OnCEกลาลครั้งหนี่งความรัก - OnCEกลาลครั้งหนี่งความรัก นิยาย OnCEกลาลครั้งหนี่งความรัก : Dek-D.com - Writer

    OnCEกลาลครั้งหนี่งความรัก

    บางที..การที่เรานั่งรออะไร หรือใครซักคนโดยไม่มีจุดหมายนั้น มันช่างเป็นการรอคอยที่ยาวนาน และเจ็บปวด ได้แต่ตั้งคำถามขึ้นมาในใจว่า....ทำไม....สิ่งที่เรารอนั้นยังมาไม่ถึงสักที....ได้แต่ภาวนาว่ามันจะมาถึงในเร็ววัน...แต่คำภาวนานั้นก็ไม่เป็นผล....มันเหมื

    ผู้เข้าชมรวม

    122

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    122

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  2 ก.ค. 51 / 22:01 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      --------------20 นาที ต่อมา------------------------
       “เรียบร้อย! ไปกันเหอะแก  เราได้ห้อง 414  มี 3 เตียง และเราก็ได้อยู่ห้องเดียวกันด้วย เห็นมะ เพราะความฉลาดหลักแหลม และความสวยของชั้น เราถึงได้โชคดีกันขนาดนี้ไง” สายฝนกอดอกพูดอย่างภูมิใจ
      “แต่ชั้นว่า....เป็นเพราะชั้นขับรถมาถึงเร็วต่างหากละ ฝีมือการขับรถของชั้น เป็นไง...เยี่ยมไปเลยมั้ยล่ะ เราถึงได้ห้องเลขสวยซะขนาดนี้  เร็วๆเข้าเหอะจะไปกันได้รึยัง ชั้นเมื่อยแล้วนะ”  เหมยอิงยังไม่เลิกยกยอปอปั้นตัวเอง
          “ไปๆๆๆ ลิฟต์ อยู่ไหนละเนี่ย  ชั้นว่าถ้าตามสัญชาติญาณของชั้นนะ น่าจะอยู่มุมๆตึกนะ ไปๆเดินหาลิฟต์กันก่อน เหอะ”  สายป่านพูดแล้วย่นหน้าผาก พลางทำแก้มป่อง ใช้นิ้วชี้ข้างซ้ายเคาะศีรษะ พลางมองไปรอบๆ ด้านในอาคาร อาคารหลังนี้ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าคือ มีความยาว มากกว่าความกว้าง แต่โดยรวมแล้วตึกนี้ก็ยังเป็นตึกที่ใหญ่มากอยู่ดี ลักษณะของอาคารภายใน ตั้งแต่ชั้น สองขึ้นไปจนถึงชั้นห้า จะถูกเจาะตรงพื้นที่กลางชั้น เป็น สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดยาว คือถ้าคนที่ชั้นข้างบนสุดมองลงมาก็จะสามารถตะโกนคุยกันกับคนที่อยู่ชั้นล่างสุดได้อย่างสบายๆ ส่วนห้องพักของนิสิตก็จะอยู่ระหว่างด้านยาวของตัวหอซึ่งมีสองฝั่ง หันประตูห้องเข้าหากัน แบ่งเป็นฝั่งตะวันตกและตะวันออก ด้านขวาสุดของแต่ละชั้นจะเป็นระเบียง และด้านซ้ายสุดของแต่ละชั้นจะเป็นห้องดูทีวี ที่ใหญ่ขนาดนบรรจุคนทั้งชั้นได้เลยทีเดียว
      “ แฮ่ก ....แฮ่ก ...แฮ่ก ...เฮ้ย..!  ชั้นว่าเราลองถามแม่บ้านดูเหอะว่าลิฟต์อยู่ตรงไหนเดินหารอบตึกแล้วเนี่ย ไม่เห็นจะเจอลิฟต์ เลย ป้ายบอกทางก็ไม่มี เดินหาจน เหนื่อยเป็นสุนัขหอบรับประทานกันหมดแล้วเนี่ย....” สายฝนเริ่มบ่นบ้าง     “แกเลยเหมยอิง.... ไปถามมาเดี๋ยวนี้เลยพวกชั้นจะรอแกตรงนี้แหละ” สายฝนเริ่มออกคำสั่ง   
        “อะไรวะ  เออก็ได้   แต่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะเว้ย” เหมยอิงรับคำแล้วเดินไปถามพี่ยามสาวหุ่นล่ำบึกที่บังเอิญเดินผ่านมาแถวนั้นพอดี
             “พี่คะ!! ลิฟท์อยูไหนอ่ะคะพี่” เหมยอิงถามด้วยน้ำเสียงแสดงมารยาทดีสุฤทธิ์
             “ลิฟท์ เลิฟท์ อะไร ? ไม่มีหรอกค่ะ ฝันไปหรือป่าวจ๊ะ หนู” พี่ยามหุ่นล่ำก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยเต็มที่
           “กรี๊ดดดดดดดด.................อะไรนะ!  ที่นี่ไม่มีลิฟต์เหรอเนี่ย !?!?   ชั้นตายแน่ๆ นี่ชั้นต้องเดินขึ้นลงชั้น 4 ทุกวัน น่องชั้นต้องโตแหงๆ...” เหมยอิงส่งเสียงกรีดร้องประหนึ่งลูกแกะที่กำลังจะถูกหมาป่าจับกิน
      “ชั้นอยากกลับบ้านแล้วอ่ะ....ป่าน เราย้ายที่เรียนกันตอนนี้ทันมั้ยวะแก!
        ไม่ไหวม้าง.... เดินขึ้นชั้น 4 เนี่ยนะ.... ไอ้เดินเนี่ยไม่เท่าไหร่แล้วข้าวของชั้นละ โอ๊ยยย!!!   ไม่อยากจะคิดเลย”  สายป่าน คนที่บ้าขนสมบัติมาเยอะที่สุดเริ่มครวญครางบ้างแล้ว 
      “เอาน่า....แก อย่างน้อยเราก็ได้มาสูดอากาศดีๆ ที่ทะเลนะเว้ย ....เหมือนเรามาพักร้อนกันเลยนะเว้ย  เดี๋ยวเราทยอยเอาของขึ้นไปเก็บแล้วไปเดินเล่น หาอะไรกินที่ริมหาดกัน สนมั้ย?  เอาน่า...นะ ..นะ...นะ...”  สายฝนพยายามให้กำลังใจ ยัยคุณหนู 2 คนที่เริ่มจะอยากกลับบ้าน
      และแล้วมหกรรมขนย้ายสมบัติก็เริ่มขึ้นอย่างหนักหน่วง โชคดีที่ความสูงระหว่างชั้นของหอนี้มีไม่มาก ระหว่างขั้นบันไดก็ไม่ได้ชันจนเกินไป ชั้นหนึ่งจะมีบันได้ประมาณ 18 ขั้น คือ 9 ขั้น แล้ว พักชานบันไดใหญ่ๆ แล้วเดินขึ้นไปต่ออีก 9 ขั้น ซึ่งก็ถือว่าไม่มากไม่น้อยไป แต่ว่า ...สามสาวนี่อยู่ชั้น 4 แล้ว 18 คูณ 4 นี่เท่ากับเท่าไหร่น้า.....แล้วแต่ละนางก็สัมภาระไม่ได้น้อยๆเลย อย่างน้อย ก็ต้องคูณระยะทางไปกลับอีก คนละ 3 รอบเป็นอย่างต่ำ...เฮ้อ.....อาการน่าเป็นห่วง
       “เฮ้อออ.......ถึงซะที ชั้นนึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว” เหมยอิง พูดขณะนั่งลงบนกระเป๋าเดินทางอย่างหมดแรง พลางปาดเหงื่อที่ผุดบนหน้าผาก ผมเผ้าที่เซ็ทมาอย่างดีหลุดลุ่ย หน้ามันเยิ้ม

                    “ไขกุญแจซะทีสิฝน ชั้นกะเหมยอิงหนื่อยจะแย่แล้วนะเนี่ย”   สายป่านซึ่งสภาพไม่ต่างจากเหมยอิงเท่าไหร่คือนอกจาก จะผมเละไม่เป็นทรง กับหน้ามันเยิ้มแล้ว หน้ายังเลอะคราบฝุ่นเป็นปื้นๆ อีกด้วยเริ่มบ่นขึ้นมาอีกคน
       สายฝนเหลือบมองสองสาวไฮโซขาวีน แล้วพูดกลั้วเสียงหัวเราะว่า  
       “เออน่า รู้แล้วกำลังรีบอยู่เนี่ยไม่เห็นหรือไง” พลางไขกุญแจและเปิดประตูห้องอย่างช้าๆ
       ห้องนั้นมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าอีกเช่นเคย ยาวมากกว่ากว้าง มีพัดลมเพดานตัวใหญ่ติดอยู่กลางห้อง  ด้านซ้ายมือเป็นตู้เสื้อผ้าขนาดกลาง ขวามือเป็นเตียงขนาด 3.5 ฟุต 3 เตียง เรียงสลับกันระหว่างโต๊ะ,เก้าอี้ สำหรับเขียนหนังสือ และโคมไฟเล็ก ๆซึ่งตั้งอยู่ด้านขวามือของหัวเตียง เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างมีสติ๊กเกอร์เลข 1-2-3 ติดไว้ให้เข้าชุดกัน  ด้านในสุดของห้อง เป็นระเบียงมีประตูมุ้งลวดติดเหล็กดัดเรียบร้อย
       เหมยอิงเดินไปตรวจความเรียบร้อยของระเบียง....ทันที่ที่เปิดประตูออกไป เหมยอิงก็อุทานว่า “ว้าว..... สวยจัง....แก ห้องพวกเราวิวสวยมากๆอ่ะมองเห็นทะเลด้วย ถึงมันจะไกลๆก็เหอะ แต่ก็ไม่เสียแรงนะเนี่ย นี่เราถ่อมาเรียนกันถึงที่นี่”  เหมยอิงมองออกไปจากระเบียง เห็นทะเลเป็นประกายระยิบระยับราวกระจก  กลิ่นทะเลอ่อนๆลอยเข้ามาแตะจมูก ทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก เหมยอิงหลับตาพริ้มยืนสูดอากาศบริสุทธิ์อย่างมีความสุข
       ทั้งสามต่างเก็บของใช้ส่วนตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากอยากไปเดินเล่นสัมผัสกลิ่นอายทะเล และอยากลิ้มลองอาหารทะเลสดๆริมหาด เคล้าเสียงคลื่น
       “ไปกันเถอะ พวกแก ชั้นเริ่มจะหิวแล้ว แล้วนี่มันก็เย็นแล้วด้วยนะ ชั้นอยากไปดูพระอาทิตย์ตกที่ริมหาดจังเลยอะ” สายฝนซึ่งเตรียมพร้อมอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีขาว กับกางเกงยีนส์สีซีดขาสั้น ผมยาวถูกรวบและตลบเป็นมวยหลวมๆด้วยหนังยางสีดำ เผยให้เห็นคองามระหงและผิวที่ขาวเนียนละเอียด ยืนเท้าสะเอวเร่งสองสองสาวที่ยังวุ่นวายกับสัมภาระของตัวเองไม่เลิก  
       “อืม.... ไป..ไป ไป... ชั้นอยากกินปลาหมึกไข่นึ่งมะนาว ปูม้าลวกจิ้ม   ปลาช่อนทะเลย่างเกลือ....อ่ะ ...เนอะป่านเนอะ”  เหมยอิงเอ่ยเมนูอาหารออกมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข พลางกลืนน้ำลายเสียงดังเอื้อก!!!!
       “เออ ใช่ๆๆๆ เอา ยำหอยนางรม ด้วยสักจานนะ อื๋อ ...ไม่อยากจะคิด...โอ้ย...ชั้นหิวสุดสุดเลย ตอนนี้อ่ะ ....เหมยอิง! แกพูดแล้วชั้นน้ำลายจะไหล” สายป่านพูดพลางเอามือปาดน้ำลายที่กำลังจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ
       แต่ทั้งเหมยอิงและสายป่านหันมามองหน้ากัน แล้วก็ร้องโวยวายออกมาพร้อมกันว่า “ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้!! นี่ชั้นยังไม่ได้แต่งตัวเลยนะ”
        15นาทีต่อมา ทั้งสามจึงพร้อมออกเดินทาง โดยสายป่าน สาวสวยประจำทีม อยู่ในชุดเดรสสั้นแขนกุด สีเหลืองอ่อนลายดอกเดซี่สีขาว ปล่อยผมสีน้ำตาลยาวที่ดัดเป็นลอนอ่อนๆสยายเต็มแผ่นหลัง  สวมหมวกสานใบโต ด้วยความที่ป่านเป็นคนผิวขาว ตาโต อยู่แล้ว จึงทำให้ยิ่งดูคล้ายดาราญี่ปุ่นเข้าไปใหญ่  ส่วนเหมยอิงสวมเสื้อผ้าป่านยาวสีส้ม ลายจุดสีขาว คาดเข็มขัดหนังสีขาวเส้นเล็ก และกางเกงขาสั้นผ้าฝ้ายสีครีม ส่วนผมนั้น เหมยอิงรวบเป็นหางมาไว้ด้านข้างศีรษะ สวมต่างหูพลาสติกสีขาววงโต ช่วยขับใบหน้าให้ดูเด่นขึ้นมาอีก
       เหมยอิงขับรถออกจากหอพัก เลียบถนนลงหาดบางแสนไปเรื่อยๆ ผ่านหาดวอน หรือชื่อเต็มๆว่าหาดวอนนภา ทะเลแถบนี้จะเป็นชายหาดยาวทอดลงไปจนถึงแหลมแท่นซึ่งเป็นเชิงเขาสามมุก บรรยากาศทะเลยามพระอาทิตย์ตกดินนั้นดูงดงามยิ่งกว่าอะไร ท้องฟ้าทั้งฟ้าเป็นสีส้มทอง เห็นเงาพระอาทิตย์สะท้อนลงบนผืนทะเล ราวกับว่า มีพระอาทิตย์2 ดวงในเวลาเดียวกัน เสียงคลื่นกระทบฝั่งเบาๆ  เรื่องประมงลำเล็กๆ กำลังแล่นออกจากฝั่งเพื่อวางอวน บ้างก็กำลังสาละวนอยู่กับการวิดน้ำออกจากท้องเรือ ซ่อมอวน และลากเรือกลับเข้าฝั่ง เหมยอิงขับรถวนอยู่นานกว่าจะเจอร้านที่ต้องการ จะว่าไปแล้วมันก็ดูไม่ใช่ร้านอาหารสักท่าไหร่ เพราะว่ามันเป็นลานโล่งกว้าง คล้ายสวนสาธารณะที่จัดเป็นสวนหินแซมด้วยต้นไม้ ดอกไม้หลากสีสันและเป็นจุดชมวิวอยู่ในตัว มีม้านั่ง ตั้งอยู่เป็นจุดๆ   มีโขดหินธรรมชาติหลากหลายขนาดผุดอยู่ตามแนวชายหาด  เวลาคลื่นซัดน้ำทะเลมากระทบโขดหินจะเห็นน้ำทะเลแตกเป็นฟองฝอยดูสวยไปอีกแบบ รอบๆบริเวณนั้น จะมีร้านอาหารทะเลสดๆเปิดบริการอยู่  ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนจะนิยมปูเสื่อนั่งล้อมวงกินอาหารกันอยู่ตรงลานนั้น บ้างก็ดีดกีต้าร์ร้องเพลง  บ้างก็มาตกปลา บ้างก็มาเดินเล่นเป็นครอบครัว เหมยอิงเห็นว่านอกจากจะคนไม่มากจนเกินไปแล้ว บรรยากาศก็ออกจะโรแมนติกอีกด้วยจึงตัดสินใจจอดรถ แล้วสามสาวจึงช่วยกันเลือกจนได้ที่นั่ง ที่ใกล้กับทะเลที่สุด เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศของทะเลยามเย็นอย่างใกล้ชิด
        “โอ๊ยยยยยยอิ่มจังเลยอะแกอาหารอร่อยมากๆๆๆๆไม่เสียแรงที่เป็นมื้อแรกของที่นี่เลยนะเนี่ย !!ชั้นเริ่มรักที่นี่แล้วสิ อย่างน้อยก็มีอาหารอร่อยๆให้กิน แกว่ามั้ย ฝน ป่าน” เหมยอิงพูดขณะเอามือลูบพุงน้อยๆของตัวเองหลังจากที่สวาปามทุกสิ่งทุกอย่างลงไปด้วยความหิวโหย
          “นี่แกพึ่งรู้สึกหรือไงเหมยอิง   ว่าที่นี่น่าอยู่น่ะ ชั้นรู้มาตั้งแต่ก่อนที่จะมาแล้วยะ เนอะเหมยเนอะ” ป่านเสริมแล้วรีบพยักหน้าเห็นด้วยกับเหมยอิงราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
          “เออ... ชั้นจะจำน้ำหน้าพวกแกไว้เลย เมื่อกี๊ใครกันวะที่บอกอยากลับบ้านอ่ะ ไม่ใช่ยัยคุณหนู เพื่อนชั้น 2 คนนี่หรือไง หา” ฝนสวนขึ้นอย่างหมั่นไส้
       “เอาน่า!!!…อย่าเพิ่งมาเถียงกันเลย ชั้นว่านะพวกเราไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกกันดีกว่านะ”  เหมยอิง เอ่ยอย่างอารมณ์ดี พลางลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นออกจากกางเกงสำรวจความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกาย
               ขณะเดียวกันนั้นเอง ป่านกับฝนต้องตกอยู่ในภวังค์(รักเธอ...จะได้ไหม เธอก็คือผู้ชายที่ฉันรอมานาน...)..เพราะในสายตาของทั้งคู่บังเอิญหันไปเห็น สิ่งมีชีวิตเพศชาย สูงประมาณ 187 ซม. มีหยดน้ำเกาะพราวทั่วตัว  ผิวขาวอมชมพู  ผมสีน้ำตาลยาวระต้นคอ คิ้วสี้น้ำตาลเข้มพาดเฉียงเหนือดวงตาสีน้ำตาลอ่อน จมูกโด่งเป็นสันรับกับใบหน้า  แถมปากยังสีชมพูอิ่มๆยังน่าจูบสุดๆ  แต่ที่ยิ่งทำให้ใจละลายไปมากกว่านั้นคือ ชายหนุ่มเจ้าของกล้ามท้องซิกแพคคนนั้น กำลังเดินมาทางสามสาวแถมยังอยู่ในสภาพ กางเกงบิลาบองตัวเดียว.....ป่านและฝนต่างคนต่างปาดน้ำลายที่กำลังสออยู่เต็มปากเพื่อรักษาภาพพจน์หญิงไทยเต็มที่ สองสาวมองหน้ากันเลิกลั่ก พยายามปั่นหน้าแอ๊บแบ๊วกันสุดฤทธิ์ ชายหนุ่มคนนั้นเดินใกล้เข้ามาแล้ว พูดกับเหมยอิงซึ่งกำลังยืนหันหลังว่า
       “ขอโทษนะครับ นี่ กระเป๋าสตางค์เธอรึเปล่า? พอดีเราเห็นมันตกอยู่หน้าร้านอาหารเมื่อกี๊นี้น่ะ” ชายคนนั้น ถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
         เหมยอิงหันหน้าไปด้วยความงงปนตะลึง แล้วตอบว่า  “เอ่อ ใช่คะ ของเหมยเอง แล้วทำไมถึงรู้ละคะว่าเป็นของเหมย”
       “เอ่อ พอดีเราถือวิสาสะเปิดกระเป๋าเธอน่ะ แล้วพอดีเจอบัตรนิสิต  ต้องขอโทษด้วยนะที่ละลาบละล้วง ว่าแต่เราเรียนอยู่เดียวกันเลยนะนี่ ” หนุ่มเจ้าของหุ่นกระชากใจเอ่ยพร้อมส่งยิ้มกระชากวิญญาณสาวทั่วอณาบริเวณ รัศมี 50 เมตรออกมา
              “จริงเหรอคะ รู้ได้ยังไงคะ เนี่ย” เหมยอิงตอบและยังพยายามแอ๊บแบ็ว คูณ 2 ต่อไป
       “ ก็บัตรนิสิตคุณไงครับ คุณเหมย”  ชายหนุ่มตอบ และยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น
       “อ่อออออ” เหมยพยักหน้า และรีบยิงคำถามต่อไปทันที “แล้วจะไม่แนะนำตัวหน่อยเหรอคะ” “เอาไว้รู้จักกันที่คณะเลยดีกว่าครับ ยังไงก็ต้องได้เจอกันอีก ไปก่อนนะครับสาวๆรีบกลับหอล่ะเดี๋ยวจะพลาดอะไรดีๆ” ชายหนุ่มกล่าวลา และโบกมือให้กับสาวๆทั้ง3 คน
       “อะไรกันเนี่ย ตาคนนี้ มาไวไปไวจริงๆเลย” เหมยอิงพูดเบาๆกับตัวเอง พลันหันหน้ามาเห็นเพื่อนจอมแสบทั้งสองจึงแหวใส่ ฝนและป่านแก้เขินว่า
       “ยืนยิ้มอะไรกันแก 2 คนน่ะ หา” เหมยอิงหน้าแดงแถมยังบิดมือไปมาอีกตะหาก
       “แหมๆๆๆ ก็นานๆทีแกจะเจอผู้ชายในเสป๊ก พวกชั้นเลยไม่อยากจะขัดน่ะ เนอะป่านเนอะ”   ฝนเอ่ยยิ้มๆแล้วหันไปพยักหน้ากับป่าน
       “นี่ๆๆ สเป๊กอะไรกันยะ รู้ได้ไง หา” เหมยอิงเสียงแข็งแต่ยังหน้าแดงไม่หาย
               “ปากแข็งนักนะแก ชั้นเป็นเพื่อนแกมาตั้งแต่อนุบาลชั้นจะไม่รู้เลยเชียวเหรอว่าแกน่ะ ชอบคน สูง  ขาว  เกาหลี ขนาดนี้ แล้วถ้าใส่แว่นอีกหน่อยนะ เป๊ะเลยอ่ะ ” ป่านยังแซวไม่เลิกแล้วหันมาถามฝนอย่างสนใจว่า
        “เออ ฝนแกว่ามั้ยว่าทำไมเหมยอิงมันถึงชอบคนใส่แว่นอะ”   ป่านย่นหน้าผาก พร้อมเอานิ้วชี้ข้างซ้ายเคาะศรีษะ อันเป็นท่าประจำเวลาป่านเริ่มสงสัยอะไรแปลกๆ
       “นี่…!.....หยุดๆๆๆๆ เลิกเม้าท์ชั้นเดี๋ยวนี้เลยนะ กลับหอกันเถอะ อยากอาบน้ำแล้วอ่ะ ตัวเหนียวไปหมดแล้ว ” เหมยอิงเปลี่ยนเรื่องทันที  รีบจ่ายเงินค่าอาหารและเดินดุ่มๆไปสตาร์ทรถอย่างรวดเร็ว


      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×