ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Blind

    ลำดับตอนที่ #1 : เรื่องเล่าของชายที่มองไม่เห็น

    • อัปเดตล่าสุด 22 ธ.ค. 56



                  เสียงนิ้วมือเคาะลงบนแป้นพิมพ์ดีดดังอย่างต่อเนื่องมานานกว่าสองชั่วโมงโดยไม่ได้หยุดพัก บ่งบอกให้รู้ว่าชายหนุ่มที่นั่งจดจ่ออยู่หน้าเครื่องพิมพ์ดีดเล็กๆกับกระดาษสีครีมงาช้างกำลังขมักเขม้นพิมพ์อะไรบางอย่างอยู่อย่างตั้งใจ ถึงแม้เขาจะพิมพ์อย่างช้าๆราวกับคนที่ไม่ถนัดการใช้เครื่องมือ แต่ถึงอย่างนั้นเสียงกดแป้นพิมพ์ที่หนักแน่นและไม่ลังเลทำให้รู้ว่าเขามุ่งมั่นที่จะถ่ายทอดความรู้สึกทุกอย่างผ่านตัวอักษรที่เรียงร้อยอยู่ตรงหน้าของเขา หลังจากผ่านไปเกือบสองชั่วโมงครึ่งในที่สุดเจ้าตัวก็หยุดพิมพ์ เขาเอนหลังทิ้งตัวจมหายไปกับพนักพิงเก้าอี้พลางผ่อนลมหายใจยาวเหยียดอย่างเพลียๆ  ไหล่และหลังของเขาปวดเมื่อยจากการนั่งติดต่อกันเป็นเวลานาน มือใหญ่ขยับขึ้นไปบีบนวดไหล่ข้างขวาพร้อมกับส่งเสียงครางเบาๆออกมา มืออีกข้างเอื้อมไปข้างหน้าอย่างเกียจคร้านหวังจะหยิบถ้วยชาบนที่วางอยู่ข้างเครื่องพิมพ์ดีดขึ้นมาจิบ

     

     

    “โอ๊ะ!

    เพล้ง!

    เสียงกระเบื้องบางๆกระทบกับพื้นซีเมนต์ทำเอาชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหงุดหงิดใจ รู้ว่าเขาหาเรื่องยุ่งให้ตัวเองอีกจนได้

    เป็นคนตาบอดมันก็ลำบากแบบนี้สินะ!

    เขาแค่นหัวเราะประชดประชันกับตัวเอง

    ใช่...เขาตาบอด

    ไม่สิ...ไม่ เขาแค่มองไม่เห็นเท่านั้นแต่เขาไม่ได้ตาบอด แค่เพราะว่าเขาเลือกที่จะมองไม่เห็นไม่ได้แปลว่าเขาจะกลายเป็นคนพิการ ไม่...ชีวิตเขาไม่ได้โศกเศร้าเคล้าน้ำตาขนาดนั้น

    แล้วเหตุผลอะไรน่ะหรอที่ทำให้เขายอมเลือกที่จะเป็นคนที่ “มองไม่เห็น”

    ชายหนุ่มดันตัวขึ้นจากพนักพิงของเก้าอี้และขยับตัวบิดขี้เกียจยาวๆอีกสองสามที เตรียมพร้อมที่จะทำงานที่ค้างอยู่ต่อให้เสร็จสมบูรณ์ นิ้วเรียวยาวหยุดค้างอ้อยอิ่งอยู่เหนือแป้นพิมพ์ครู่หนึ่งขณะที่เขากำลังนั่งนึกทบทวนถึงช่วงเวลาที่ดวงตาของเขาสุกสกาวราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า รอยยิ้มเล็กน้อยผุดพรายขึ้นบนริมฝีปากก่อนที่ปลายนิ้วทั้งแปดจะวางจรดลงบนแป้นพิมพ์อย่างแผ่วเบา เสียงกดแป้นช้าๆแต่หนักแน่นและมั่นคงดังสะท้อนห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆขึ้นอีกครั้งโดยหวังว่าสิ่งที่เขากำลังถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรนี้จะช่วยตอบคำถามในสิ่งที่ใครหลายคนอยากรู้

    ทำไมเขาถึงกลายเป็นคนมองที่ไม่เห็นน่ะหรอ?

    อันที่จริงแล้วเหตุผลมันก็ง่ายนิดเดียว

    เพราะว่าบางครั้งการหลับตาลง ละทิ้งโลกภายนอก...มันทำให้เราใช้ชีวิตได้มีความสุขกว่าเดิมเสียอีกน่ะสิ

     

    ---------------------------------------------------------

     

                    หญิงสาวร่างท้วมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะตัดใจเบือนหน้าหนีจากดวงตาอ้อนวอนของคนตรงหน้า เธอส่ายหัวอย่างหนักใจ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารเด็กหนุ่มที่กำลังจ้องมองเธอราวกับว่าเธอคือที่พึ่งที่สุดท้ายในชีวิต

    “ขอร้องเถอะ มีมี่ ผมต้องการเงินจริงๆ คุณก็รู้ เจนยังเรียนไม่จบและผมก็ไม่ยอมให้เธอออกจากโรงเรียนเพราะเรื่องเงินเด็ดขาด ส่วนพ่อ...ก็อย่างที่คุณรู้ ตั้งแต่แม่ตายไป...”

    เสียงหวานชวนฟังของเด็กหนุ่มแฝงไปด้วยความเจ็บปวดและอดกลั้นที่ถึงแม้เจ้าตัวจะพยายามซ่อนยังไงก็ปิดไม่มิด หญิงสาวร่างท้วมเผลอกัดริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างไม่ทันรู้ตัว เธอรู้สึกสงสารจับใจเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มที่กำลังอยู่ในช่วงเติบโตและเต็มไปด้วยอิสระกลับต้องมาแบกรับภาระที่นอกจากจะหนักหนาเกินอายุแล้ว ยังแทบไม่มีใครสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยได้อีก มีมี่จ้องมองดวงตาอันสดใสที่แฝงไปด้วยความเศร้าของเด็กหนุ่มผู้ที่ ‘โลกแห่งความเป็นจริงได้พาช่วงเวลา ผู้ใหญ่ของเขามาถึงก่อนเวลาอันควร

    “เสียใจจริงๆ โฟว์...ฉันจะให้เด็กอายุแค่ 16 ที่ไม่ถึงตามกฏหมายเข้าทำงานที่ร้านไม่ได้เด็ดขาด เธอก็รู้ว่าฉันจะต้องถูกฟ้องแน่ๆถ้ามีใครรู้เข้า ไม่ต้องมาทำหน้าเศร้าเลยพ่อหนุ่มน้อย เธอเองก็น่าจะรู้ดีว่าฉันอยากช่วยครอบครัวเธอมากแค่ไหน แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ”

    หญิงสาวร่างท้วมเจ้าของร้านขายของชำเอ่ยพร้อมทั้งรอยยิ้มเศร้าๆ ประกายแห่งความหวังในดวงตาของเด็กหนุ่มพลันหายวับไปในทันใดพร้อมกับรอยยิ้มทันทีที่เขาได้ยินคำตอบ

    ใบหน้าของเด็กหนุ่มถึงจะแฝงไว้ด้วยความเศร้า แต่สิ่งหนึ่งที่ ‘ความจริงยังไม่สามารถพรากไปจากเขาได้นั่นก็คือความอ่อนเยาว์และความมีชีวิตชีวา ใบหน้าขาวสะอาดตัดกับสีแก้มอมชมพูระเรื่อราวกับผิวหน้าของเด็กแรกเกิด แก้มสองข้างเต็มอิ่มรับกับโครงหน้าเรียวยาวอย่างเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี จมูกโด่งคมสันวางตัวอย่างเหมาะเจาะกลางใบหน้า เรือนผมหยักศกเล็กน้อยสีครีมเหมือนเกล็ดทรายที่เจ้าตัวได้รับเป็นมรดกจากแม่ยาวปรกหน้าผากจนเกือบจะปิดคิ้วสีน้ำตาลอ่อนจนมิด ริมฝีปากสีแดงระเรื่อเล็กได้รูปแต่อวบอิ่มอย่างพอเหมาะ แต่ถ้ามีสิ่งใดบนใบหน้าของเขาที่ดึงดูดคนมองได้ราวกับมนตร์สะกด คงจะหนีไม่พ้นดวงตาสีฟ้าคู่สวยที่ทำให้ใครหลายคนหลงใหลมานับไม่ถ้วน ดวงตากลมโตเหมือนลูกวัวและปลายหางตาที่เอียงลาดต่ำอย่างพอเหมาะยิ่งส่งให้ดวงตาของเขามีสเน่ห์จนดูเหมือนคนที่ขี้อ้อนอยู่ตลอดเวลา แพขนตาหนาและยาวจนคนมองอดสังเกตไม่ได้ยิ่งทำให้เขาดูสวยหวานเหมือนผู้หญิง เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าชวนฝันราวกับกามเทพในนิยายกรีกโบราณ ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าเขาตัดผมสั้น ใครหลายคนอาจจะแผลอคิดว่าเขาเป็นผู้หญิงเสียด้วยซ้ำ

    “ไม่เป็นไร มีมี่ ผมเข้าใจ...” ดวงตาของเด็กหนุ่มหลุบมองพื้น เมื่อเจ้าตัวพยายามซ่อนความผิดหวังไว้ไม่ให้หญิงสาวตรงหน้าเห็น เขากัดริมฝีปากอย่างข่มความรู้สึก รู้ดีแก่ใจว่าการแสดงความอ่อนแอออกมาให้คนอื่นเห็นไม่ได้ช่วยทำให้อะไรๆมันดีขึ้น และถ้าจะมีสิ่งใดที่ทำให้ โฟว์ บัสแตงค์ ทนไม่ได้อย่างที่สุดนั่นก็คือการที่คนอื่นมองเขาด้วยความสงสาร เขาไม่ต้องการเป็นเด็กชีวิตรันทดที่ต้องรอคอยความช่วยเหลือจากคนอื่น เจ้าของดวงตาสีฟ้าเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเขาสามารถควบคุมอารมณ์ได้แล้ว เด็กหนุ่มฝืนยิ้มกว้างให้เจ้าของร้านขายของชำผู้ใจดี

    “อย่างน้อยถ้าคุณมีเพื่อนหรือใครที่กำลังหาคนช่วยงานก็อย่าลืมบอกผมด้วยนะ มีมี่” โฟว์พูดเมื่อเขากำลังจะเตรียมตัวออกจากร้าน มีมี่ยิ้มให้เด็กที่เธอเอ็นดูเหมือนลูกชายอย่างอบอุ่น

    “แน่นอน โฟว์ แน่นอน” เธอเอ่ยเบาๆก่อนจะโบกมือลาให้เด็กหนุ่ม

    มีมี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นโฟว์เดินหายลับไปที่หัวมุมถนน พลางจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เด็กหนุ่มที่เคยมีพร้อมทุกอย่าง ทั้งพ่อแม่ เงินทอง เพื่อนฝูง กลับกลายเป็นเด็กที่ต้องดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด มีมี่ส่ายหัวกับตัวเองช้าๆ

    บางครั้งโลกก็ยุติธรรมจนเกินไป

     

    ---------------------------------------------------------

     

    โถ่เว้ย!!”

    โฟว์สบถพลางถอนใจเฮือกใหญ่ขณะที่เขากำลังเดินกลับบ้าน เด็กหนุ่มใช้เท้าเตะก้อนหินเล็กๆที่อยู่ตามทางเดิน และมองมันกลิ้งไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมายพลางกัดฟันอย่างเจ็บใจเมื่ออดนึกไม่ได้ว่าชีวิตเขาตอนนี้ก็แทบไม่ต่างไปจากเศษหินไร้ค่าเล็กๆพวกนั้น อากาศยามพลบค่ำหนาวเหน็บจับใจจนมือของเขาด้านชาไร้ความรู้สึก เด็กหนุ่มต้องเอามือซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทเพื่อหาความอบอุ่นให้กับนิ้วมือที่ชาดิก แก้มของเขาแดงระเรื่อเหมือนคนจับไข้ อากาศอันหนาวเหน็บไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกของโฟว์ดีขึ้นแม้แต่น้อย หัวใจของเขายังคงชาจนไร้ความรู้สึกตั้งแต่เมื่อเขาได้ยินข่าวว่าแม่ของเขาตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนถึงตอนนี้ผ่านมาเกือบปีแล้วเขาก็ยังรู้สึกว่าหัวใจของเขายังคงเปราะบางและบอบช้ำ จนบางครั้งโฟว์ยังอดคิดไม่ได้ว่าแผลลึกในใจของเขาอาจจะไม่มีวันกลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เหมือนเดิมได้อีกแล้ว หลังจากที่ได้รับข่าวความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของหญิงสาวผู้เป็นที่รัก ดูเหมือนว่า คอลิน บัสแตงค์ หัวหน้าครอบครัวที่ดูจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายจะทำใจยอมรับกับความจริงไม่ได้ ตั้งแต่วันนั้นเขาต้องใช้แอลกอฮอลเป็นเพลงกล่อมเข้านอนและไม่มีกำลังใจแม้แต่จะลุกขึ้นมาทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว เขาเริ่มใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆและจมดิ่งอยู่กับความทุกข์ที่เขาคิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีวันข้าวผ่านพ้นไปได้ เขาลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองยังมีอีกสองชีวิตเล็กๆที่กำลังเติบโตและเขามีหน้าที่ต้องเลี้ยงดู ยิ่งไปกว่านั้นปีศาจร้ายที่แฝงกายมาในคราบของเหลวที่ชื่อว่าแอลกอฮอลได้เปลี่ยนชายหนุ่มผู้อบอุ่นและอ่อนโยนอย่างคอลินไปเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง

    โฟว์เดินไปตามทางกลับบ้านเรื่อยๆพลางคิดว่าจะทำอย่างไรให้ครอบครัวที่เหลืออยู่ของเขาไม่อดตายหลังจากที่พ่อของเขาโดนไล่ออกจากงานเพราะติดเหล้าอย่างหนัก และเจนน้องสาวที่เป็นญาติแท้ๆของเขาเพียงคนเดียวไม่ต้องออกจากโรงเรียนกลางคันเหมือนกับที่เขาต้องจำใจลาออกมาเพราะปัญหาเรื่องการเงินของที่บ้าน พลันความคิดของเด็กหนุ่มก็สะดุดเมื่อเขาเดินมาหน้าบ้านของตัวเองและเห็นว่าประตูหน้าบ้านเปิดอ้าไว้ คิ้วคู่สวยของเด็กหนุ่มขมวดมุ่นอย่างแปลกใจ มันไม่ใช่เรื่องปกติที่คอลินหรือเจนจะเปิดประตูทิ้งเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงพลบค่ำที่ท้องฟ้าภาพนอกมืดสนิทอย่างตอนนี้

    ยังไม่ทันที่เขาจะเดินเข้าไปถึง ชายหนุ่มร่างกำยำสามสี่คนท่าทางน่ากลัวเดินออกมาจากบ้านของเขา ชายหนุ่มแต่ละคนตัวใหญ่เกือบเป็นสองเท่าของโฟว์ กล้ามเนื้อแน่นเป็นมัดๆซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อยืดสีขาวตัวบาง ปากสีคล้ำของพวกเขาคาบบุหรี่ไว้คนละมวน ตามแขนขาและลำตัวมีรอยสักรูปน่ากลัวอยู่เต็มไปหมด

    สภาพของพวกเขาทำให้โฟว์แทบไม่เชื่อสายตาว่าคนพวกนี้กำลังเดินออกมาจากประตูหน้าบ้านของเขาเอง

    และเมื่อชายหนุ่มร่างกำยำคนหนึ่งหันมาเห็นว่าโฟว์ยืนอยู่ เขาก็ขยับรอยยิ้มชั่วร้ายก่อนที่จะผิวปากใส่เขาอย่างจงใจกวนอารมณ์

    “ไง สาวน้อย กลับบ้านมืดค่ำเดี๋ยวคุณพ่อจะเป็นห่วงเอานะจ๊ะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มนั้นทำเสียงล้อเลียนอย่างจงใจยั่วโมโห ส่วนอีกสามคนที่เหลือหัวเราะรับอย่างชั่วร้าย

    “โอ๊ะๆ ไม่ใช่สิไม่ใช่ ต้องเป็นหนุ่มน้อยสินะ แหม ขอโทษที”

    เขาพูดพร้อมทั้งค่อยๆขยับเดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ โฟว์แทบหยุดหายใจเมื่อสุดท้ายชายหนุ่มคนที่พูดเดินเข้ามาชิดจนหน้าอกแทบจะชนกับเขา ขี้บุหรี่เกือบจะร่วงลงมาใส่ดวงตาสีฟ้า และนั่นทำให้โฟว์รู้ว่าเขาสูงแค่ระดับต้นคอของคนพวกนั้นเท่านั้น นิ้วมือหยาบกร้านของชายหนุ่มเอื้อมมาจับที่กรามเขาแล้วเชิดขึ้นเพื่อบังคับให้ดวงตาใสซื่อเงยหน้ามองสบดวงตาสีดำสนิทเหมือนสัตว์ป่า ก่อนที่เขาจะกระซิบเสียงต่ำอย่างข่มขู่

    “อย่าหาว่าพวกชั้นใจร้ายเลยนะ โทษพ่อของเธอเองเถอะ” เขาออกแรงบีบที่มือเพิ่มมากขึ้น โฟว์อยากจะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่เขาจะไม่ยอมให้คนตรงหน้าได้เห็นความอ่อนแอของเขาเป็นอันขาด ดวงตาสีฟ้าจ้องตอบดวงตาสีดำอย่างแค้นเคืองราวกับว่าอย่างน้อยเขาก็ต้องการให้คนตรงหน้ารู้ว่าเขาไม่ใช่คนอ่อนแอ ฟันของเขาขบแน่นอย่างคนอดกลั้น มือทั้งสองกำหมัดอยู่ข้างตัวจนนิ้วมือเริ่มขาวซีดไร้เลือด

    “ทำไม? โมโหงั้นหรอ?” ชายหนุ่มพูดอย่างจงใจกวนอารมณ์เมื่อมองเห็นโฟว์กำหมัดแน่น

    “โอ้ว เจ้าหญิงตัวน้อยคิดจะเอากระดูกไก่อ่อนๆของพระองค์ซัดหน้าของกระหม่อมอย่างนั้นหรือเพคะ?” เขาพูดพร้อมกับเอื้อมมืออีกข้างขึ้นมาหยิกแก้มอิ่มๆของโฟว์อย่างล้อเลียน

    “ไม่ต้องรีบหาเรื่องหรอกบัสแตงค์น้อย เราได้เจอกันเร็วๆนี้แน่”

    เขากัดฟันพูดอย่างข่มขู่พร้อมกับรอยยิ้มชั่วร้าย มือใหญ่คลายตัวจากกรามของเด็กหนุ่มแต่ทิ้งรอยม่วงช้ำไว้เป็นของฝาก ส่วนพวกที่เหลือก็พากันหัวเราะก่อนที่พวกเขาจะค่อยๆหันหลังกลับและเดินไปยังหัวมุมถนน ทิ้งให้เด็กหนุ่มอายุสิบหกยืนอยู่กับความตื่นตระหนกที่เข้าครอบงำเขาอย่างเต็มตัว

    โฟว์ยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาหายใจแรงราวกับคนที่เพิ่งผ่านการวิ่งมานับสิบกิโล เด็กหนุ่มยังคงอึ้งและสับสนกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ดวงตาสีฟ้าจ้องเขม็งไปยังหัวมุมถนนที่กลุ่มชายชกรรจ์เพิ่งเดินหายลับไปจนมั่นใจแล้วว่าพวกนั้นจะไม่ย้อนกลับมาอีกเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน หัวใจของเขาเต้นรัวเมื่อเห็นว่าภายในบ้านมืดสนิทและเงียบกริบจนน่าใจหาย เขากำลังจะตะโกนเรียกพ่อของเขาเมื่อเสียงสะอื้นและเสียงหายใจติดขัดลอยอย่างแผ่วเบามาจากห้องรับแขก

    “พ่อ!!

    บัสแตงค์คนลูกรีบวิ่งพรวดเข้าไปในห้องรับแขก เมื่อเห็นว่าคอลินทรุดนั่งอยู่กับพื้นและกำลังสะอื้นอย่างหนัก มือใหญ่ข้างหนึ่งปิดใบหน้าเอาไว้ ส่วนอีกข้างกำลังฉีกทึ้งผมของตัวเองราวกับคนเสียสติ

    โฟว์ยืนนิ่ง ลมหายใจของเขาติดขัดอยู่ในลำคอเมื่อเขาพยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นที่เอ่อล้นขึ้นมาจนยากจะควบคุม เขาแทบไม่เคยเห็นคอลิน บัสแตงค์ตกอยู่ในสภาพนี้มาก่อน ไม่แม้แต่ตอนที่รู้ข่าวว่าเฟลล่าเสียชีวิต ตอนนั้นเขาแค่นิ่งอึ้งและไม่พูดอะไรกับใครเลยตลอดสามวันแม้แต่กับโฟว์หรือเจน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นและนั่นยิ่งทำให้หัวใจของโฟว์บีบคั้นและเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก เด็กหนุ่มหายใจเข้าลึกๆ พยายามตั้งสติกับเหตุการณ์ตรงหน้า

    “พ่อ เกิดอะไรขึ้น?”

    เจ้าของดวงตาสีฟ้าคู่สวยกระซิบถามที่ข้างหูของคนเป็นพ่ออย่างแผ่วเบา ถึงแม้ใบหน้าของเด็กหนุ่มเองจะเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างที่เจ้าตัวไม่สามารถซ่อนไว้ได้ มือเรียวขยับลูบแผ่นหลังของคนแก่กว่าอย่างปลอบประโลม คอลินฝืนตัวเองให้หยุดสะอื้นพยายามรวบรวมสติแล้วหันมามองหน้าลูกชายคนเดียวของเขา ดวงตาสีน้ำตาลของชายหนุ่มเบิกกว้างและใบหน้าของเขายิ่งซีดเผือดเมื่อเห็นรอยช้ำที่คอของลูกชายคนเดียวของเขา

    “โฟว์! คอของลูก! ไอ้พวกนั้นมันทำร้ายแกใช่มั้ย?” นิ้วมือของคอลินสั่นเทาเมื่อเขาเอื้อมไปสัมผัสรอยช้ำที่คอของเด็กหนุ่ม

    “ไม่ๆ พ่อ ไม่มีใครทำร้ายผมทั้งนั้น” โฟว์รีบโกหก เขาไม่อยากให้คอลินกังวลมากไปกว่านี้ ผู้เป็นพ่อถอนหายใจอย่างโล่งอกถึงแม้ว่าจะยังคงอยู่ในสภาพที่แย่มากก็ตาม

    “เกิดอะไรขึ้นพ่อ? คนพวกนั้นเป็นใคร?” โฟว์ตัดสินใจถาม ชายหนุ่มที่อายุมากกว่าขยับตัวอย่างอึดอัด ราวกับว่าเขาไม่ต้องการที่จะพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกชายของเขา แต่ดวงตาสีฟ้าที่มองมาด้วยความรักและความห่วงใยอย่างลึกซึ้งราวกับมีมนตร์สะกดทำให้เขาต้องยอมทำตามสิ่งคนต้องหน้ารียกร้อง

    “พวกนั้น...มาทวงเงินที่พ่อติดไว้ แกก็รู้...ตั้งแต่ที่พ่อโดนไล่ออกจากงาน พ่อต้องกู้เงินมาให้เจนเรียนต่อจนจบ พ่อคิดว่าตัวเองจะหางานใหม่ได้ทันก่อนจะถึงเวลาครบกำหนดคืน แต่พ่อก็ทำไม่ได้ มันบอกว่าให้เวลาแค่สามวันถ้าพ่อยังหาเงินห้าหมื่นเหรียญมาคืนมันไม่ได้ พ่อจะต้องชดใช้และเสียใจไปตลอดชีวิต...โฟว์ พ่อขอโทษ พ่อเป็นพ่อที่แย่มาก พ่อทำให้แกต้องออกจากโรงเรียน พ่อทำให้แกกับเจนผิดหวัง...พ่อทำให้เฟลล่าผิดหวัง”

    ชายหนุ่มวัยสี่สิบซบหน้าลงกับฝ่ามือแล้วร้องไห้คร่ำครวญอย่างไร้ซึ่งความอายราวกับว่ากำแพงแห่งความอัดอั้นตันใจที่เขาฝืนเก็บเอาไว้ตลอดได้พังทลายลงมาหมดสิ้นในคืนนี้ เขาคว้าตัวลูกชายคนเดียวมากอดไว้แน่น

    “ไม่ๆๆ พ่อ อย่าพูดอย่างนั้น พ่อไม่เคยทำให้ผมกับเจนผิดหวังเลยสักครั้ง เชื่อผมสิ” โฟว์พยายามฝืนกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลพลางลูบหลังคนเป็นพ่อของเขาเพื่อให้ชายแก่มั่นใจว่าเขาหมายความอย่างที่พูดจริงๆ

    “เราต้องหนีแล้ว โฟว์ มันเป็นทางเดียวที่เราจะปลอดภัย เราต้องหนีไปเมืองอื่น...”

    “ไม่!! ผมไม่ยอม นี่คือบ้านของเรา คอลิน ผมจะไม่ยอมย้ายไปไหนทั้งนั้น อีกอย่างผมไม่ยอมให้เจนออกจากโรงเรียนเด็ดขาด ไม่!!!” เด็กหนุ่มพูดอย่างหนักแน่น เขาผละตัวออกจากอ้อมกอดของคนแก่กว่าตรงหน้าเพื่อจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลที่บวมช้ำ ดวงตาสีฟ้าฉายแววเด็ดเดี่ยวอย่างคนที่ไม่ยอมแพ้

    “ผมต้องหาเงินมาได้แน่นอน เชื่อผมสิ!!” คำพูดของลูกชายยิ่งทำให้คนเป็นพ่อสะอื้นหนักกว่าเดิม โฟว์ดึงตัวคอลินมากอดไว้แน่นเพื่อให้คนแก่กว่าตรงหน้าคลายความกังวล เสียงฝีเท้าเดินอย่างแผ่วเบาดังมาจากบันได พลันดวงตาสีฟ้าคู่สวยก็หันไปสบตากับดวงตาสีน้ำตาลสวยหวานอีกคู่ของเด็กสาวอายุสิบสี่ที่กำลังเดินลงมาจากบันใดด้วยใบหน้าซีดเผือด

    “เจน? เป็นอะไร? เกิดอะไรขึ้น?”

    โฟว์ถามเด็กสาวคนเดียวในบ้านด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าเธอเดินกำซองจดหมายลงมาไว้แน่น มือเล็กๆของเธอสั่นเทาด้วยความกลัว

    “อะไรน่ะ?” โฟว์คว้าซองจดหมายจากมือของน้องสาวแล้วเปิดดูข้างใน ทันใดนั้นดวงตาสีฟ้าก็เบิกกว้างอย่างตกใจ เขารู้สึกเหมือนมีค้อนหนักๆกระหน่ำตีเข้าที่หัวจนตัวชาตั้งแต่หัวจรดเท้าเมื่อเห็นว่าอะไรอยู่ใซองจดหมายที่จ่าหน้าซองไว้ว่า

    ถึง... มิส เจน บัสแตงค์ และครอบครัว

    ของที่อยู่ในซองคือรูปภาพของเจนนับสิบใบที่ถูกแอบถ่ายตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะตอนเรียน ตอนกินข้าว หรือแม้แต่ตอนที่เธอไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆกับเพื่อ แต่นั่นยังไม่ทำให้โฟว์ช็อคเท่ากับรูปใบสุดท้าย

    มันคือภาพที่ถูกถ่ายจากด้านนอกหน้าต่างห้องนอนของเจนในระยะประชิดราวกับว่าแค่เอื้อมมือช่างภาพก็สามารถเปิดหน้าต่างเข้าไปในห้องของเธอได้สบายๆโดยที่เธอไม่รู้ตัว ในรูป เจน บัสแตงค์กำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง เสื้อคลุมอาบน้ำผืนบางของเธอวางแผ่อยู่บนเตียงขณะที่สาวน้อยกำลังแต่งตัวเผยให้เห็นเรือนร่างของเด็กสาวอย่างยั่วยวนถึงแม้จะเห็นเพียงด้านหลังของเธอเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้โฟว์รู้สึกว่ามือของเขาสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ ก็คือข้อความที่เขียนทิ้งไว้ด้วยตัวอักษรสีแดงบนภาพถ่าย

    ...ครั้งหน้าไม่ใช่แค่เตือน...

    โฟว์รู้สึกเหมือนลำคอของเขาตีบตัน ราวกับว่าภูมิคุ้มกันภายในร่างกายของเขาพยายามจะที่ปิดกั้นการรับรู้ทุกอย่างจากภายนอกเพื่อรักษาและเยียวยาความรู้สึกกดดันที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำที่ไหลบ่า เขาคว้าร่างเล็กตรงหน้ามากอดไว้แนบตัว เด็กสาวสะอื้นอยู่ภายในอ้อมแขนอันอบอุ่นของพี่ชายขณะที่ตัวของเธอสั่นเทิ้มอย่างเสียขวัญ เรื่องพวกนี้มันเกินกว่าที่เด็กสาวอายุสิบสี่จะทนรับได้

    “ไม่เป็นไรเจน เธอจะต้องปลอดภัย เชื่อพี่สิ” เขากระซิบแผ่วเบาข้างหูเพื่อปลอบประโลม มือเรียวขยับลูบแผ่นหลังของเด็กสาวอย่างอบอุ่น ดวงตาสีฟ้าของเขาร้อนผ่าวจนเจ้าตัวต้องรีบปรือตาลงกล้ำกลืนน้ำแห่งศักดิ์ศรีที่เขารู้สึกว่าเอ่อจนเกือบจะล้นทำนบรอบดวงตา ทั้งสามคนกอดกันอยู่อย่างนั้นราวกับว่าหากมีใครสักคนผละออกจากกันแม้แต่คนเดียว อาจจะทำให้พวกเขาไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย แต่ในที่สุดดวงตาสีฟ้าก็ลืมขึ้น ครั้งนี้มันแฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งอย่างคนที่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว

    ยังไงเขาก็ต้องปกป้องครอบครัวที่เหลืออยู่ให้ได้

    ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม จะถูกหรือจะผิดเขาก็ไม่สนใจอะไรแล้ว

    สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้...ก็คือเงินเท่านั้น

     

    -------------------------------------------------------------

     

    เสียงพิมพ์ดีดหยุดลงอีกครั้ง เจ้าของนิ้วเรียวยาวหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ นาฬิกาลูกตุ้มตีบอกเวลาเที่ยงคืน ชายหนุ่มอ้าปากหาวอย่างคนเพลียจัด เขาควรจะเข้านอนได้แล้วหลังจากที่เขาลงมือพิมพ์บทแรกจนจบ

    ใช่แล้ว! เรื่องทั้งหมดมันเริ่มจากคืนวันนั้น คืนวันที่เด็กหนุ่มตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตโดยไม่ได้รู้เลยว่าอะไรรอเขาในอนาคตข้างหน้า

                ณ เวลานั้นไม่มีใครคาดคิดหรือเฉลียวใจสักนิด ว่าคืนเดือนมืดกลางฤดูหนาวที่แสนธรรมดาได้เปลี่ยนชีวิตของเด็กหนุ่มที่ชื่อ โฟว์ลิน บัสแตงค์ไปตลอดกาล...


    **ติชมได้นะคะหรือถ้าชอบก็เมนท์เป็นกำลังใจให้ด้วยก็ดีค่า ^ ^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×