ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic BTS] Law of The Jungle (kookmin, namjin)

    ลำดับตอนที่ #12 : CHAPTER 10 l ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ (รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.88K
      140
      13 ธ.ค. 60





    CHAPTER 10

    You'd go crazy trying to understand my mind.

     

     

     

     

                จีมินรู้สึกว่าบรรยากาศตอนนี้ไม่ดีเอาเสียเลย ทั้งๆ ที่อากาศก็ไม่ได้ร้อนอะไรขนาดนั้น แต่เหงื่อของเขากลับพากันผุดออกมาเพียงเพราะโดนจองกุกจ้องหน้าตาไม่กระพริบอยู่แบบนี้ แผลเก่าที่โดนรุมมายังไม่ทันหายเลยนะ ถ้าโดนจองกุกแกล้งอีกเขาก็ไม่รู้จะไปตอบยายว่าอะไรแล้ว

     

                คนตัวเล็กหลับตาปี๋ทันทีที่มือใหญ่เขาใกล้ใบหน้าของตน เขาคิดว่าคงจะโดนต่อยแน่ๆ แต่แล้วความคิดนั้นก็พลันหายไปเมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสอุ่นๆ ที่แตะลงบนแผลฟกช้ำบนใบหน้าของเขา จีมินค่อยๆ ลืมตาขึ้น ใบหน้าของจองกุกตอนนี้บึ้งตึงจนน่ากลัว คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบเป็นปม จีมินรู้สึกทำตัวไม่ถูก เขาทำเพียงเม้มปากแน่นเพื่อหลบหนีสัมผัสที่ไล่มาจนถึงริมฝีปากช้ำเพราะถูกต่อยเมื่อวาน

     

                ใครทำหลังจากเงียบอยู่นาน คนตัวสูงก็พูดขึ้นทั้งที่มือนั้นยังไม่ละออกไป

     

                ฉันสะดุดล้ม

     

                คิดว่าฉันโง่รึไงถึงได้ดูออกไม่ว่านายโดนรุมต่อยจนหน้าแหกมา

     

                ฟึ่บ!

     

                เฮ้ย! เสื้อนักเรียนถูกถกขึ้นอย่างรวดเร็วจนเจ้าของมันร้องเสียงหลง ดวงตากลมโตมีสเน่ห์มองที่รอยช้ำบนตัวของจีมินด้วยความหงุดหงิดใจ เขาตวัดสายตาของตนเองขึ้นมองรอบแผลบนใบหน้าของจีมินอีกครั้ง ก่อนจะเดินฟึดฟัดออกไปทิ้งให้จีมินยืนอยู่ด้วยความมึนงง

     

                อะไรของเขากันนะ

     

     

     

     

     

     

                ไปทำอะไรมาหน้าถึงได้เป็นแบบนั้นนั่นคือสิ่งที่มินยุนกิอยากจะถามคนตรงหน้าของตนในตอนนี้ แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกไป คนตัวขาวทำเพียงมองหน้าแทฮยองที่ยืนค้ำหัวของเขาจนบดบังแสงอาทิตย์ไปหมด

     

                จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าฉันไปทำอะไรมา เสียงทุ้มเอ่ย มือสองข้างเท้าเอว ยืนจ้องตากับยุนกิอยู่นานสองนาน และก็เหมือนทุกครั้ง มีเพียงความเงียบที่แทฮยองได้รับ เขาถอนหายใจก่อนจะดึงข้อมือของยุนกิให้เดินตาม

     

                จะไปไหน

     

                ตามมาเหอะน่า

     

                แต่จะได้เวลาเข้าเรียนแล้ว ยุนกิทัก เขาพยายามบิดข้อมือของตัวเองให้พ้นจากการกอบกุม แต่ก็ไม่ได้ผล แถมดูเหมือนว่าแทฮยองจะยิ่งจับข้อมือของเขาแน่นขึ้นกว่าเดิม

     

                ช่างหัวมันสิ

     

                ครืด~ ปัง!

     

                เสียงเปิดและปิดประตูเป็นไปอย่างรวดเร็ว แทฮยองลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้ยุนกินั่ง ก่อนที่เขาจะนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่ฝั่งตรงข้าม มัวนั่งเฉยอะไรอยู่ล่ะ ทำแผลสิ

     

                ทำไม...

     

                ก็แผลนี้ฉันได้มาเพราะนาย นายก็ต้องเป็นคนทำ

     

                ยุนกิมองคนตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลที่ถูกเก็บไว้ตรงตู้ยาแล้วเดินมานั่งที่เดิม มือขาวหยิบอุปกรณ์ต่างๆ ออกมาและเริ่มลงมือทำแผลให้กับแทฮยอง

     

                โอ๊ย เบาๆ หน่อยสิร้องบอกคนที่อยู่ๆ ก็จิ้มสำลีที่ชุ่มไปด้วยแอลกอฮอล์ลงบริเวณแผลอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่เมื่อได้ยินเสียงพึมพำคำว่าขอโทษเบาๆ จากคนตัวขาว แทฮยองจอมโวยวายก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ และนั่งนิ่งให้ยุนกิได้ทำแผลต่อ

     

                ฝีมือใช้ได้เหมือนกันนะนาย เคยทำให้ใครมาก่อนหรือไง

     

                ไม่เคย

     

                งั้นเหรอ อืม...ช่างเถอะ ว่าแต่ไม่อยากรู้จริงๆ เหรอว่าฉันไปได้แผลพวกนี้มาจากไหน น้ำเสียงที่ดูกระตือรือร้นของแทฮยองทำให้ยุนกิถอนหายใจ ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายอยากเล่ามากแค่ไหน จะมานั่งตื๊อให้เขาถามทำไมกัน

     

                ถ้าอยากจะเล่าก็เล่ามาเถอะ

     

                แทฮยองทำหน้ายู่ จริงๆแล้วก็ไม่อยากจะบอกหรอกนะแต่เห็นว่าอีกคนดูท่าทางอยากรู้หรอก เขาจะยอมเสียเวลาเล่าให้ฟังก็ได้

     

                วันนี้ฉันไปต่อยคนมา

     

                และสิ่งที่ได้ยินก็ไม่ผิดไปจากที่คาดเอาไว้ ยุนกิคิดว่าแทฮยองคงไปมีเรื่องราวชกต่อยเหมือนเก่า เขาเองก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่นักว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ทำท่าอยากเล่าเสียเต็มที่ขนาดนั้น การต่อยตีกับคนอื่นนี่มันน่าภูมิใจมากหรือไงกัน

     

                ไอ้สองตัวนั้นที่มันต่อยนาย ฉันจัดการมันไปเรียบร้อยแล้ว

     

                ประโยคต่อมาทำให้มือขาวที่หยิบพลาสเตอร์ใสอยู่หยุดชะงัก ยุนกิมองหน้าแทฮยองนิ่ง ทำไม...

     

                พูดเป็นแต่คำว่าทำไมรึไง ไหนล่ะคำขอบคุณ อุตส่าห์ไปแก้แค้นให้จนเจ็บตัวแบบนี้ ไม่มีขอบคุณกันสักคำ ที่บ้านเลี้ยงมายังไงเนี่ย

     

                มือขาวกระตุกอีกครั้งเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงที่บ้านของตน ยุนกิวางพลาสเตอร์ลงบนโต๊ะ ใบหน้าสวยมีท่าทางซึมเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด จนคนที่นั่งกอดอกทำท่าทางเข้มขรึมเมื่อครู่ถึงกับไปไม่ถูก แทฮยองนั่งกระสับกระส่าย

     

                อะไรวะ แค่ทวงคำขอบคุณแค่นี้ถึงกับหงอยเลยเหรอ

     

                เฮ้ย คือแบบจริงๆ ฉันก็ไปเอง นายไม่ได้ขอ คือ... เอ่อ...

     

                ขอบคุณแล้วก็ เลิกมายุ่งกับฉันสักทีเถอะ ยุนกิพูดเสียงเรียบ คนตัวขาวลุกขึ้นเดินออกไปทิ้งให้แทฮยองที่ยังคงไม่เข้าใจอะไรอยู่ในห้องพยาบาลเพียงลำพัง

     

                แทฮยองมองตามคนยุนกิที่เดินออกไป เขานึกอยากจะตบปากตัวเองเหลือเกินที่พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง เขาลุกขึ้นยืน ตั้งใจจะเดินตามยุนกิออกไป แต่ก็ต้องนั่งลงที่เดิมเมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทกำลังเดินหน้าบึ้งเข้ามาหาตน จะเอามือมาบังแผลก็คงไม่ทัน เพราะดูจากการที่สับเท้าไวขนาดนี้คงรู้เรื่องมาบ้างแล้ว และดูท่าว่าจะโกรธมากเสียด้วย

     

                บอกแล้วไงว่าถ้าจะไปมีเรื่องกับใครให้เรียกกูไปด้วยน่ะ!คนที่เพิ่งมาถึงพูดเสียงดังใส่จนแทฮยองต้องนิ่วหน้า ยกมือขึ้นมาปิดหูแทบไม่ทัน โกรธขนาดนี้ก็เอาฟันหน้าเฉาะกันเลยเถอะ

     

                จะเสียงดังทำไม นั่งๆ มาทำแผลให้กูนี่ อูย เจ็บชะมัด

     

                ทำไมไม่เรียกกู ยอมนั่งลงแต่โดยดี ทั้งที่ในใจคุกรุ่น โฮซอกหยิบพลาสเตอร์ปิดแผลขึ้นมา ฉีกซองพลาสติกออกจากนั้นจึงแปะลงบนแผลบนใบหน้าของแทฮยอง

     

                ไม่ใช่เรื่องของมึง คนพูดไม่ได้ตั้งใจพูด แต่สำหรับคนฟังแล้วมันเสียดแทงใจจนรู้สึกเจ็บจี๊ดไปทั่วอก โฮซอกทำเมินคำพูดนั้นของแทฮยอง พยายามกดความรู้สึกน้อยใจลงไปยังก้นบึ้งของหัวใจเพื่อไม่ให้มันได้ผุดขึ้นมาจนเขาเผลอพูดหรือทำตัวแย่ๆ ใส่เพื่อนสนิท

     

                แล้วทำไมจองกุกมันถึงได้ไปด้วย

     

                แก้แค้นให้เด็กมันมั้ง

     

                ใคร จีมินน่ะเหรอ

     

                ก็มีอยู่คนเดียว แทฮยองตอบในขณะที่มือก็เปิดเสื้อขึ้นเพื่อให้โฮซอกช่วยทายาได้ถนัด

     

                นึกว่าจะเลิกยุ่งไปแล้วซะอีก

     

                ทำไม หึงรึไง โอ๊ย! เบาๆ ดิวะคนผิวเข้มร้องเสียงดังลั่นห้องพยาบาลเมื่อนิ้วที่เต็มไปด้วยยาแก้ฟกช้ำของเพื่อนตัวดีกดเข้าบนรอยช้ำเต็มแรง โฮซอกขำกับท่าทีของคนตรงหน้า เขาลดแรงที่มือลง ใช้นิ้ววนซ้ำไปมาให้ตัวยาซึมเข้าเนื้อ

     

                พูดมาก นั่งเงียบๆ ไปเลยมึง แล้วถ้าวันหลังไปตีกับคนอื่นแล้วไม่เรียกกูอีกนะ จะเอาแอลกอฮอล์ราดแม่งตั้งแต่หัวจรดตีนเลย

     

                ครับๆ เข้าใจแล้วครับ อ้าก! มือหรือตีนวะโฮซอก!

     

                แค่นี้เจ็บ ทีไปตีกับคนอื่นไม่รู้สึก แล้วก็ขอโทษทีนะที่มือกูไม่ได้เบาเหมือนใครบางคน

     

                แทฮยองหันขวับทันทีที่ได้ยินโฮซอกพูด มึงหมายถึงใคร

     

                อาจารย์ซอกจินไง ตอนนั้นเขาทำแผลให้กู มือเบ๊าเบา เบาจนเคลิ้มเลยพูดแล้วก็เบะปากใส่อีกคนด้วยความหมั่นไส้ พลางนึกไปถึงตอนที่เขาเดินสวนกับยุนกิหน้าห้องพยาบาลเมื่อครู่นี้ แต่จะให้บอกว่าเดินสวนกันก็ไม่ถูก เพราะโฮซอกอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่ต้น เขาเห็นเหตุการณ์ระหว่างแทฮยองและยุนกิทุกอย่าง แต่ทั้งคู่ไม่เห็นเขา ซึ่งโฮซอกก็คิดว่ามันเป็นเรื่องดี เพราะเขาไม่รู้เลยว่า ณ ตอนนั้นตัวเขากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ แต่จากกระจกบานใสที่สะท้อนออกมา โฮซอกคิดว่ามันเป็นใบหน้าที่เจ็บปวดไม่ใช่น้อยเลยล่ะ

     

     

     

     

    --------------------Law of the Jungle--------------------

     

     

     

     

                เอาล่ะทีนี้จะบอกมาได้รึยังว่าเรื่องมันเป็นยังไงน้ำเสียงที่ดูมีอำนาจเอ่ย สองมือสอดประสานกันอยู่ใต้คาง ดวงตาคมกำลังจ้องมองจองกุกอย่างไม่วางตา ในขณะที่จองกุกเองก็จ้องมองผู้เป็นพ่อของตนกลับอย่างท้าทาย

     

                ทั้งคู่ต่างจ้องมองกันอย่างไม่มีใครยอมใคร คนหนึ่งมีดวงตาที่มีอำนาจ และเต็มไปด้วยประสบการณ์ที่ฉายชัดออกมาทางแววตา กับอีกคนหนึ่งที่มีดวงตาแบบเดียวกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน จะต่างก็ตรงที่แววตาของจองกุกนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความดื้อรั้น และอยากเอาชนะ

     

                จอนซองจิน หรือผู้อำนวยการแห่งโรงเรียนมัธยมปลายทงอันมองใบหน้าฟกช้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของคนเป็นลูกชายแล้วก็ถอนหายใจ นิ้วมือนวดที่ขมับไปมาเพื่อแก้อาการปวดหัว ในขณะที่ตัวการที่ทำให้ซองจินต้องปวดหัวดูจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักเท่าไหร่ อีกทั้งยังยืนเอามือล้วงกระเป๋า ดูแล้วไม่มีความเคารพให้กันแม้แต่น้อย

     

                นี่มันกี่ครั้งแล้ว ฉันคิดว่ามันจะดีขึ้นแต่ก็ไม่เลย

     

                ท่านผู้อำนวยการกำลังหวังอะไรจากผมอยู่เหรอครับน้ำเสียงเย้ยหยันกับคำเรียกที่ไร้ซึ่งเยื่อใยทำเอาผู้เป็นพ่อหน้าชา ซองจินพยายามข่มอารมณ์โมโหของตัวเองเอาไว้อีกครั้ง เพื่อไม่ให้ตนเองพูดจาไม่ดีออกไป เขาไม่อยากจะเพิ่มรอยแผลให้กับจองกุกไปมากกว่านี้อีกแล้ว

     

                เอาเถอะ เรื่องของเด็กสองคนนั้นฉันจัดการให้แล้ว คราวหลังจะทำอะไรก็นึกถึงหน้าฉันบ้าง

     

                คุณมันก็เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

     

                ปัง!

     

                จองกุกเดินจากไปพร้อมกับทิ้งคำพูดสุดท้ายที่เหมือนกับหินก้อนใหญ่เอาไว้ โยนมันลงในหัวใจของซองจิน น้ำหนักของมันมากมายจนหัวใจของซองจินนั้นหนักอึ้ง มือหนากุมขมับของตนแน่น พลางนึกโทษตัวเองในใจ การที่จองกุกกลายมาเป็นแบบนี้คงจะโทษใครไม่ได้นอกจากเขาเอง หลายปีมานี้ที่เขาพยายามทิ้งนิสัยเดิมของตัวเองไป พยายามทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น แต่ดูเหมือนว่าสำหรับเด็กคนนั้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำไปมันช่างว่างเปล่าเหลือเกิน จองกุกไม่เคยเปิดใจให้เขาเลยนับตั้งแต่วันนั้น

     

                ลิ้นชักที่มักถูกล็อคไว้อย่างแน่นหนาถูกเปิดออก ซองจินหยิบกรอบรูปไม้ที่ภายในมีภาพของคนสามคนยืนส่งยิ้มให้กล้องอย่างมีความสุขขึ้นมาดู เขายกยิ้ม นิ้วมือที่เริ่มมีริ้วรอยลูบไล้ที่รูปนั้นอย่างโหยหาย พลางนึกย้อนถึงเรื่องราวในวันวานที่เขาไม่สามารถนำกลับมาได้อีกแล้ว

     

                ย้อนไปเมื่อ 11 ปีก่อน ในตอนนั้นครอบครัวจอนยังคงเป็นครอบครัวที่รักกันดี จนกระทั่งเงินกลายเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องห่างไกลกัน ซองจินเอาแต่ทำงานจนไม่มีเวลาให้กับครอบครัว ส่วนเยริน แม่ของจองกุกก็เอาแต่ทำงานเช่นกัน พวกเขาต่างทำงานหนักด้วยความคิดที่ว่าต้องการให้ลูกของตนสุขสบาย หากแต่นานวันเข้ามันก็กลายเป็นความห่างเหิน และนำไปสู่ชนวนของการทะเลาะกันในที่สุด

     

                ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความรักที่มีให้กันจางหาย ซองจินและเยรินทะเลาะกันทุกวัน จนนานเข้าพวกเขาก็ลืมวิธีบอกรักกัน ช่วงเวลาวันหยุดที่เคยเป็นเวลาของครอบครัวก็เปลี่ยนไป จองกุกต้องอยู่บ้านคนเดียวทุกครั้ง พร้อมกับของเล่นที่พ่อและแม่ของเขาซื้อให้เพราะคิดว่ามันจะช่วยคลายความเหงาให้กับลูกน้อย โดยที่ไม่เคยคิดเลยว่าของเล่นไม่สามารถมอบความอบอุ่นให้แก่จองกุกได้

     

                จนกระทั่งวันที่ทั้งคู่ทะเลาะกันรุนแรงมาถึง

     

                เพล้ง!

     

                แก้วไวน์ราคาแพงถูกปัดตกสู่พื้นด้วยแรงอารมณ์จนกระจายเปรอะเปรื้อนเต็มพื้นพรม ซองจินทำเพียงปรายตามองมัน ก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนสูดหายใจเข้าออกรุนแรง

     

                วันหลังทำอะไรก็ไว้หน้าฉันบ้าง! คนเขานินทนากันไปทั่วว่าคุณน่ะเล่นชู้กับยายเลขาคนใหม่นั่น! เยรินพูดเสียงดัง มันดังมากพอที่จะทำให้จองกุกซึ่งกำลังนั่งเล่นอยู่ชั้นบนได้ยิน และเดินลงมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

     

                เหอะ แล้วที่คุณแอบควงคนอื่นไปไหนมาไหนล่ะ ทำไมไม่ไว้หน้าผมบ้าง

     

                คุณพูดอะไร อย่ามากล่าวหากันนะ

     

                คุณก็รู้แก่ใจตัวเองดีไม่ใช่เหรอ ที่ไม่กลับบ้านมาหลายวันก็เพราะไปอยู่กับมันมาล่ะสิเดินหนีไปรินไวน์ลงในแก้วทรงสูงอีกครั้ง ซองจินแค่นหัวเราะ ทั้งเขาและเยรินก็ไม่ได้ต่างกันเลยแม้แต่น้อย การนอกใจมันกลายเป็นเรื่องธรรมดาของพวกเขาไปแล้ว แต่ต่างคนต่างแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ใช้ฉากหน้าสวยหรูมาบังตา

     

                แล้วคุณคิดว่ามันเป็นเพราะใครกันล่ะมือสวยกำแน่น จ้องมองคนที่ยืนจิบไวน์ด้วยแววตาคุกรุ่น

     

                แน่ใจเหรอว่าเป็นเพราะผม แทนที่จะเอาเวลามาดูลูก แต่กลับวิ่งแจ้นไปหาผู้ชาย

     

                เพี๊ยะ!

     

                อย่ามาพูดจาดูถูกกันนะ

     

                ซองจินรู้สึกชาไปทั่วใบหน้าซีกซ้ายที่ตอนนี้เริ่มขึ้นรอยแดง เขาวางแก้วไวน์ลง หันมองหน้าเยรินด้วยใบหน้าจริงจัง ผมพูดความจริง

     

                หึ ทีคุณยังทำได้ ทำไมฉันจะทำไม่ได้ แล้วก็จองกุกน่ะมีพี่เลี้ยงดูแลอยู่แล้วไม่ใช่รึไง แค่ฉันทำงานทุกวันนี้ก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว จะเอาเวลาที่ไหนมาดูลูก คุณนั่นแหละทำไมถึงไม่ช่วยกันดูแลบ้าง เยรินขึ้นเสียง เธอจ้องมองผู้เป็นสามี ไม่ทันได้รู้ตัวว่าลูกที่เธอกำลังพูดถึงกำลังยืนมองพวกเขาทะเลาะกันอยู่

     

                ผมก็มีงานต้องทำเหมือนกัน

     

                งานบนเตียงกับยายเลขานั่นสิไม่ว่า

     

                เยริน!!

     

                สงครามอารมณ์ของสองสามีภรรยายังคงดำเนินต่อไปภายในห้องนั่งเล่น โดยที่ไม่รู้เลยว่า มีเด็กชายตัวเล็กแอบฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่ จองกุกในวัยหกขวบน้ำตาคลอ นั่งตัวสั่นอยู่เพียงลำพัง เขาเกลียดเวลาที่พ่อแม่ทะเลาะกัน เพราะดูเหมือนต่างฝ่ายต่างก็ขุดเรื่องราวแย่ๆ ของอีกคนมาถกเถียง จนดูเหมือนไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน

     

                เสียงของแตกยังคงดังมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ พร้อมด้วยเสียงกรี๊ดของผู้เป็นมารดา จองกุกยกมือเล็กขึ้นปิดหู เสียงอ่อนหวานที่เคยร้องเพลงกล่อมให้เขานอน บัดนี้กลายเป็นเสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ และจองกุกก็เกลียดมันเหลือเกิน เด็กน้อยนั่งขดตัวเข้าหากันอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่ เสียงสะอื้นเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากเล็กที่ขบกันแน่น ถึงเขาจะพยายามปิดหูตัวเอง แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงทะเลาะเหล่านั้นชัดเจน

     

                สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับเด็กน้อยไม่ใช่การที่พ่อแม่มีคนอื่น แต่เป็นการที่ทั้งคู่ต่างโยนความรับผิดชอบ ทำราวกับว่าจองกุกไม่ใช่ลูกของพวกเขา และหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น คำว่าความสุขก็หมดไปจากครอบครัวจอน

                ซองจินและเยรินแยกทางกัน เยรินเลือกที่จะย้ายไปอยู่ต่างประเทศพร้อมกับว่าที่สามีคนใหม่ของเธอ โดยทิ้งให้จองกุกอยู่กับพ่อของเขาที่เกาหลี จากเด็กที่เคยร่าเริงก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เด็กน้อยเก็บตัวเงียบ และซองจินที่คิดว่าลูกเหงาก็เริ่มเลี้ยงลูกด้วยเงินอีกครั้ง เขาซื้อทุกอย่างให้จองกุก ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่เคยให้จองกุกได้เลยก็คือเวลา

     

                เมื่อนึกมาถึงตอนนี้ความรู้สึกผิดก็เข้าเกาะกุมหัวใจของซองจินจนแทบหายใจไม่ออก กว่าเขาจะรู้ตัวว่าทำผิดต่อลูกชายแค่ไหนมันก็สายเกินไปเสียแล้ว เขาไม่เคยเข้าถึงความรู้สึกของจองกุกเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกชายของเขากลายมาเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จองกุกกลายเป็นเด็กก้าวร้าว ต่อยตีกับคนอื่นไปทั่ว เขาย้ายจองกุกมาที่นี่ก็เพื่อที่จะได้ควบคุมพฤติกรรมได้ง่ายขึ้น แต่มันก็ไม่ดีขึ้นเลย ลูกชายของเขายังคงทำตัวเหมือนเดิม ดูเหมือนจะแย่ลงเสียด้วยซ้ำ

     

                กรอบรูปถูกวางลงเข้าที่เดิมของมัน ซองจินล็อคลิ้นชักนั้นไว้เหมือนเดิม เขาหลับตาลง หวังจะผ่อนคลายจากเรื่องเครียดนี้ ในใจได้แต่หวังว่า ขอให้จองกุกกลับมาเป็นลูกชายที่น่ารักของเขาเหมือนเดิม

     

     

     

     

    --------------------Law of the Jungle--------------------

     

     

     

     

                กึก!

     

                เสียงเหมือนของแข็งบางอย่างดังกระทบหน้าต่างห้องนอนทำให้จีมินหันไปมอง แต่เมื่อไม่พบอะไรเขาจึงหันกลับมาตั้งใจอ่านหนังสือในมือต่อ

     

                กึก! กึก!

     

                คราวนี้ไม่ใช่แค่เสียงเดียว แต่มันดังติดกันจนในที่สุดจีมินต้องลุกไปเปิดหน้าต่างดู สิ่งที่คนตัวเล็กเห็นตอนนี้คือจองกุกที่กำลังยืนตัวสั่นด้วยความหนาว ในตอนแรกคนตัวเล็กตั้งใจจะปิดหน้าต่างหนี แต่เมื่อได้สบตากับจองกุกก็ไม่กล้า

     

                ไปเปิดประตู

     

                และนั่นคือสิ่งที่จีมินอ่านได้จากปากที่กำลังหนาวสั่นของจองกุก จีมินตัดสินใจลุกออกจากห้องนอน เดินไปเปิดประตูรอให้จองกุกเข้ามา เพียงไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันได จองกุกปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาด้วยร่างกายที่สั่นเทา ด้วยความสงสารจีมินจึงยอมให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาได้ง่ายดาย

     

                จีมินยื่นแก้วโกโก้ร้อนให้จองกุกที่นั่งสั่นอยู่บนเตียง    นายมาที่นี่ทำไม

     

                จองกุกไม่ได้ตอบอะไร เขาถอดผ้าพันคอและเสื้อโค้ทตัวหนาโยนไว้ข้างตัว มือรับแก้วโกโก้มาดื่มจนหมดแล้วส่งคืน จากนั้นจึงล้มตัวลงนอนบนเตียงเล็ก

     

                ทำไมถึงไม่ไปเรียน จีมินถามหลังจากนำแก้วไปเก็บเสร็จ

     

                จองกุกลืมตามองคนที่ยืนอยู่ ถามทำไม

     

                ก็...ก็แค่เห็นนายหายไปหลายวัน กลัวจะเรียนไม่ทันเพื่อน อ๊ะ! แขนเล็กถูกกระชากให้ล้มทับคนที่นอนอมยิ้มอยู่บนเตียง จีมินรีบผลักตัวเองออก แต่ก็ไม่สำเร็จเมื่อจองกุกจับรวบข้อมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ อีกทั้งยังกอดแน่นจนคนตัวเล็กไม่กล้าขยับ

     

                เป็นห่วงด้วยเหรอ

     

                “...” จีมินไม่ตอบ เขารู้สึกเขินอายกับใบหน้าของอีกคนที่ยื่นเขามาใกล้จนต้องเบี่ยงหน้าหนี ทำให้ไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มบางของจองกุก

     

                นอนเหอะ ง่วงแล้ว

     

                เดี๋ยวจองกุก! คนตัวเล็กร้องท้วง จองกุกกอดเขาแน่นแบบนี้จะให้นอนได้ยังไงกัน แถมเตียงก็เล็ก ยังไงก็นอนด้วยกันไม่ได้อยู่แล้ว

     

                เบาๆ สิ ยายนายนอนอยู่ใช่รึไงจองกุกยกยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาเงียบลงแล้ว

     

                เตียงมันเล็ก เดี๋ยวฉันลงไปนอนที่พื้นนะดิ้นจนหลุดจากอ้อมแขนแข็งแรงได้ในที่สุด จีมินเปิดตู้เสื้อผ้าของตน มือเล็กหยิบฟูกนอนออกมาปู จัดแจงเรียบร้อยก็รีบลงตัวลงนอนทันที จองกุกที่เห็นแบบนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาชะโงกหน้ามองคนที่หลับตาปี๋ราวกับจะบังคับให้ตัวเองหลับที่พื้น ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

     

                ก็น่ารักดี

     

     

    ---------------------------------------------------------------------------------

    KataeBum Talk

    ขอโทษนะคะที่หายไปนานอีกแล้ว เนื่องจากสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอาทิตย์นรกมาก เลยไม่มีเวลาเลย

    บวกกับช่วงนี้พลังชีวิตถดถอย ถ้าใครมีทวิตเราก็จะรู้อะเนาะ เพราะเราจะบ่นว่าเบื่อบ่อยๆ

    ไม่มีฟีลในการแต่งฟิคเลยค่ะ เปิดหน้ากระดาษเปล่ามาหลายรอบมาก

    แต่ตอนนี้มันกลับมาแล้ว และขอภาวนาให้มันคงอยู่ต่อไป ฮือ

    อีก 60 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือไม่นานเกินรอค่ะ

    อยากบอกว่าอ่านทุกคอมเม้นต์นะ กำลังใจของเรา แง รัก

    Talk 2

    บอกละว่าไว ฮี่

    ปล. มีใครคิดถึงอ.ซอกจินกับนัมจุนบ้าง ตอนหน้าเจอกัน หึหึ

    #ฟิคป่า







     
    ♔THE ORA♔




     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×