ตอนที่ 5 : ❁ bus stop
BUS STOP
waiting for something or someone
ชานยอลกำลังยืนอยู่ที่ป้ายรถประจำทางหน้ามหาวิทยาลัยด้วยอาการที่เรียกว่าเบื่ออย่างหาที่สุดไม่ได้ เขาถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อระบายมันออกไปบ้าง รวมถึงการเงยหน้ามองสายฝนที่ตกลงมาร่วมสองชั่วโมงแล้ว ฝนที่ตกลงมาอย่างบ้าคลั่งราวกับมีพายุเข้า ทั้งที่เมื่อบ่ายอากาศดีมากแท้ ๆ แต่ทำไมพอมืดค่ำดึกดื่นฝนถึงได้ตกลงมาต่อเนื่องไม่หยุดแบบนี้
จากเม็ดฝนกลายมาเป็นน้ำท่วมขังบนพื้นถนนที่เขาให้ความสนใจในการมองเพื่อฆ่าเวลาในครั้งนี้ แต่ว่ามันก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเขาได้มากเท่ากับผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งวิ่งเข้ามาหลบฝนภายใต้หลังคาของป้ายรถประจำทางด้วยกัน
ปกติแล้วสถานที่แห่งนี้ในช่วงเวลาเร่งด่วนนั้นคือสุดยอดแห่งความแออัดและการแข่งขันความเร็วในระดับโอลิมปิกว่าใครจะได้ขึ้นรถเป็นคนแรก พวกอ่อนแอขึ้นไม่ทัน ยัดตัวเองเข้าไปไม่ได้ก็ต้องรอเพื่อขึ้นรถประจำทางคันต่อไป แต่เผลอ ๆ ก็รอกันไปเถอะ หนึ่งชั่วโมงกว่าจะมาสักคันก็มี บางครั้งยังเผลอนึกในใจว่าวันนี้รถประจำทางสายที่เราจะนั่งนั้นมันวิ่งรึเปล่า ทำไมถึงไม่มาสักที แต่พอมาแล้วคนก็แน่นจนแทบจะขึ้นไปไม่ได้ ต้องตัดใจยืนรอต่อไปเพราะรู้ว่าบนรถนั้นมันคงไม่เหลือพื้นที่พอให้หายใจแล้ว
แต่ตอนมันเป็นเวลาสี่ทุ่มสี่สิบห้านาที
และ…มันก็มีแค่เราสองคนที่ยืนมองสายฝนด้วยระยะห่างสามก้าวครึ่งด้วยกันแบบนี้
ที่จริงสายตาของเขาและผู้ชายที่วิ่งเข้ามาใหม่นั้นสบกันเข้าในช่วงวินาทีหนึ่งของเวลาที่กำลังเดินอยู่ในตอนนี้ เพราะต่างฝ่ายต่างมองว่าใครกันที่วิ่งเข้ามา และใครกันที่ยืนรอรถอยู่ที่ป้ายรถประจำทาง
ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้รอรถประจำทางสายไหนหรอก เพียงแต่เขากำลังยืนรอเพื่อนอย่างไอ้จงอินที่จะแวะมารับกันในคืนนี้เพราะว่าเขามีงานจะต้องคุยกับเพื่อนจนดึกดื่นอยู่ที่คณะ พอถึงเวลาจะได้กลับบ้านตามที่ใจอยาก ลูกรักของเขาดันสตาร์ทไม่ติดขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไอ้บทจะซ่อมเขาก็พอจะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่วันนี้ดันมาตัวเปล่า เครื่องไม้เครื่องมืออะไรไม่มีเลยสักอย่าง เลยต้องฝากคุณลุงรักษาความปลอดภัยไว้ก่อนในคืนนี้ แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาว่ากันอีกทีว่าจะจัดการกับลูกรักอย่างไรให้กลับมาวิ่งได้เหมือนเดิม
พอคิดถึงเหตุผลของตัวเองได้แล้วมันก็พาลคิดไปถึงเหตุผลของคนที่ยืนอยู่ในบริเวณเดียวกัน การที่จะมายืนรอรถในช่วงเวลาแบบนี้นั้นมันไม่ค่อยจะมีเหตุผลอะไรให้คิดมากนัก นอกจากคำว่า…
น่ารักดี
ไม่ใช่สิ นี่มันไม่ใช่เหตุผลแล้ว อย่างน้อยชานยอลก็รู้ว่ามันไม่ใช่
เขาลอบมองคนที่ไม่ได้ยืนห่างกันมากนัก สายฝนที่เทกระหน่ำลงมาด้วยความแรงที่มากกว่าเดิมนั้นทำให้ผู้ชายคนนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะทำปากยื่น แสดงท่าทีเหมือนไม่พอใจว่าทำไมฝนถึงได้ตกลงมาหนักขนาดนี้
จงอินบอกเขาว่าน่าจะมาถึงที่ป้ายรถประจำทางในเวลาสี่ทุ่มห้าสิบนาที และมันเหลือเวลาอีกไม่ถึงสามนาทีที่เวลาที่ว่านั้นจะเดินทางมาถึง
เขาจะทำยังไงดี…อะไรก็ได้ที่จะไม่ทำให้เขาต้องรู้สึกแบบนี้
“…ไปไหน?” คนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักหันมามองหน้าเขาก่อนจะเลิกคิ้วใส่เหมือนเป็นคำถามเชิงแสดงออก “ถามว่าไปไหน”
“เราเหรอ?”
“ก็มีกันสองคน…” หลุดปากออกไปแล้วก็อยากจะยกมือขึ้นตบปากตัวเองเดี๋ยวนั้น “ฉันหมายถึง…ฉันถามนายนั่นแหละ”
“กลับบ้านน่ะ”
“ที่ไหนล่ะ?”
“ถามทำไม?” คำถามระแวดระวังของอีกฝ่ายทำให้เขาย้อนถามตัวเองเหมือนกันว่าจะถามไปทำไม แต่ว่าเขาก็กลั้นใจถามออกไปแล้วนี่ จะจบมันลงตรงนี้มันคงไม่ยุติธรรมกับหัวใจเท่าไหร่นัก
“เพื่อนฉันจะมาแล้ว ไม่อยากให้ยืนรอรถคนเดียว แถวนี้มันไม่ค่อยปลอดภัย” เขาพูดกับอีกคนที่ทำหน้าตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินคำว่าไม่ปลอดภัย “เมื่ออาทิตย์ก่อนมีโรคจิตอาละวาด วิ่งมาจากไหนก็ไม่—”
“โอเค บ้านเราอยู่ตรงซอยหน้าตึกการบินน่ะ”
ใบหน้าเป็นกังวลของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกผิดนิดหน่อยในใจ ความจริงแล้วมันไม่มีโรคจิตอะไรทั้งนั้นแหละ เขาก็แค่กุเรื่องขึ้นมาเท่านั้นเพื่อให้อีกฝ่ายยอมตกลงใจไปด้วยกัน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินมา เขาเคยได้ยินข่าวลืมมาตั้งแต่สมัยอยู่ปีหนึ่ง แต่มันก็อาจจะมีอยู่ก็ได้
“ฉันผ่านพอดี ไปด้วยกันก็ได้” ชานยอลบอกกับอีกคนที่ทำหน้าเลิกลั่ก
“เอ่อ…เดี๋ยวก่อนนะ”
“อันตรายนะ แถวนี้น่ะ” เขาพยายามทำให้เรื่องมันเกินจริงต่อไป “รถจะหมดแล้วด้วย บางทีมันอาจจะหมดไปแล้วก็ได้”
“แต่นั่นมันรถเพื่อน…ใช่ไหม?” ท่าทางไม่แน่ใจถูกส่งมาให้เขาเห็น “หรือว่า…ถ้าจะลวงเราไปไถเงิน บอกเลยนะว่าไม่มี ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่เงินค่ารถ”
“ก็พอจะเดาออก ไม่อย่างนั้นคงนั่งแท็กซี่กลับบ้านไปแล้ว” ชานยอลพอจะเดาออกจริง ๆ สภาพอากาศแบบนี้ เวลาแบบนี้ ไม่มีใครมายืนรอรถที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่หรอก “ไปเถอะ มาแล้วนั่น ถ้าอยู่คนเดียวแล้วเกิดอะไรขึ้นมามันไม่คุ้มกัน”
ระหว่างที่กำลังรอรถของเพื่อนเข้ามาจอดเทียบป้าย สีหน้าและแววตาของคนที่เขาบอกให้มาด้วยกันนั้นทำเหมือนต้องการจะสื่อสารออกมาว่าการที่ยอมมาด้วยกันนั้นเป็นเพราะว่าเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เพราะว่ามีโรคจิต เพราะว่ารถจะหมด หรือว่าจะอะไรก็แล้วแต่ การที่ทำให้อีกฝ่ายขึ้นรถตามเขามาได้นั้นเป็นอะไรที่คุ้มคาแล้ว กับการที่เขาต้องกลั้นใจพูดออกไปแบบนั้น มันไม่ได้พูดได้ง่าย ๆ เลยสักนิด
“เพื่อนกู” เขาแนะนำให้จงอินได้รู้จักกับคนที่มีท่าทีเกรงใจมากในฐานะเพื่อน อย่างน้อยก็แก้ขัดไปก่อน
“เอ้า มึงไม่มานั่งหน้าวะ?”
“เดี๋ยวเพื่อนกูเกร็ง จอดหน้าตึกการบินนะ” เขาบอกจุดหมายปลายทางแทนอีกคน “ซอยข้างหน้าตึก”
“เออ ๆ ไอ้เหี้ย กูคนขับรถมึงเหรอเนี่ย…ด่าเพื่อนนะครับ ไม่ได้ด่าเพื่อนของเพื่อน” จงอินส่งยิ้มให้กับคนที่นั่งอยู่ข้างเขา เจ้าตัวก้มหัวเชิงขอบคุณเล็กน้อย เอ่ยออกมาเบา ๆ ว่าขอบใจมากนะ
ความจริงแล้วจากมหาวิทยาลัยไปถึงตึกการบินที่เป็นที่อยู่ของคนที่ตอนนี้นั่งกดโทรศัพท์ของตัวเองอยู่นั้นมันก็ไม่ได้ไกลกันเท่าไหร่นัก เพียงแต่ว่าถ้าเทียบกับการต้องเดินไปแล้วมันก็ค่อนข้างที่จะไกลพอสมควร หากเป็นรถยนต์ส่วนตัวอย่างที่นั่งอยู่แบบนี้ ไม่ถึงห้านาทีดีด้วยซ้ำก็คงจะถึงแล้ว
และมัน…เป็นช่วงเวลาที่เขามี ช่วงเวลาที่อาจจะทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป
โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงถูกหยิบขึ้นมากดเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามสิ่งที่เขากำลังคิด ก่อนที่จะยื่นมันไปตรงหน้าของคนที่หันหน้ามามองอย่างงง ๆ มีท่าทีแปลกใจกว่าเดิมเมื่อเขาบังคับให้รับไป มองหน้ากันอยู่แบบนั้นจนสุดท้ายก็รับไปพิมพ์สิ่งที่เขาต้องการให้ ก่อนจะยื่นกลับมาด้วยแววตาสงสัยว่าเขาจะทำอะไรกันแน่
Byun.B
และเมื่อเขากดปุ่มบนหน้าจอ จากไอดีก็เปลี่ยนเป็นชื่อที่ขึ้นอยู่ในรายชื่อเพื่อนของเขา ชื่อที่พออ่านแล้วก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นชื่อ ‘แบคฮยอน’
PCY :
อยู่คณะไหน?
ปีไร?
ข้อความที่เขาพิมพ์ไปหลังจากกดเพิ่มเพื่อนไปไม่ทันถึงนาทีนั้นทำให้โทรศัพท์ของอีกคนหรือแบคฮยอนนั้นสั่นครืดคราดอยู่ในมือเจ้าตัว ใบหน้านั้นนิ่วคิ้วขมวด หันมามองเขาที่ทำเป็นไม่สนใจไปเสียอย่างนั้น ทำเป็นหันมองนอกรถ แถมยังชวนเพื่อนที่ขับรถอยู่คุยอีกต่างหาก
beakhyuunn. :
สินกำ ปีสี่
PCY :
พรุ่งนี้รอหน้าคณะนะ
เดี๋ยวไปหา
beakhyuunn :
ทำไม?
PCY :
อยากรู้จัก
“ถึงแล้วครับ เอาร่มไหม อยู่แถวนั้นแหละ หาเอานะ” จงอินถามแบคฮยอนที่ส่ายหน้าก่อนจะชูร่มในกระเป๋าของตัวเองขึ้นมา ไม่วายหันมามองเขาที่หันหนีได้อย่างทันท่วงที อย่างน้อยตอนนี้ก็ขอทำเป็นไม่รู้ไปก่อนก็แล้วกัน
“ระวังลื่น ลงดี ๆ” ชานยอลหันไปบอกเมื่ออีกฝ่ายลงจากรถ”พรุ่งนี้เจอกัน”
เขาพูดประโยคที่เหมือนการโยนหินถามทางออกไปเพื่อคำตอบที่แบคฮยอนไม่ยอมตอบกลับมา ในใจของเขาได้แต่นึกขอร้องว่าตอบเถอะ ตอบอะไรก็ได้แต่ไม่ใช่เงียบแบบนี้ จะรู้บ้างไหมว่าตั้งแต่เกิดมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาทำแบบนี้ ถึงจะหล่อแต่ก็ไม่ได้จีบใครพร่ำเพรื่อ ไม่ได้เดินหน้าก่อนแบบนี้มานานมากแล้ว
อย่าปฏิเสธกันเลยนะ แค่ได้รู้จักกันก็ได้
“อื้อ…พรุ่งนี้เจอกัน” แบคฮยอนไม่ยอมมองเขาตรง ๆ แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะเขาก็ยังไม่กล้ามองเท่าไหร่เลย
วันนี้คงเป็นวันที่เขา…นอนฝันดีที่สุดคืนนึงเลยล่ะ
(never end.)
#ดซชานแบค
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ป้ายรถเมล์สื่อร้ากกกกกกกกก ... น่าร้ากอ้ะ ^_^
ไม่เบาเลยนะชานย๊อลลลล