คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4 การเดินทางสู่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่
เช้าที่อากาศสดใส หลังจากที่ คณะเดินทางได้เดินทางออกจากเมืองไปแล้ว เจ้าชายรัชทายาทโซเรน เดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษร แล้วก็ได้มองเห็นอาการเป็นห่วงจากพระพักต์ของพระมารดา ที่เอาแต่นั่งมองออกไปยังนอกหน้าต่าง อย่างใจลอย
"ท่านแม่ อย่าได้ทรงเป็นห่วงเลย"คำพูดสั้น ๆ ที่ทำให้องค์ราชินีแห่งรีอาร์ หลุดออกจากภวังค์ได้ และหันกลับมายังเจ้าของเสียง แต่สีหน้า
มิได้คลายกังวลลงเลยแม้แต่นิด
"โซเรน ลูกจะไม่ให้แม่เป็นกังวลได้อย่างไรกัน"องค์ราชินีทรงมีท่าทีร้อนพระทัย ถึงแม้ว่าพระสวามีของตนบอกให้เลิกกังวลก็เถอะ แต่หัวอกคนเป็นแม่ย่อมต้องกังวลและเป็นห่วงลูก เป็นธรรมดา
"เจ้าจะทำอะไรอย่างนั้นรึ โซเรน"เสียงตรัสถามจากองค์กษัตริย์ คาซีล ที่นั่งเงียบอยู่นาน เอ่ยขึ้นถามโอรสองค์โต
"ท่านพ่อกับท่านแม่ทรงลืมอะไรไปบางอย่างหรือเปล่า พะย่ะค่ะ"น้ำเสียง สีหน้าและท่าทางของโซเรนสร้างความแปลกใจให้ทั้งสองพระองค์ไม่ใช่น้อย เนื่องด้วยน้ำเสียง สีหน้าและท่าทางนั้น ยิ้ม แล้วสิ่งใดที่ทั้งสองพระองค์ทรงลืมกันล่ะ
"การเดินทางในครั้งนี้ คือการสอบ ถ้าสอบไม่ผ่านก็ไม่ได้เข้าเรียนที่ four seasons ถึงแม้จะเป็นกฎให้ส่งราชนิกุลไปเรียนที่นั่นก็เถอะ" ประโยคที่เจ้าชายรัชทายาทองค์โตที่ตรัสออกมา ทำให้ทั้งสองพระองค์หันมาสบตากันเป็นเชิงถามกันและกันว่า นี่เราลืมไปได้อย่างไรกัน แล้วองค์กษัตริย์ คาซีล ก็ต้องทำหน้าหนักพระทัยอีก ก่อนจะทรงตรัสกับพระโอรสองค์โต
"โซเรน นี่ลูกลืมอะไรไปเช่นเดียวกับพ่อหรือเปล่า อย่าง น้องของเจ้าน่ะ มีหรือที่จะไม่ผ่าน"เป็นประโยคที่ทรงรู้กันแค่เพียงสองพระองค์เท่านั้น ว่าทรงหมายถึงเรื่องใดกัน แต่เจ้าชายรัชทายาทองค์โต ก็มิได้มีท่าทีที่วิตกมากนักกับคำที่พระบิดาทรงตรัสออกมา
"ลูกทราบ พะย่ะค่ะ ท่านพ่อ แต่ถ้ามีอุปสรรคนิดหน่อย จนทำให้ไปไม่ทันกำหนดล่ะ" เจ้าชายรัชทายาท ทรงเผยรอยยิ้มออกมา จนทำให้พระมารดา ตกพระทัย
"ลูกจะทำอะไรน่ะ โซเรน"เสียงองค์ราชินี ทรงมีน้ำเสียงที่เป็นห่วงยิ่งกว่าเก่า
"เจ้าจะทำอะไร ก็ให้ระวังน้องเอาไว้บ้าง"คำตรัสจากองค์กษัตริย์ ทำให้เจ้าชายรัชทายาท ทรงหันมามองพระบิดาของตน แน่นอนว่าที่ทรงตรัสออกมานั้น มิได้ทรงหมายความว่า ให้ระวังความปลอดภัยของน้องเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงอย่าให้น้องรู้ เรื่องที่เกิดขึ้น ว่าเป็นฝีมือใคร
"ลูกว่า คงจะยาก" เจ้าชายรัชทายาททรงยิ้มให้พระบิดาของตน เป็นรอยยิ้มที่ทำเอาพระบิดาทรงส่ายพระพักตร
"ลูกจะทำอะไรน้อง"องค์ราชินี ทรงมองการสนทนาของสองพ่อลูกแล้วไม่เข้าใจจึงได้เอ่ยถามเสียเอง
"ลูกไม่ได้เป็นคนทำ หากแต่คนทำน่ะ เซต่างหาก"คำตอบที่ทำเอาองค์ราชินีทรง สงสัยยิ่งกว่าเดิม จึงหันไปมองพระสวามีของตยอย่างคาดคั้น
"เซเรนิตี้น่ะ เป็นคนที่ใจอ่อน โซเรน เค้าคงแค่จะหาทางถ่วงเวลาให้ ฌซเรนิตี้ไปไม่ทันเวลาก็เท่านั้น"องค์คาซีล ทรงนึกภาวนาในใจว่า ขอให้เป็นอย่างที่ทรงภาวนาจริง ๆ อย่าให้เรื่องมันมีมากไปกว่านี้เลย
"งั้นหรือ โซเรน ถ้าเจ้าจะทำอะไรก็ขอให้เจ้าน่ะ ระวังด้วยล่ะ ถ้าน้องเจ้ารู้เรื่องเข้าคงโกรธเจ้าแน่ ๆ"คำเตือนจากพระมารดาที่เจ้าชายรัชทายาททรงรู้อยู่ก่อนแล้ว ว่าน้องสาวของตนเป็นคนเช่นไร
"ถึงจะโดนโกรธลูกก็ยอม หากมันจะช่วยน้องได้" เจ้าชายรัชทายาททรงมีท่าทีเด็ดเดี่ยวขณะเอ่ย ทำเอาทั้งพระบิดาและพระมารดา ทรงยินดีที่พี่น้องรักกันมากเช่นนี้ แม้ว่าจะไม่ค่อยได้เจอกันก็ตาม เพราะ
โซเรน ต้องเข้าเรียนที่โรงเรียน four season นานทีจึงจะได้กลับมา
"เอาล่ะ โซเรน พ่อรู้ว่าเจ้าน่ะ รักน้อง จะทำอะไรก็อย่าให้มันเกินเลยไปมากนัก"ทั้งสองพระองค์ทรงยิ้ม นี่เป็นการอนุญาติแล้วให้เจ้าชายรัชทายาททรงดำเนินการได้
"ขอรับ ท่านพ่อ" เจ้าชายรัชทายาท ทรงเดินหายออกไปจากห้อง ทรงพระอักษรแล้ว
"ขอให้ลูกทำสำเร็จนะ โซเรน"ทั้งสองพระองค์ทรงอวยพรให้เจ้าชายรัชทายาท ทรงดำเนินการให้สำเร็จ
*************************************************
ทางด้านคณะผู้เดินทาง ที่ดูท่าจะไม่ค่อยจะราบรื่นสักเท่าไหร่ เนื่องมาจาก หญิงผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง หนึ่งผู้ชอบความสงบเรียบง่าย และอีกหนึ่งผู้ซึ่งชอบเรื่องสนุก เมื่อทั้งสองมาเจอกัน จึงเกิดเรื่องวุ่นเป็นธรรมดา
"นี่ เซ ทำไมเจ้าถึงไม่ ใช้วิชา ลมบอกทางอีกล่ะ"เสียงที่บ่งบอกนิสัยของเจ้าของเสียงว่าเป็นคนรักสนุก ถามผู้ที่กำลังบังคับเกวียนที่มีท่าทางหงุดหงิด และเมื่อได้ยินคำถามนี้ยิ่งเกิดอารมณ์หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
"แล้วที่เราต้องมานั่งเกวียนแบบนี้ มันเพราะใครกันล่ะ"เซตะคอกกลับด้วยอารมณ์ที่บ่งบอกได้เช่นกันว่า โมโห มาก เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะผู้ร่วมเดินทางเจ้าปัญหานี่สิ ที่ทำเอาทั้งสามคน ร่วงลงมาจากฟ้า วิชาลมบอกทางน่ะ เซเรสไม่ค่อยถนัดสักเท่าไหร่จึงต้องใช้สมาธิอย่างมาก แต่เพื่อการเดินทางที่รวดเร็วจึงต้องใช้วิชานี้ แต่ดูเหมือนว่าผู้ร่วมเดินทางบางคนจะขยันก่อเรื่อง จนทำให้ ทั้งสามคน ตกลงมาจากฟ้า ดีที่เอมี่ กางข่ายเวทย์ได้ทัน แต่ดูเหมือนว่า ตัวต้นเหตุจะไม่ได้ สำนึกสักเท่าไหร่ ที่ต้องทำให้มาเดินทางโดยใช้เกวียน
"เฮ้อ นี่ มิเนอร์ว่า เจ้าน่ะ อยู่เฉย ๆ สักพัก จะได้ไหมเนี่ย อย่าขยันก่อเรื่องนักเลยนะ ข้าปวดหัว"
เซเรสกล่าวอย่างอารมณ์เสียและเหนื่อยใจ ส่วนผู้ร่วมเดินทางอีกคนที่นั่งดูทั้งสองอยู่ก็นั่งอมยิ้ม ก่อนที่จะห้ามทัพก่อนที่เรื่องจะยุ่งไปมากกว่านี้
"เอาน่า ท่านเซ ท่านมิวน่ะ ไม่ได้ตั้งใจหรอก"เมื่อเอมี่เข้าข้างมิว มิวเลยขยับมานั่งข้าง ๆ พยักหน้าแล้วยิ้มดีใจที่มีคนเข้าข้างตน
"เจ้าก็เข้าข้างซะอย่างงี้ตลอด มิวถึงได้ชอบหาเรื่องยุ่ง ๆ มาให้ข้าตลอด"เซเรสกล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะญาติผู้น้องของเธอคนนี้น่ะ เจอกันทีไรก็ชอบหาเรื่องปวดหัวมาให้เธอทุกที
"เซก็ เรื่องยุ่ง ๆ น่ะชอบวิ่งมาหา เราเองนะ"พูดเสร็จ ก็นั่งขำกับคำพูดของตนเอง เซเรสจึงได้แต่มองแล้วก็ถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้
ดูท่าการเดินทางครั้งนี้ คงหนักหนาสาหัสแน่ ๆ เพราะมีตัวยุ่งมาด้วยแบบนี้ แล้วงานที่ท่านพ่อใช้ให้ทำเมื่อไหร่จะเสร็จล่ะเนี่ย คิด ๆ แล้วก็ต้องถอนหายใจอีกหลายรอบ
"ท่านเซ คะนี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว แต่ยังไม่เห็นเมืองหรือบ้านคนเลย เอายังไงดีคะ"เอมี่ชะโงกหน้าออกมาถาม เซเรสที่กำลังบังคับเกวียนอยู่
"คงต้องพักกันในป่านี่แหละนะ เดี๋ยวหาที่เหมาะ ๆ แล้วค่อยพักก็แล้วกันนะ เพราะเดินทางตอนกลางคืนน่ะมันอันตราย"เซเรสหันกลับไปบอกเอมี่ แล้วก็บังคับเกวียนต่อเพื่อหาที่เหมาะ ๆ ในการพักค้างคืน เดินทางได้สักพักก็เจอที่เหมาะ แก่การค้างแรม เซเรสจึงหยุดพักเพื่อค้างแรม
"ท่านเซ ทำอะไรน่ะคะ"เอมี่ชะโงกหน้าออกมาจากด้านในเกวียน เมื่อเกวียนหยุดแล้ว และก็สงสัยเมื่อเห็น ท่าน เซ ของเธอกำลัง ขีด ๆ เขียน ๆ สัญลักษณ์อะไรบางอย่างลงบนพื้นดิน รอบ ๆ บริเวณเกวียน
"กั้น อาณาเขตเวทย์น่ะ เสร็จพอดี พวกเจ้าอยู่ในเขตนี้ก็แล้วกันนะ ห้ามออกมาล่ะ ข้าจะไปเดินดูรอบ ๆ นี่ซะหน่อยนึง"คำสั่งที่ทำเอา เอมี่หนักใจ เพราะเธอน่ะเชื่อฟังคำสั่งอยู่แล้ว แต่ว่าอีกคนนี่สิ ใครจะสั่งได้ ถึงสั่งได้แต่ก็ใช่ว่าจะยอมฟัง เซเรสมองหน้าเอมี่ก็รู้ว่า เอมี่นั้นหนักใจเรื่องใด
"ขอแค่ เจ้าสองคนรับปากว่า จะอยู่แต่ในอาณาเขตนี้ก็พอ"เซเรสไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก ทั้งสองก็ยอมรับปากแต่โดยดี
'เฮ้อ ให้เราดูแลเด็กแบเบาะยังง่ายกว่าให้ดูแลเจ้าหญิง มิเนอร์ว่าอีกนะเนี่ย'เสียงความคิดจากเอมี่ผู้น่าสงสาร
'แค่รับปากส่ง ๆไป ถึงเราออกไป พี่หญิงจะรู้ได้ยังไง เอมี่น่ะ ไม่กล้าฟ้องอยู่แล้วล่ะ'และนี่คือเสียงจากอีกคนที่ทำให้ผู้ร่วมการเดินทางครั้งนี้ปวดหัวเพราะความรักสนุกของเธอ
"อืม เดี๋ยวจะหาอาหารมาให้ด้วยก็แล้วกันนะ"พอสั่งเสร็จ เซเรสก็หายไปกับสายลมอย่างรวดเร็ว
"พี่หญิงไปแล้ว"น้ำเสียงที่ร่าเริงของมิวทำให้เอมี่ปวดหัวหนัก น้ำเสียงแบบนี้ แสดงว่าเจ้าหญิงจอมยุ่งผู้นี้คงจะต้องวางแผนอะไรอีกแน่
"ท่านหญิง มิว อย่า"ยังไม่ทันที่เอมี่จะพูดจบ มิวก็ทำท่าเดินออกจากอาณาเขตเวทย์ที่ เซเรส ได้กั้นเอาไว้ และก่อนที่เอมี่จะวิ่งไปดึงตัวมิวเอาไว้ มิวก็กระเด็นมานั่งจุกอยู่ข้าง ๆ เธอแล้ว
"นี่มันอะไรกันเนี่ย"แล้วเจ้าหญิงมิวก็สบถออกมาซึ่งไม่น่าฟังสักเท่าไหร่ เอมี่จึงลุกไปประคอง มิวขึ้นมา
"เป็นอย่างไรบ้างคะ"เอมี่ถามด้วยความเป็นห่วงเพราะจากที่เธอเห็น มิวน่ะ คงจะจุกพอควร เพราะตั้งใจวิ่งซะขนาดนั้น
"นี่มันอะไรกันเนี่ย บาร์เรียเหรอ"พอตั้งหลักได้ มิวก็เดินไปตรงสุดเขตเวทย์ แล้วก็เอามือสัมผัสกับอากาศเบื้องหน้า ที่ควรเป็นอากาศที่ว่างเปล่า แต่มันกลับเหมือนมีอะไรบางอย่างกั้นเอาไว้ เอมี่มองแล้วก็ยิ้มอย่างโล่งอก นี่ท่านหญิงของเธอ รอบคอบเหลือเกิน เพราะถ้าให้เธอเฝ้าท่านหญิงจอมยุ่งผู้นี้คนเดียวล่ะก็ คงเอาไม่อยู่เป็นแน่
"ดูสิ ว่าบาร์เรียนี่ กับดาบของเรา อย่างไหนมันจะทนกว่ากัน"ภาพเบื้องหน้าทำเอา เอมี่ตกใจ ท่านหญิงจอมยุ่งเรียกดาบเวทย์มากระชับในมือ แล้วก็ฟันออกไปอย่างแรง แต่ดาบกลับกระเด้งออกมา ดาบเฉี่ยวเกศาของของผู้เป็นเจ้าของไปเพียงนิด จึงสร้างความตกใจให้กับเจ้าของดาบและผู้ที่อยู่ด้วยเป็นอย่างยิ่ง
"ท่านหญิง มิว อย่าพยายามเลยนะคะ เพราะหม่อมฉันคิดว่า ท่านเซน่ะ คงจะลงเวทย์กันอาวุธเอาไว้ด้วยน่ะค่ะ ยิ่งท่านออกแรงไปเท่าไหร่ มันจะยิ่งสะท้อนกลับมาเท่านั้นนะคะ แล้วเรื่องใช้เวทย์น่ะ เลิกคิดได้เลยค่ะ เพราะมันจะสะท้อนกลับมาอีกเหมือนดาบ"เอมี่จำเป็นต้องบรรยายซะยืดยาวเพราะว่า ท่านหญิงมิวจอมยุ่งผู้นี้น่ะ กำลังจะใช้เวทย์เพื่อทำลาย อาณาเขตเวทย์
"นี่มันไม่ต่างจากถูกขังเลยนะ"มิวนั่งลง ข้างๆเกวียนอย่างอารมณ์เสีย เอมี่เองก็ได้แต่มองแล้วก็ถอนหายใจ
"ก็ขังน่ะสิ"เซเรสเดินออกมาจากทางป่าด้านข้าง ในมือมีผลไม้มาด้วยเยอะแยะ เธอเดินเข้ามาในเขตเวทย์ได้อย่างสบาย มิวทำหน้าตกใจสักพักก็ชักสีหน้างอนแล้วหันไปอีกทางหนึ่ง เซเรสวางผลไม้ลงข้าง ๆ มิวและเอมี่
"ถ้าไม่ทำอย่างนี้ เจ้าก็ออกไปก่อเรื่องอีกน่ะสิ"น้ำเสียงดุ ๆ ที่แฝงไว้ด้วยความห่วงใย เพราะถึงอย่างไรจอมยุ่งผู้นี้ก็เป็นญาติผู้น้องของเธอ
"เอาเถอะ กินนี่ซะ แล้วก็รีบนอน คิดว่าพรุ่งนี้ก็เข้าเมืองแล้ว และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เราจะพักที่เมืองนั่นสัก 1-2 วัน"คำพูดที่ทำให้หน้าบึ้ง ๆ หมดงามของเจ้าหญิงมิวจอมยุ่ง ยิ้มขึ้นมาได้อีกครั้ง เพราะคำพูดนี้ หมายความว่า พี่หญิงของเธอ อนุญาติให้เธอเที่ยวเล่นได้ 1-2 วัน
"ท่านเซ ใจดีที่สุดเลย"มิวกระโดดหอมแก้มเซเรส จนเซเรสล้มลงไปนั่งอยู่ที่พื้น ภาพนี้ทำให้ผู้ร่วมเดินทางอีกคน มองแล้วก็เผลอยิ้มออกมาแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า สุดท้ายก็อดใจอ่อนไม่ได้อยู่ดี ท่านหญิงของเธอน่ะถึงจะปากร้าย เย็นชาไปนิด แต่ก็เป็นคนที่ใจอ่อน
หลังจากที่ กินอาหาร เสร็จแล้ว ทั้งสามก็ขึ้นไปพักผ่อนบนเกวียน ที่ล้อมรอบด้วย อาณาเขตเวทย์ ของ เซเรส นักล่าเงาจันทร์
เช้าที่อากาศไม่ค่อยแจ่มใสนัก เอมี่ตื่นขึ้นมาก่อน ท่านหญิงทั้งสองของเธอ ท่านมิว น่ะ ตื่นสายปกติธรรมดา แต่ท่านเซ นี่สิ คงเพราะเหนื่อยที่ต้องใช้พลังมากไปเมื่อวาน เลยเพลีย
"ท่านเซ ๆ ตื่นเหอะ มิวหิวแล้ว"เสียงท่านหญิงจอมแก่น ปลุกเซเรส ทั้ง ๆ ที่ตายังไม่ลืมดีนัก
"ท่านมิว ปล่อยให้ท่านเซ พักอีกสักหน่อยจะดีกว่าค่ะ เพราะดูท่าเมื่อวานคงใช้พลังมากไปเลยเพลีย แล้วนี่ยังใช้พลังกางอาณาเขตเวทย์ทั้งคืนอีก"มิวทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ แต่ก็ไม่ทันแล้ว เพราะ คนที่เธอปลุกน่ะ ตื่นขึ้นมาแล้ว
"ไม่เป็นไรหรอก เราตื่นแล้ว รีบล้างหน้าเดินทางกันดีกว่านะ จะได้ถึงเมืองเร็ว ๆ"เซเรส ลุกขึ้นแล้วกระโดดลงจากเกวียน
"จะดีเหรอคะ"เอมี่มีทีท่าเป็นห่วงเพราะ สีหน้าท่านหญิงของเธอไม่สู้ดีนัก ถึงแม้ว่าท่านหญิงของเธอจะเคยออกทำงานมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่ต้องลำบากมากเท่านี้เลย
"อือ ไปพักที่เมืองทีเดียวเลยไง ใกล้ ๆ นี่มีลำธารอยู่รีบไปดีกว่านะ"เซเรสเดินนำทั้งสอง ออกจากอาณาเขตเวทย์เพื่ออาบน้ำล้างหน้า หลังจากเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมาที่เกวียนเพื่อเตรียมเดินทางต่อ
"ดูท่าฝนจะตกนะคะ ท่านเซ รีบเดินทางหน่อยก็คงจะดี"เซเรสเห็นด้วยกับคำพูดของเอมี่ เพราะถ้าฝนตกการเดินทางอาจลำบากกว่านี้และอาจมีอันตรายเพิ่มมากขึ้น
"กึก"เสียงรถม้าที่หยุดกระทันหันทำให้เอมี่และมิวสงสัยแต่ก่อนที่ทั้งสองจะชะโงกหน้าออกมาถาม ก็ถูกเซเรสกระซิบห้ามเอาไว้ก่อน
"นั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างใน ห้ามออกมา มิว พี่ขอสั่งเจ้าครั้งนี้ขอให้เจ้าเชื่อฟังพี่"สั่งจบเซก็กระโดดลงจากที่นังของผู้บังคับเกวียน เซเดินสำรวจรอบ ๆ เกวียนก็เห็นล้อเกวียนของเธอติดหล่มอยู่ แล้วตอนนี้ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาเล็กน้อยแล้ว
"ท่านเซ เป็นอย่างไรบ้าง"เอมี่กระซิบถามเบา ๆ
"ติดหล่มน่ะ แต่รู้สึกว่ามันแปลก ๆ สักหน่อยนึงเจ้าสองคนอยู่บนนั้นน่ะแหละ"ขณะที่เซเรส กำลังหาทางอยู่นั้น ลูกธนู ก็พุ่งมาทางเธอแล้วปักเข้าที่ด้านข้างเกวียน เซเรสมองที่ลูกธนู นี่สินะสิ่งที่เธอคิดว่ามันแปลกน่ะ เซเรสหันหลังกลับไปมองยังทิศทางของลูกธนูทันที ก็พบว่ามีผู้มาเยือนกลุ่มหนึ่ง ดูท่าแล้วคงไม่ได้มาดีอย่างแน่นอน
"ว่าไง พี่ชาย ล้อกันเล่นแรงจังเลยนะ"เซเรสดึงลูกธนูออกมาแล้วโยนคืนไปให้คนกลุ่มนั้น
"ข้าว่า มันเบาไปหน่อยนะ"หนึ่งในกลุ่มคนนั้นตะโกนตอบกลับมา เซเรสกำลังประเมินสถานการณ์ฝ่ายตรงข้ามอยู่ ฝ่ายนั้น 6 คน ฝ่ายเธอ 3 ไม่สิ 1 คนเพราะผู้มาเยือนกลุ่มนี้ไม่รู้ว่าพวกเธอมีกันกี่คน และเธอก็ไม่อยากให้สองคนที่อยู่บนเกวียนต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
"ถ้าพวกพี่ไม่มีอะไรทำ งั้นก็ช่วยข้าหน่อยก็ดีนะ เกวียนข้ามันติดหล่มน่ะ"เซเรสทำท่าจะเดินไปจัดการล้อเกวียนที่ติดหล่มอยู่ เธอแกล้งพูดไปอย่างงั้นเพื่อถ่วงให้เธอมีเวลา กางอาณาเขตเวทย์
"หยุด อยู่ตรงนั้นเจ้าหนู"เสียงสั่งที่มาพร้อมลูกธนู 3-4 ดอกปักลงตรงเท้าของเซเรส ดูท่าเรื่องนี้คงจะยาว
"ท่านเซ เป็นไงบ้าง"มิวกระซิบถามออกมาจากเกวียน แต่น้ำเสียงออกไปทางอยากรู้อยากเห็นมากว่าเป็นห่วง
"เงียบ ๆ เอาไว้"เซเรสส่งเสียง ดุ ๆ กลับไป
"เจ้าหนู เจ้าออกมาให้ห่างเกวียนนั่น อย่ามาทำเป็นมีลูกไม้"เสียงอีกหนึ่งในกลุ่มผู้มาเยือนนั้นเล็งธนูมายังเธอ อืม ห่างเกวียนหน่อยก็ดี สองคนนี่จะได้ปลอดภัย เซเรสค่อย ๆ เดินออกห่างจากเกวียนมาได้นิดหน่อย พวกโจรสอง คนก็เดินมาทางเกวียนของเธอ เซเรสเลยรีบเข้าขวางเอาไว้
"ขอดู ในนั้นหน่อย"ฮึ ขอดูหรือจะปล้นกันแน่ ไอ้โจรป่า เซเรสนึกอยู่ในใจแต่ก็มิได้ขยับกายออกห่างจากเกวียน
"ไม่มีอะไรน่าดูหรอกน่า"
"ในนั้นมีอะไร"
"ไม่มีอะไรหรอกน่า"ขณะที่พูด เซเรสก็เริ่มร่ายเวทย์ แต่ในหมู่โจรมันต้องมีคนฉลาดบ้างแหละน่า เพราะยังไม่ทันที่เธอจะร่ายเวทย์ ลูกธนู นับ สิบ ก็พุ่งตรงมาที่เธอ จนทำให้เธอต้องกระโดดหลบ ส่วนไอ้โจร สองคนนั่นมันตรงไปที่เกวียนแล้ว หวังว่า สองคนนั่นคงจะไม่ขัดคำสั่งเธอนะ
ตูม เสียงพลังเวทย์ปะทะ กับอะไรบางอย่างทำให้ เซเรสต้องหันไปมองยังต้นเสียง แล้วภาพที่เห็นก็ทำให้เธอแทบอยากกัดลิ้นตัวเอง สองสาวออกมาจากเกวียน โดยมีโจรสองคนนั่นของสลบอยู่ข้าง ๆ เกวียน
"ยัยตัวยุ่ง ไม่ยอมฟังกันเลยใช่มั๊ย"เซเรส บ่นออกมาด้วยความเป็นห่วง เพราะตอนนี้ สองคนที่เธอสั่งให้อยู่เฉย ๆ ดันกระโดดออกมาร่วมวงด้วยซะแล้ว
"ของอย่างนี้ ให้สนุกคนเดียวได้ยังไงกันล่ะ"เฮ้อ เธอเองก็น่าจะคิดอยู่แล้วว่า มิวน่ะไม่มีทางยอมพลาดเรื่องสนุกแบบนี้ได้หรอก แต่ไม่คิดว่าอีกคนนี่สิจะกล้าขัดเธอด้วย
"โอ้ มีสาวน้อย ร่วมเดินทางมาด้วย อีก 2 คนหรือนี่ ดีเลย"เสียงบุคคลที่เพิ่งเดินมาสมทบกับกลุ่มโจร ดูจากลักษณะท่าทางแล้วคงจะเป็นหัวหน้าโจร เพราะลูกน้องที่ยืนอยูด้านข้างมันทำท่ายำเกรงสองคนที่เพิ่งมาสมทบ
"ดูจากการแต่งตัวแล้ว คงจะเป็นคนมีเงิน"มีเพิ่มมาอีกคนแล้วตอนนี้ ก็ 8 ถ้ารวมเจ้า 2 คนนั่นที่นอนสลบอยู่ที่พื้นเพราะฝีมือสองสาวข้าง ๆ เธอ เฮ้อ ดูท่าคงจะต้องประเมินสถานการณ์ใหม่เสียแล้วสิ
"เอาไงดี ท่านเซ"นั่นสินะ ดูท่า ไอ้ สองคนที่มาใหม่เธอคงจะต้องเอาไว้ซะเอง เพราะดูท่าทางเก่งใช่ย่อย สองสาวข้าง ๆ เธอคงจะรับมือยาก
"คนละ2"สั้น ๆ ได้ใจความดีมาก แล้วการต่อสู้ที่ไม่ค่อยจะยุติธรรมก็เริ่มขึ้น ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้วเอมี่กับมิวไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ทางฝ่ายของเซเรสนี่สิ
"ดูท่า เจ้าหนูนี่จะเก่งเอาการอยู่นะ ท่านหัวหน้า"ชายอีกคนบอกคนที่เป็นหัวหน้าโจร ไอ้โจรสองคนนี่มันเก่งพอตัวเลยนะเนี่ย เมื่อวานเธอใช้พลังมากไปวันนี้เลยทำให้ไม่ค่อย ใช้เวทย์ได้อย่างเต็มที่ ตอนนี้เซเรสหมดทางเลือกแล้ว เธอไม่อยากใช้ดาบ แต่มันจำเป็น เธอจึงเรียกดาบเวทย์มากระชับไว้ในมือ เตรียมที่จะต่อสู้ด้วยดาบ
"ข้ากับเจ้าหนูนี่ ส่วนเจ้าไปจับผู้หญิงสองคนนั้นเอาไว้"เซเรสพยายามที่จะขัดขวางแต่หัวหน้าโจรก็มาขัดทางเธอเสียก่อน
"คู่ต่อสู้ของเจ้าน่ะ ข้า อย่ามัวแต่เป็นห่วงสาว ๆ อยู่เลย เป็นห่วงตัวเองจะดีกว่านะ"แล้วดาบใหญ่ก็ฟาดลงมายัง เซเรส แรงของเจ้าของดาบใหญ่ที่ฟาดลงมานั้นแรงน่ากลัว ถ้าเป็นคนธรรมดาคงทรุดลงไปแล้ว แต่นี่เป็น เซเรส เธอได้รับการฝึกฝนมาจึงสามารถรับดาบนั้นได้ ถึงแม้จะแย่เอาการอยู่ก็เถอะ แล้วการปะทะดาบของโจร กับ นักล่าผู้ไม่ถนัดวิชาดาบ ก็เริ่มรุนแรงขึ้น
"กรี๊ด"เสียงที่เรียกเอาสมาธิของเซเรส กระเจิง เสียงของเจ้าหญิงจอมยุ่ง ที่กรีดร้องออกมาทำให้เซเรสเสียสมาธิ ละสายตาจาคู่ต่อสู้เพื่อมองไปยังต้นเสียง
"มิว"ช่วงจังหวะที่เซเรสหันกลับไปมองจึงทำให้เกิดช่องโหว่ในการต่อสู้ ดาบใหญ่ฟันลงมา แต่ยังดีที่เซเรสหลบทัน เลือดค่อย ๆ ไหลซึมออกมาจากทางด้านข้างลำตัว ดาบใหญ่เมื่อกี๊ แค่ฟันถาก ๆ ด้านข้างลำตัวของเธอ แต่ก็สามารถเรียกเลือดออกมาได้เยอะพอควร
"โอ้ หลบได้เหรอเนี่ย เหลือเชื่อนะ"ตอนนี้เซเรส พยายามหาทางที่จะไปยังฝั่งของสองสาวเพื่อนร่วมเดินทางแล้ว เธอกระแทกพลังเวทย์ ที่เป็นเวทย์การต่อสู้เพียงบทเดียว บทเดียวเท่านั้นที่เธอเคยเรียนมา ใส่ไปยังหัวหน้าโจร ถึงแม้จะไม่สามารถทำอะไรหัวหน้าโจรคนนั้นให้ถึงตาย แต่ก็สามารถถ่วงเวลาให้เธอกลับไปหา สองสาวนั่นได้
"มิว เอมี่"เซเรส พยายามเดินไปหาสองสาว แล้วก็ใช้เวทย์บทเมื่อกี๊เล่นงาน พวกโจรที่ล้อม สองสาวอยู่
"ท่านเซ"สองสาวเรียพร้อมกัน เซเรสรีบตรงไปหาสองคนนั้นทันที แล้วก็ลงมือ สมานแผลให้ทั้งสองคนทันที
"ท่านเซ เลือดนี่คะ ท่านรักษาตัวท่านก่อนเถอะค่ะ"เอมี่มองเลือดจำนวนมากที่ไหลออกมาจากตัวของเซเรส แล้วก็รีบห้าม น้ำตาก็พาลเริ่มไหลออกมา
"หยุดน้ำตาเจ้าไว้แค่นั้น เอมี่ พวกเจ้า ใช้เวทย์รักษาได้งั้นเหรอ พวกเจ้าเป็นแต่เวทย์โจมตีกันนี่"ปากก็ยังคงพูดอยู่แต่ก็ไม่ยอมหยุดรักษา
"ท่านพี่เซ พอเถอะนะ ท่านพี่เสียเลือดมากแล้วรีบรักษาตัวเองเถอะนะ"มิวรีบปัดมือเซเรสออก แต่ในขณะนั้นก็มีโจร สองคนพุ่งตรงเข้ามา เซเรสเลยผลักสองสาวออกไปแล้วตัวเองก็สู้แทน แต่ด้วยร่างกายที่อ่อนล้าจากการใช้เวทย์มาเยอะแล้วจนแทบไม่เหลือพลังเลย รวมกับ แผลด้านข้างลำตัวเธออีก จึงทำให้เธอพลาดท่าโจรสองคนนั่น
"ไม่"เสียงของ มิวดังไปทั่วบริเวณ เซเรสหลบดาบได้ แต่ลูกธนูที่ยิงออกมา เธอไม่สามารถหลบได้หมด ลูกธนูปักเข้าที่ ด้านหลังเธอ เซเรสทรุดลงกับพื้น ดาบที่อยู่ในมือค่อย ๆ ร่วงลงข้างลำตัว เซเรสก้มลงมองที่ตัวเธอเอง ก็เห็นลูกธนูที่ส่วนหัวลูกศร ทะลุมายังฝั่งด้านหน้า เลือดไหลออกมามาก แล้วร่างของเซเรสก็ค่อย ๆ ล้มลงนอนกับพื้น ตอนนี้เธอรู้สึกว่าโลกมันมืดเหลือเกิน หนาวด้วย ทำไมเธอถึงมองไม่เห็นอะไรเลย แล้วทำไมมันถึงหนาวแบบนี้ หรือเพราะฝนที่เพิ่งตกลงมาเมื่อกี๊นี้กัน แล้วนั่นเสียงปะดาบนี่ ใครกำลังสู้กัน แล้วเสียงใครกัน มิวอย่างงั้นเหรอ หรือว่าเอมมี่ แล้วสติสัมปชัญญะ ของเซเรสก็เริ่มหลุดลอยก่อนที่โลกทั้งโลกมืดสนิท เซเรสอบอุ่นอย่างประหลาด
...........
..........
.........
........
.......
......
.....
....
...
..
.
"เจ้ายืนร้องไห้ทำไมกัน"เสียงที่เรียกให้เด็กน้อยที่ยืนร้องไห้อยู่หันกลับมามองยังผู้ถาม เด็กชายหน้าตาคมเข้ม ผิวขาวราวหิมะ นัยน์ตาสีเดียวกับท้องฟ้ายามไร้เมฆ
"นี่มันอะไรกัน ทำไม"เซเรส ยืนมองภาพเบื้อหน้าด้วยความงุนงง ภาพเบื้องหน้าเธอเป็นภาพที่เธอไม่สามารถลบมันออกไปจากความทรงจำของเธอได้ เด็กชายคนนั้นเดินทะลุผ่านตัวของเธอไปแล้วและกำลังตรงไปยังเด็กน้อยที่ยืนร้องไห้อยู่
"สร้อยของข้าน่ะ"เด็กน้อยชี้นิ้วขึ้นไปบนกิ่งไม้ที่มี สร้อยคอติดอยู่บนกิ่งไม้
"อ้าว ขึ้นไปได้ยังไงล่ะนั่น"เด็กชายมองสร้อยแล้วก็หันมามองหน้าเด็กน้อยตรงหน้า
"ปีนขึ้นไปเล่น แล้วพอลงมามันติดน่ะ เจ้าช่วยเอาลงมาให้เราหน่อยสิ"
"อย่านะ อย่าไปขอร้อง อย่า"เซพยายามส่งเสียงร้องเตือนเด็กน้อยผู้นั้น แต่ก็เหมือนว่าเด็กทั้งสองจะไม่ได้ยินเสียงของเธอเลย ที่ให้ถูก เด็กทั้งสองมิได้รับรู้เลยว่ามีอีกคนอยู่ตรงนั้นด้วย
"ท่านเซ ๆ"เสียงใครกัน ทำไมคุ้น ๆ ใคร ๆ กันนะที่เรียกเรา เสียงที่ทำให้ภาพฝันของเซเรสจางหายไป
"เพี๊ยะ"ด้วยแรงตบ เซเรสจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ทันทีที่ลืมตาขึ้นเธอก็มองสำรวจไปรอบ ๆ เกวียนนี่ คุ้น ๆ เหมือนเกวียนของเธอเลย มองไปรอบ ๆ แล้วเธอก็เห็นใบหน้าที่แสนคุ้นเคย หนึ่งคือ ญาติจอมยุ่งของเธอ และอีกหนึ่งคือ เพื่อนรักของเธอ เซเรสค่อย ๆ ยันตัวขึ้นนั่ง เอมี่จึงประคองช่วย ทันทีที่เซเรสลุกนั่ง มิวก็โผเข้ากอดทันที
"ท่านเซ ข้านึกว่าท่าจะไม่รอดแล้ว"มิวอาจเป็นคนที่พูดจา ไม่ค่อยเข้าท่านักแต่นี่คงหมายถึงความเป็นห่วง เซเรสค่อย ๆ กอดปลอบ มิวที่ตอนนี้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็ก ๆ
"ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว โอ๊ะ"เซเรสขยับตัวมากไปเลยทำให้เจ็บแผล มิวจึงทำท่าสำรวจดูแผลให้
"ท่านมิวคะ ให้ท่านเซ พักผ่อนอีกสักนิดดีกว่านะคะ"เอมี่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ขยับยิ้มให้กับทั้งสองคน
"ขอโทษที่ขัดเวลาแห่งความสุขนะ พรุ่งนี้เราถึงจะออกเดินทางกันต่อได้"เสียงบุรุษที่เซเรสไม่คุ้นเคย กำลังเข้ามาในเกวียน และกำลังมอง มิวกับเซที่เพิ่งผละออกจากกัน
*************************************************
“ขอโทษที่ขัดเวลาแห่งความสุขนะ พรุ่งนี้เราถึงจะออกเดินทางกันต่อได้”เสียงบุรุษที่น้ำเสียงออกไปทางขี้เล่น ดังแทรกขึ้นมา บุรุษที่เซเรสไม่คุ้นเคย กำลังเข้ามา
ในเกวียน และกำลังมอง มิวกับเซที่เพิ่งผละออกจากกัน บุรุษผมสีน้ำตาลแดง นัยน์ตาสีน้ำตาล ท่าทางเป็นคนขี้เล่น อารมณ์ดี เดินมานั่งลงข้าง ๆ พวกเธอ แล้วก็มองสำรวจ แผลของเซ
“เจ้านี่เป็นใครกัน”เซเรสทำหน้าไม่ไว้ใจ แล้วหันไปยังสองสาวเพื่อหาคำอธิบาย
“ท่านเซ นี่คือท่าน ราล์ฟ”เอมี่อธิบายได้เพียงเท่านี้แล้วมิวก็แย่งอธิบายต่อ
“ท่านราล์ฟ กับเพื่อน ๆ เผอิญผ่านมาเข้า เลยช่วยพวกเราเอาไว้น่ะ”มิว อธิบายด้วยสีหน้าท่าทางดีใจ เซเรสมองหน้าญาติผู้น้องของเธอที่ทำหน้าบานอยู่ แล้วก็หันไปมองหน้าราล์ฟ ช่วยอย่างนั้นเหรอ เซเรสมองหน้าชายคนเมื่อครู่แล้วก็มีสีหน้าที่เย็นชาขึ้นมาทันที
“ขอบใจ”คำพูดสั้น ๆ ที่ออกจากปากของเซเรสที่ทำให้ มิว หน้าบึ้งไปนิดหน่อย
“ท่านเซ เค้าช่วยเรานะคะ ท่านจะพูดให้มันดีกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ”มิวทำหน้าน้อยใจแล้วก็บ่นไม่หยุด
“ไม่เป็นไรหรอก ท่านหญิง มิเนอร์ว่า ข้าขอตัวก่อนก็แล้วกันนะ ข้าแค่มาดูว่าแผลของเพื่อนท่านหญิงเป็นยังไงบ้าง ตามคำสั่งของท่านหมอใหญ่ เรออน น่ะ”ราล์ฟ กล่าวแบบยิ้ม ๆ คำพูดติดสนุกของคนผู้นี้นี่เอง ที่ทำให้ญาติผู้น้องของเธอยิ้มได้ คงเป็นเพราะนิสัยรักสนุกเหมือนกันเป็นแน่ ว่าแต่ ใครกัน หมอใหญ่ เรออน เซเรสนั่งจินตนาการถึงภาพของท่านหมอใหญ่ เรออน แล้วก็ก้มลงมองตัวเอง ที่ตอนนี้มีแต่ผ้าพันแผล พันกันให้ยุ่งไปหมด นี่น่ะเหรอฝีมือของหมอใหญ่ คงจะเป็นตาแก่งี่เง่า ที่ เงอะ ๆ งะ ๆ ตาฝ้าฝางเป็นแน่ ฝีมือการทำแผลถึงได้แย่ถึงเพียงนี้ พอเซเรสเงยหน้าขึ้นมา ก็เหลือเพียงแค่ เอมี่เพียงคนเดียวแล้ว ราล์ฟเดินออกไปข้างนอก มิวก็ตามออกไปติด ๆ เซเรสมองแล้วก็ต้องถอนใจ แล้วหันไปมองเอมี่ เอมี่เงียบไปสักพักแล้วก็เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นตอนที่เซเรสหมดสติไปให้ฟัง
“ฟื้นแล้วเหรอ”ชายหนุ่มผมดำเข้ามาภายในเกวียนพร้อมด้วยชายหนุ่มผมสีแดงเพลิงอีกคน เซเรสมงชายทั้งสองที่เพิ่งเข้ามาแล้วก็หันไปมองเอมี่ เอมี่จึงทำหน้าที่แนะนำตัวแทนเพราะทั้งสามคนยังไม่มีใครที่รู้จักกัน
“คนที่ผมสีดำ คือเจ้าชายเรออน แห่ง อันโดเนีย ส่วนคนผมสีแดงเพลิงคือท่าน มาคัส เฮล เป็น ผู้กล้าจาก กาลาเทียร์ ท่านสองคนนี้ก็เป็นผู้ที่เข้ามาช่วยเราค่ะ”
เซเรส มองชายทั้งสองแล้วก็พยักหน้าน้อย ๆ เธอไม่ค่อยถูกชะตากับผู้ชายสักเท่าไหร่นัก จึงไม่ค่อยมีท่าทีอยากรู้ประวัติของสองคนนี้มากนัก
“นี่ ท่านเซ องค์รักษ์ของท่านหญิง มิเนอร์ว่า”ทั้งสองคนเองก็พยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงรับรู้เช่นกัน เป็นอันว่าทั้งสามคนรู้จักกันอย่างเป็นทางการแล้ว เรออนยื่นถ้วยยามาตรงหน้าเซเรส เซเรสมองถ้วยยาในมือของเรออน แล้วก็มองเจ้าของถ้วยยา
“ยานี่รีบ ๆ กินซะก่อนที่ยาจะเย็นเดี๋ยวจะหมดสรรพคุณ”เรออน ยื่นถ้วยยามาส่งให้กับเซเรส ที่ยังคงนิ่งไม่ยอมรับถ้วยยา เซเรสเมินหน้าหนีจากถ้วยยานั้นแล้วก็หันไปมองหน้าเอมี่อย่างขอความช่วยเหลือ ก็เธอน่ะ ไม่ถูกกับยาขม ๆ พวกนี้น่ะสิ แต่เอมี่กลับทำไม่สนใจ แถมยังลากเอามาคัส ออกจากนอกเกวียนไปอีกต่างหาก หมดตัวช่วยแล้ว แต่เซเรสก็ยังคงนั่งนิ่ง ไม่ยอมที่จะรับถ้วยยามาอยู่ดี
“เดี๋ยวใช้เวทย์รักษาเอาก็ได้”เซเรสยังคงบ่ายเบี่ยง ถ้วยยาตรงหน้าอยู่ ส่วนเรออน ก็พอเดาได้ว่า เซเรสน่ะคงจะไม่ชอบยาแต่เนื่องจากว่า ถ้าใช้เวทย์รักษามันจะหายช้ากว่าใช้ยา และเขาเองก็รีบที่จะเดินทาง จึงไม่อยากมาเสียเวลากับเรื่องแบบนี้
“ถ้าการใช้เวทย์รักษามันดีจริง เค้าคงไม่ต้องให้กินยาควบคู่ไปกับการใช้เวทย์หรอกนะ”คำพูดจากเรออนทำเอาเซเรสหันมามองด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจเล็กน้อยถึงแม้ว่ามันจะเป็นความจริงก็เถอะ แต่ก็ยังไม่ยอมที่จะกินยาอยู่ดี
“เจ้าต้องกินยา ไม่งั้นจะทำให้การเดินทางล่าช้า”การเดินทางที่เซเรสเกือบจะลืมไป พอเรออนพูดขึ้นมาทำให้เซเรสนึกขึ้นมาได้ ว่าแต่การเดินทางของเธอไปเกี่ยวข้องกับการเดินทางของชายหนุ่มตรงหน้าเธอได้อย่างไรกัน
“เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย ท่านเจ้าชาย”
“ข้าก็ไม่อยากยุ่งหรอกนะ ถ้าไม่เพราะสองสาวนั่นมีองค์รักษ์ฝีมือดาบแย่อย่างเจ้าน่ะ”สิ่งที่เรออนพูดมา ทำให้เซเรสอารมณ์เดือดได้สักพักก็นิ่งเพราะว่าเธอฝีมือดาบไม่เอาไหน ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่อง
“คงจะจริง ที่ข้าไม่เอาไหน....แต่ก็ไม่ต้องพึ่งพวกเจ้า พอข้าหายดีแล้วก็ทางใครทางมัน”เซเรสเหลืออดแล้ว เพราะเธอ มีอคติกับผู้ชายเกือบทุกคน เธอจะไม่มีทางยอมที่จะเดินทางร่วมกับผู้ชายเด็ดขาด
“ข้าเพิ่งจะช่วยชีวิตเจ้า เจ้าเป็นหนี้ชีวิตข้า”คำพูดที่ทำเอาเซเรสหันมามองด้วยสีหน้าตกใจกับคำพูด เป็นหนี้ชีวิตอย่างงั้นเหรอ มันจะมากไปหน่อยมั๊ย
“ข้าเพิ่งรู้ว่า พวกเจ้าช่วยคนเพื่อหวังผล...เจ้าจะเอายังไงว่ามา”เซเรสจนใจจริง ๆ เพราะว่าเธอไม่ชอบเป็นหนี้ใคร ยิ่งเรื่องบุญคุณด้วยแล้ว เธอยิ่งไม่อยากติดใครสักเท่าไหร่นัก
“เจ้าเป็นหนี้ชีวิตข้า ตอนนี้ชีวิตเจ้าเป็นของข้า ข้าสั่งให้เจ้ากินยา”คำพูดที่ทำเอาเซเรสอึ้งไปอีกรอบ ไม่เคยมีใครที่กล้าออกคำสั่งแบบนี้กับเธอ เจ้าชายนี่ช่างกล้าเกินไปเสียแล้ว
“ไม่เคยมีใครกล้าสั่งข้า โอ๊ย”ยังไม่ทันที่เซเรสจะปฏิเสธ แขนข้างที่มีผ้าพันแผลอยู่ของเซเรส ก็ถูกบีบ ด้วยความเจ็บจึงทำให้เซเรสร้องอออกมา เราออนจึงถือเอาจังหวะที่เซเรสร้อง เอายากรอกปาก ด้วยเสียงร้องของเซเรส ถึงแม้ว่าจะไม่ดังมากแต่ก็ทำเอาคนข้างนอกตกใจ ต่างรีบเข้ามาดูกันหมด เมื่อเข้ามาแล้ว สองสาวถึงกับหน้าถอดสี เพราะตอนที่สองสาวเข้ามาเห็นเรออนกำลังจับเอายากรอกปากเซเรสอยู่
“ท่านเซ”เอมี่รีบเข้าไปหา เซเรสทันที ส่วนมิวก็วิ่งเข้ามาผลักเรออนออกห่าง แล้วมองเห็นเลือดซึมออกมา จากแขน ทำให้มิวเริ่มโมโห
“เจ้าชาย ท่านทำอะไร ท่านเซ”เสียงมิวที่ตะโกนขึ้น แต่ก็ไม่ดังมากนักเพราะ เอมี่ปรามไว้ด้วยสายตา เอมี่นั้นพอที่จะมองออกถึงการกระทำของเรออน
“เฮ้ เรออน นี่นายจะรักษาหรือจะฆ่าหมอนี่กันแน่”เสียงทักที่ดังมาจากชายผมแดงเพลิง เดินเข้ามานั่งข้าง ๆ เซเรสมองเลือดที่ไหลออกมาแล้วก็ดึงเอาผ้ามาห้ามเลือดให้เซเรส แต่เซเรสชักมือออกแล้วทำหน้าไม่พอใจ มาคัสมองเซเรสแล้วก็ยิ้มให้ เอมี่จึงอาสาทำแผลแทน
“ก็แค่เอาเลือดเสียออกเท่านั้น แหกปากไปได้”เซเรสมองชายตรงหน้าเธอ นี่หรือเจ้าชาย ช่างปากร้ายอะไรเช่นนี้
แต่มิวก็ช่วยไขความกระจ่างให้เธอได้
“นี่ท่านเป็นเจ้าชายจริง ๆ หรือเปล่าเนี่ย”ดูจากการกระทำแล้ว ทำให้มิวเริ่มไม่แน่ใจ
“หึ หมอนี่น่ะมันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ ท่านหญิงมิว”ราล์ฟลุกมานั่งข้าง ๆ เรออนแล้วเอามือวางลงที่บ่าของเจ้าชาย เรออนเพื่อนรัก
“ต้องขอประทานโทษท่านหญิงด้วยนะ ที่กระหม่อมไม่เหมือน กับเจ้าชายทั่วไปที่วัน ๆ อยู่แต่บนหอคอยงาช้างที่งดงาม”ท่าทางและคำพูด ของเรออนที่ทำเอา เอมี่แอบยิ้ม ดูท่าการเดินทางคราวนี้คงจะมีเรื่องที่น่าสนุกคอยอยู่แล้วล่ะสิ หนึ่งเจ้าหญิงที่เอาแต่ใจ หนึ่งองค์รักษ์ที่ไม่ชอบความวุ่นวายและมีอคติกับชายเกือบทุกคน และผู้ร่วมเดินทางใหม่ที่ดูท่าจะ ป่วนใช่ย่อย เอมี่ชักมองเห็นความวุ่นวายของการเดินทางอยู่ราง ๆ แล้วล่ะ
“เอาเถอะค่ะ ๆ พอแค่นี้ก่อนเถอะค่ะ นี่ก็ใกล้ค่ำแล้วนะคะ ที่พักเอายังไงดีคะ”เสียงเอมี่ ขัดทัพได้ทันก่อนที่จะเกิดการปะทะคารมรอบต่อไป ตอนนี้เธอมีเกวียน เพียงเล่มเดียวเท่านั้น แต่มีคน 6 ลำพังนั่งน่ะ ได้ แต่เรื่องนอนน่ะ คงจะลำบาก คงต้องรอให้ ท่านเซหายดีก่อน ถึงจะใช้เวทย์ทำมห้ เกวียนมีขนาดใหญ่ขึ้นได้
“พวกสุภาพสตรีกับคนป่วยก็นอนในนี้ก็แล้วกันนะ”ราล์ฟเสนอความเห็นที่ทุกคนเห็นด้วย ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปนอน
“เอมี่ ใครทำแผลให้เรา”เซเรสเพิ่งจะมีโอกาสที่จะถาม เนื่องจากว่าตั้งแต่เธอฟื้นขึ้นมายังไม่มีโอกาสที่จะได้คุยกันเพียงลำพังเลย
“นึกว่าท่านจะไม่ถามซะอีก เรื่องนั้น ท่านเซ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ข้ากับท่านหญิงมิว เป็นคนทำให้เองน่ะค่ะ ยังไม่มีใครรู้เรื่องของท่าน”เอมี่ตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม และคำพูดที่ทำให้เซเรสเบาใจขึ้นมาก ที่รู้ว่าเรื่องของเธอยังเป็นความลับอยู่ พอมองดูแขนที่เพิ่งเปลี่ยน้าพันแผลใหม่ก็ทำให้ เซเรส นึกโมโหขึ้นมา ไม่เคยมีใครกล้าสั่งเธอมาก่อน ยิ่งคิดยิ่งแค้น รอให้หายดีก่อนเถอะนะ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอให้คนอ่านทุกคนตั้งใจเรียนนะจ๊ะ แล้วก็อย่าลืมโพสทักทายกันนะจ๊ะ เมนท์ติชมเราบ้างนะจ๊ะ เราอยากให้เพื่อน ๆ ที่มาอ่านช่วยกันหน่อยค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าเราจะโกรธหรือรับไม่ได้นะคะ เรารับความจริงได้เสมอค่ะ เราถือคติที่ว่า "ติเพื่อก่อ"
สุดท้ายจริง ๆ ละน๊า รักษาสุขภาพด้วยล่ะ หม่ะ kiss ๆ บายค่ะ
ความคิดเห็น