คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : CHAPTER 10 l ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ (รีไรท์)
CHAPTER 10
You'd go crazy trying to
understand my mind.
จีมินรู้สึกว่าบรรยากาศตอนนี้ไม่ดีเอาเสียเลย
ทั้งๆ ที่อากาศก็ไม่ได้ร้อนอะไรขนาดนั้น
แต่เหงื่อของเขากลับพากันผุดออกมาเพียงเพราะโดนจองกุกจ้องหน้าตาไม่กระพริบอยู่แบบนี้
แผลเก่าที่โดนรุมมายังไม่ทันหายเลยนะ
ถ้าโดนจองกุกแกล้งอีกเขาก็ไม่รู้จะไปตอบยายว่าอะไรแล้ว
คนตัวเล็กหลับตาปี๋ทันทีที่มือใหญ่เขาใกล้ใบหน้าของตน
เขาคิดว่าคงจะโดนต่อยแน่ๆ
แต่แล้วความคิดนั้นก็พลันหายไปเมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสอุ่นๆ ที่แตะลงบนแผลฟกช้ำบนใบหน้าของเขา
จีมินค่อยๆ ลืมตาขึ้น ใบหน้าของจองกุกตอนนี้บึ้งตึงจนน่ากลัว คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบเป็นปม
จีมินรู้สึกทำตัวไม่ถูก เขาทำเพียงเม้มปากแน่นเพื่อหลบหนีสัมผัสที่ไล่มาจนถึงริมฝีปากช้ำเพราะถูกต่อยเมื่อวาน
“ใครทำ” หลังจากเงียบอยู่นาน คนตัวสูงก็พูดขึ้นทั้งที่มือนั้นยังไม่ละออกไป
“ฉันสะดุดล้ม”
“คิดว่าฉันโง่รึไงถึงได้ดูออกไม่ว่านายโดนรุมต่อยจนหน้าแหกมา”
ฟึ่บ!
“เฮ้ย!” เสื้อนักเรียนถูกถกขึ้นอย่างรวดเร็วจนเจ้าของมันร้องเสียงหลง
ดวงตากลมโตมีสเน่ห์มองที่รอยช้ำบนตัวของจีมินด้วยความหงุดหงิดใจ
เขาตวัดสายตาของตนเองขึ้นมองรอบแผลบนใบหน้าของจีมินอีกครั้ง
ก่อนจะเดินฟึดฟัดออกไปทิ้งให้จีมินยืนอยู่ด้วยความมึนงง
“อะไรของเขากันนะ”
‘ไปทำอะไรมาหน้าถึงได้เป็นแบบนั้น’
นั่นคือสิ่งที่มินยุนกิอยากจะถามคนตรงหน้าของตนในตอนนี้
แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกไป คนตัวขาวทำเพียงมองหน้าแทฮยองที่ยืนค้ำหัวของเขาจนบดบังแสงอาทิตย์ไปหมด
“จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าฉันไปทำอะไรมา” เสียงทุ้มเอ่ย มือสองข้างเท้าเอว ยืนจ้องตากับยุนกิอยู่นานสองนาน และก็เหมือนทุกครั้ง
มีเพียงความเงียบที่แทฮยองได้รับ เขาถอนหายใจก่อนจะดึงข้อมือของยุนกิให้เดินตาม
“จะไปไหน”
“ตามมาเหอะน่า”
“แต่จะได้เวลาเข้าเรียนแล้ว” ยุนกิทัก เขาพยายามบิดข้อมือของตัวเองให้พ้นจากการกอบกุม แต่ก็ไม่ได้ผล
แถมดูเหมือนว่าแทฮยองจะยิ่งจับข้อมือของเขาแน่นขึ้นกว่าเดิม
“ช่างหัวมันสิ”
ครืด~ ปัง!
เสียงเปิดและปิดประตูเป็นไปอย่างรวดเร็ว
แทฮยองลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้ยุนกินั่ง
ก่อนที่เขาจะนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่ฝั่งตรงข้าม “มัวนั่งเฉยอะไรอยู่ล่ะ ทำแผลสิ”
“ทำไม...”
“ก็แผลนี้ฉันได้มาเพราะนาย
นายก็ต้องเป็นคนทำ”
ยุนกิมองคนตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลที่ถูกเก็บไว้ตรงตู้ยาแล้วเดินมานั่งที่เดิม
มือขาวหยิบอุปกรณ์ต่างๆ ออกมาและเริ่มลงมือทำแผลให้กับแทฮยอง
“โอ๊ย เบาๆ หน่อยสิ”
ร้องบอกคนที่อยู่ๆ ก็จิ้มสำลีที่ชุ่มไปด้วยแอลกอฮอล์ลงบริเวณแผลอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
แต่เมื่อได้ยินเสียงพึมพำคำว่าขอโทษเบาๆ จากคนตัวขาว
แทฮยองจอมโวยวายก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ และนั่งนิ่งให้ยุนกิได้ทำแผลต่อ
“ฝีมือใช้ได้เหมือนกันนะนาย
เคยทำให้ใครมาก่อนหรือไง”
“ไม่เคย”
“งั้นเหรอ
อืม...ช่างเถอะ ว่าแต่ไม่อยากรู้จริงๆ เหรอว่าฉันไปได้แผลพวกนี้มาจากไหน” น้ำเสียงที่ดูกระตือรือร้นของแทฮยองทำให้ยุนกิถอนหายใจ ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายอยากเล่ามากแค่ไหน
จะมานั่งตื๊อให้เขาถามทำไมกัน
“ถ้าอยากจะเล่าก็เล่ามาเถอะ”
แทฮยองทำหน้ายู่
จริงๆแล้วก็ไม่อยากจะบอกหรอกนะแต่เห็นว่าอีกคนดูท่าทางอยากรู้หรอก
เขาจะยอมเสียเวลาเล่าให้ฟังก็ได้
“วันนี้ฉันไปต่อยคนมา”
และสิ่งที่ได้ยินก็ไม่ผิดไปจากที่คาดเอาไว้
ยุนกิคิดว่าแทฮยองคงไปมีเรื่องราวชกต่อยเหมือนเก่า
เขาเองก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่นักว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ทำท่าอยากเล่าเสียเต็มที่ขนาดนั้น
การต่อยตีกับคนอื่นนี่มันน่าภูมิใจมากหรือไงกัน
“ไอ้สองตัวนั้นที่มันต่อยนาย
ฉันจัดการมันไปเรียบร้อยแล้ว”
ประโยคต่อมาทำให้มือขาวที่หยิบพลาสเตอร์ใสอยู่หยุดชะงัก
ยุนกิมองหน้าแทฮยองนิ่ง “ทำไม...”
“พูดเป็นแต่คำว่าทำไมรึไง
ไหนล่ะคำขอบคุณ อุตส่าห์ไปแก้แค้นให้จนเจ็บตัวแบบนี้ ไม่มีขอบคุณกันสักคำ
ที่บ้านเลี้ยงมายังไงเนี่ย”
มือขาวกระตุกอีกครั้งเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงที่บ้านของตน
ยุนกิวางพลาสเตอร์ลงบนโต๊ะ ใบหน้าสวยมีท่าทางซึมเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด
จนคนที่นั่งกอดอกทำท่าทางเข้มขรึมเมื่อครู่ถึงกับไปไม่ถูก แทฮยองนั่งกระสับกระส่าย
อะไรวะ
แค่ทวงคำขอบคุณแค่นี้ถึงกับหงอยเลยเหรอ
“เฮ้ย คือแบบ—
จริงๆ ฉันก็ไปเอง นายไม่ได้ขอ คือ... เอ่อ...”
“ขอบคุณแล้วก็
เลิกมายุ่งกับฉันสักทีเถอะ” ยุนกิพูดเสียงเรียบ
คนตัวขาวลุกขึ้นเดินออกไปทิ้งให้แทฮยองที่ยังคงไม่เข้าใจอะไรอยู่ในห้องพยาบาลเพียงลำพัง
แทฮยองมองตามคนยุนกิที่เดินออกไป
เขานึกอยากจะตบปากตัวเองเหลือเกินที่พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง เขาลุกขึ้นยืน
ตั้งใจจะเดินตามยุนกิออกไป
แต่ก็ต้องนั่งลงที่เดิมเมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทกำลังเดินหน้าบึ้งเข้ามาหาตน จะเอามือมาบังแผลก็คงไม่ทัน
เพราะดูจากการที่สับเท้าไวขนาดนี้คงรู้เรื่องมาบ้างแล้ว
และดูท่าว่าจะโกรธมากเสียด้วย
“บอกแล้วไงว่าถ้าจะไปมีเรื่องกับใครให้เรียกกูไปด้วยน่ะ!”
คนที่เพิ่งมาถึงพูดเสียงดังใส่จนแทฮยองต้องนิ่วหน้า ยกมือขึ้นมาปิดหูแทบไม่ทัน
โกรธขนาดนี้ก็เอาฟันหน้าเฉาะกันเลยเถอะ
“จะเสียงดังทำไม
นั่งๆ มาทำแผลให้กูนี่ อูย เจ็บชะมัด”
“ทำไมไม่เรียกกู” ยอมนั่งลงแต่โดยดี ทั้งที่ในใจคุกรุ่น โฮซอกหยิบพลาสเตอร์ปิดแผลขึ้นมา
ฉีกซองพลาสติกออกจากนั้นจึงแปะลงบนแผลบนใบหน้าของแทฮยอง
“ไม่ใช่เรื่องของมึง” คนพูดไม่ได้ตั้งใจพูด แต่สำหรับคนฟังแล้วมันเสียดแทงใจจนรู้สึกเจ็บจี๊ดไปทั่วอก
โฮซอกทำเมินคำพูดนั้นของแทฮยอง พยายามกดความรู้สึกน้อยใจลงไปยังก้นบึ้งของหัวใจเพื่อไม่ให้มันได้ผุดขึ้นมาจนเขาเผลอพูดหรือทำตัวแย่ๆ
ใส่เพื่อนสนิท
“แล้วทำไมจองกุกมันถึงได้ไปด้วย”
“แก้แค้นให้เด็กมันมั้ง”
“ใคร จีมินน่ะเหรอ”
“ก็มีอยู่คนเดียว” แทฮยองตอบในขณะที่มือก็เปิดเสื้อขึ้นเพื่อให้โฮซอกช่วยทายาได้ถนัด
“นึกว่าจะเลิกยุ่งไปแล้วซะอีก”
“ทำไม หึงรึไง โอ๊ย!
เบาๆ ดิวะ” คนผิวเข้มร้องเสียงดังลั่นห้องพยาบาลเมื่อนิ้วที่เต็มไปด้วยยาแก้ฟกช้ำของเพื่อนตัวดีกดเข้าบนรอยช้ำเต็มแรง
โฮซอกขำกับท่าทีของคนตรงหน้า เขาลดแรงที่มือลง ใช้นิ้ววนซ้ำไปมาให้ตัวยาซึมเข้าเนื้อ
“พูดมาก นั่งเงียบๆ ไปเลยมึง
แล้วถ้าวันหลังไปตีกับคนอื่นแล้วไม่เรียกกูอีกนะ
จะเอาแอลกอฮอล์ราดแม่งตั้งแต่หัวจรดตีนเลย”
“ครับๆ เข้าใจแล้วครับ
อ้าก! มือหรือตีนวะโฮซอก!”
“แค่นี้เจ็บ
ทีไปตีกับคนอื่นไม่รู้สึก แล้วก็ขอโทษทีนะที่มือกูไม่ได้เบาเหมือนใครบางคน”
แทฮยองหันขวับทันทีที่ได้ยินโฮซอกพูด
“มึงหมายถึงใคร”
“อาจารย์ซอกจินไง
ตอนนั้นเขาทำแผลให้กู มือเบ๊าเบา เบาจนเคลิ้มเลย” พูดแล้วก็เบะปากใส่อีกคนด้วยความหมั่นไส้
พลางนึกไปถึงตอนที่เขาเดินสวนกับยุนกิหน้าห้องพยาบาลเมื่อครู่นี้
แต่จะให้บอกว่าเดินสวนกันก็ไม่ถูก เพราะโฮซอกอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่ต้น
เขาเห็นเหตุการณ์ระหว่างแทฮยองและยุนกิทุกอย่าง แต่ทั้งคู่ไม่เห็นเขา ซึ่งโฮซอกก็คิดว่ามันเป็นเรื่องดี
เพราะเขาไม่รู้เลยว่า ณ ตอนนั้นตัวเขากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่
แต่จากกระจกบานใสที่สะท้อนออกมา
โฮซอกคิดว่ามันเป็นใบหน้าที่เจ็บปวดไม่ใช่น้อยเลยล่ะ
--------------------Law of the
Jungle--------------------
“เอาล่ะทีนี้จะบอกมาได้รึยังว่าเรื่องมันเป็นยังไง”
น้ำเสียงที่ดูมีอำนาจเอ่ย สองมือสอดประสานกันอยู่ใต้คาง ดวงตาคมกำลังจ้องมองจองกุกอย่างไม่วางตา
ในขณะที่จองกุกเองก็จ้องมองผู้เป็นพ่อของตนกลับอย่างท้าทาย
ทั้งคู่ต่างจ้องมองกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
คนหนึ่งมีดวงตาที่มีอำนาจ และเต็มไปด้วยประสบการณ์ที่ฉายชัดออกมาทางแววตา
กับอีกคนหนึ่งที่มีดวงตาแบบเดียวกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน
จะต่างก็ตรงที่แววตาของจองกุกนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความดื้อรั้น และอยากเอาชนะ
จอนซองจิน
หรือผู้อำนวยการแห่งโรงเรียนมัธยมปลายทงอันมองใบหน้าฟกช้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของคนเป็นลูกชายแล้วก็ถอนหายใจ
นิ้วมือนวดที่ขมับไปมาเพื่อแก้อาการปวดหัว ในขณะที่ตัวการที่ทำให้ซองจินต้องปวดหัวดูจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักเท่าไหร่
อีกทั้งยังยืนเอามือล้วงกระเป๋า ดูแล้วไม่มีความเคารพให้กันแม้แต่น้อย
“นี่มันกี่ครั้งแล้ว
ฉันคิดว่ามันจะดีขึ้นแต่ก็ไม่เลย”
“ท่านผู้อำนวยการกำลังหวังอะไรจากผมอยู่เหรอครับ”
น้ำเสียงเย้ยหยันกับคำเรียกที่ไร้ซึ่งเยื่อใยทำเอาผู้เป็นพ่อหน้าชา
ซองจินพยายามข่มอารมณ์โมโหของตัวเองเอาไว้อีกครั้ง
เพื่อไม่ให้ตนเองพูดจาไม่ดีออกไป เขาไม่อยากจะเพิ่มรอยแผลให้กับจองกุกไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“เอาเถอะ
เรื่องของเด็กสองคนนั้นฉันจัดการให้แล้ว คราวหลังจะทำอะไรก็นึกถึงหน้าฉันบ้าง”
“คุณมันก็เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน”
ปัง!
จองกุกเดินจากไปพร้อมกับทิ้งคำพูดสุดท้ายที่เหมือนกับหินก้อนใหญ่เอาไว้
โยนมันลงในหัวใจของซองจิน น้ำหนักของมันมากมายจนหัวใจของซองจินนั้นหนักอึ้ง
มือหนากุมขมับของตนแน่น พลางนึกโทษตัวเองในใจ การที่จองกุกกลายมาเป็นแบบนี้คงจะโทษใครไม่ได้นอกจากเขาเอง
หลายปีมานี้ที่เขาพยายามทิ้งนิสัยเดิมของตัวเองไป พยายามทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น
แต่ดูเหมือนว่าสำหรับเด็กคนนั้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำไปมันช่างว่างเปล่าเหลือเกิน
จองกุกไม่เคยเปิดใจให้เขาเลยนับตั้งแต่วันนั้น
ลิ้นชักที่มักถูกล็อคไว้อย่างแน่นหนาถูกเปิดออก
ซองจินหยิบกรอบรูปไม้ที่ภายในมีภาพของคนสามคนยืนส่งยิ้มให้กล้องอย่างมีความสุขขึ้นมาดู
เขายกยิ้ม นิ้วมือที่เริ่มมีริ้วรอยลูบไล้ที่รูปนั้นอย่างโหยหาย พลางนึกย้อนถึงเรื่องราวในวันวานที่เขาไม่สามารถนำกลับมาได้อีกแล้ว
ย้อนไปเมื่อ 11 ปีก่อน
ในตอนนั้นครอบครัวจอนยังคงเป็นครอบครัวที่รักกันดี
จนกระทั่งเงินกลายเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องห่างไกลกัน ซองจินเอาแต่ทำงานจนไม่มีเวลาให้กับครอบครัว
ส่วนเยริน แม่ของจองกุกก็เอาแต่ทำงานเช่นกัน
พวกเขาต่างทำงานหนักด้วยความคิดที่ว่าต้องการให้ลูกของตนสุขสบาย
หากแต่นานวันเข้ามันก็กลายเป็นความห่างเหิน และนำไปสู่ชนวนของการทะเลาะกันในที่สุด
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความรักที่มีให้กันจางหาย
ซองจินและเยรินทะเลาะกันทุกวัน จนนานเข้าพวกเขาก็ลืมวิธีบอกรักกัน
ช่วงเวลาวันหยุดที่เคยเป็นเวลาของครอบครัวก็เปลี่ยนไป
จองกุกต้องอยู่บ้านคนเดียวทุกครั้ง พร้อมกับของเล่นที่พ่อและแม่ของเขาซื้อให้เพราะคิดว่ามันจะช่วยคลายความเหงาให้กับลูกน้อย
โดยที่ไม่เคยคิดเลยว่าของเล่นไม่สามารถมอบความอบอุ่นให้แก่จองกุกได้
จนกระทั่งวันที่ทั้งคู่ทะเลาะกันรุนแรงมาถึง
เพล้ง!
แก้วไวน์ราคาแพงถูกปัดตกสู่พื้นด้วยแรงอารมณ์จนกระจายเปรอะเปรื้อนเต็มพื้นพรม
ซองจินทำเพียงปรายตามองมัน ก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนสูดหายใจเข้าออกรุนแรง
“วันหลังทำอะไรก็ไว้หน้าฉันบ้าง!
คนเขานินทนากันไปทั่วว่าคุณน่ะเล่นชู้กับยายเลขาคนใหม่นั่น!”
เยรินพูดเสียงดัง มันดังมากพอที่จะทำให้จองกุกซึ่งกำลังนั่งเล่นอยู่ชั้นบนได้ยิน
และเดินลงมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เหอะ
แล้วที่คุณแอบควงคนอื่นไปไหนมาไหนล่ะ ทำไมไม่ไว้หน้าผมบ้าง”
“คุณพูดอะไร
อย่ามากล่าวหากันนะ”
“คุณก็รู้แก่ใจตัวเองดีไม่ใช่เหรอ
ที่ไม่กลับบ้านมาหลายวันก็เพราะไปอยู่กับมันมาล่ะสิ” เดินหนีไปรินไวน์ลงในแก้วทรงสูงอีกครั้ง
ซองจินแค่นหัวเราะ ทั้งเขาและเยรินก็ไม่ได้ต่างกันเลยแม้แต่น้อย
การนอกใจมันกลายเป็นเรื่องธรรมดาของพวกเขาไปแล้ว แต่ต่างคนต่างแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
ใช้ฉากหน้าสวยหรูมาบังตา
“แล้วคุณคิดว่ามันเป็นเพราะใครกันล่ะ”
มือสวยกำแน่น จ้องมองคนที่ยืนจิบไวน์ด้วยแววตาคุกรุ่น
“แน่ใจเหรอว่าเป็นเพราะผม
แทนที่จะเอาเวลามาดูลูก แต่กลับวิ่งแจ้นไปหาผู้ชาย”
เพี๊ยะ!
“อย่ามาพูดจาดูถูกกันนะ”
ซองจินรู้สึกชาไปทั่วใบหน้าซีกซ้ายที่ตอนนี้เริ่มขึ้นรอยแดง
เขาวางแก้วไวน์ลง หันมองหน้าเยรินด้วยใบหน้าจริงจัง “ผมพูดความจริง”
“หึ ทีคุณยังทำได้
ทำไมฉันจะทำไม่ได้ แล้วก็จองกุกน่ะมีพี่เลี้ยงดูแลอยู่แล้วไม่ใช่รึไง
แค่ฉันทำงานทุกวันนี้ก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว จะเอาเวลาที่ไหนมาดูลูก
คุณนั่นแหละทำไมถึงไม่ช่วยกันดูแลบ้าง” เยรินขึ้นเสียง เธอจ้องมองผู้เป็นสามี
ไม่ทันได้รู้ตัวว่าลูกที่เธอกำลังพูดถึงกำลังยืนมองพวกเขาทะเลาะกันอยู่
“ผมก็มีงานต้องทำเหมือนกัน”
“งานบนเตียงกับยายเลขานั่นสิไม่ว่า”
“เยริน!!”
สงครามอารมณ์ของสองสามีภรรยายังคงดำเนินต่อไปภายในห้องนั่งเล่น
โดยที่ไม่รู้เลยว่า มีเด็กชายตัวเล็กแอบฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่
จองกุกในวัยหกขวบน้ำตาคลอ นั่งตัวสั่นอยู่เพียงลำพัง
เขาเกลียดเวลาที่พ่อแม่ทะเลาะกัน เพราะดูเหมือนต่างฝ่ายต่างก็ขุดเรื่องราวแย่ๆ ของอีกคนมาถกเถียง
จนดูเหมือนไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน
เสียงของแตกยังคงดังมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ
พร้อมด้วยเสียงกรี๊ดของผู้เป็นมารดา จองกุกยกมือเล็กขึ้นปิดหู เสียงอ่อนหวานที่เคยร้องเพลงกล่อมให้เขานอน
บัดนี้กลายเป็นเสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ และจองกุกก็เกลียดมันเหลือเกิน
เด็กน้อยนั่งขดตัวเข้าหากันอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่
เสียงสะอื้นเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากเล็กที่ขบกันแน่น ถึงเขาจะพยายามปิดหูตัวเอง
แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงทะเลาะเหล่านั้นชัดเจน
สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับเด็กน้อยไม่ใช่การที่พ่อแม่มีคนอื่น
แต่เป็นการที่ทั้งคู่ต่างโยนความรับผิดชอบ ทำราวกับว่าจองกุกไม่ใช่ลูกของพวกเขา และหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น
คำว่าความสุขก็หมดไปจากครอบครัวจอน
ซองจินและเยรินแยกทางกัน
เยรินเลือกที่จะย้ายไปอยู่ต่างประเทศพร้อมกับว่าที่สามีคนใหม่ของเธอ
โดยทิ้งให้จองกุกอยู่กับพ่อของเขาที่เกาหลี จากเด็กที่เคยร่าเริงก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เด็กน้อยเก็บตัวเงียบ และซองจินที่คิดว่าลูกเหงาก็เริ่มเลี้ยงลูกด้วยเงินอีกครั้ง
เขาซื้อทุกอย่างให้จองกุก ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม
แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่เคยให้จองกุกได้เลยก็คือเวลา
เมื่อนึกมาถึงตอนนี้ความรู้สึกผิดก็เข้าเกาะกุมหัวใจของซองจินจนแทบหายใจไม่ออก
กว่าเขาจะรู้ตัวว่าทำผิดต่อลูกชายแค่ไหนมันก็สายเกินไปเสียแล้ว
เขาไม่เคยเข้าถึงความรู้สึกของจองกุกเลย
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกชายของเขากลายมาเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จองกุกกลายเป็นเด็กก้าวร้าว
ต่อยตีกับคนอื่นไปทั่ว
เขาย้ายจองกุกมาที่นี่ก็เพื่อที่จะได้ควบคุมพฤติกรรมได้ง่ายขึ้น
แต่มันก็ไม่ดีขึ้นเลย ลูกชายของเขายังคงทำตัวเหมือนเดิม
ดูเหมือนจะแย่ลงเสียด้วยซ้ำ
กรอบรูปถูกวางลงเข้าที่เดิมของมัน
ซองจินล็อคลิ้นชักนั้นไว้เหมือนเดิม เขาหลับตาลง หวังจะผ่อนคลายจากเรื่องเครียดนี้
ในใจได้แต่หวังว่า ขอให้จองกุกกลับมาเป็นลูกชายที่น่ารักของเขาเหมือนเดิม
--------------------Law of the
Jungle--------------------
กึก!
เสียงเหมือนของแข็งบางอย่างดังกระทบหน้าต่างห้องนอนทำให้จีมินหันไปมอง
แต่เมื่อไม่พบอะไรเขาจึงหันกลับมาตั้งใจอ่านหนังสือในมือต่อ
กึก! กึก!
คราวนี้ไม่ใช่แค่เสียงเดียว
แต่มันดังติดกันจนในที่สุดจีมินต้องลุกไปเปิดหน้าต่างดู
สิ่งที่คนตัวเล็กเห็นตอนนี้คือจองกุกที่กำลังยืนตัวสั่นด้วยความหนาว
ในตอนแรกคนตัวเล็กตั้งใจจะปิดหน้าต่างหนี แต่เมื่อได้สบตากับจองกุกก็ไม่กล้า
‘ไปเปิดประตู’
และนั่นคือสิ่งที่จีมินอ่านได้จากปากที่กำลังหนาวสั่นของจองกุก
จีมินตัดสินใจลุกออกจากห้องนอน เดินไปเปิดประตูรอให้จองกุกเข้ามา เพียงไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันได
จองกุกปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาด้วยร่างกายที่สั่นเทา
ด้วยความสงสารจีมินจึงยอมให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาได้ง่ายดาย
จีมินยื่นแก้วโกโก้ร้อนให้จองกุกที่นั่งสั่นอยู่บนเตียง “นายมาที่นี่ทำไม”
จองกุกไม่ได้ตอบอะไร
เขาถอดผ้าพันคอและเสื้อโค้ทตัวหนาโยนไว้ข้างตัว
มือรับแก้วโกโก้มาดื่มจนหมดแล้วส่งคืน จากนั้นจึงล้มตัวลงนอนบนเตียงเล็ก
“ทำไมถึงไม่ไปเรียน” จีมินถามหลังจากนำแก้วไปเก็บเสร็จ
จองกุกลืมตามองคนที่ยืนอยู่
“ถามทำไม”
“ก็...ก็แค่เห็นนายหายไปหลายวัน
กลัวจะเรียนไม่ทันเพื่อน อ๊ะ!” แขนเล็กถูกกระชากให้ล้มทับคนที่นอนอมยิ้มอยู่บนเตียง
จีมินรีบผลักตัวเองออก แต่ก็ไม่สำเร็จเมื่อจองกุกจับรวบข้อมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้
อีกทั้งยังกอดแน่นจนคนตัวเล็กไม่กล้าขยับ
“เป็นห่วงด้วยเหรอ”
“...” จีมินไม่ตอบ
เขารู้สึกเขินอายกับใบหน้าของอีกคนที่ยื่นเขามาใกล้จนต้องเบี่ยงหน้าหนี
ทำให้ไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มบางของจองกุก
“นอนเหอะ ง่วงแล้ว”
“เดี๋ยวจองกุก!” คนตัวเล็กร้องท้วง จองกุกกอดเขาแน่นแบบนี้จะให้นอนได้ยังไงกัน
แถมเตียงก็เล็ก ยังไงก็นอนด้วยกันไม่ได้อยู่แล้ว
“เบาๆ สิ ยายนายนอนอยู่ใช่รึไง”
จองกุกยกยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาเงียบลงแล้ว
“ต—เตียงมันเล็ก เดี๋ยวฉันลงไปนอนที่พื้นนะ” ดิ้นจนหลุดจากอ้อมแขนแข็งแรงได้ในที่สุด
จีมินเปิดตู้เสื้อผ้าของตน มือเล็กหยิบฟูกนอนออกมาปู
จัดแจงเรียบร้อยก็รีบลงตัวลงนอนทันที จองกุกที่เห็นแบบนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร
เขาชะโงกหน้ามองคนที่หลับตาปี๋ราวกับจะบังคับให้ตัวเองหลับที่พื้น
ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
ก็น่ารักดี
---------------------------------------------------------------------------------
KataeBum Talk
ขอโทษนะคะที่หายไปนานอีกแล้ว
เนื่องจากสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอาทิตย์นรกมาก เลยไม่มีเวลาเลย
บวกกับช่วงนี้พลังชีวิตถดถอย
ถ้าใครมีทวิตเราก็จะรู้อะเนาะ เพราะเราจะบ่นว่าเบื่อบ่อยๆ
ไม่มีฟีลในการแต่งฟิคเลยค่ะ
เปิดหน้ากระดาษเปล่ามาหลายรอบมาก
แต่ตอนนี้มันกลับมาแล้ว และขอภาวนาให้มันคงอยู่ต่อไป
ฮือ
อีก 60
เปอร์เซ็นต์ที่เหลือไม่นานเกินรอค่ะ
อยากบอกว่าอ่านทุกคอมเม้นต์นะ
กำลังใจของเรา แง รัก
Talk 2
บอกละว่าไว ฮี่
ปล.
มีใครคิดถึงอ.ซอกจินกับนัมจุนบ้าง ตอนหน้าเจอกัน หึหึ
#ฟิคป่า
ความคิดเห็น