Diary ของฉันกับเขา - Diary ของฉันกับเขา นิยาย Diary ของฉันกับเขา : Dek-D.com - Writer

    Diary ของฉันกับเขา

    เผอิญอ่าน "ความรู้สึกดี...ที่เรียกว่ารัก" แล้วชอบ เลยลองเอามาเขียนแนว Y บ้าง

    ผู้เข้าชมรวม

    164

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    164

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  19 ก.พ. 51 / 06:32 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
       

      สุรศักดิ์นั่งเขียนหนังสืออยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือในห้องพัก กำลังก้มหน้าอ่านสมุดบันทึกหน้าปกสีฟ้าสด ซึ่งมันถูกส่งมาจากเพื่อนสนิทของเขาที่กรุงเทพฯ เพราะเขาลืมมันทิ้งเอาไว้ที่บ้าน แม่ของเขาได้มาฝากให้เพื่อนช่วยส่งมาให้เขาที่นี้ตามที่ร้องขอไป

      ชายหนุ่มค่อยๆ ลูบคลำมันอย่างรักใคร่ สมุดเล่มนี้เป็นสมุดที่เขาบันทึกเรื่องราว…

      เรื่องราวระหว่างเขาและเขาสองคน…

      ในวันเปิดเทอมวันแรกของปีสุดท้ายในการเรียน ม.ปลายของเรา ถึงแม้ว่าเราจะเป็นรุ่นพี่ แต่เราก็ยังมาโรงเรียนเช้าเหมือนเดิม เหมือนทุกๆ วัน มาถึงก็ตรงไปหาที่นั่งอ่านหนังสือ ริมสนามฟุตบอลของโรงเรียน มองไปก็เห็นคนเตะบอลกันเต็มสนาม มีเสียงโหวกเหวกโวยวาย ทักทายกันดั่งสนั่นลั่นโรงเรียนไปหมด

      นั่งอ่านหนังสือได้ไม่นาน ยัยแต๋ม เพื่อนสนิทตัวแสบก็เดินตรงเข้ามานั่งข้างๆ แถมยังพูดเรื่องตลกด้วยเสียงแปดหลอดของหล่อนตามเคย ทำให้ความตั้งใจในการที่จะอ่านหนังสือเป็นอันต้องแตกกระเจิงหมด

      ระหว่างที่นั่งคุยกัน จู่ๆ ก็เหมือนมีอะไรไม่รู้ลอยมาโดนหัวอย่างจังแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ใบหน้าเห็นดาวเต็มไปหมด ยัยแต๋มที่กำลังพูดก็ตกใจทำหน้าเออทันที

      เราค่อยๆ มองที่หัว และลูกบอลที่กระดอนออกจากหัวไปแบบงง จนกระทั่งได้ยินเสียง

      เป็นอะไรหรือเปล่า”

      เราเอามือไปคลำจุดที่ลูกฟุตบอลมหาภัยลูกนั้นมากระทบหัว ปรากฏว่ามันปูดขึ้นมา แต่นับว่ายังโชคดีที่เลือดไม่ไหลออกมา ไม่งั้นเสื้อนักเรียนสีขาวนี่คงดูไม่จืดแน่ๆ

      ยัยแต๋มหลังจากเออไปประมาณสิบวิก็รีบกุลีกุจอเข้ามาปฐมพยาบาลเรา แถมยังใช้เสียงดังขนาดสิบหกหลอดของหล่อนด่านักฟุตบอลที่มายืนมุ่งดูอีกโดยไม่ได้สนใจ

      นี่ พวกนายเตะบอลภาษาหมาหรือไงถึงได้มาโดนกบาลเพื่อนฉันน่ะ หัวมันโนเป็นลูกมะกรูดเลยนะเว้ย”

      เด็กนักเรียนร่างสูง หน้าตาดีคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างตัวของเรา แต่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน สะกิดแขนยัยแต๋มที่กำลังด่านักบอลอยู่

      เราเองแหละที่เป็นคนเตะบอลมาโดน ไม่ได้ตั้งใจ พอดีเตะบอลเข้าประตูแรงไปหน่อย”

      ยัยแต๋มเปลี่ยนเป้าหมายหันมาเล่นงานทันที

      แล้วนายเตะบอลเข้าประตูภาษาอะไร ทำไมให้มันลอยมาโดนหัวเพื่อนฉันด้วย”

      ก็ไม่ได้ตั้งใจนี่นา”

      เราเห็นว่าการถกเถียงกันท่าจะยืดยาว เลยตัดสินใจลุกขึ้น เดินไปห้องพยาบาลเองซะเลย ปล่อยสองคนนั้นให้เถียงกันให้พอใจ

      ยังไม่ทันมาถึงห้องพยาบาล เด็กนักเรียนคนนั้นก็วิ่งมาหาพร้อมกับน้ำแข็งที่ห่อใน ผ้าเช็ดหน้า

      เอานี่ ประคบก่อนนะ”

      ขอบคุณ” เราพูดก่อนที่จะรับห่อน้ำแข็งมาประคบ แล้วก็เดินดุยๆ ไปห้องพยาบาล โดยมีเขาเดินตามมาข้างหลัง

      เมื่อครูพยาบาลตรวจดูอาการแล้วก็ให้นอนพักในห้องพยาบาล ให้อาการดีขึ้นแล้วค่อยออกไปเข้าห้องเรียน

      เดี๋ยวเราอยู่เป็นเพื่อนเองนะ” เขาพูดแล้วก็นั่งลงข้างเตียง

      เรามองที่ปกเสื้อนักเรียน เห็นปักจุดสามจุด เลยถามว่า

      นายเรียนอยู่มอหกห้องอะไร”

      ห้องสี่ และนายล่ะ”

      อยู่ห้องเดียวกันเลย ว่าแต่ เราไม่เคยเห็นหน้านายเลยนี่”

      เราเพิ่งย้ายมาใหม่ ว่าแต่นายชื่อไรนะ”

      เราชื่อกาย”

      อืม เราชื่อวัฒน์ นะ”

      ระหว่างคุยกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงแปดหลอดของยัยแต๋มที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ในห้องพยาบาล

      เป็นไงบ้าง กาย”

      ก็ไม่อะไรหรอก แค่ปวดตรงที่โนหน่อยๆ เท่านั้นเอง ว่าแต่ เราฝากกระเป๋าเธอเอาไปไว้ที่ห้องด้วยนะ”

      เราเอาไปวางจองที่ไว้ให้เรียบร้อยแล้วล่ะ ปีนี้เราขอไม่นั่งกับเธอนะ พอดีเราอยากจะนั่งกับไอ้กฤตอ่ะ”

      ไม่เป็นไรหรอก เธอสองคนจะได้สวีทหวานกันไง”

      บ้า” พูดเสร็จยัยแต๋มก็หน้าแดง

      อืม นี่วัฒน์ รู้จักกันไว้นะ เขาเพิ่งย้ายมาใหม่ อยู่ห้องเดียวกับเรา”

      ยัยแต๋มมองคนที่นั่งอยู่ข้างเตียง แล้วก็พูดว่า

      หรอ ยินดีที่ได้รู้จัก”

      อืม ไม่เป็นไร หายโกรธหรือยังล่ะที่เราเตะบอลโดนหัวเพื่อนเธอน่ะ”

      อืม หายแล้ว เราไปก่อนแล้วกันนะ”

      ไปเถอะ นอนพักผ่อนล่ะ” จากนั้น ยัยแต๋มก็เดินหายเข้าหลีบเมฆไป จากนั้น เราสองคนก็นั่งมองหน้ามองตากันเหมือนปลาทอง ไม่ยอมพูดไม่ยอมจาอะไร จนกระทั่งเผลอหลับไปในที่สุด

      หลังจากออกจากห้องพยาบาล เราก็พาเขาไปเข้าห้องเรียน โดยไม่ยอมพูดยอมจาอะไรเลย จนคนข้างตัวต้องถามว่า

      ยังโกรธเราอยู่หรือเปล่า”

      เปล่าหรอก ไม่ได้โกรธ”

      แล้วทำไมไม่ยอมพูดอะไรเลยล่ะ”

      ก็ไม่รู้จะพูดอะไร”

      ไม่นานนักก็เดินมาถึงหน้าห้องเรียน อาจารย์นิชากำลังโฮมรูมนักเรียนอยู่ ก็หันมามองด้วยสายตาอำมหิต

      ไปไหนกันมาพวกเธอ รู้ไหมว่ามันเลยเวลาเข้าห้องเรียนแล้วนะ”

      แต่เมื่ออาจารย์เห็นน้ำแข็งที่ถืออยู่ในมือ ก็ถามทันที

      ไปโดนอะไรมาหรือ นายสุรศักดิ์ ทำไมหัวถึงได้โนขนาดนี้”

      อ๋อ พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยครับอาจารย์”

      ดีแล้วล่ะที่ไม่เป็นไร แล้วนี่นักเรียนใหม่ทำไมไม่มาเข้าห้องเรียนพร้อมเพื่อนล่ะ” อาจารย์หันมาถามเขาที่เดินอยู่ข้างตัว

      ผมไปเฝ้าสุรศักดิ์ที่ห้องพยาบาลครับ พอดีผมเป็นคนเตะบอลโดนหัวเขา”

      อ๋อ มา เข้าห้องเรียนได้แล้ว จะได้เริ่มเรียนกัน”

      เราทั้งสองคนเดินเข้ามาในห้องเรียน มีที่ว่างอยู่สองที่หน้าห้องพอดี ก็เลยเดินเข้าไปนั่ง จึงได้รู้ว่า ยัยแต๋มเป็นคนจองที่เอาไว้ให้นั่นเอง เพราะกระเป๋าของเราทั้งสองคนวางอยู่ในโพรงโต๊ะ

      ขอเชิญนักเรียนใหม่ของห้องเราออกมาแนะนำตัวกับเพื่อนๆ หน่อยค่ะ”

      เขาเดินออกไปข้างนอก แล้วก็แนะนำตัวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและท่าทีสง่าผึ่งผาย

      ผมชื่อ กิตติวัฒน์ รัตนเชษฐ์ ครับ ผมย้ายมาจากโรงเรียนสวนกุหลาบครับ”

      พูดจบเท่านั้น ก็มีเสียงฮือฮาจากพวกสาวๆ และสาวๆ ไม่แท้ดังลั่นห้อง

      หลังจากนั้น เขาก็เดินกลับเข้ามานั่งที่ และก็เริ่มเรียนวิชาแรกกัน

      หลังเลิกเรียนในคาบสุดท้าย เราก็ค่อยๆ เดินออกมาจากโรงเรียนเพื่อที่จะไปเรียนพิเศษกับพี่ติวเตอร์ที่คณะอักษรฯ จุฬาฯ

      แต่ยังไม่ทันพ้นรั้วโรงเรียน ก็มีเสียงเรียกดังมาจากข้างหลัง

      รอด้วยกาย”

      เราค่อยๆ หันไปมองก็เห็นเขากำลังวิ่งกระหืดกระหอบตรงมาหาเรา

      จะไปไหนหรอ”

      กำลังจะไปเรียนพิเศษน่ะ”

      หรอ ไปด้วยคนได้ไหม”

      ตามใจนายล่ะกัน” ว่าแล้วเราก็เดินค่อยๆ เดินทอดน่องไปขึ้นรถเมล์

      มาถึงคณะอักษรฯ ก็ประมาณเกือบๆ สี่โมง เพราะว่ารถติดพอสมควร พี่วิทย์ ติวเตอร์ของเรานั่งรออยู่ที่โต๊ะม้าหินหน้าอาคารเรียน

      รอนานไหมครับพี่” เราพูดกับพี่วิทย์หลังจากที่เรากับเขายกมือไหว้พี่เขา

      ไม่นานหรอก แล้วนี่เพื่อนหรอ”

      ครับพี่ เขาชื่อวัฒน์นะครับ พอดีเพิ่งย้ายมาจากโรงเรียนสวนกุหลาบอ่ะครับ”

      อ๋อ มา ติวกันดีกว่า” พูดจบพี่เขาก็ชวนเราสองคนนั่งติวหนังสือกัน

      เราทั้งสามคนนั่งติวหนังสือกันจนฟ้าเปลี่ยนสี วันนี้อยู่ดีๆ จากอากาศที่ร้อนๆ ก็เปลี่ยนเป็นหนาวขึ้นมาซะอย่างนั้น พอดีวันนั้นไม่ได้พกเสื้อกันหนาวมาซะด้วย หลังจากแยกกับพี่วิทย์แล้ว เราเลยต้องยืนเอามือกอดตัวเอง ปากก็สั่นดิกๆ

      เขาล้วงกระเป็าสะพายใบโตของเขา หยิบเสื้อกันหนาวไหมพรมตัวเล็กสีฟ้าขึ้นมาให้

      เอาไปใส่ก่อน เดี๋ยวนายจะหนาวตาย”

      ไม่เป็นไรหรอก ไม่อยากรบกวน”

      เขาค่อยๆ เอาเสื้อไหมพรมห่มคลุมร่างเราด้วยกิริยาที่แผ่วเบา คำปฏิเสธที่แม้จะอยู่ที่ ปลายลิ้นก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้

      ไว้วันหลังค่อยเอามาคืนก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อนหรอก แล้วนี่จะไปไหนต่อล่ะ”

      เราว่าจะไปศูนย์หนังสือจุฬาฯ ที่สยามอ่ะ ไปด้วยกันไหม”

      เขาไม่ได้พูดอะไร ได้แต่เดินนำหน้าเราไปที่ป้ายรอรถป๊อป ไม่นานนัก เราทั้งสองคนก็ได้ขึ้นรถมาลงที่ตรงสยาม เราสองคนก็ค่อยๆ เดินทะลุซอยไปยังศูนย์หนังสือจุฬาฯ

      ไปถึงตรงชั้นเครื่องเขียน เขาหยิบสมุดบันทึกขนาดเล็ก ปกสีฟ้าให้ และพูดว่า

      เราซื้อให้นายนะ” ว่าแล้วเขาก็แย่งจากมือไปจ่ายเงิน หลังจากนั้นก็หยิบมาส่งให้

      หลังจากเลือกซื้อพวกปากกา สมุดเสร็จ เราทั้งสองคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้านไป

      ก่อนที่จะขึ้นรถเมล์

      กาย ขอเบอร์หน่อยดิ”

      นายยิงมาก็แล้วกันนะ 08-XXXX-XXXX

      ขอบคุณมากนะ พรุ่งนี้เจอกัน” แล้วเขาก็วิ่งขึ้นรถเมล์ไป

      หลังจากวันที่ได้ไปเรียนพิเศษด้วยกันในวันนั้น ทุกคนในห้องต่างแปลกใจ เพราะว่าเราสองคนกลายเป็นปาท๋องโก๋ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มีเราที่ไหนก็ต้องมีเขาที่นั่น ไม่ว่าจะนั่งเรียนด้วยกันในห้องเรียน อ่านหนังสือในห้องสมุด กินข้าว ไปเรียนพิเศษ หรือไปดูหนังไปเดินเที่ยวด้วยกันในวันหยุด

      เวลาที่เราทั้งสองคนอยู่ใกล้กัน มันทำให้มีความรู้สึกบางอย่างเกินขึ้นในใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกอบอุ่นใจ สนุกสนานทุกครั้งที่อยู่ใกล้กัน จนแทบไม่อยากที่จะแยกกันไปไหน

      ขึ้นเทอมสอง กิจกรรมและการเรียนก็เริ่มนักขึ้น เพราะใกล้จะถึงเวลาที่เราจะต้องชี้ชะตา ตัดสินอนาคตของตัวเองว่าจะสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยตามที่ฝันได้หรือเปล่า ทำให้เราสองคนไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก ในช่วงกิจกรรมกีฬาสี เราก็อยู่คนละสีกัน และเขาก็เป็นนักบาสด้วย ทำให้เวลาที่จะมาเจอกันเริ่มน้อยลง ทำให้เราเริ่มรู้สึกเหงาๆ ในใจอย่างประหลาด

      ในวันแข่งพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาสี เขาเดินมาหาเราด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม พร้อมกับสาวน้อยคนหนึ่ง หน้าตาสวยใสแบบอาหมวยในทีวีทีเดียว

      กาย นี่แฟนเราเองนะ”

      วินาทีที่เราได้ยินประโยคนี้ ในใจเหมือนดอกไม้ที่ร่วงลงจากต้น มาสัมผัสกับอาการหนาวเหน็บ หนาวจนจับหัวใจ

      หลังจากวันนั้น เราพยายามที่จะหลีกเลี่ยงไม่เจอหน้าเขาอีกเลย ขอร้องยัยแต๋มให้ย้ายไปนั่งโต๊ะข้างเขาแทนเรา ส่วนเราก็ขอไปนั่งกลางห้องกับกฤตธี แฟนของยัยแต๋มแทน

      ในตอนแรกที่เราย้ายโต๊ะ หลังจากอาจารย์ออกไปจากห้องแล้ว เขาก็เดินตรงมาหาเราด้วยสีหน้าที่เคร่งครึมทันที

      นายย้ายโต๊ะทำไม”

      เราอยากจะมานั่งกลางห้องนะ นายมีอะไรหรือเปล่า”

      ทำไมนายต้องย้ายโต๊ะด้วย”

      เปล่า ก็เราบอกแล้วไงว่าเราอยากนั่งกลางๆ ห้องบ้าง นี่ อย่ามาหาเรื่องได้ไหม เราไม่ชอบนะ”

      แล้วทำไมนายย้ายโต๊ะทำไมล่ะ เราไม่ได้หาเรื่อง แต่เราไม่อยากให้นายโต๊ะ”

      ก็เราอยากจะย้าย ทำไมต้องมาหาเรื่องด้วยล่ะ”

      เขากำลังจะโวยวายขึ้นมาอีก แต่เราก็เดินหนีออกนอกห้องไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด และไม่ยอมมาเข้าเรียนในคาบสุดท้าย

      นับจากวันนั้น เราก็ไม่ยอมคุยกับเขาอีกเลย ด้วยความที่โกรธที่เขามาหาเรื่องในวันนั้น แม้เขาจะพยายามมาขอโทษสักกี่ครั้งก็ตาม

      วันหนึ่ง ยัยแต๋มมานั่งอยู่กับเราพร้อมด้วยกฤตธีที่สระน้ำในโรงเรียน

      กาย แกเป็นอะไรหรือเปล่าว่ะ พักหลังๆ ดูแกไม่ค่อยพูดค่อยจา หน้าตาซีดเซียวไปเลยนะ”

      เปล่าหรอก เราไม่ได้เป็นอะไร”

      กาย แกโกหกพวกฉันได้นะ แต่แกโกหกตัวแกเองไม่ได้หรอก มีอะไรก็พูดออกมาได้ พวกเราเป็นเพื่อนแก พร้อมที่จะรับฟังและให้คำปรึกษาเสมอนะ”

      ขอบคุณมากนะ แต่เราไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ”

      ตามใจนายแล้วกัน จำไว้อย่างหนึ่งนะ ว่าเรายังรอคำระบายของนายเสมอ”

      ช่วงโค้งสุดท้ายของการสอบ เราทุกคนตั้งใจกันมากๆ โดยเฉพาะเราที่อ่านหนังสืออย่าง ขะมักเขม้นมาล่วงหน้า 3 เดือน โหมอ่านทั้งกลางวันกลางคืน และยังได้พี่วิทย์มาช่วยติวให้อีก จึงทำให้มั่นใจได้พอสมควรว่าทำสอบได้

      เรากับยัยแต๋มนั่งคุยกันในระหว่างที่นั่งอ่านหนังสือที่ม้าหินริมสนามฟุตบอล

      แกเลือกเข้าที่ไหนหรอ” ยัยแต๋มถามขึ้นในวันหนึ่ง

      เชียงใหม่ และเธอล่ะ”

      เราหรอ ไม่ธรรมศาสตร์ ก็ มศว.”

      อ้าว ทำไมไม่ลงจุฬาฯ ที่เดียวกับกฤตล่ะ”

      ไม่เอาหรอก เรียนมาด้วยกันตั้งสามปี เบื่อจะตายแล้ว”

      แล้วแต่เธอแล้วกัน”

      อืม ตั้งแต่งานกีฬาสี ทำไมเธอไม่ยอมพูดกับวัฒน์เลยล่ะ”

      เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”

      จริงอ่ะ ยังโกรธเรื่องที่เธอย้ายโต๊ะวันนั้นอยู่อีกหรอ”

      ไม่ได้โกรธ ระหว่างเรากับวัฒน์ไม่มีอะไรหรอก”

      ยัยแต๋มมองหน้าเราแล้วถอนหายใจ

      เฮ้อ อย่าให้ฉันต้องพูดเลยนะว่าที่เธอรู้สึกอยู่นี่มันคืออะไร”

      อะไร ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่รู้สึกกับเขาอยู่ทุกวันนี้มันคืออะไร”

      มันก็คือความรักไงล่ะ แกแอบรักเขา แกยังไม่รู้ตัวอีกหรอ”

      ฉันไม่เคยรู้ ไม่รู้เลยจริงๆ รู้แค่เพียงว่าเราสองคนเป็นเพื่อนกัน อีกอย่าง ตอนนี้เขาก็มีแฟนแล้วด้วย และเราสองคนก็เป็นผู้ชาย มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก”

      พูดจบ เราก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ โดยมียัยแต๋มฝากเสียงลอยลมมา

      ฉันจะช่วยแกเอง”

      ระหว่างที่เรากำลังจะเดินออกจากโรงเรียน ก็มีคนมากระตุกกระเป๋าเรา พอเราหันไปก็ต้องตกใจ เพราะเขากำลังกุมมือเราไว้อย่างแน่นหนา

      เรามีเรื่องจะคุยด้วย”

      อะไร ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ” เราพยายามที่จะแกะมือออก แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย ทั้งที่พยามที่เอามืออีกข้างมาหยิกแบบแรงๆ เขาก็ไม่ปล่อย

      แล้วเขาก็ค่อยๆ ลากเราด้วยสีหน้าถมึงทึง น่ากลัวมากๆ

      จะพาเราไปไหน” เราพยายามถามเขาด้วยน้ำเสียงสบัด ให้รู้ว่าไม่พอใจ แต่เขาก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงห้วนจัดทีเดียวว่า

      เราต้องไปคุยกันให้รู้เรื่อง”

      เขาโบกแท็กซี่สีฟ้าคันหนึ่ง ในระหว่างที่นั่งรถกันไป เราก็กลัวใจเขาเหลือเกิน กลัวว่ายัยแต๋มจะไปบอกเรื่องนั้น และทำให้เขาโกรธขึ้นมา

      ระหว่างที่รถแล่นมาติดไฟแดง เราตัดสินใจคว้ากระเป๋าทันที และเปิดประตูรถลงมา วิ่งไปให้ไกลที่สุด โดยที่ไม่มองไปทางด้านหลังอีกเลย

      หลังจากวันนั้น สถานการณ์ระหว่างเราสองคนเริ่มแย่หนักขึ้น เราเริ่มไม่พูดกัน ไม่มองหน้ากัน เวลากลับถึงบ้านทุกครั้งเราก็ต้องนอนร้องไห้ ไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้เลย

      จนกระทั่งวันตัดสินชะตามาถึง เราตั้งใจทำข้อสอบเต็มที่ เพื่อที่จะหนีไปให้พ้นจากและหวังว่าสักวันหนึ่งคงจะลืมเขาได้ และไม่มีเขาอยู่ในใจ

      วันประกาศผลสอบมาถึง ก็เป็นไปตามที่หวัง ใจหนึ่งก็ดีใจที่จะได้จากไป อีกใจหนึ่งก็ยังห่วงหา อยากให้เขามาอยู่ด้วยกัน

      แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะหวังเลยด้วยซ้ำ…’

      สุรศักดิ์เปิดอ่านสมุดบันทึกหน้าสุดท้ายด้วยความคิดถึง ระหว่างที่กำลังจะหยิบสมุดบันทึกไปเก็บ ก็มีกระดาษสีฟ้าแผ่นหนึ่งร่วงลงมา

      หวัดดี กาย

      หวังว่าที่เชียงใหม่คงจะอากาศดีนะ ไม่ต้องตกใจหรอกที่จดหมายเรามาอยู่ในสมุดบันทึกเราได้ไง พอดียัยแต๋มเขามาวานให้เราส่งไปให้นายที่เชียงใหม่น่ะ ตอนแรกเราว่าจะไม่แอบอ่านแล้ว แต่เราก็อดไม่ได้ ขออ่านสักหน่อยดีกว่า

      หวังว่าในเร็ววันนี้เราคงจะได้พบกันนะ ตอนนี้เราคิดถึงนายเสมอ คิดถึง ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน และจะคิดถึงตลอดไป ตราบกระทั่งลมหายใจของเราหมดไป

      ขอให้นายเชื่อมั่นความรู้สึกในใจเราเสมอ และหวังว่านายคงจะยังรอเราอยู่เสมอเช่นกัน

      วัฒน์

                  สุรศักดิ์อ่านจดหมายด้วยน้ำตา และจากนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตู

      ใครครับ”

      ไปรษณีย์ครับ”

      วางไว้หน้าห้องก็ได้ครับ ไม่เป็นไร”

      พอดีต้องเปิดห้องออกมารับเองน่ะครับ รบกวนนะครับ”

      ชายหนุ่มค่อยๆ ลุกจากเก้าอี้ไปเปิดประตู และก็ต้องแทบล้มพับ เมื่อ

      สวัสดี กาย”

      มาได้ไงอ่ะ วัฒน์”

      เราเอาจดหมายมาส่ง”

      ชายหนุ่มแบมือ แล้วถามว่า

      ไหนล่ะ จดหมาย”

      ว่าแล้วชายหนุ่มที่อยู่หน้าประตูก็เดินเข้าไปโอบกอดคนที่อยู่ในห้อง แล้วก้มหน้าลงสัมผัสพร้อมกับถ่ายทอด “จดหมาย” ให้อีกฝ่ายได้อ่าน

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×