ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Alway เพราะว่ารักยากจะเข้าใจ [YeRyeo]

    ลำดับตอนที่ #2 : คิม จงอุน ลงแล้ว จ๊า

    • อัปเดตล่าสุด 12 ส.ค. 54




    เสียงมือถือสั่นครืดคราดบนหัวเตียง ปลุกให้ชายร่างใหญ่ที่นอนบนเตียงลืมตาปรับแสงกับผ้าม่านที่ไหวปลิวตามแรงลม แสงสีส้มแยงตาเค้าจนต้องหลับตาลงแล้วค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ มือข้างนึงคว้าสิ่งที่สั่นครืดคราดบนโต๊ะก่อนจะกดที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อรับสาย เค้าดันตัวขึ้นนั่งน้อยๆก่อนจะยกมือถือขึ้นแนบหู  แล้วฟังเสียงที่มาตามสายด้วยใบหน้าเรียบครึม

    “ครับผมจะออกไปเดี่ยวนี้แหละครับ”

    หลังจากที่ฟังอยู่เป็นเวลานานประโยคสั้นๆประโยคแรกก็ถูกเปล่งออกมาจากริมปากบาง พร้อมกับการลดระดับมือถือลงจากกกหู คนที่นอนบนเตียงบิดตัวไปมาด้วยความเมื่อยล้า กล้ามเนื้อหนุ่มค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างตามแรงบิดตัว เสื้อกล้ามสีขาวตัวเก่าถูกถลกออกก่อนที่คนถอดจะเหวี่ยงมันวางไว้ข้างๆเตียง ชายหนุ่มหันมองตัวเองในกระจกที่มีฝ้าข้างๆเตียงก่อนจะยกมือลูบลงที่ใบหน้าตัวเอง เหมือนเค้าจะรู้สึกไม่ดีกับใบหน้าเวลานี้แต่สักพักก็ลุกขึ้นแล้วคว้าเสื้อยืดแล้วสวมใส่ก่อนจะไม่ลืมหยิบเสื้อโค้ทตัวหนาติดตัวออกไป มือขวากระชากสายเป้จากเก้าอี้ด้านข้างก่อนจะพาดเข้าที่ไหล่กว้างเจ้าตัวก้าวไวๆออกไปนอกห้องแล้วดึงลูกบิดปิดประตูห้องล็อกกุญแจแล้วออกไป

    ชายหนุ่มเดินออกจากที่พักเป็นห้องเช่าเล็กๆก่อนจะหยิบหมวกสีดำขึ้นมาสวมแล้วเดินไวๆ สายตาเค้ามองไปรอบๆอยู่ตลอดเวลาพร้อมทั้งเพ่งมองไปตามระยะทางด้วยความระแวง

    ผมกำลังไปทำธุระครับไม่ไกลนักจากที่นี่หรอก

    วันนี้เป็นวันที่พบกันวันแรกในรอบปีระหว่างผมและพ่อ นานๆครั้งเราจะเจอกัน และพร้อมกับเงื่อนไขที่ไม่ใช่ในฐานะพ่อและลูก ผมยื่นมือรับมอบของบางอย่างจากมือผู้เป็นพ่อ พร้อมกับก้มหัวลงต่ำ พ่อเป็นเจ้านายของผม

    สักพักพ่อก็ขึ้นรถสีดำพร้อมกับลูกน้องคนสนิทแล้วหายไป การพบกันของเราจบลงในช่วงเวลาสั้นๆ ผมเก็บของที่พ่อให้ไว้ในกระเป๋าก่อนจะเดินแยกออกไปอีกทางนึง เพื่อรอเวลา

    ผมนั่งอยู่ในร้านเหล้าในตรอกแห่งหนึ่ง ผมนั่งจนหลอดไฟบนหัวที่แสงไฟแลบแปลบๆก่อนจะเป็นดวงไฟโชติช่วงขับไล่ความมืดที่ค่อยๆปกคลุมรอบตัวเราเป็นสัญญาณว่าเวลามืดเริ่มขึ้นแล้ว  ผมก็ลุกขึ้นพร้อมกับวางเงินไว้แล้วออกจากร้านไปทันที

                    ในระหว่างทางเดินที่ความมืดเข้าครอบคลุมเมืองที่ไม่เคยหลับไหลนี้ ผมมักคิดกับตัวเองเสมอว่า ผู้คนในเมืองหลวงนี้ ทำไมจึงดูรีบร้อนและดิ้นรนกันตลอดเวลา จะมีใครเป็นแบบผมบ้างไหม ที่อยากล้มตัวลงนอนแล้วหลับตาพร้อมกับความเหนื่อยล้า

                    ผมย้ายเข้ามาในโซลเป็นเวลาหลายปี ตอนนี้ก็คงจะเข้าปีที่ห้าแล้วหล่ะครับ ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดอยู่ชานเมือง วันนี้มีงานครับผมต้องไปส่งของ ที่อยู่ในกระเป๋าเป้สะพายข้าง ของสำคัญเลยหล่ะครับ

     ผมสวมหมวกสีดำอำพรางใบหน้าที่ไม่ได้ดูแลมานาน หนวดเคราเริ่มขึ้นหร่อมแหรม ทำให้รำคาญทุกครั้งเวลาต้องลูบมือลงจับ ผมเดินไปจนถึงสวนสาธารณะ มีใครคนนึงหันมาสบตากับผม เค้ายืนใต้เงาไม้ก่อนจะเดินออกมา

    เค้ามองผมแล้วเดินตรงมาทาง ผมเดินสวนเค้าราวกับว่าไม่มีเหตุอะไร แต่แล้วเมื่อเราเดินสวนกันผมก็ยื่นสิ่งที่พ่อให้ผมแล้วส่งให้เค้า ไม่มีบทสนทนาระหว่างเราสองคน ผมเดินไปตามเส้นทางด้านหน้าแล้วขึ้นรถประจำทางก่อนจะกลับไปนอนหลับในห้องเช่าเล็กๆที่ผมใช้หลับและนอน

    กลับถึงห้องเช่าเล็กๆของผม ผมก็ชำระล้างร่างกายก่อนจะเอนตัวลงนอนบนเตียง ผมกดมือถือเพื่อโทรหาน้องชายที่อยู่กับแม่ที่ต่างจังหวัดก่อนจะยิ้มเมื่อสอบถามความเป็นอยู่ที่บ้าน เจ้าน้องชายตัวดีก็พูดเสียงแจ้วว่าตอนนี้สบายดีและก็ไม่มีปัญหาใครมารบกวน

    “พี่หล่ะครับ สบายดีไหม ”

    “ก็ดี”

    “แล้วเรียนยากไหมครับพี่ เมื่อไหร่พี่จะจบหล่ะ อืม ว่างๆพี่พาผมไปมหาลัยพี่หน่อยได้ไหมครับ”

    “อืม ไว้พี่จะพาไปนะ ”

    “แล้วตอนนี้พ่อสบายดีไหมครับ พ่อดูแลพี่ดีเหมือนเดิมหรือเปล่า พ่อบอกคิดถึงผมบ้างหรือเปล่าครับ”

    “อืม .. ”

    “ดูแลตัวเองนะครับ ผมรู้ว่าพี่ต้องทำงานพิเศษเพื่อหาเงินมาให้พวกเรา ผมจะรีบโตแล้วเรียนหนังสือแล้วช่วยพี่อีกแรงนึงนะครับ”

    “พี่ไม่เหนื่อยหรอก แค่พักก็หายแล้ว”

    “งั้นพี่รีบพักผ่อนเถอะครับ ”

    “อืม”

    คนตัวใหญ่ลดระดับมือถือลงก่อนจะมองตัวเองในกระจก ดวงตาตี๋เฝ้ามองใบหน้าตัวเองอยู่นาน เค้าหลับตาลงน้อยๆก่อนจะเอื้อมมือไปวางมือถือที่หัวเตียง

    พรุ่งนี้มีงานที่ผมต้องทำอีก แต่เอาไว้ถึงพรุ่งนี้ก่อนก็แล้วกัน

    หลับเพียงไม่นานผมก็ต้องตื่นขึ้นเมื่อมีสายด่วนเข้ามา

    “แกทำงานยังไงให้ตำรวจจับได้ คิมจงอุน..ไปถนนแยกคนเดินเดี่ยวนี้เลย ถ้าแกพลาดอีกหล่ะก็..

    คนตัวใหญ่นิ่งฟังด้วยใบหน้าเครียดเค้าหยิบเสื้อคลุมก่อนจะนั่งฟังเพียงนิดแล้วรีบกดวางสายก่อนจะผลุนผลันออกไป

     ผมออกไปพร้อมกับปืนที่วางไว้ในลิ้นชัก ตอนนี้มอเตอร์ไซคันใหญ่ที่เคยขับยังซ่อมไม่เสร็จผมจึงต้องจั้มอ้าวแล้วเรียกรถแท็กซี่แทน

    การส่งต่อของพลาดซะนี่ ถ้าถูกจับได้หล่ะก็ผมแย่แน่ๆ...

    ผมรีบไปบริเวณแยกย่านชุกชุมในกรุงโซล ตำรวจกำลังล้อมชายคนนึงอยู่ เด็กชายคนนั้นที่ถูกล้อมไว้กำลังส่ายหน้าเอาเป็นเอาตาย ผมได้ยินเสียงปฎิเสธดังออกมาจากปากเด็กคนนั้นในมือเค้าถือห่อสีขาวบางอย่างไว้ในมือ นั้นคือสิ่งที่ผมเพิ่งส่งให้ชายคนที่พ่อผมบอกว่าจะรับของเอาไว้นี่ แล้วมันไปอยู่ที่เด็กคนนั้นได้ยังไง มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ!

    “ไม่ ..”

    เด็กชายคนนั้นถูกสวมกุญแจมือทันที ผมมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดก่อนจะมองไปที่รถตำรวจที่กำลังเปิดประตูเพื่อดึงเด็กชายคนนั้นเข้าไป

    ผมล้วงลงไปในกระเป๋าก่อนจะหยิบขวดใบเล็กที่มีเส้นฉนวนอยู่ด้านบน ผมจุดมันแล้วโยนไปใกล้ๆบริเวณรถตำรวจที่จอดอยู่ด้านหลังอีกสองคัน ขวดผิวเรียบมนกลมกลิ้งไปด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่ผมจะหยิบหมวกสีดำแล้วสวมเข้ากับศรีษะ ก่อนจะเดินปรี่เข้าไปแล้วตั้งใจชนเข้ากับตำรวจคนนึงที่กำลังจับมือเด็กชายที่ถูกสวมกุญแจมือไว้

    ตั้ม!

    เสียงระเบิดดังขึ้นตำรวจสี่ห้านายหันกลับไปมองด้วยความตกใจ คนรอบๆที่สนใจมองเด็กชายก็ไปให้ความสนใจกับเสียงระเบิดและเปลวไฟที่เริ่มก่อตัวขึ้นที่ใต้ท้องรถที่กำลังประทุ  อึดใจเดียวเท่านั้นตำรวจสองคนก็รีบเดินเข้าไปตรวจสอบ ส่วนอีกคนก็รีบบอกให้ประชาชนถอยออกไป เมื่อทุกคนต่างแตกตื่นแล้วพยายามวิ่งหนีเพราะกลัวว่าจะเป็นการก่อการร์ร้าย เมื่อเห็นท่าไม่ดีตำรวจนายนั้นก็วิ่งไปหยิบอุปกรร์ดับเพลิงที่อยู่ด้านข้างตึกตรงข้ามถนนเพราะกลัวรถจะเกิดระเบิกซ้ำอีกครั้งเพราะอยู่ใกล้ถังเชื้อเพลิง  เค้าห่างจากจุดเกิดเหตุระยะไกลพอสมควร   ผมหันมองรอบๆเป็นระยะๆ พอได้โอกาสที่ทุกคนกำลังมุ่งประเด็นหาคนผิดไม่เจอ และการไม่รองรับสถานการณ์ของตำรวจ ผมก็ก้าวเท้าไวขึ้นก่อนจะวิ่งตั้งใจตรงเข้าไปใกล้ตำรวจเพียงนายเดียวที่กำลังดึงมือเด็กชายไว้

    “ขอโทษนะครับๆ”

    ผมพูดก่อนจะพยายามดันตัวน้อยๆทำท่าเหมือนตกใจเสียงระเบิดเหมือนคนรอบข้างทำกัน  ทำเหมือนจะหนีไปที่ไหนสักที่ ตำรวจคนที่อยู่ในอารมณ์ตกใจ ก็ละแรงจับมือเด็กชาย ผมทำท่าเหมือนจะพยายามวิ่งแทรกเพื่อข้ามถนนไป แต่ผมกลับจับมือเด็กชายคนนั้นแล้วกระชากตัวออกมาพร้อมกับบอกให้เค้าวิ่ง

    “วิ่ง!

    เด็กชายคนนั้นหันมองผมก่อนจะวิ่งตาม ดีที่แยกนั้นมีคนชุกชม ผมจึงวิ่งแทรกคนเข้าไปได้อย่างรวดเร็ว อีกอย่างแต่ละคนก็ไม่ประสีประสาต่างวิ่งกันวุ่นวาย ตำรวจก็มีเพียงนายเดียวที่อยู่ใกล้ตัวส่วนอีกสามคนก็ห่างจากจุดที่จับเด็กชายคนนี้  เสียงสัญษณไซเรนดังไล่หลังผมทันที  คนมากขนาดนี้ตำรวจจะดักเราก็ยากเกินไปแล้ว จะยิงดักก็ทำไม่ได้

    คนด้านข้างและด้านหน้าตกใจเมื่อผมวิ่งและใช้มือแหวกทางออก

    ระบบสมองผมประมวลผลก่อนที่ผมจะเริ่มกังวล แยกหน้าจะหลุดจากตรอกแยกคนเดินนี้แล้ว หากผมไปช้าก็จะเจอเข้ากับตำรวจที่จะต้องออกรถไปดักอีกทางแน่

    ถ้าไปไม่ทันก็ต้องมีแผนสำรองไว้ แล้วแผนอะไรหล่ะ

    ผมวิ่งออกไปหลุดจากตรอกคนเดิน เด็กชายที่วิ่งตามเพราะแรงลาก หายใจหอบเค้าวิ่งไม่สะดวกเพราะมือติดกุญแจเหล็ก ผมมองก่อนจะรีบใช้กุญแจที่หยิบตอนชนกับตำรวจก่อนจะรีบไขแก้ให้แล้วคว้ามือเด็กชายเมื่อเสียงรถดังขึ้นพร้อมกับแสงไฟที่ต่ำและสูงแยงเข้าตาพวกผมสองคน

    ผมหันหลังทันทีก่อนจะบอกให้เด็กชายวิ่งไปทางถนนสายด้านข้างนี้แต่ดูเหมือนเค้าจะตกใจกลัว ผมคว้ามือเค้าก่อนจะพาวิ่ง ตอนแรกกะแยกแต่ถ้าเป็นแบบนี้เป็นไงเป็นกันแล้วกัน

    ผมวิ่งไปตามถนนที่เป็นตรอกด้านข้างถัดจากถนนคนเดินไม่ไกลนัก จำได้ว่าถ้าวิ่งไปจนพ้นตรอกจะเจอกันสะพาน แล้วข้ามสะพานไปจะเข้าชุมชนอีกเมืองอยู่ใกล้มหาลัยโซล ไปถึงที่นั่นน่าจะปลอดภัย

    “วิ่งไปข้างหน้าก็รอดแล้วเร็วๆเข้า”

    ตำรวจพุงพลุ้ยวิ่งตามมมาด้านหลัง ระยะไม่ประชิดแต่ผมรู้ดีว่าเค้ามีปืน ปืนถูกเล็งขึ้นไม่นานหลังจากความคิดของผมแล้วเสียงยิงขู่นัดแรกก็ดังขึ้น เมื่อผมใกล้ถึงทางเลี้ยงด้านหน้าที่จะแยกพาตรงไปยังสะพานข้าม

    “หยุด!

    “วิ่งต่ออย่าหยุด!

    ผมบอกเด็กชายก่อนจะผลักให้เค้าวิ่งไปข้างหน้าแล้วพูดต่อ

    “เจอสะพานแล้ววิ่งไปอีกนิด แล้วหาทางต่อเอาเอง”

    “แล้ว..”

    “ไปเร็วๆ!

    ผมหันหลังไปมองตำรวจสองคนที่เล็งปืนมาที่ผม  ผมหยิบปืนขึ้นก่อนจะยกแล้วเล็งไปที่ตำรวจอีกนายที่กำลังยกปืนเล็งมาที่ตัวผม

    “ตามจับตัวมานาน มอบตัวเถอะน่า ไปไหนไม่รอดหรอก.”

      ผมจะถูกจับไม่ได้ และต้องไม่ตายที่นี่...

    ผมเป็นลูกน้องพ่อ รับส่งยาเสพติดและของผิดกฎหมาย ...ถูกจับก็ตาย .. แต่ผมตายไม่ได้..ไม่ซิผมตายไม่เป็น..

    ผมเล็งปืนไปที่ตำรวจคนไกลตัวก่อนจะกดเหนี่ยวไกทันที แล้วหันเล็งไปที่อีกคน แรงอัดทำให้เสียเวลาในการยิงครั้งที่สอง ถ้าสองต่อหนึ่ง ยังไงซะถ้าผมไม่ตายไปด้วย ผมก็ต้องเจ็บ

    และแน่นอนเมื่อผมเหนี่ยวไกใส่ตำรวจคนที่ยืนตรงหน้าระยะไกลตัว ตำรวจอีกคนก็พร้อมจะลั่นปืนเช่นกัน ผมหันปลายกระบอกปืนแล้วยิงเข้าที่มือเค้าก่อนจะเล็งไปที่อีกคนแล้วลั่นไกล์ปืนระยะเวลาติดๆกัน

    ปัง ! ปัง! ปัง!

    คนทั้งสามคนล้มลง ไม่มีใครยืนอยู่ สักคน

     

                    ผมรู้ดีว่าต้องเป็นแบบนี้แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ผมต้องจัดการกับมันด้วยความคิดนอกกรอบและพยายามเสี่ยงกับมัน หัวไหล่ผมโดนเข้ากับกระสุน ส่วนตำรวจอีกสองคนนอนกอดมือตัวเอง ผมเล็งไปที่มือของคนทั้งสอง ผมรู้ดีกว่าถ้าผมยิง  ตำรวจอีกคนต้องยิงผมแน่ๆแล้วถ้าผมล้ม ถึงจะยิงโดนเค้าสองคนแต่เค้าก็ยังมีแรงที่จะยิงผมต่อ ก็ตัดกำลังซะ แล้วหาทางหนีต่อ

    ผมลุกขึ้นพร้อมกับวิ่งต่อไป แต่ความไวไม่เหมือนเดิม ผมตรงไปยังถนนสายที่บอกเด็กฃายคนนั้น ดูท่าจะไปเสียแล้ว ผมมองที่สะพายข้างหน้าก่อนจะเดินไปให้ใกล้ถนนใหญ่

    มือของใครบางคนก็ดึงผมแล้วพยุง

    “ไปเร็วเข้า”

    เด็กชายดึงผมไปก่อนจะผลักเข้าไปในแท็กซี่ดูเหมือนเค้าจะเรียกไว้รอผม เค้ารีบบอกที่ให้ไปส่ง แท็กซี่หันมองผมด้วยแววตาไม่ไว้ใจแต่ก็ขับไปส่งพวกผม

    เมื่อลงรถเด็กชายก็พยุงผมเดินขึ้นเนินถนนก่อนจะตรงไปยังบ้านหลังเล็กสภาพซ่อมซ่อเค้ารีบเปิดประตูก่อนจะพาผมเข้าไป กลิ้นเหล้าอ่อนๆฟุ้งเข้าจมูก คนตัวเล็กกว่าผมที่ตอนนนี้เห็นแก้มเรื่อเป็นสีชมพูรีบพาผมไปนั่งในห้องกลางบ้านที่แสนจะคับแคบนี้ก่อนจะวิ่งหายไปแล้วหยิบชุดทำแผลมา

    เค้าค่อยๆเปิดเสื้อผมออกก่อนจะมองแผลแล้วถามผม

    “ถ้าจะไปหาหมอก็คงไม่ได้ ทนหน่อยหล่ะ นายทนไหวไหม?

    “..............”

    ผมไม่ได้ตอบ เค้ามองผมก่อนจะรีบเช็ดแผลใส่ยาแล้วปิดผ้าก็อตให้ผม กระสุนที่ฝังอยู่ที่หัวไหล่ทำเอาผมทรมานจนพูดแทบไม่ออก หมอนใบเล็กถูกวางลงข้างๆเหมือนเด็กชายจะบอกให้ผมนอนลง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจไมตรีนั้น  ผมค่อยๆกระเถิบตัวเองติดกับผนังห้องแล้วพูดถามคนที่มองผมด้วยสายตาแปลก

    “มีชามสะอาดไหม ขอแอลกอฮอลล์เข็มและก็ช่วยหยิบมือในกระเป๋าเป้ชั้นหน่อย”

    เค้ารีบวิ่งไปหามาให้ผมก่อนที่ผมจะเทแอลกอฮอลล์ลงในชาม ผมรับมืดเล็กมาก่อนจะทิ้งมันลงไปในอ่างชามที่เต็มด้วยแอลกอฮอลล์แล้วส่งให้เด็กชาย

    “ช่วยผ่าเอากระสุนออกหน่อยไม่ลึกหรอก”

    เด็กชายส่ายหน้าทันที ผมก็ยื่นมันให้เค้าอีก

    “ทำเถอะ ทิ้งไว้แบบนี้ฉันต้องตายคาบ้านนายแน่ๆ”

    เด็กชายส่ายหน้าก่อนจะมองผม ผมพูดกับเค้าอีกครั้ง รู้อยู่แล้วต้องเป็นแบบนี้

    “ขอผ้าสีหน่อย “

    เค้าหยิบผ้าสีขาวสะอาดให้ผม ผมรับมาก่อนจะกัดไว้ที่ริมปากแล้วจัดการจุ่มมมีดลงที่อ่างแอลกอฮอลล์ก่อนจะเล็งมีดไปที่หัวไหล่

    “ไม่ได้นะ!

    เด็กชายปัดมีดออก เค้ายกมือซับเลือดที่ไหลออกมาของผมก่อนจะบอกผม

    “งั้นไปโรงพยาบาลเถอะ ”

    “ไปไมได้ ”

    ผมจับเลือดซับที่หัวไหล่ก่อนจะขอยาแก้ปวดแล้วรีบกินก่อนจะหลับตาลง ผมรู้สึกหนาวขึ้นมาเรื่อยๆ และเด็กชายคนนี้ก็ยังนั่งอยู่ข้างๆผมตลอดเวลา

    “นายจะตายไหม...”

    เค้าพูดก่อนจะกำมือแน่น ผมรู้ว่าเค้าต้องตกใจแล้วคิดว่าผมเป็นคนช่วยเค้าจากตำรวจแน่ๆ

    “ไม่หรอก”

    “ขอบใจที่ช่วยฉันนะ ”

    คำนั้นหลุดออกมาเบาๆ เด็กชายบีบมือตัวเองก่อนจะเงยหน้าแล้วมองผม ใบหน้าเค้าเรื่อขึ้นสีแดงดวงตาใสนั้นแวววาว เค้าดูยังหวาดกลัวและไม่เหมือนจะทำอะไรไม่ถูก

    “นายชื่ออะไรหล่ะ”

    ผมถามพร้อมกับหลับตาลง

    “เรียวอุค..”

    เค้าตอบเบาๆ ชื่อเพราะจัง..ผมยิ้มบางๆก่อนจะพูดเสียงเบา

    “ถ้าพรุ่งนี้ฉันไม่ตื่นขึ้นมา นายช่วยกดเบอร์ในมือถือชั้นแล้วโทรเบอร์ที่สาม และบอกคนที่รับสายว่า ฉันฝากขอโทษนะ”

    “ไม่..อย่าพูดแบบนั้นซิ ตอนนี้เลือดนายก็หยุดไหลแล้วไว้พรุ่งนี้ฉันจะพานายนั่งรถไปไกลๆแล้วเราไปรักษาแผลนายกัน”

    “อืม นายไม่ต้องคิดว่าฉันช่วยนายหรอกนะ มันไม่ใช่หนี้บุญคุณหรอก”

    “แต่นายช่วยฉัน”

    “มันไม่ใช่หนี้บุญคุณจริงๆ”

    ผมถามย้ำก่อนจะลืมตาขึ้นมองเด็กชาย พิจาณาใบหน้านี้ เค้าดูตกใจและยังตั้งตังไม่ถูก แก้มใสเรื่อชมพูมองกลับมายังผม ชวนให้คิดถึงน้องสาวผมอีกคนที่อยู่ต่างจังหวัด ที่ผมเพิ่งเสียเค้าไปเมื่อปีที่แล้ว เหมือนกัน...เหมือนราวกับผู้หญิง...

    “ขอโทษนะ แล้วฉันจะชดใช้ให้..”

    ต้องมีเรื่องมากมายเข้ามาเกี่ยวข้องกับเด็กชายคนนนี้แน่นอน ผมจะชดใช้ให้เค้า...

     

     

     

    ____________________________*

     











    เรียนหนักม๊ากกกกกกกกก ไว้เดี่ยวมาต่อให้หายข้องใจ รักนะจุ๊บๆ ==

     

    งงไหม55+ หว่า

     

                     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×