ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My Brother คุณพี่ชายที่รัก

    ลำดับตอนที่ #1 : การพบกันอีกครั้ง

    • อัปเดตล่าสุด 27 ส.ค. 48


    “จดหมายครับ”

        “โอ๊ะ!  ขอบคุณครับ”  และบุรุษไปรษณีย์ก็ขับรถผ่านไป....เอ...จดหมายใครหว่า  จากกรุงเทพซะด้วยสิ  อ้อ..เจ้าต้อนี่เอง  แหมไปเรียนที่ กทม. ดันได้แฟนที่โน่น  อื้อแต่ถ้าให้ผมเลือกก็คงไม่อยู่ที่เมืองแห่งความเจริญแบบนั้นแน่ๆ  ทำไมนะเหรอก็อยู่ที่เชียงใหม่มันสบายกว่ากันตั้งเยอะนี่นา  อากาศก็ดีกว่าถึงแม้ช่วงนี้เมืองกำลังค่อยๆพัฒนาไปก็เถอะ  เอ้าอ่านจดหมายดีกว่า

        “หวัดดีเว้ย เจ้าแสงเพื่อนเลิฟและรักโคตรๆ  ข้าหาข่าวน้องสาวเอ็งได้แล้วว่ะ  พอดีแฟนข้าทำงานเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนคริสเตียนที่นี่  บังเอิ้น  บังเอิญเจอเด็กที่นามสกุลเดียวกะเอ็ง  ถ้าจะมาหาข้าก็มาตามที่อยู่ที่แนบมานี่  ไม่งั้นก็โทรเข้าเบอร์เดิมของข้า  เอ็งนะมีมือถือได้แล้ว  ข้าขี้เกียจเขียน จม. โว้ย  แล้วจะพาเที่ยวเปิดหูเปิดตาความเจริญบ้าง  เข้าใจไหม  แกเปลี่ยนไปซะขนาดนี้เลยไม่ได้เที่ยวเหมือนตะก่อน  อย่าลืมน่ะเว้ย  แค่นี้แหละ   รักเหมือนเดิมไอ้คนขี้จิ๊”

        เท่านี้แหละทำให้ผมต้องนั่งรถไฟลง กทม. ทันที  น้องสาวของผมที่ไม่ได้เจอกันตั้ง  9  ปี  ตั้งแต่คุณพ่อและคุณแม่เสียเพราะอุบัติเหตุรถยนต์  โชคชะตาก็เล่นตลกจริง  ผมท่าจะอาภัพเรื่องบุพการีนะ  ตั้งแต่เด็กๆแม่ก็เสีย  พอแต่งงานใหม่ก็มารถคว่ำเสียชีวิตทั้งคู่  แม่คนที่ 2 ของผม  แม่ที่เปรียบเสมือนแม่แท้ๆ.....คนที่ผมรักมากที่สุด...ท่านได้สั่งเสียผมก่อนจะสิ้นลมว่าให้ดูแลน้องให้ดี....ใช้แล้ว  น้องสาวคนละแม่ ห่างกับผมไป  8  ปี  ตอนนั้นก็สัญญาไปว่าผมจะดูแลน้องตลอดไป  แต่พวกญาติคุณแม่ที่อยู่ กทม.ไม่ยอมให้ผมดูแลน้อง  หาว่าผมเด็กเกินไปยังไม่บรรลุนิติภาวะ  เลยต้องแยกกับน้องสาวไป  ตอนนี้ผมค่อยๆเก็บเงินเพื่อจะได้เลี้ยงดูน้องสาวคนนี้  ป่านนี้เธอจะเป็นอย่างไรบ้างนะ  เธอจะจำผมได้หรือเปล่า  ถึงผมจะจบแค่ ม.5 แต่ก็มีเงินเก็บหลายแสนแล้วนา  ก็ค่อยทำงานโน่นงานนี่ไปตามยถากรรมนั่นแหละ  น้องสาวผมชื่อเล่นหมอก ชื่อจริงก็ศศิธร อินทนิล

        และก็ถึงสถานีหัวลำโพง  นอนไม่ค่อยหลับเลย  คนมากมายแทบจะอัดกันตาย  นี่แหละเหตุผลที่ผมไม่ค่อยชอบเมืองหลวง

    “เฮ้ย!!ไอ้แสงโว้ย”  เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น

    “ว่าไงว่ะ  ไอ้ต้อ  เอ็งนี่หัวล้านขึ้นหรือเปล่า  ฮ่าฮ่า”

    “ว่าไปเฮอะ  เอ้าไปไหนกันก่อนดี  เดี๊ยวข้าจะพาเอ็งไปหาอะไรกิน แถวเยาวราชเป็นไง  ตอนนี้ก็ใกล้บ่ายแล้ว  แล้วดึกๆ”  มันเริ่มมีหน้าเลศนัยอีกล่ะ

    “เอ็งจะพาข้าไป RCA ข้ารู้ท่าทางเอ็งหรอก”

    “แหม้  นานๆจะหาข้ออ้างกับแฟนไปเที่ยวซักที”

    “เอ่อๆๆๆ  นี่ถ้าไม่ได้เจอกันนานข้าก็ไม่ไปกับเอ็งหรอก  เอ่อแล้วที่อยู่น้องสาวข้าละ”

    “เอ้านี่  เกือบลืม  แฟนข้าเค้านัดเวลาให้แล้ว ตอน 9 โมงที่ห้องธุรการ  เห็นว่าต้องพบอธิการด้วยนะ” แล้วมันก็ยื่นกระดาษโน้ตเล็กๆให้ผม

        เวลาผ่านไปเร็วมาก  แป๊ปๆก็มืดแล้วเจ้าต้อลากผมไปนั่งแถบ RCA ทันทีไม่รอช้า สั่งเบียร์มากิน  ท่าทางมันเหมือนอดอยากมาหลายปี

    “เอ้า  ฉลองหน่อยเว้ย  วันนี้โสด 1 วัน ฮ่าฮ่า” พูดแล้วก็พากับแกล้มเข้าปาก  ความจริงผมก็เป็นคนดื่มจัดเหมือนกัน  แต่ตอนนี้ต้องเก็บเงินไว้เลี้ยงน้องสาวด้วยเลยไม่อยากจะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย  อีกอย่างถ้าเกิดดื่มเยอะไป พรุ่งนี้จะไม่มีแรงไปหาหมอก

    “เฮ้อ.....เอ็งน้า  ไม่น่าทำเรื่องเมื่อตอนนั้นเล้ยไม่งั้นป่านนี้ก็ได้เรียนวิดวะสมใจแล้ว”

    “เอาน่า  มันผ่านมาแล้ว  ช่างเถอะ  แล้วเอ็งกับแฟนละ”  ผมพูดจบมันก็เริ่มฟุบหน้าลงแล้วรำพึงรำพัน ... ท่าทางจะเข้าที่แล้วสิ  

    “เดี๊ยวข้าไปห้องน้ำก่อนน่ะ”  ปล่อยให้มันพรรณนาไปก่อนละกัน  ขอไปปลดทุกข์ก่อนเถอะ  เมื่อผมเดินมาทางที่ไม่ค่อยมีแสงไปเท่าไหรบวกกับเสียงที่ดังจนทำให้ใจเต้นไปกับจังหวะแดนซ์ของดนตรี  พอดีผมเหลือไปเห็นกลุ่มเด็กวัยรุ่นกำลังถกเถียงอะไรกันไม่ทราบคนอื่นคงไม่สังเกตหรอกเพราะมันค่อนข้างมืด  แต่ที่ผมเห็นลางๆคือเด็กสาววัยรุ่นกำลังถียงกับชาย 2-3 คน  นั่นมันจับเหมือนลวนลาม  ผมค่อยแทรกตัวเข้าไปฟังใกล้จับใจความได้ประมาณว่าเข้าไปขอเบอร์แล้วสาวเจ้าไม่เล่นด้วย  ทันใดนั้นผมก็ต้องตกใจเพราะเด็กสาวคนนั้นถือขวดเหล้าหรือเบียร์ที่อยู่ข้างโต๊ะ  ฟาดไปที่หัวคนที่ได้ยินเสียงต่างก็กรีดกร๊าดโดยเฉพาะผู้หญิง  ชายอีกคนทำท่าจะเงื้อมือตบ...และผมก็ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไปถึงได้วิ่งไปต่อยชายวัยรุ่นคนนั้น จนกระเด็น  แล้วคว้ามือสาวเจ้าโกยแนบออกจากบริเวณนั้นทันที  วิ่งมาเรื่อยๆจนไม่รู้ไปโผล่ที่ไหนแต่ก็ไกลจนแทบไม่ได้ยินเสียงเพลงจากที่นั่นแล้ว....

    “โอยเหนื่อย....เอ่อ คุณเป็นไงบ้างครับ”  แสงไฟทำให้ผมเห็นหน้าของหญิงสาวชัดเจนขึ้น.....นั่นทำให้ผมตะลึงไปเลย...สวยกว่าดาราบางคนที่แสดงละครอีกน่ะเนี่ย  ท่าทางประมาณเด็กมหาวิทยาลัยปี 2 ปี3  ดูเหงื่อและเสียงหายใจของเธอคงเหนื่อยกับการวิ่งหนีพอสมควรเลยทีเดียว

    “เอ่อ...คุณ”  ผมสะดุ้งเฮือกเพราะผมยังจับมือเธออยู่เลย  ตอนแรกไม่นึกว่าจะนุ่มขนาดนี้  ผมรีบปล่อยมือทันที

    “ขะ...ขอโทษทีครับ”  ผมท่าจะมีท่าทางเลิกลั่กมากจนเธอยิ้มนิด  นั่นยิ่งทำให้ผมใจเต้นแรงเข้าไปใหญ่

    “คุณนี่ตลกจังเลยนะ  นึกยังไงถึงช่วยฉันไว้ละ”  เธอรู้ว่าผมเขินเลยพูดเสียงซะน่ารักเลย

    “เอ่อก็....แค่ไม่ชอบที่เจ้าพวกนั้นมันไม่ให้เกียรติผู้หญิงนะสิ”  แปลกแฮะ  กับคนที่ไม่เคยคุ้นเคยกันกลับคุยกันได้ขนาดนี้

    “สนใจไปทานอะไรไหม  เดี๊ยวฉันเลี้ยงแทนคำขอบคุณนะ”  ผมไม่ทันพูดอะไรสักคำเธอก็เดินไปทันที  ผมเดินตามเธอไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ว่าแล้วเธอก็สั่งเส้นเล็กต้มยำให้

    “หวังว่าคุณคงทานได้นะ  เผ็ดนะ”  เธอนั่งลงที่โต๊ะ  ไฟจากร้านทำให้ผมเก็บรายละเอียดเธอได้ชัดเจนขึ้น  เธอสวยมากๆ  ขาว ผมยาว ตาโต  เสป็คพื้นฐานของชายหนุ่มทั่วไปเลย  มิน่าเจ้าเด็กพวกนั้นถึงได้มาหม้อ

    “คุณนี่ใจกล้ามากเลยน่ะเนี่ย  มีผู้หญิงไม่กี่คนหรอกที่ทำแบบนั้นนะ”  ผมหัวเราะแฮ่ๆตามประสา  เธอมองผมด้วยสายตาที่ทำให้ผมใจเต้นแรงเข้าไปอีก

    “แล้วคุณคิดว่าฉันเป็นคนยังไงเหรอ”

    “เอ่อ....คือ”  พอดีก๋วยเตี๋ยวช่วยชีวิต  ผมรีบคว้ามาทานโดยไม่ปรุงเลย

    “อื้อ  อร่อยมากเลย”

    “อ้อแน่ละ  ฉันทานมาตั้งแต่เด็กแล้ว”  เธอยิ้มแล้วก็ลงมือทาน  ทำให้ผมโล่งใจที่ไม่ต้องตอบคำถามนั้น

    เวลาผ่านไปเร็ว  ผมแอบคิดเล็กๆว่าอยากให้มันผ่านไปอย่างช้า  ตามประสาชายหนุ่มที่ไร้คู่  ผมเดินมาส่งเธอ

    “เอาล่ะคุณส่งฉันแค่นี้แหละ”

    “อื้อ  ระวังตัวด้วยนะครับ  แล้วคุณเรียนมหาวิทยาลัยที่ไหนเหรอเผื่อว่าผม...จะแวบไปหา”  เอ...กล้าพูดได้ยังไงหว่า  แสดงว่าตัวผมเองท่าจะติดใจหญิงสาวคนนี้พอสมควรเลยล่ะเนี่ย

    “ฉัน...ไม่บอกหรอก  ถ้าเราจะได้เจอกันจริง  เดี๊ยวคงได้เจอกันอีก  ไปล่ะค่ะขอบคุณเรื่องเมื่อวันนี้ด้วยนะ”

    “เราจะได้พบกันอีกไหม”  ผมพูดออกไปอย่างร้อนใจ

    “ฉันสังหรณ์ว่า  น่าจะเป็นอย่างนั้นน่ะ”  แล้วเธอก็เดินจากผมไป....ว้าวววการมา กทม.ครั้งนี้ไม่เสียเที่ยวแฮะ.....นี่กี่โมงแล้วเนี่...ตี3  เฮ้ยเจ้าต้อละ!!!!

        กริ๊กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    เสียงนาฬิกาดังลั่นห้อง  ตายจริงวันนี้ผมต้องไปรับหมอกนี่นา  นี่มัน 8 โมงแล้ว  ไม่ใช่เชียงใหม่ซะด้วยที่ 15 นาทีจะไปถึงที่หมาย  ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวที่สุภาพทีสุดเท่าทีเคยมา  เจ้าต้อให้ผมยืมชุดสูทเลย  ต้องรีบแล้ว

    ดีนะที่มีรถไฟฟ้า  ไม่งั้นป่านนี้คงติดเหง็กอยู่กลางกรุงแล้ว  ผมมาถึงที่โรงเรียนพอดี  เข้ามาถึงก็ต้องเจอสายตาของเด็กสาวนับร้อยที่กำลังทำกิจกรรมอยู่กลางสนาม  สายตาพุ่งมาที่ผมทันที  เสียงซุบซิบดังขึ้น....โอย...ลืมไปว่าที่นี่หญิงล้วนให้ตายเถอะ  

    “คุณส่องแสงใช่ไหม”  ครูสาวคนหนึ่งเรียกผม

    “เอ่อ  ครูดาวใช่ไหมครับ”  ใช่ๆแฟนเจ้าต้อนี่นา  เหมือนนางฟ้ามาโปรดเลยหละ

    “ทางนี้แสง  อธิการกำลังรออยู่เลย  แต่ขอบอกเลยนะ  ว่ามันไม่ง่ายที่จะพาศศิธรกลับไปนะ”  สีหน้าของดาวเครียดกว่าที่คิด  และผมก็เข้าใจว่าทำไมดาวถึงเครียด  เมื่อผมย่างก้าวเข้าไปห้องประชุม  ที่มีซิสเตอร์ถ้าผมเรียกไม่ผิด นั่งอยู่ 5-6 คน  บรรยากาศตึงเครียดจนผมเริ่มเกร็ง

    “เอ่อ...สวัสดีครับ...ผมส่องแสง  อินทนิล ครับ”  ผมยกมือไหว้ทุกท่านแต่คนที่รับไหว้มีไม่กี่คน  ผมเห็นซิสเตอร์ที่ดูอาวุโสสุด  แต่ยังดูแข็งแรงอยู่ยิ้มให้กับผม  ค่อยๆคลายเครียดลงได้

    “ไม่ทราบว่าคุณทำงานอะไร”

    “บ้านอยู่ที่ไหนค่ะ”

    “ทำไมอยู่ถึงจะมาพาศศิธรกลับไป”

    ผมอึ้งอยู่สักพักแต่ก็ไม่โกหก

    “ผมทำงานเป็นพนักงานซ่อมรถในเมืองเชียงใหม่ครับ  ที่ผมต้องการพาตัวน้องสาวกลับก็เพราะ  ผมมีกำลังทรัพย์พอที่จะส่งเสียและดูแลน้องสาวได้  ที่สำคัญผมสัญญากับคุณแม่ว่าจะพาน้องกลับไป”  ซิสเตอร์คนอื่นๆเริ่มแอบซุบซิบกัน  มีเพียงซิสเตอร์อาวุโสท่านนั้นเท่านั้นที่ทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่

    “ดิฉันคิดว่า  ถ้าศศิธรเรียนที่นี่อนาคตแกจะไปได้ดีกว่าถ้ากลับไปเรียนที่โน้น”

    “อีกอย่างตัวคุณเองก็ทำงานเป็นพนักงานซ่อมรถ  แค่หาเลี้ยงตัวเองก็คงพอได้แต่ถ้าต้องเลี้ยงคนอีกคนลำพังเงินเดือนของคุณคงไม่พอน่ะค่ะ  ไหนจะค่ากิน ค่าเทอม ค่าจิปาถะอื่น”  ผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกตบ

    “อย่างน้อยผมก็ทำงานที่สุจริต  ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย”

    “นั่นสิ  ถ้าค่าเทอม  ก็ให้ศศิธรขอกู้เงินทุนได้  ก็จะเบาแรงคุณส่องแสงไปได้”  ซิสเตอร์อาวุโสคนนั้นพูดออกมา  ใจผมเริ่มชื้นขึ้น

    “แต่ว่าแม่อธิการค่ะ  ศศิธรต้องหาที่เรียนใหม่อีกน่ะค่ะถ้าไปอยู่ที่โน่น”

    “ไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอก  โรงเรียนคริสชื่อดังที่โน่นก็เครือเดียวกับโรงเรียนเรานั่นแหละ  เดี๊ยวซิสเตอร์จะส่งเรื่องไปให้เอง  ตกลงไหมคุณส่องแสง”  แม่อธิการยิ้มให้กับผม

    “ขอบคุณครับ  เอ่อ คุณแม่อธิการ”

    “เอาล่ะ ละอองดาว ไปตามศศิธรให้มาพบพี่เธอได้แล้ว”  แม้ว่าสีหน้าของซิสเตอร์คนอื่นๆจะไม่ค่อยพอใจ  แต่ก็ต้องเดินออกไปตามแม่อธิการ  ตอนนี้เหลือผมอยู่ในห้องประชุมคนเดียวแล้ว  ดาวส่งยิ้มให้ผมแล้วทำท่าเยสให้แล้วเธอก็เดินออกไป

    ผมทรุดตัวนั่งลงเหมือนผ่านศึกอะไรสักอย่างมา  เอถ้าเราเจอหมอกเราจะพูดอะไรก่อนดี  อืม...คิดคำพูดที่ไม่น้ำเน่า  แล้วก็...เอ่อ

    เสียงประตูเปิดขึ้น  ครูดาวโผล่ออกมา

    “คุยกันได้ตามสบายน่ะ 2 พี่น้อง เดี๊ยวดาวมีสอนไปล่ะ”  แล้วเธอก็เดินสวนกับเด็กสาวคนหนึ่งที่มัดหางม้าตามเครื่องแบบเด็กสาวม.ปลาย

    “เอ่อ...หมอกจำพี่...ได้ไหม”  เมื่อเห็นหน้าหมอก  ทำให้ผมต้องยืนตะลึง  ในสมองขาวโพลน....ผม..ตะลึงจนบอกไม่ถูก  เธอเองก็ตกตะลึงเช่นเดียวกันกับผม  เพราะหมอกคือหญิงสาวที่ผมเจอเมื่อคืนนี้....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×