ตราบชั่วชีวิตนี้ไม่เคยมีผู้ใดกระทำโดยไม่หวังผลตอบแทนเช่นนี้กับเขามาก่อน ในอดีตวัยเยาว์ เฮ่อเหลียนหยูทั้งถูกทรมาน ถูกก่นด่าชี้หน้าประจาน และในวันที่แสนเลวร้ายนั้นเอง เขาก็ถูกทุกคนที่ไว้ใจตามไล่ฆ่า กระเสือกกระสนหนีตายเอาชีวิตรอด
ในขณะที่ลมเฮือกสุดท้ายกำลังหมดลง ระยะสุดท้ายของแสงสว่างแห่งความหวัง เฮ่อเหลียนหยูได้พบเข้ากับชายแปลกหน้าผู้หนึ่ง
คนผู้นี้จิตใจดีมีเมตตา รักความสงบเรียบร้อย ใช้ชีวิตดีๆ ในฐานะ เจ้าสำนักแห่งฉีหย่งเหิงบนเทือกเขาหลิ่งอินอันกว้างใหญ่ ใบไม้ไหวอ่อนยามต้องสายลม ต้นไผ่ขยับเขยื้อนปลายใบเขียวกระทบเสียดสีกันส่งเสียงหวานไพเราะเสนาะหูแสนจรรโลงใจ สงบเยือกเย็นราวกับใบหน้าของเจ้าเทือกเขาชิว
ตลอดเวลาที่อยู่กับอาจารย์ เฮ่อเหลียนหยูก็พยายามที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งอย่างอย่างสุดความตั้งใจ เพราะเพียงเพื่อหวังว่าจะสามารถทดแทนพระคุณอันใหญ่หลวงนี้ได้ในสักวัน
แต่ว่า ในฐานะลูกศิษย์ ยิ่งกาลเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ เขาก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้จะเพียงพอต่อความต้องการ
อดีตของชิวหลิงเยว่นั้นรู้จักผู้คนมาก็ตั้งมากมาย สอนสั่งศิษย์ตัวน้อยตอนยังวัยเด็กก็ตั้งมากโข แต่ชิวหลิงเยว่กลับไม่คาดคิดมาก่อน ว่าหนึ่งในลูกศิษย์แห่งสำนักจะผันกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มากด้วยอำนาจบารมี เป็นผู้เหนือสิ่งอื่นใดในยุทธภพ อีกทั้งยังเหนือกว่าความคาดหมายที่เกินกว่าเขาจะทำใจยอมรับได้
ในฐานะอาจารย์ ช่วยประคองลูกศิษย์ตั้งแต่เล็กจนโต ชิวหลิงเยว่ไม่เคยคิดอื่นใดเสียนอกจากคำว่า ‘อาจารย์’ และ ‘ลูกศิษย์’ เลยแม้สักหน แล้วใครมันจะสติเฟื่องพอให้ขบคิดเรื่องบ้าบอเช่นนี้กัน
มันคือขอบเขตที่ถูกวางกฏระเบียบไว้ตั้งแต่ครั้นบรรพกาล
ภพทั้งสามภพ สวรรค์ โลกแห่งเทพเซียนนางสวรรค์ ผืนโลก โลกแห่งมวลมนุษย์และบรรดาสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ และภพมาร โลกแห่งสัตว์ประหลาดปราณสายโลหิต เหล่าเดรัจฉานที่เข่นฆ่ามนุษย์เพื่อประทังชีวิต
ช่างเป็นเรื่องไม่น่าให้อภัย ไม่ว่าจะมาจากดินแดนไหนก็ล้วนทราบดี ว่ามนุษย์และมารปีศาจ ไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้โดยไม่เข่นฆ่ากัน
แล้ววันนั้นเอง ชิวหลิงเยว่จึงจำเป็นต้องหักใจตัวเอง ขับไสเฮ่อเหลียนหยูให้กลับไปบ้านเกิดของตน
แล้วไม่ต้องกลับมาพบหน้ากันอีกตลอดกาล
“เมื่อหลายปีก่อน ท่านอาจารย์เป็นผู้ช่วยชีวิตข้าไว้เองแท้ๆ เชียว ทั้งรักเอ็นดูเอาใจใส่ หาผ้าห่มนอนสวมเสื้อหนาป้องกันอากาศหนาว แต่เวลานี้กลับตีหน้าตายแสร้งทำเป็นว่ารังเกียจเดียดฉันท์ แม้แต่จะส่งรอยยิ้มให้ข้าสักครั้งยังไม่มี น่าชังยิ่งนัก”
ชิวหลิงเยว่จ้องปะทะคู่ดวงตาสีเพลิงอย่างไม่หวาดหวั่น เขานึกรังเกียจเฮ่อเหลียนหยูในตอนนี้มากจริงๆ ทั้งไร้ยางอาย ไร้กาลเทศะ วาจาพาลหาเรื่องเสียดสี แสนจะแตกต่างจากลูกศิษย์ที่เขาเคยหลงนึกเอ็นดูในวันนั้นมากเสียเหลือเกิน
“ท่านอาจารย์” เฮ่อเหลียนหยูเลื่อนมืออีกข้างยกนิ้วเชิดปลายคางเขาให้รู้สึกหนำใจเล่น ยกยิ้มอย่างพึงพอใจต่อภาพใบหน้างามแสนหวงแหนตรงหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายคำสั่งว่า “ไปอยู่กับข้านะขอรับ”
ความคิดเห็น