ลำดับตอนที่ #29
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : เสี้ยววินาที
เรื่องเกิดขึ้นในวันหนึ่ง
เมื่อครั้งผมยังเป็นน้องใหม่ในโรงเรียนมัธยม
ผมเห็นเด็กคนหนึ่งซึ่งเรียนอยู่ชั้นเดียวกันกำลังเดินกลับบ้านหลังเลิกเรียน
ผมจำได้ว่าเขาชื่อไคลล์
ดูราวกับว่าเขากำลังขนหนังสือทุกเล่มของเขากลับบ้านด้วย
ผมคิดว่า
“ทำไมนะถึงยังมีคนหอบหนังสือทั้งหมดของตัวกลับบ้านในวันศุกร์ด้วย
หมอนี่มันจะต้องเป็นพวกคนประหลาดแน่ ๆ เลย”
ผมเองนั้นมีแผนการสำหรับวันหยุดเอาไว้แล้ว
นั่นคือไปงาน party และเล่นฟุตบอลกับพวกเพื่อน ๆ
ตอนบ่ายพรุ่งนี้ คิดไปแล้วผมก็ยักไหล่จะเดินจากไป
แต่ขณะนั้นผมก็เห็นเด็กกลุ่มหนึ่งวิ่งแข่งกันตรงมายังไคลล์
จนชนเขาล้มลงคลุกฝุ่นข้างทาง
หนังสือในอ้อมแขนของเขาก็ตกกระจัดกระจาย
ผมเห็นแว่นตาของเขากระเด็นไปตกบนพื้นหญ้าห่างจากตัวเขาประมาณ
10 ฟุต เขาเงยหน้าขึ้น
และผมก็ได้เห็นความโศกเศร้าอย่างที่สุดในดวงตาของเขา
ใจผมวูบลงทันที ผมวิ่งเยาะ ๆ ไปหาเขา
ขณะที่เขากำลังคลำหาแว่นตาของตัวเองอยู่
ผมสังเกตเห็นว่าตาของไคลล์มีน้ำตาคลอ
ขณะที่ผมยื่นแว่นตาให้เขา ผมก็พูดกับเขาว่า
“งี่เง่าพวกนั้นน่ะ มันน่าจะเก็บซะจริง ๆ”
ไคลล์มองผมและพูดว่า “เฮ ขอบคุณนะ”
ด้วยใบหน้าที่สดใสขึ้นจากรอยยิ้มที่แสดงถึงความสำนึกขอบคุณอย่างจริง ๆ
ผมช่วยเขาเก็บหนังสือ
และถามว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน
มันน่าแปลกใจมากที่กลายเป็นว่าบ้านของเขาอยู่ใกล้ ๆ บ้านผม
ผมถามเขาว่าทำไมผมถึงไม่เคยพบเขามาก่อนเลย
เขาบอกว่าก่อนหน้านี้เขาได้ไปเข้าเรียนอยู่ในโรงเรียนเอกชน
ซึ่งแน่นอนว่าผมก็ไม่เคยได้คบหากับเด็กโรงเรียนเอกชนด้วย
ผมช่วยเขาหอบหนังสือและเราสองคนก็พูดคุยกันไปตลอดทางที่กลับบ้าน
ผมพบว่าไคลล์เป็นเด็กหนุ่มที่น่าสนใจทีเดียว
ผมถามเขาว่าต้องการจะมาเล่นฟุตบอลด้วยกันกับผมและเพื่อนในวันเสาร์รึเปล่า
เขาตอบตกลง
ดังนั้นเราสองคนก็ได้ใช้เวลาในวันหยุดด้วยกันกับพวกเพื่อน ๆ ผม
และยิ่งผมได้รู้จักไคลล์มากขึ้นเท่าไรผมก็รู้สึกชอบเขามากขึ้นเท่านั้น
พวกเพื่อน ๆ ของผมเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
ในเช้าวันจันทร์ถัดมาผมก็ได้เจอไคลล์อีกพร้อมหนังสือกองโตเต็มหอบแขน
ผมหยุดเขาและพูดกับเขาว่า “ให้ตายเถอะ
นายคิดที่จะเพาะกล้ามด้วยกองหนังสือพวกนี้ทุกวันเลยงั้นเหรอ!?”
ไคลล์หัวเราะและแบ่งหนังสือครึ่งหนึ่งให้ผมช่วยถือ
จากวันนั้นมาจนตลอด 4 ปี
ไคลล์และผมก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก
จนเมื่อพวกเราได้เป็นรุ่นพี่ปีสุดท้าย
พวกเราก็ต่างเริ่มคิดถึงเรื่องการเรียนต่อในมหาวิทยาลัย
ไคลล์ตัดสินใจไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย Georgetown
ส่วนผมก็จะไปเรียนที่ Duke
ผมรู้ดีว่าเราจะยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่เสมอและระยะทางห่างไกลนี้ก็ไม่ใช่ปัญหา
สำหรับความสัมพันธ์ของเราเลย
ไคลล์จะเรียนให้จบแพทย์
และผมก็จะเรียนทางด้านธุรกิจโดยใช้ทุนการศึกษาของทีมฟุตบอล
ไคลล์ถูกเลือกให้เป็นผู้กล่าวคำอำลาในพิธีจบการศึกษาของชั้นเรา
ผมยังคงล้อเลียนเขาอยู่ตลอดเวลาในเรื่องที่ว่าเขาเหมือนพวกคนประหลาด
ในขณะที่เขาต้องเตรียมสุนทรพจน์สำหรับงานการจบการศึกษา
ผมก็รู้สึกดีใจมากที่ไม่ใช่เป็นผม
ที่จะต้องขึ้นไปพูดบนเวที
ในวันงานจบการศึกษา ผมมองดูไคลล์
และคิดว่าเขาดูดีมากทีเดียว
ไคลล์นับว่าเป็นหนึ่งในบรรดาคนหนุ่มที่ในที่สุดก็สามารถค้นพบตัวเองในช่วงชีวิต
ของนักเรียนมัธยม
ไคลล์มีรูปร่างล่ำสันขึ้น และดูเหมาะมากกับแว่นตา
เขามีนัดกับสาว ๆ มากกว่าผมอีก
และพวกผู้หญิงก็รักเขาทุกคน
ให้ตายเถอะมันทำให้ผมอดนึกอิจฉาไม่ได้ในบางครั้ง
ผมสังเกตเห็นว่าไคลล์กำลังกังวลเกี่ยวกับการกล่าวสุนทรพจน์
ผมจึงเข้าไปตบหลังให้กำลังใจและพูดว่า “เฮ้ หนุ่ม
..นายจะต้องทำได้เยี่ยมอย่างแน่นอน!”
ไคลล์มองผมด้วยสายตาเช่นทุกครั้ง
สายตาที่แสดงความขอบคุณอย่างจริง ๆ
เขายิ้มพร้อมพูดว่า
“ขอบคุณ”
ไคลล์กระแอม และ ได้เริ่มต้นสุนทรพจน์ของเขาว่า .
“วันจบการศึกษา
เป็นโอกาสที่เราจะได้ขอบคุณบรรดาผู้ซึ่งได้ช่วยเหลือพวกเราให้ผ่านพ้นปีแห่งความยากลำบาก
พวกเขาเหล่านั้นก็คือ พ่อ แม่ คุณครู
พี่น้องของคุณ
หรือแม้แต่โค้ชกีฬาของคุณด้วย
แต่อันที่จริงแล้วผู้ที่คอยช่วยเหลือคุณมากที่สุดนั้นก็คือเพื่อน ๆ ของคุณนั่นเอง ผมได้มายืนอยู่ ณ
ที่นี้ก็เพื่อที่จะบอกคุณทุกคนว่า
การได้รับความเป็นเพื่อนจากใครบางคนนั้น
นับเป็นการได้รับของขวัญอันสุดวิเศษ
และผมขอยืนยันสิ่งนี้ด้วยการเล่าเรื่องของผมให้พวกคุณ ”
ผมมองไคลล์ เพื่อนคนนี้ของผมอย่างไม่เชื่อสายตา
ในขณะที่เขาเล่าถึงวันแรกที่เราสองคนได้พบกัน
เขาเล่าว่าเขาได้วางแผนที่จะฆ่าตัวตายในช่วงวันหยุด
โดยเขาเตรียมการทำความสะอาดล๊อคเกอร์เก็บของที่โรงเรียน
และขนของทุกอย่างในนั้นกลับบ้าน
เพื่อที่แม่ของเขาจะได้ไม่ต้องลำบากมาทำให้เขาอีกในภายหลัง
ไคลล์มองนิ่งมาที่ผมพร้อมยิ้มน้อย ๆ
“น่าขอบคุณจริง ๆ
ที่ผมได้ถูกช่วยชีวิตไว้ เพื่อนของผมช่วยผมไว้จากการตัดสินใจกระทำสิ่งซึ่งจะ
ทำให้ผมไม่มีโอกาสได้มายืนพูดอยู่ ณ ที่นี้อีกเลย”
ผมได้ยินเสียงเฮือกหายใจจากกลุ่มคนที่อยู่ในพิธี
ในขณะที่ได้ฟังเด็กหนุ่มรูปหล่อที่เป็นที่ชื่นชอบของพวกเขาเล่าให้ฟังถึงช่วง
เวลาแห่งความอ่อนแอในชีวิต ผมได้เห็นแม่และพ่อของไคลล์มองมาที่ผม
พร้อมรอยยิ้มแสดงความขอบคุณอย่างเดียวกันและในบัดนั้นเองที่ผมได้เข้าใจถึงความหมายอันลึกซึ้งของคำที่ว่า
คนเราไม่ควรประเมินค่าในการกระทำของตนเองน้อยไป
เพราะเพียงแค่สิ่งเล็กน้อยที่คุณแสดงต่อใครบางคน
ก็สามารถที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาคนนั้นได้ทันที
ไม่ว่าจะเป็นในทางดีหรือทางร้ายก็ตาม
ในความเป็นเพื่อนนั้น
พวกเราได้ถูกกำหนดให้มาพบเจอกันเพื่อที่จะได้ช่วยเป็นแรงผลักดันในชีวิตของกันและกันในทางใดทางหนึ่ง...
ไคลล์จบสุนทรพจน์ของเขาว่า ...."เพราะ เพื่อนคือ Angel
ผู้ที่จะช่วยโอบอุ้มเราให้สามารถยืนหยัดบนขาได้อีกครั้ง
เมื่อปีกของเราลืมวิธีการที่จะบินไปชั่วขณะหนึ่ง”
เมื่อครั้งผมยังเป็นน้องใหม่ในโรงเรียนมัธยม
ผมเห็นเด็กคนหนึ่งซึ่งเรียนอยู่ชั้นเดียวกันกำลังเดินกลับบ้านหลังเลิกเรียน
ผมจำได้ว่าเขาชื่อไคลล์
ดูราวกับว่าเขากำลังขนหนังสือทุกเล่มของเขากลับบ้านด้วย
ผมคิดว่า
“ทำไมนะถึงยังมีคนหอบหนังสือทั้งหมดของตัวกลับบ้านในวันศุกร์ด้วย
หมอนี่มันจะต้องเป็นพวกคนประหลาดแน่ ๆ เลย”
ผมเองนั้นมีแผนการสำหรับวันหยุดเอาไว้แล้ว
นั่นคือไปงาน party และเล่นฟุตบอลกับพวกเพื่อน ๆ
ตอนบ่ายพรุ่งนี้ คิดไปแล้วผมก็ยักไหล่จะเดินจากไป
แต่ขณะนั้นผมก็เห็นเด็กกลุ่มหนึ่งวิ่งแข่งกันตรงมายังไคลล์
จนชนเขาล้มลงคลุกฝุ่นข้างทาง
หนังสือในอ้อมแขนของเขาก็ตกกระจัดกระจาย
ผมเห็นแว่นตาของเขากระเด็นไปตกบนพื้นหญ้าห่างจากตัวเขาประมาณ
10 ฟุต เขาเงยหน้าขึ้น
และผมก็ได้เห็นความโศกเศร้าอย่างที่สุดในดวงตาของเขา
ใจผมวูบลงทันที ผมวิ่งเยาะ ๆ ไปหาเขา
ขณะที่เขากำลังคลำหาแว่นตาของตัวเองอยู่
ผมสังเกตเห็นว่าตาของไคลล์มีน้ำตาคลอ
ขณะที่ผมยื่นแว่นตาให้เขา ผมก็พูดกับเขาว่า
“งี่เง่าพวกนั้นน่ะ มันน่าจะเก็บซะจริง ๆ”
ไคลล์มองผมและพูดว่า “เฮ ขอบคุณนะ”
ด้วยใบหน้าที่สดใสขึ้นจากรอยยิ้มที่แสดงถึงความสำนึกขอบคุณอย่างจริง ๆ
ผมช่วยเขาเก็บหนังสือ
และถามว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน
มันน่าแปลกใจมากที่กลายเป็นว่าบ้านของเขาอยู่ใกล้ ๆ บ้านผม
ผมถามเขาว่าทำไมผมถึงไม่เคยพบเขามาก่อนเลย
เขาบอกว่าก่อนหน้านี้เขาได้ไปเข้าเรียนอยู่ในโรงเรียนเอกชน
ซึ่งแน่นอนว่าผมก็ไม่เคยได้คบหากับเด็กโรงเรียนเอกชนด้วย
ผมช่วยเขาหอบหนังสือและเราสองคนก็พูดคุยกันไปตลอดทางที่กลับบ้าน
ผมพบว่าไคลล์เป็นเด็กหนุ่มที่น่าสนใจทีเดียว
ผมถามเขาว่าต้องการจะมาเล่นฟุตบอลด้วยกันกับผมและเพื่อนในวันเสาร์รึเปล่า
เขาตอบตกลง
ดังนั้นเราสองคนก็ได้ใช้เวลาในวันหยุดด้วยกันกับพวกเพื่อน ๆ ผม
และยิ่งผมได้รู้จักไคลล์มากขึ้นเท่าไรผมก็รู้สึกชอบเขามากขึ้นเท่านั้น
พวกเพื่อน ๆ ของผมเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
ในเช้าวันจันทร์ถัดมาผมก็ได้เจอไคลล์อีกพร้อมหนังสือกองโตเต็มหอบแขน
ผมหยุดเขาและพูดกับเขาว่า “ให้ตายเถอะ
นายคิดที่จะเพาะกล้ามด้วยกองหนังสือพวกนี้ทุกวันเลยงั้นเหรอ!?”
ไคลล์หัวเราะและแบ่งหนังสือครึ่งหนึ่งให้ผมช่วยถือ
จากวันนั้นมาจนตลอด 4 ปี
ไคลล์และผมก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก
จนเมื่อพวกเราได้เป็นรุ่นพี่ปีสุดท้าย
พวกเราก็ต่างเริ่มคิดถึงเรื่องการเรียนต่อในมหาวิทยาลัย
ไคลล์ตัดสินใจไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย Georgetown
ส่วนผมก็จะไปเรียนที่ Duke
ผมรู้ดีว่าเราจะยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่เสมอและระยะทางห่างไกลนี้ก็ไม่ใช่ปัญหา
สำหรับความสัมพันธ์ของเราเลย
ไคลล์จะเรียนให้จบแพทย์
และผมก็จะเรียนทางด้านธุรกิจโดยใช้ทุนการศึกษาของทีมฟุตบอล
ไคลล์ถูกเลือกให้เป็นผู้กล่าวคำอำลาในพิธีจบการศึกษาของชั้นเรา
ผมยังคงล้อเลียนเขาอยู่ตลอดเวลาในเรื่องที่ว่าเขาเหมือนพวกคนประหลาด
ในขณะที่เขาต้องเตรียมสุนทรพจน์สำหรับงานการจบการศึกษา
ผมก็รู้สึกดีใจมากที่ไม่ใช่เป็นผม
ที่จะต้องขึ้นไปพูดบนเวที
ในวันงานจบการศึกษา ผมมองดูไคลล์
และคิดว่าเขาดูดีมากทีเดียว
ไคลล์นับว่าเป็นหนึ่งในบรรดาคนหนุ่มที่ในที่สุดก็สามารถค้นพบตัวเองในช่วงชีวิต
ของนักเรียนมัธยม
ไคลล์มีรูปร่างล่ำสันขึ้น และดูเหมาะมากกับแว่นตา
เขามีนัดกับสาว ๆ มากกว่าผมอีก
และพวกผู้หญิงก็รักเขาทุกคน
ให้ตายเถอะมันทำให้ผมอดนึกอิจฉาไม่ได้ในบางครั้ง
ผมสังเกตเห็นว่าไคลล์กำลังกังวลเกี่ยวกับการกล่าวสุนทรพจน์
ผมจึงเข้าไปตบหลังให้กำลังใจและพูดว่า “เฮ้ หนุ่ม
..นายจะต้องทำได้เยี่ยมอย่างแน่นอน!”
ไคลล์มองผมด้วยสายตาเช่นทุกครั้ง
สายตาที่แสดงความขอบคุณอย่างจริง ๆ
เขายิ้มพร้อมพูดว่า
“ขอบคุณ”
ไคลล์กระแอม และ ได้เริ่มต้นสุนทรพจน์ของเขาว่า .
“วันจบการศึกษา
เป็นโอกาสที่เราจะได้ขอบคุณบรรดาผู้ซึ่งได้ช่วยเหลือพวกเราให้ผ่านพ้นปีแห่งความยากลำบาก
พวกเขาเหล่านั้นก็คือ พ่อ แม่ คุณครู
พี่น้องของคุณ
หรือแม้แต่โค้ชกีฬาของคุณด้วย
แต่อันที่จริงแล้วผู้ที่คอยช่วยเหลือคุณมากที่สุดนั้นก็คือเพื่อน ๆ ของคุณนั่นเอง ผมได้มายืนอยู่ ณ
ที่นี้ก็เพื่อที่จะบอกคุณทุกคนว่า
การได้รับความเป็นเพื่อนจากใครบางคนนั้น
นับเป็นการได้รับของขวัญอันสุดวิเศษ
และผมขอยืนยันสิ่งนี้ด้วยการเล่าเรื่องของผมให้พวกคุณ ”
ผมมองไคลล์ เพื่อนคนนี้ของผมอย่างไม่เชื่อสายตา
ในขณะที่เขาเล่าถึงวันแรกที่เราสองคนได้พบกัน
เขาเล่าว่าเขาได้วางแผนที่จะฆ่าตัวตายในช่วงวันหยุด
โดยเขาเตรียมการทำความสะอาดล๊อคเกอร์เก็บของที่โรงเรียน
และขนของทุกอย่างในนั้นกลับบ้าน
เพื่อที่แม่ของเขาจะได้ไม่ต้องลำบากมาทำให้เขาอีกในภายหลัง
ไคลล์มองนิ่งมาที่ผมพร้อมยิ้มน้อย ๆ
“น่าขอบคุณจริง ๆ
ที่ผมได้ถูกช่วยชีวิตไว้ เพื่อนของผมช่วยผมไว้จากการตัดสินใจกระทำสิ่งซึ่งจะ
ทำให้ผมไม่มีโอกาสได้มายืนพูดอยู่ ณ ที่นี้อีกเลย”
ผมได้ยินเสียงเฮือกหายใจจากกลุ่มคนที่อยู่ในพิธี
ในขณะที่ได้ฟังเด็กหนุ่มรูปหล่อที่เป็นที่ชื่นชอบของพวกเขาเล่าให้ฟังถึงช่วง
เวลาแห่งความอ่อนแอในชีวิต ผมได้เห็นแม่และพ่อของไคลล์มองมาที่ผม
พร้อมรอยยิ้มแสดงความขอบคุณอย่างเดียวกันและในบัดนั้นเองที่ผมได้เข้าใจถึงความหมายอันลึกซึ้งของคำที่ว่า
คนเราไม่ควรประเมินค่าในการกระทำของตนเองน้อยไป
เพราะเพียงแค่สิ่งเล็กน้อยที่คุณแสดงต่อใครบางคน
ก็สามารถที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาคนนั้นได้ทันที
ไม่ว่าจะเป็นในทางดีหรือทางร้ายก็ตาม
ในความเป็นเพื่อนนั้น
พวกเราได้ถูกกำหนดให้มาพบเจอกันเพื่อที่จะได้ช่วยเป็นแรงผลักดันในชีวิตของกันและกันในทางใดทางหนึ่ง...
ไคลล์จบสุนทรพจน์ของเขาว่า ...."เพราะ เพื่อนคือ Angel
ผู้ที่จะช่วยโอบอุ้มเราให้สามารถยืนหยัดบนขาได้อีกครั้ง
เมื่อปีกของเราลืมวิธีการที่จะบินไปชั่วขณะหนึ่ง”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น