝีปากกับผู้หญิงที่อกหักมาเหมือนกันอีกคนในร้านของเขาไม่ผิดแน่
มิตสึฮิโระตื่นจากภวังค์ของความคิดเมื่อฮารุนะมุดเข้ามาใต้ผ้าห่มของเขาพร้อมกับเข้ามาสะกิดต่อมอารมณ์ของเขาอีกครั้ง
“พอแล้วมิโซโนะ ผมอยากนอนแล้ว
พรุ่งนี้ผมมีเรียนนะ เธอก็มีเรียนเหมือนกันนี่”
แต่เหมือนฮารุนะจะไม่ฟังเขา
เธอยังคงกระตุ้นอารมณ์ของเขาต่อไป ให้ตายสิ แต่ก็รู้สึกดีชะมัด
“เฮ้สาวน้อย ให้ตายสิ” มิตสึฮิโระเปิดผ้าห่มออก เขาผลักฮารุนะให้ไปนอนข้าง ๆ ก่อนที่เขาจะขึ้นคร่อมร่างเธอ…
การมีสัมผัสพิเศษไม่ได้ช่วยทำให้ชีวิตของคนอย่างเขา ซูเอโยชิ ชูตะ
สงบสุขได้เลย จะบอกว่ามันโคตรจะพาเรื่องเดือดร้อนมาหาเขาโดยไม่เว้นวันเลยก็ว่าได้ สำหรับสัมผัสพิเศษที่ว่านี้
ชูตะเองไม่ได้อยากจะได้มันเลยด้วยซ้ำ เขารู้สึกเสียใจที่มีมันติดตัวมาตั้งแต่เกิด เขาเกลียดพลังนี้
ซึ่งก็ตรงกันข้ามกับคนรอบข้างที่ต่างก็พากันอิจฉาในพลังของเขา ซึ่งพลังที่ว่านี้คือหากเขาใช้มือของตัวเองสัมผัสอะไรก็ตาม
ไม่ว่าจะมือข้างไหน เขาจะสามารถมองเห็นเหตุการณ์ในอดีตและอ่านความคิดคนได้
ที่จริงแล้วมันก็ดูเจ๋งดีใช่มะสำหรับบางคน แต่หากคุณลองมาเป็นเขาดูล่ะ?
คุณอาจจะไม่ได้คิดอยากจะมีไอ้พลังบ้า ๆ แบบนี้อยู่ในตัวหรอก และคุณอาจจะไม่คิดว่ามันเจ๋งอีกต่อไป
ปัจจุบันชูตะเป็นไมเกรน เนื่องจากโรคเครียดและปัญหาต่าง ๆ
ที่คอยรุมเร้าเขา แน่นอนว่าปัญหาเหล่านี้ล้วนเกิดมาจากไอ้พลังนี้ทั้งสิ้น
เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงกับตัวชูตะซึ่งแน่นอนว่าไม่เหมือนในหนังเรื่องใดหรอกที่เมื่อมีสัมผัสพิเศษแค่ใส่ถุงมือก็ไม่เป็นไรแล้ว
กรณีชูตะเลวร้ายกว่านั้น เขาแทบแตะอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อากาศ เรื่องทุกอย่าง
ทุกเหตุการณ์ ทุกความคิด ทุกอย่างลอยมากับอากาศ และชูตะก็อยู่กับสิ่งเหล่านี้ตลอดเวลา
เขาต้องเจอกับความคิดที่หลากหลาย บางครั้งก็เจอกับเรื่องราวน่ากลัวต่าง ๆ ที่เขาเองก็ไม่อยากจะเจอ
แต่เขาไม่สามารถหลีกหนีมันได้ นี่แหละคือจุดอ่อนของพลัง แม้เขาจะชินชากับมันแล้ว
แต่เขายังต้องทนทุกข์ทรมานกับมันไปอีกตลอดชีวิต แม้ใคร ๆ จะบอกว่าชูตะโชคดีที่เขามีพลังที่แสนวิเศษแบบนี้ติดตัว
แต่ชูตะไม่ได้ยินดีเลย
เขาแทบอยากจะเปลี่ยนชื่อจากพลังวิเศษเป็นพลังแสนเฮ็งซวยไปเลยด้วยซ้ำ
ชูตะมีความลับที่เขาเองไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน
ความลับที่ว่านั่นคือเรื่องที่เขานั้นแอบไปชอบผู้หญิงคนหนึ่งเข้า เธอเป็นผู้หญิงที่เรียนโรงเรียนเดียวกันและห้องเดียวกันกับเขา
เธอเป็นคนที่สวยมากทีเดียว หน้าตาน่ารักดูไร้เดียวสาและมีฐานะร่ำรวย แต่สิ่งที่ทำให้เธอน่าดึงดูดสำหรับชูตะไม่ใช่ความสวยหรือฐานะของเธอ
หากแต่เป็นเรื่องที่เธอเป็นผู้หญิงที่คนทั้งโรงเรียนต่างไม่กล้าเข้าใกล้และไม่กล้าแตะต้อง
ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจสำหรับเขามาก ในสมัยมอต้นเขาเคยพยามอ่านความคิดของเธอจากการแกล้งเดินชน
แต่สิ่งที่เขาได้กลับคืนมาคือความว่างเปล่า นั่นทำให้เขายิ่งสนใจเธอมากยิ่งขึ้น
ไม่มีใครที่เขาไม่สามารถอ่านความคิดได้นอกจากเธอ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงได้ตกหลุมรักเธอ
สำหรับวันพรุ่งนี้คือวันเปิดเรียนของโรงเรียนเขา
และแน่นอน เป็นวันเปิดเรียนของเธอคนนั้นด้วย
นั่นทำให้เขารู้สึกดีใจอย่างประหลาดที่จะได้เรียนร่วมห้องและอาจจะได้อยู่ใกล้ชิดกับเธออีกครั้ง
ชูตะเดินเตะฝุ่นข้างถนนไปเรื่อย ๆ ความคิดและภาพอดีตต่าง
ๆ ที่มากับอากาศถาโถมเข้ามาให้หัวของเขา แม้ว่าชูตะจะชินกับมันแล้ว
แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังคงเป็นสาเหตุให้อาการไมเกรนของเขากำเริบและมักจะทรมานกับมันทุกครั้ง
ซึ่งนั่นมันก็ไม่เจ๋งเลย
ในระหว่างที่ชูตะกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
เขาเหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้คนอย่างเขาแทบจะล้มทั้งยืน
มันเป็นภาพที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะได้เห็น…
ผู้หญิงที่เขาแอบชอบกำลังเดินถือของมากับผู้ชายแปลกหน้า! เห้ย ให้ตายสิ เขาทั้งตกใจและแปลกใจ แต่เดี๋ยวนะ… ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเจ็บปวดแบบนี้
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าของเขามันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด ซี่งแน่นอนว่าคนอย่างเธอไม่มีวันที่จะเข้ากับใครได้
ยิ่งคิดว่านั่นคือแฟนหนุ่มของเธอนั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้! ชูตะไม่ได้ดูถูกเธอ
เธอเป็นคนที่สวยและไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าหากจะมีคนมาหลงชอบเธอ แต่… ฮึ่ย! ให้ตายสิ หมอนี่มันใครวะ นี่เขากำลังหึงเธอสินะ
ไม่ว่าชายหนุ่มคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม
แต่แน่นอนว่าตอนนี้เขาได้ถูกชูตะผูกใจเจ็บเอาไว้แล้ว
ชูตะไม่ใช่คนอารมณ์ร้าย ทั้ง ๆ ที่เขาผ่านเรื่องราวอะไรมามากมาย
มีพลังที่ผิดมนุษย์มนา แต่เขาก็เป็นคนที่สุขุมมากทีเดียว กลับกัน
ชูตะเป็นคนที่เก็บกดและน่ากลัวมาก ๆ เลยล่ะหากเขาได้ระบายมันออกมา
ยิ่งเป็นเรื่องที่กระทบจิตใจของเขาอย่างรุนแรงด้วยล่ะก็…
…แต่ชูตะไม่ใช่คนไร้เหตุผล “ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าคน ๆ นั้นคือใคร” ชูตะตัดสินใจที่จะเดินตามสองคนนั้น
เขายังไม่ปักใจเชื่อหรอกว่าสองคนนั้นจะมีความสัมพันธ์กันอย่างที่เขาคิดหากยังไม่ได้พิสูจน์
ในขณะนั้นเองจู่ ๆ ชูตะก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวอีกคนที่กำลังเดินตามสองคนนั้นจากซอยตรงข้ามมาเหมือนกัน
เพียงแค่เขาเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่แว้บเดียว เขาก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือ อุโนะ
มิซาโกะ ผู้หญิงอันตรายมาดสาวมั่นผู้ไม่กลัวใคร ซึ่งหากเป็นไปได้
การถอยห่างจากผู้หญิงคนนี้เป็นเรื่องดีที่สุดที่ควรทำ
แต่เดี๋ยวนะ!! นั่นเธอกำลังทำอะไรน่ะ!?
แน่นอนว่าชูตะไม่ไว้ใจผู้หญิงคนนี้ เขาเดาว่าการทำตัวเป็นสตอล์กเกอร์ของมิซาโกะมันต้องมีอะไรที่ทำให้เธอต้องสนใจติดตามสองคนนั้นแน่
ๆ
ชูตะเดินตามไปอย่างเงียบ ๆ
เขาสะกดรอยตามหญิงชายคู่นั้นและมิซาโกะ จนกระทั่งมาถึงสถานที่ ๆ น่าจะเป็นหอพักของชายหนุ่มคนนั้น
ชูตะกำหมัดแน่นเมื่อเห็นเธอคนนั้นเดินเข้าไปในห้องตามคำเชื้อเชิญของชายหนุ่ม
แม้เขาจะยังไม่ปักใจเชื่อว่าสองคนนี้อาจจะไม่ใช่แฟนกัน
แต่เขาก็ยังอดจินตนาการในสิ่งที่ไม่อยากคิดไม่ได้ว่าพวกเขากำลังเข้าไปทำอะไร
ถึงอย่างนั้นชูตะก็ไม่มีทางถอดใจ เขายังคงยืนคอยเฝ้าหอพักนั้นไว้ เผื่อว่าเธอคนนั้นอาจโดนหักหลังจากชายหนุ่มคนนั้นขึ้นมา
เขาอาจจะช่วยเธอได้
ชูตะผละความสนใจจากประตูก่อนจะหันมาแอบมองพฤติกรรมของมิซาโกะแทน
แน่นอนว่าลางสังหรณ์เขาไม่เคยผิด มิซาโกะต้องการ ‘อะไร’
จากสองคนนั้นจริง ๆ ตอนแรกเขาไม่ได้สังเกตว่าก่อนหน้านี้มิซาโกะทำอะไรในขณะที่เขากำลังจ้องมองผู้หญิงที่เขาแอบชอบเดินตามผู้ชายคนนั้นเข้าห้องไป
แต่ตอนนี้เขาเห็นมิซาโกะเก็บบางอย่างเข้ากระเป๋าก่อนจะแสยะริมฝีปากยิ้มอย่างมีชัย
นั่นทำให้ชูตะรู้สึกโกรธกับท่าทางแบบนั้นของเธอมาก
เขาไม่คิดว่าสิ่งที่เธอกำลังจะทำต่อจากนี้มันเป็นเรื่องที่ดีนักหรอก
มิซาโกะเดินออกมาจากสถานที่แห่งนั้น
พร้อมๆกับที่ชูตะเดินตามเธอไปด้วย ชูตะพยามคิดหาวิธีที่จะแตะตัวของมิซาโกะเพื่ออ่านความคิดของเธอ
เขาต้องรู้ให้ได้ว่ามิซาโกะกำลังคิดจะทำอะไรไม่ดีกับผู้หญิงที่เขาชอบหรือเปล่า
ซึ่งเป็นเรื่องที่ชูตะจะปล่อยไว้ไม่ได้
หลังจากที่เดินออกมาสักพัก
เหมือนมิซาโกะจะรู้สึกตัวว่ามีคนตามเธอ เธอหยุดเดิน ก่อนจะหันหลังมามอง จากนั้นก็หันซ้ายเหลียวขวาเหมือนกับจะดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามเธอมา
ชูตะรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ เขาซ่อนตัวได้ดี
และกำลังรอจังหวะที่จะเข้าไปหามิซาโกะเพื่อที่จะถามเรื่องที่เกิดขึ้น ทว่า จู่ ๆ มือถือของมิซาโกะก็ดังขึ้น
เธอรับและพูดสาย จากนั้นสักพักชูตะก็เห็นผู้ชายชาวต่างชาติปั่นจักรยานผ่านเขาไปพร้อมกับตรงไปหาเธอ… ใช่แล้ว หมอนั่นคือโทมัส แฟนหนุ่มของมิซาโกะ
เขาเห็นสองคนนี้คุยกันอยู่สักพัก ก่อนที่มิซาโกะจะซ้อนจักรยานของโทมัสไป
นั่นทำให้ชูตะพลาดโอกาส! แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะออกไปถามมิซาโกะโต้งๆต่อหน้าแฟนของเธอหรอก
เขารู้ เธออาจบอกว่าเขาใส่ร้ายเธอและเขาอาจถูกจับได้ว่าเขาเองก็ตามแอบดูพฤติกรรมของสองคนนั้นเหมือนกัน
ถึงแม้ว่าเขาจะหมดโอกาสในการสืบหาความจริงต่อ แต่เชื่อสิ เขาจะขัดขวางทุกทางแน่ถ้าหากมิซาโกะคิดจะทำอะไรก็ตามที่ทำให้ผู้หญิงที่เขาชอบอยู่ต้องเดือดร้อน
ชูตะเลิกคิดถึงเรื่องของมิซาโกะ
ก่อนจะพุ่งความสนใจไปยังหอพักของผู้ชายคนนั้นแทน
เขายืนเฝ้าที่นั่นเป็นเวลาหลายชั่วโมง
ซึ่งตัวเองก็จำไม่ได้ว่านานแค่ไหน เขารู้แค่เพียงว่า ทำไมจนป่านนี้
เธอคนนั้นยังไม่ออกมาจากหอพักหลังนั้นอีก นี่ก็เริ่มดึกแล้วด้วย
ในขณะที่ชูตะกำลังกังวลอยู่นั้น
เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขาเห็นทั้งสองคนออกมาจากหอพักนั่นพอดี
พวกเขายิ้มแย้มแจ่มใส ซึ่งนั่นก็ทำให้ชูตะรู้สึกโล่งอก แต่ก็รู้สึกปวดใจอยู่ไม่น้อย
เขารู้สึกอิจฉาชายหนุ่มผู้โชคดีคนนั้นจริง ๆ
ในขณะที่ชายหนุ่มคนนั้นทำท่าว่าจะไปส่งผู้หญิงที่เขาชอบกลับบ้าน
ชูตะเองก็กะว่าจะตามไปอารักขาเธออยู่ห่าง ๆ แต่ทว่า…
“หวัดดีพ่อสตอล์กเกอร์” เสียงของผู้ชายดังขึ้นจากด้านหลังของชูตะ บุคคลปริศนาพูดพลางเอามือตบไหล่ชูตะเบา
ๆ ชูตะหันหลังไปมองบุคคลผู้นั้นทันทีอย่างตกใจ
“นะ นายเป็นใคร?!”
“ชู่ว ~ เบา ๆ สิ
เดี๋ยวสองคนนั่นก็เห็นพวกเราหรอก” ผู้ชายคนนั้นทำท่าเอานิ้วชี้แตะปาก
ชูตะรู้ตัวว่าเมื่อกี้ตัวเองเผลอเสียงดัง
เขารีบหันกลับไปมองยังบุคคลสองคนที่เขากำลังแอบตามอยู่
และก็ต้องโล่งอกเมื่อเห็นว่าสองคนนั้นยังไม่รู้ตัว
ชูตะหันไปถามอีกรอบ “สรุปว่านายเป็นใคร
แล้วมาทำไมเนี่ย”
ชายคนนั้นยักไหล่ “นายจะรู้ไปทำไมเล่า
~ ก็ไม่ได้อยากบอกหรอกนะว่าฉันคือ…” ผู้ชายคนนั้นพูด
วางมาดพร้อมกับทำท่ากอดอก เก๊กเตรียมบอกชื่อ แต่ไหนเลยที่ชูตะจะสนใจเขา
“เฮ้ๆ นายกำลังทำฉันคลาดกับสองคนนั่นนะ!”
ชูตะโวยและเหมือนจะไม่ได้สนใจผู้ชายคนนี้ที่กำลังเก๊กท่ารอเตรียมแนะนำตัวอยู่
ผู้ชายคนนี้รู้สึกเสียเซลฟ์เล็กน้อย “จะตามไปทำไม บ้านผู้หญิงคนนั้นอยู่ใกล้แค่ข้ามซอย…” เขาเบะปาก
“หรือนายสนใจไอ้ผู้ชายคนนั้นมากกว่า”
“นี่! ฉันไม่รู้จักแกนะโว้ย
อย่ามายุ่งเรื่องของคนอื่นได้มะ… เห้ย!!!!!!!” ชูตะร้องลั่นเมื่อผู้ชายคนนั้นเอามือของเขามาแตะกับมือของชูตะ
ภาพอดีตและความคิดของผู้ชายคนนั้นหลั่งไหลเขาสู่หัวสมองของชูตะอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาที
ชูตะก็รู้เรื่องของชายคนนี้จนหมดเปลือก
“โอเค ฉันแนะนำตัวเองก็ได้ ฉันอุราตะ
นาโอยะ” ในที่สุดเขาก็แนะนำตัวอย่างจริงจัง “ฉันเป็นใครนายเองก็คงรู้หมดแล้วล่ะมั้ง คราวนี้รู้จักยังล่ะ”
“เฮ้…” ชูตะมองนาโอยะอย่างระแวง
“นายรู้พลังของฉันได้ยังไง”
“อ้าว
ในความคิดฉันไม่ได้บอกเอาไว้หรอกเหรอ หวา แย่จัง”
ชูตะเข้าประเด็นทันที “โอเค
ไม่ถามเรื่องนั้นก็ได้ แต่สิ่งที่ฉันต้องการถามในตอนนี้ก็คือ
จุดประสงค์ที่นายมาที่นี่”
“บอกก็ได้” นาโอยะมุ่ยหน้า
“ฉันแค่สงสัยว่ายายนั่นมันแปลกยังไง”
“เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ด้วย” ชูตะพยักหน้าอย่างเข้าใจ “นายก็เลยตามมาส่องพฤติกรรมของเธองั้นเหรอ?”
“เปล่า” นาโอยะปฏิเสธด้วยท่าทางจริงจัง
“คนอย่างฉันไม่เสียเวลามาเดินตามสังเกตผู้หญิงต้อย ๆ อย่างนายหรอก”
คำพูดแบบนี้ทำเอาชูตะเกือบจะชกหน้าหมอนี่เข้าให้แล้ว
แต่เขาก็ปล่อยให้นาโอยะพูดต่อไป “คนที่ฉันมาหามันคือนายต่างหากละซูเอโยชิคุง”
“ฉัน?” เขาชี้ไปที่ตัวเอง
“ใช่ จุดประสงค์ที่ฉันมาที่นี่
เพื่อมาหานายเพราะคิดว่ายังไงนายก็ต้องอยู่ที่นี่ และถ้าถามว่าฉันมาหานายทำไม
เหตุผลก็คือ ในวันเปิดเทอมฉันมีชมรมอยู่ชมรมหนึ่ง และฉันก็อยากให้นายเข้าร่วม”
“เห?
มาหาเพื่อมาดักชวนฉันเข้าชมรมเนี่ยนะ?”
“แน่นอนที่สุด!” นาโอยะกอดอกอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ตกลงไหมล่ะ?”
“ชมรมอะไรล่ะ?”
“Attack All Around”
“นั่นชื่อชมรม?” ชูตะขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“ชื่ออย่างกับหนังไซไฟหรืออะไรสักอย่าง”
“เออน่า ตกลงจะเข้าหรือไม่เข้า?” นาโอยะเริ่มรำคาญ ซึ่งเป็นท่าทางที่ชูตะไม่ค่อยจะปลื้มนักหรอกเมื่อใครก็ตามนั้นจะขอร้องเขาแต่กลับทำท่าทางรำคาญใส่เขา
“ขอคิดดูก่อน ถ้าฉันไม่เจอชมรมที่เจ๋งกว่านี้ซะก่อนน่ะนะ”
ชูตะว่าพลางยักไหล่แล้วเดินหนี นาโอยะท้วงเขา
“เฮ้ จะไปไหน ยังคุยกันไม่จบเลยนะเฟ่ย!”
“จะกลับบ้าน! ฉันไม่มีอารมณ์จะมาตามใครแล้วโว้ย!”
ชูตะหันมาทำสีหน้าหงุดหงิดใส่นาโอยะ ก่อนจะเดินออกไป…
“อย่างงั้นเหรอ” นาโอยะพึมพำกับตัวเองเมื่อเขาเห็นชูตะเดินไปไกลแล้ว
เขาจุดบุหรี่สูบ “เดี๋ยวก็รู้… อะไรที่จะทำให้นายยอมเข้าชมรมนี้
นายไม่มีทางหนีพ้นชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้หรอกนะ… ซูเอโยชิคุง”
.......................................................................................................................................................................................
ความคิดเห็น