หนุ่มแสบ สาวใส หัวใจฝากรัก - หนุ่มแสบ สาวใส หัวใจฝากรัก นิยาย หนุ่มแสบ สาวใส หัวใจฝากรัก : Dek-D.com - Writer

    หนุ่มแสบ สาวใส หัวใจฝากรัก

    ดุละกันนะจ้า

    ผู้เข้าชมรวม

    253

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    253

    ความคิดเห็น


    4

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 ต.ค. 48 / 17:58 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เนื่องจากความเบียดเสียดของผู้คนที่แย่งกันใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ณ. สถานีสยาม บวกกับอากาศที่ร้อนจัดจนน่าจะเกินสามสิบองศาเซลเซียสของไอแดดช่วงนี้ ทำให้ผู้คนที่ขึ้นบันไดเลื่อน แทบจะต้องปรับอุณหภูมิของร่างกายให้ตัวเองไม่ทันกันทั้งนั้น ยิ่งโดยเฉพาะกับคนที่ไม่ค่อยได้ใช้บริการรถไฟฟ้าบ่อย ๆ ด้วยแล้ว ความกดอากาศที่เกิดขึ้นก็อาจทำให้หน้ามืดวิงเวียนเอาได้ง่าย ๆ ด้วย แล้ววันนี้ก็ไม่รู้จะเป็นเพราะความบังเอิญหรืออะไรกันแน่ที่คนแห่มาขึ้นรถไฟสายนี้กันอย่างมหาศาลเหลือเกิน
      “โอ๋ย...นังอาร์ท ฉันปวดหัวแทบจะระเบิดอยู่แล้วนะเนี่ย ฉันก็ขึ้นรถไฟฟ้ามาสาม-สี่ครั้งแล้วนะ ทำไมยังไม่ชินซะทีล่ะ
      รู้อย่างงี้ไปโหนรถเมล์อย่างเดิมดีกว่า ฉันยอมทนเมื่อยดีกว่าปวดหัวแบบนี้ตั้งเยอะ” ฟ้าใส สาวตาโตกลมแป๋ว ไว้ผมยาวประบ่า
      รูปร่างสูงโปร่งเพรียวลม กำลังยืนกอดเสาอลูมิเนียมที่ตั้งอยู่ข้างตัวด้วยท่าทางหมดแรงเอาจริง ๆ ระหว่างที่เธอบ่นนั้นเธอก็เหล่มอง
      ผู้ชายหน้าแหลมที่นั่งฟังเพลง แบบไม่สนใจสรรพสิ่งรอบข้าง แม้กระทั่งสาวที่ดูท่าทางคล้ายกำลังจะเป็นลมอย่างเธอ เธอแน่ใจแล้ว
      ว่าผู้ชายไร้น้ำใจไม่ได้มีอยู่แค่บนรถเมล์เท่านั้น แต่หาได้ง่ายทุกหนทุกแห่งเลย
      “ฉันล่ะเซ็งจิตจริง ๆ เลย ! ทุกครั้งที่พาพวกหล่อนมาเปิดหูเปิดตา ทดลองทำอะไรที่มันอินเทรนด์เข้ายุคเข้าสมัยกับเขา
      บ้าง พวกหล่อนก็ต้องบ่นกระปอดกระแปดแบบนี้ทุกที เป็นนักวิ่งซะเปล่า ทำไมสำออยอย่างงี้ก็ไม่รู้ เอ้า ! แล้วนั่นหล่อนจะทำท่า
      จิ้งจกรูดเสาไปถึงไหนยะ จะเต้นอะโกโก้หรือไง ทุเรศ !! อุ๊ย !”
      อาร์ท เพื่อนเพศพิเศษครึ่งหญิงครึ่งชายของฟ้าใส ยืนก้นงอนเอามือเหนี่ยวห่วงที่ห้อยลงมาจากด้านบนด้วยท่าทางดัดจริต
      เต็มที่ หล่อนกำลังจะบ่นเพื่อนอีกยืดยาวแต่ก็ต้องหยุดชะงักอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย และค่อย ๆ เบียดผู้คนออกห่างจากฟ้าใสไปทีละนิดๆ
      ฟ้าใสเงยหน้าที่ก้มซบแขนของตัวเองอยู่ เพื่อเหลือบขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาร์ท แล้วเธอก็เห็นว่าอาร์ทกำลังกระแซะ
      เข้าไปหาเหยื่อ เอ๊ย ! หนุ่มหน้าใสคนหนึ่งที่ยังเด็กและดูอ่อนต่อโลกมากพอ ๆ กับตัวเธอเอง
      “...”
      “ชื่ออะไรจ๊ะน้อง หน้าใส๊ ใส อะตัวเอง”
      “เฮ้อ...นังอาร์ทหล่อนจะบ้าผู้ชายไปถึงไหนยะ”
      “เอ๊ะ!”
      “นี่ !คุณค่ะอย่าเบียดสิค่ะ” ฟ้าใสเอียงคอไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อเตือนคนที่อยู่ข้างหลัง แต่คำเตือนของเธอไม่เกิดผลอะไรเลยแม้แต่
      นิดเดียว
      “อุ๊ย ! ก็บอกว่าอย่าเบียดไง ไม่ได้ยินหรอ !” เธอต้องพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้น เพราะผู้ชายตัวสูงปรี๊ดไม่ต่ำกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตร
      ที่ยืนหันหลังให้เธอในชุดเสื้อยืดเก่า ๆ กับกางเกงยีนส์โทรม ๆ กำลังเซทิ้งน้ำหนักมาที่เธอมากขึ้นทุกที
      “คร่อก...ฟี้”
      “...” ฟ้าใสออกแรงผลัก แต่ไม่เห็นจะมีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่นิดเดียว เธอชักจะอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาแล้วเมื่อเธอต้องเจอกับเรื่องที่
      น่าหงุดหงิดซ้ำซ้อน เพราะปกติเธอเคยเจอแต่คนที่หลับบนรถเมล์ แต่เพิ่งจะเห็นก็แต่นายคนนี้ที่หลับบนรถไฟฟ้าที่วิ่งออกจะเร็วได้
      “สถานีต่อไป ลาดพร้าวค่ะ....” เสียงประกาศของเจ้าหน้าที่บังคับรถไฟฟ้าดังมาจากลำโพง และประมาณห้าวินาทีต่อมา รถไฟฟ้าขบวนนี้ก็จอดสนิทและเปิดประตูให้คนออก ฟ้าใสเอียงตัวหลบให้คนโน้นคนนี้ทยอยเดินออกไปอย่างทุลักทุเล ซึ่งคนที่ออกไปส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ยืนอยู่ไม่ใช่คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทั้งสองฝั่งซะด้วยสิ
      “โป๊ก !” “โอ๊ย!”
      “...” หนุ่มตัวสูงแต่งตัวเซอร์สัปหงกจนหัวโขกกับฟ้าใสเต็มแรง จนตัวของเขาเองยังต้องงัวเงียตื่นขึ้นมา
      “ฉันเจ็บนะ !!!”
      “ใช่ว่าเธอเจ็บแค่คนเดียวที่ไหนกันเล่า ฉันก็เจ็บเหมือนกันนั่นแหละ” หนุ่มตัวสูงงึมงำตอบออกมาทั้งที่เขายังก้มหน้าอยู่
      ฟ้าใสกัดฟัน แต่พอดีว่าเหลือบไปเห็นผู้ชายที่นั่งฟังเพลงอยู่เมื่อกี๊ ลุกจากที่นั่งเตรียมตัวจะลง เธอก็เลยจะถือโอกาสไปให้
      พ้น ๆ เขาซะที แต่เพียงไม่ถึงเสี้ยววินาทีเดียว เธอก็โดนแย่งที่นั่งเรียบร้อย
      “โอ๊ะ ! อะไรของคุณเนี่ย ! ทำฉันหัวเจ็บแล้วไม่ยอมขอโทษยังไม่พอ นี่ยังคิดจะมาแย่งที่นั่งของฉันอีกหรอ นี่เธอตื่นเดี๋ยวนี้นะ!!”
      “คร่อก...”
      “นี่เธอ ! ฉันพูดอยู่ได้ยินบ้างมั๊ย หูแตกหรือไง !!” เสียงตำหนิที่ค่อนข้างดังนั้นทำให้เขาเงยหน้ามองเธอ ผ่านผมที่รกปิดหน้าปิดตา
      ของตัวเอง
      “โอ๊ย ! ยุ่งจัง” เขาบ่นออกมาแล้วก็เอามือเสยผมเหล่านั้นออกไปข้างหลัง ก่อนที่จะปิดเปลือกตาลงอย่างไม่รู้สึกรู้สาอีก
      “อุ๊ย ! หล่อจังเลย” ฟ้าใสนึกในใจพร้อมแสดงอาการเหวอขึ้นมาเล็กน้อย เธอตะลึงมองหนุ่มที่ไม่รู้ว่าไปอดหลับอดนอนมาจากไหน
      ด้วยความทึ่ง เพราะใบหน้าขาวโดดเด่น ตัดกับคิ้วเข้มและเส้นผมที่ดกดำดูอ่อนนุ่มพลิ้วไหว แถมเขายังมีจมูกที่โด่งเป็นสันตรงและ
      ริมฝีปากที่เรียวบางได้รูป ฟ้าใสใช้เวลาไม่กี่วินาทีที่จ้องมองเขา แต่ยิ่งมองก็ยิ่งหาจุดบกพร่องบนใบหน้าเขาไม่พบ จะพบก็แต่ที่นิสัย
      ของเขานั่นเอง
      ฟ้าใสยกมือโบกไปด้านข้าง ตามทิศทางที่อาร์ทเดินไปเมื่อซักครู่นี้ หางตาของเธอเหลือบมองเห็นว่าอาร์ทเดินใกล้เข้ามา
      กว่าตอนก่อนแล้ว ก็เลยโน้มตัวไปด้านข้างมากขึ้น เพื่อที่จะดึงแขนเสื้อของอาร์ทให้หันมามองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเธอคนนี้ ซึ่ง
      เธอก็คิดว่าคงจะมีผู้หญิงอีกหลายคนที่แอบมองเขาอยู่เหมือนกัน
      “เฮ้ย! นังเบ๊อะ! ฉันอยู่นี่ ดูตาม้าตาเรือซะบ้างสิยะ เดี๋ยวป้าเค้าก็กระโดดขบหัวหล่อนเอาหรอก”
      ฟ้าใสเลิ่กลั่กหันไปหาต้นเสียง แล้วก็เจออาร์ทไปยืนอยู่ใกล้ประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และเมื่อเธอมองตามมือตัวเองไปที่
      แขนเสื้อที่ดึงอยู่ ก็พบว่าเป็นแขนเสื้อของป้าคนหนึ่งที่ใส่เสื้อสีเดียวกับอาร์ท และความสูงยังใกล้เคียงกันอีก
      “ขอโทษค่ะ หนูนึกว่าเพื่อนหนู” ฟ้าใสยกมือไหว้ขอโทษ แล้ววิ่งไปเกาะหลังอาร์ทเอาไว้ เธอตั้งใจจะชี้ให้อาร์ทดูหนุ่มหล่อคนนั้นซะ
      หน่อย แต่เพราะคนเริ่มลุกจากเก้าอี้เตรียมตัวจะลงเหมือนกัน จึงบังภาพเขาออกไปจากสายตาจนมิด
      ฟ้าใส เป็นเด็กสาวที่ไม่มีพ่อแม่มาตั้งแต่เกิด แต่ไม่ต้องแสดงความสมเพชเวทนาเธอหรอกนะ เพราะเธอไม่ได้กำพร้าอะไร
      ที่เธอไม่มีพ่อแม่น่ะเพราะว่าเธอมีแต่ปาป๊ากับมาม้าต่างหาก (555) ฟ้าใสมีน้องชายอายุสิบห้าปีอีกคนหนึ่งด้วย ชื่อว่า ใบหม่อน เขา
      เป็นเด็กที่ค่อนข้างซนมาก
      “ไปเร็ว ! ป่านนี้นังผิงมันรอจนหน้าเxxx่ยวหมดแล้ว เดี๋ยวพวกเราต้องมานั่งรอมันไปดึงหน้าที่ยันฮีอีกหรอก” อาร์ทฉุดกระชากลากถู
      ฟ้าใส แม้จะลงจากสถานีรถไฟฟ้ามาแล้ว แต่ก็ยังมีสภาพวิงเวียนศรีษะ และคนที่ชื่อผิงที่อาร์ทพูดถึงก็คือเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่นัดให้
      มาพบกันที่สยามนั่นเอง
      “โห ! พวกเธอตื่นกันกี่โมงเนี่ย นัดฉันไว้เที่ยงครึ่ง แต่โผล่มาตอนบ่ายสอง พวกเธอทำคนสวยอย่างฉันได้ไงยะ” ทันทีที่ไปถึงเธอก็บ่นทันที
      “ก็นังฟ้าใสน่ะสิ มัวแต่ทะเลาะแย่งเสื้อกับใบหม่อนอยู่นั่นแหละ ไม่รู้เป็นไงพี่น้องคู่นี้ เวลาออกจะเยอะดันไม่ทะเลาะกัน แต่จะออก
      จากบ้านทีไรดันทะเลาะกันทุกที”
      “...”
      “ย่ะ ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว ข้าวเที่ยงยังไม่ตกถึงท้องสักเม็ด ไปกินข้าวก่อนเลยแล้วค่อยไปเดินเที่ยวต่อ” ผิงพูดพร้อมทำสีหน้าเอือม
      ระอา เพราะวีรกรรมมาสายของฟ้าใสเกิดเป็นประจำ แก้ยังไงก็ไม่หายซักที
      “ว่าแต่วันนี้เราจะกินอะไรกันดีล่ะ ไม่เอาสุกี้แล้วนะ”
      “ไปกินอาหารญี่ปุ่นกันมั๊ย ฉันอยากกินราเม็ง” อาร์ทเสนอขึ้นมา แล้วยายผิงกับฟ้าใสก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที
      เมื่อสามสาวทั้งจริงและปลอมรวมตัวกันได้เรียบร้อยแล้ว การออกเดินทางก็เริ่มขึ้นทันทีด้วยอาการเดียวกันหมดอย่างไม่รู้
      ตัว
      หลังกินราเม็งสุดโปรดจนอิ่มแล้ว ที่ด้านข้างร้านหนังสือชั้นนำแห่งหนึ่ง สามสาวเดินผ่านไปโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก
      แต่แล้วฟ้าใสก็เดินถอยหลังกลับมาสาม-สี่ก้าว แล้วเอาหน้าไปแนบกับผนังกระจก พร้อมกับจ้องเข้าไปในร้านที่มีคนถือวิสาสะยืน
      อ่านหนังสือฟรีกันเป็นพรืดเดียว
      “เฮ้ย ! เฮ้ย !” ฟ้าใสร้องขึ้นมาเมื่อมองไปที่หน้าปกนิตยสารในมือผู้หญิงคนหนึ่ง จมูกและปากของเธอติดกับกระจกร้านหนังสือ
      มากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนพยายามจะเข้าไปในร้านให้ได้
      “ว้าย ! นังฟ้าใส ทำอะไรของเธอยะ เมื่อกี๊ในรถไฟฟ้าก็ทำเปิ่นไปทีล่ะ นี่จะให้พวกฉันสงสารตัวเองไปถึงไหน ที่ต้องหลงมาคบกับ
      คนอย่างเธอน่ะ” อาร์ทวิ่งเข้ามาลากฟ้าใสออกจากที่ตรงนั้นพร้อมกับมองซ้ายมองขวาอย่างลุกลี้ลุกลน
      “พวกเธอดูที่หน้าปกหนังสือเล่มนั้นสิ ! เห็นผู้ชายคนนั้นมั๊ย ฉันเพิ่งเห็นเขาเมื่อกี๊เอง ตัวเป็น ๆ เลยล่ะ เขายังเอาหัวมาโขกฉันเลย”
      ฟ้าใสชี้ไปที่ปกหนังสือด้วยอาการตื่นเต้นผิดปกติ
      “เข้าไปดูใกล้ ๆ กันเถอะ”
      ฟ้าใส ผิง และอาร์ทเดินเข้ามาในร้าน แล้วพลิกนิตยสารแฟชั่นเล่มดังกล่าวดูทีละหน้า แววตาของทั้งสามบ่งบอกว่ารู้สึก
      ทึ่งไม่ต่างกันมากนัก
      “นี่แหละ ต้องใช่แน่ ๆ เลย !” ฟ้าใสเอานิ้วจิ้ม ๆ ไปที่ภาพ ๆ หนึ่ง ซึ่งนายแบบเอียงหน้าให้กล้อง ได้องศาใกล้เคียงกับคนที่เห็นในรถไฟฟ้าพอดี
      “โอ๊ย ! ใครเชื่อเธอก็บ้าแล้ว ถ้าเมื่อกี๊นายคนนี้อยู่ในรถไฟฟ้าด้วยฉันก็ต้องเห็นก่อนเธอสิยะ คนหล่อ ๆ แบบนี้ฉันจะพลาดได้ไง”
      “ใช่ ! แล้วเธอน่ะยิ่งเบ๊อะ ๆ อยู่ด้วย ชอบทักคนผิดเป็นประจำ”
      “...”
      ฟ้าใสเริ่มจะไม่แน่ใจเท่าไหร่แล้วว่า ชายหนุ่มที่เธอพบจะเป็นคนเดียวกับนายแบบคนนี้หรือไม่ เพราะคนที่เธอพบใน
      รถไฟฟ้าดูโทรมมาก แล้วทรงผมที่เธอเห็นก็ไม่ใช่ทรงเดียวกันด้วย ที่คล้ายคลึงมากก็เห็นจะมีแค่โครงหน้านี่แหละ
      “เออ ฉันอาจจะจำคนผิดก็ได้ เพราะดูไปดูมาก็ไม่เหมือนเท่าไหร่ ไปกันเหอะ” ฟ้าใสพูดออกไปอย่างนั้น แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังเต็มไป
      ด้วยความเคลือบแคลงใจ
      “ไป กลับบ้านกันเถอะ” ฟ้าใสพูดต่อ
      เมื่อฟ้าใสกลับถึงบ้านได้สักครู่ เสียงกดออดที่หน้าประตูบ้านก็ดังขึ้น ผิงจึงเดินไปเปิดประตู ทันใดนั้นเธอก็ต้องหยุดชะงัก เพราะว่าภาพที่เธอเห็นตรงหน้าคือนายแบบรูปหล่อซึ่งเขามีนามว่า “ตะวัน”
      “เฮ้ย ! ฟ้าใส มานี่เร็ว เธอต้องไม่เชื่อสายตาแน่ ๆ เลย ว่าคนที่มากดออดคือใคร” ผิงตะโกนบอกเพื่อนรักด้วยความตื่นเต้น
      “อะไร ๆตกใจอะไรนักหนาใครมางั้นหรอ” ฟ้าใสตะโกนถามพร้อมกับเดินไปยังหน้าประตู เพื่อที่จะดูว่าคนที่มากดออดที่หน้าประตู
      บ้านของพวกหล่อนคือใคร ถึงทำให้เพื่อนสาวของหล่อนออกอาการตื่นเต้นได้ถึงเพียงนี้
      “เฮ้ย ! นี่มันคุณตะวัน นายแบบรูปหล่อชื่อดังนี่ผิง”
      “ก็ใช่น่ะสิ คนที่ลงหนังสือที่เธอไปหยิบดูแล้วเพ้อว่าเธอเพิ่งพบกับเขาไงจ๊ะ”
      “หา ฉันพูดว่าอย่างนั้นหรือ” ฟ้าใสถามและทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น พร้อมกับมองหน้าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเป็นพัก ๆ
      “ใช่แล้วล่ะ เขาคือคนที่ฉันพบเมื่อเช้า คุณคนที่นั่งหลับในรถนั่นเอง”
      “เอ่อ ครับ ขอโทษนะครับ คือว่า เมื่อคืนนี้ผมต้องทำงานจนดึกน่ะครับ เลยไม่มีเวลาพักผ่อน”
      “เอ่อ ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรหรือค่ะ ถึงมาหาพวกเรา ทั้ง ๆ ที่เราก็ยังไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”
      “ขอให้ผมเข้าไปในบ้านของคุณก่อนได้ไหมครับ”
      “ค่ะ เชิญค่ะ” ฟ้าใสพูดตอบแล้วเดินนำคุณตะวันไปยังห้องรับแขก
      “เชิญนั่งค่ะ”
      “ครับ ขอบคุณครับ ขอโทษด้วยนะครับที่ผมมารบกวน เมื่อสักครู่ พอผมทำงานเสร็จ ผมก็ขับรถออกมาจากบริษัท ปรากฏว่ามีรถคัน
      หนึ่งขับรถตามผมมาเรื่อย ๆ ผมจึงเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมัน รถคันนั้นก็ยังขับตามเข้ามา ผมจึงขับรถออกจากปั๊มน้ำมัน รถคันนั้นก็ยังขับ
      ตามมาอีก ผมจึงเลี้ยวเข้ามาในซอยนี้ เพื่อที่จะหาบ้านซักหลัง เพื่อขอความช่วยเหลือน่ะครับ แล้วผมก็มาพบกับพวกคุณนี่แหละครับ”
      “เรื่องมันเป็นอย่างนี้เองหรือค่ะ”
      “ครับ”
      “ถ้าอย่างนั้น ดิฉันขอทะเบียนรถคันนั้นได้ไหมค่ะ ฉันจะได้ไปดูให้ว่ารถคันนั้นออกไปหรือยัง”
      “ก็ดีครับ” ตะวันยื่นกระดาษที่เขาจดหมายเลขทะเบียนรถให้กับฟ้าใส
      “สักครู่นะค่ะ เดี๋ยวดิฉันไปดูให้ค่ะ” ฟ้าใสรับกระดาษมาจากตะวัน พร้อมกับเดินไปที่หน้าบ้าน
      “รถคันนั้นยังไม่ไปเลยค่ะ ไม่ทราบว่าคุณตะวันทานอะไรมาหรือยังค่ะ”
      “ยังเลยครับ คุยกันมาตั้งนาน ผมยังไม่ทราบชื่อพวกคุณเลยนะครับ”
      “ขอโทษค่ะ พวกฉันไร้มารยาทกันจัง ดิฉันชื่อฟ้าใสค่ะ ส่วนนั่นเพื่อนของฉันชื่อผิง แล้วนั่นน้องชายของฉันเองค่ะ ใบหม่อน”
      “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ยังไงวันนี้ผมก็ขอรบกวนด้วยนะครับ”
      “ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะไปเตรียมอาหารเย็นให้นะค่ะ ระหว่างนี้คุณดูทีวีไปก่อนก็ได้ นี่ค่ะรีโมท” ฟ้าใสพูดพร้อมกับยื่นรีโมท
      ให้กับตะวัน
      “ขอบคุณครับ”
      ฟ้าใสเดินเข้าไปในห้องครัวแล้วทำอาหารจนเสร็จ อาหารวันนี้น่าทานมาก มีทั้งมะกะโรนีทะเล ต้มยำกุ้ง พาสต้าทูน่า
      ของหวานวันนี้ก็คือไอศกรีมที่ฟ้าใสทำเองจากนมสดแท้ ทานแล้วไม่อ้วนแน่นอน
      “อาหารเสร็จแล้วค่ะ เชิญมารับประทานอาหารกันได้แล้วนะค่ะ”
      “ครับ” ตะวันขานรับแล้วเดินตามผิงกับใบหม่อนไปยังโต๊ะทานข้าว
      “อร่อยจังเลยครับ” ตะวันเอ่ยปากชมฟ้าใสหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว สักครู่เสียงโทรศัพท์ของตะวันก็ดังขึ้น
      “สวัสดีครับ”
      “เอ่อ ครับ ๆ”
      “อะไรนะฮะ เขาเบี้ยวไม่ยอมมาถ่ายแบบวันพรุ่งนี้หรอครับ”
      “ครับ เดี๋ยวผมขอคิดสักครู่นะครับ อ๋อ ครับ ตอนนี้ผมอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอน่ารักมากเลยครับ เดี๋ยวผมจะส่งรูปเธอไปให้พี่ดูนะ
      ครับ ว่าดีหรือเปล่า”
      “ครับ สักครู่นะครับ แล้วตกลงหรือไม่ตกลงยังไงก็โทรมาบอกผมด้วยนะครับ” ตะวันพูดพร้อมกับกดปุ่มวางโทรศัพท์มือถือของเขา
      “ขอโทษนะครับ คุณฟ้าใส ผมขอถ่ายรูปคุณได้ไหมครับ”
      “คุณจะถ่ายรูปฉันไปทำไมหรือค่ะ”
      “คือว่านางแบบที่จะถ่ายแบบคู่กับผมพรุ่งนี้เขาเบี้ยวน่ะครับ ผมเลยต้องหานางแบบใหม่ ซึ่งผมก็เห็นว่าคุณคงดีที่สุดแล้วน่ะครับ”
      “เอ่อ ค่ะ ก็ได้ค่ะ” ฟ้าใสตอบ
      ตะวันรีบถ่ายรูปฟ้าใสแล้วส่งรูปของเธอไปให้โปรดิวเซอร์ส่วนตัวของเขาดู สักครู่เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นอีกหน
      หนึ่ง เขาจึงรีบกดรับโทรศัพท์
      “ครับ”
      “ว่าไงครับ”
      “อะไรนะครับ ตกลงหรือครับ”
      “ครับ ๆ แล้วพบกันพรุ่งนี้ครับ” เขารีบกดวางโทรศัพท์ แล้วหันหน้ามาหาฟ้าใส
      “ยินดีด้วยนะครับ คุณได้เป็นนางแบบคู่ผมด้วยล่ะ”
      “หรอค่ะ ดีจังเลย คุณจะพักที่นี่สักคืนก็ได้นะค่ะ ยังมีห้องว่างอีกห้องหนึ่งน่ะค่ะ”
      “ก็ดีครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอรบกวนด้วยนะครับ”
      “ค่ะ เชิญคุณพักผ่อนที่ห้องนั้นตามสบายนะค่ะ”
      “ครับ เอ่อ คุณฟ้าใสครับ พรุ่งนี้เช้า เดี๋ยวผมตื่นแล้ว ผมจะไปปลุกคุณที่ห้องนะครับ”
      “ค่ะ”
      “ฝันดีนะครับ”
      “เช่นกันค่ะ”
      เช้าวันรุ่งขึ้น ในเวลา 06.00 น. ตะวันก็ตื่นขึ้น เขารีบอาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว แล้วรีบไปปลุกฟ้าใสที่หน้าห้องนอนของเธอทันที
      “ค่ะ ดิฉันตื่นแล้วค่ะ กรุณารอสักครู่นะค่ะ”
      “ครับ”
      สักครู่ฟ้าใสก็เปิดประตูห้องออกมา วันนี้เธอดูสวยมากกว่าที่เขาพบหล่อนเมื่อวาน เพราะเธออยู่ในชุดแซกสีฟ้า และเธอแต่งหน้าก็ยังแต่งหน้าด้วยสีชมพูอ่อน คิดดูสิว่าเธอจะน่ารักแค่ไหน
      “ไม่ทราบว่าเราจะไปกันหรือยังค่ะ
      “เอ่อ ครับ วันนี้คุณฟ้าใสสวยมากเลยนะครับ”
      “ขอบคุณค่ะ”
      ทั้งคู่นั่งรถกันไปจนถึงสตูดิโอที่พวกเขาจะต้องมาถ่ายรูปในวันนี้ อืม แต่ฉันคิดว่าที่นี่ไม่เหมาะที่จะเรียกว่าสตูดิโอหรอก
      เพราะอะไรน่ะหรือ ก็นี่มันโรงแรมชื่อดังที่หรูหราที่สุดเลยนี่นา
      “สวัสดีครับ พี่บอย นี่ไงครับ นางแบบที่ผมพามา
      “ไหนจ๊ะ ให้พี่ดูหน้าชัด ๆ หน่อยสิ”
      “ครับ คุณฟ้าใสครับ เชิญทางนี้หน่อยครับ นี่พี่บอย โปรดิวเซอร์ส่วนตัวของผมน่ะครับ”
      “ค่ะ สวัสดีค่ะ”
      “สวัสดีค่ะ ไหนขอให้พี่ดูหน้าคุณน้องฟ้าใสชัด ๆ หน่อยนะค่ะ” พี่บอยพูดพลางเชยคางของฟ้าใสขึ้น
      “สวย เริ่ด เชิด น่ารัก มากเลยค่ะ คุณน้องตะวันขา มาทางนี้ดีกว่าค่ะน้องฟ้าใส เดี๋ยวพี่ให้พวกเด็ก ๆ ช่วยกันแต่งเนื้อแต่งตัวให้”
      “ค่ะ ขอตัวก่อนนะค่ะ คุณตะวัน”
      “ครับ”
      ตะวันและฟ้าใสต่างแยกกันไปแต่งตัว ตะวันแต่งตัวเสร็จก่อนฟ้าใสราว ๆ หนึ่งชั่วโมง เขาจึงนั่งอ่านหนังสือรอได้สักครู่
      พี่บอยก็เดินออกมาจากห้องแต่งตัวของฟ้าใส
      “สักครู่นะค่ะ คุณน้องตะวัน เดี๋ยวก็เสร็จแล้วค่ะ”
      “ครับ นานเท่าไรก็รอได้ครับ”
      “ค่ะ ปากหวานจริงเชียว โน่น มาแล้วค่ะ”
      ตะวันรีบหันไปมอง แล้วเขาก็ต้องตะลึงในความน่ารักของฟ้าใสอีกแล้ว เพราะหล่อนอยู่ในชุดราตรีสีขาว
      “น้องตะวันค่ะ น้องตะวันค่ะ จะตะลึงในความงามของน้องฟ้าใสไปถึงไหนค่ะ เริ่มงานกันเถอะค่ะ”
      “เอ่อ ครับ ขอโทษครับ”
      ทั้งคู่เริ่มต้นถ่ายแบบกันจนถึงตอนเย็น หลังจากที่หนังสือเล่มนั้นวางแผงไปแล้ว ทั้งคู่ก็ได้ร่วมงานกันอีกเรื่อย ๆ จนทั้งคู่
      สนิทกัน อยู่มาวันหนึ่งตะวันก็โทรมาชวนฟ้าใสไปทานข้าวที่ร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่ง
      “เชิญนั่งครับ ฟ้าใส”
      “ขอบคุณค่ะ ตะวัน”
      “ครับ ฟ้าใสจะมานอะไรดีครับ”
      “เหมือนเดิมแล้วกันค่ะ ง่ายดี”
      “ครับ พี่ครับ น้ำส้มคั้นหนึ่งแก้วครับ กาแฟเย็นหนึ่งแก้ว แล้วก็บราวนี่สองชิ้นครับ”
      “ครับ กรุณารอสักครู่นะครับ”
      “ครับ”
      หลังจากที่ทั้งคู่ทานอาหารอิ่มแล้ว ตะวันก็พาฟ้าใสไปที่ชายทะเลเพื่อดูดาวกัน แล้วเขาก็หยิบกล่องสีฟ้าใบเล็ก ๆ ขึ้นมา
      “ฟ้าใสครับ”
      “ค่ะ”
      “แต่งงานกับผมนะครับ ผมรักคุณ”
      “ค่ะ ฟ้าใสก็รักคุณเช่นกันค่ะ”

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×