ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic BTS] Law of The Jungle (kookmin, namjin)

    ลำดับตอนที่ #9 : CHAPTER 7 l เปลี่ยน (รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 4 ธ.ค. 60


     






    CHAPTER 7

    창문을 열으면 좋은 어떻게 보이나요

    ถ้าไม่เปิดหน้าต่าง แล้วจะมองเห็นสิ่งดีๆได้ยังไงกัน

     


     

     


                หลังจากการเดินทางหลายชั่วโมง ในที่สุดเรือก็แล่นเทียบท่า คณะเดินทางจากทงอันนั่งรถบัสต่อไม่นานนักก็มาถึงที่พักบนเกาะเชจู ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางทำให้เด็กๆ ต่างดีใจที่จะได้เอาสัมภาระเข้าไปเก็บ หากแต่อาจารย์ซนซองดึก ขาโหดประจำโรงเรียนกลับสั่งให้ทุกคนเข้าแถวเพื่อตรวจกระเป๋า ทำเอาเด็กนักเรียนส่งเสียงค้านกันใหญ่

                แต่ถึงแม้จะไม่เต็มใจ เด็กทุกคนก็ต้องยืนเข้าแถวเรียงหน้ากระดาน เปิดกระเป๋ารอให้อาจารย์มารื้อค้นอยู่ดี คนไหนที่มือไว ล้วงเอาของต้องห้ามทันก็แอบเอามาซ่อนไว้ในเสื้อ แต่บางคนที่ไม่ทันก็ได้แต่มองตามของตัวเองในถุงตาละห้อย ของผิดกฎที่ห้ามนำมาถูกนำใส่ถุงที่เตรียมเอาไว้มากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจารย์ผู้ตรวจคิ้วกระตุก ไม่แน่ใจว่าเด็กพวกนี้จะมาทัศนศึกษา หรือว่าจัดปาร์ตี้กันแน่

     

                “โอวอนพิล นี่อะไร ขวดน้ำสีเขียวเข้มคุ้นตาถูกแกว่งไปมาอยู่ในมือของผู้เป็นอาจารย์ เจ้าของขวดเหล้าได้แต่อ้ำอึ้ง ยืนส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนข้างกาย

     

                “ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเอาของแบบนี้มา พวกแกนี่มันเด็กเหลือขอจริงๆ ห้ามอะไรไม่เคยฟัง

     

                “เอ่อ... อาจารย์ซองดึกก็พูดเกินไปนะครับ ซอกจินที่ยืนมองอยู่นานเดินเข้ามากู้สถานการณ์ แต่เมื่อถูกตาสายตาดุๆ หันกลับมามองอย่างเอาเรื่อง เล่นเอาหัวใจแทบจะหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

     

                “คุณเป็นอาจารย์ใหม่จะไปรู้อะไร ไอ้พวกนี้น่ะ ด่าไปมันก็ไม่สำนึกหรอก

     

                “แต่นักเรียนบางคนอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้นี่ครับ พยายามพูดในแง่ดีหวังให้สถานการณ์ตรงนี้เบาความมาคุลงบ้าง เพราะซอกจินคิดว่าเด็กนักเรียนก็คงไม่ชอบได้ยินคำพวกนี้เหมือนที่เขาไม่ชอบมัน

     

                “เฮอะ เด็กพวกนี้ดูแค่หน้าไม่ได้หรอก คุณก็อย่าไปเชื่ออะไรพวกมันมากนักเลย

     

                ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาต้องการสื่อให้อาจารย์ฝ่ายปกครองฟังนั้นจะไม่เข้าถึงอีกฝ่ายเลย กำแพงอคติหนาเกินกว่าเข้าจะพังมันลงได้เพียงคำพูดไม่กี่คำ เมื่อเป็นแบบนั้นซอกจินจึงตัดสินใจว่าจะไม่พูดอะไรต่อ เขาทำเพียงพยักหน้าสื่อว่าเข้าใจ จากนั้นจึงหันไปตรวจกระเป๋าของนักเรียนคนอื่นแทน

                ซอกจินไล่ตรวจมาเรื่อยๆ เจอเหล้าบ้าง บุหรี่บ้างก็ทำได้เพียงยึดของเหล่านั้นมาแล้วตักเตือนไปเล็กน้อย จนกระทั่งมาถึงจุดที่แทฮยองยืนอยู่ เขามองใบหน้าหยิ่งยโสของแทฮยองแล้วได้แต่ส่ายหัว ช่างเป็นเด็กที่ไม่มีสัมมาคารวะเอาซะเลย

     

                เปิดกระเป๋าสิสั่งเด็กตรงหน้า เมื่อแทฮยองยอมเปิดกระเป๋าเขาจึงล้วงมือลงไป สายตาก็มองหาของต้องห้ามสำหรับการมาทัศนศึกษา และในจังหวะที่กำลังจะเอามือออก สายตาก็บังเอิญไปเห็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่คุ้นตาแอบซ่อนอยู่

     

                “อาจารย์คงต้องขอยึดบุหรี่ซองนี้นะ ชูกล่องบุหรี่ในมือให้เด็กหนุ่มดูแล้วใส่ลงในถุง แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินไปไหนแทฮยองก็จับข้อมือของซอกจินไว้แน่น

     

                “ไม่รู้รึไงว่าผมเป็นใคร เอาคืนมา สายตาแข็งกร้าวทำเอาซอกจินสะอึก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมแพ้ เขาสะบัดข้อมือออก ซ่อนถุงไว้ข้างหลังตัวเองเพื่อกันไม่ให้เด็กหนุ่มมาแย่งชิงไป

     

                “ไม่ได้ เธอเป็นใครอาจารย์ไม่รู้หรอก แต่กฎของการมาทัศนศึกษาคือห้ามพกของพวกนี้มา

     

                “ก็บอกให้เอาคืนมาไงวะ! แทฮยองกระชากข้อมือของคนตรงหน้าฝั่งที่ถือถุงใส่ของอย่างแรง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเรียกความสนใจทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นให้หันไปมอง แต่เด็กหนุ่มไม่สนใจ เขายังคงบีบข้อมือของซอกจินแรงขึ้นเรื่อยๆ

     

                “แทฮยอง ปล่อยมืออาจารย์เดี๋ยวนี้ ราวกับเสียงสวรรค์ ร่างสูงโปร่งเผลอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่าซองดึกเดินมาทางตน แทฮยองปล่อยข้อมือของเขาแล้ว หากแต่ยังคงจ้องมาไม่วางตา

     

                “วันหลังหัดบอกอาจารย์ใหม่นี่ด้วยว่าอย่ามายุ่งกับฉัน

     

                เสียงเซ็งแซ่ดังไปทั่วเมื่อแทฮยองหยิบกระเป๋าของตนแล้วเดินออกไป แต่ก็เงียบลงทันทีที่เจอเสียงตะโกนด่าของผู้เป็นอาจารย์ ซองดึกไล่นักเรียนที่ยืนอยู่ให้เข้าไปเก็บสัมภาระที่ห้อง ทำให้ที่ตรงนี้เหลือพวกเขาเพียงแค่สองคน ซอกจินมองใบหน้าของอาจารย์ขาโหดด้วยความไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่แทฮยองพูดจาไม่สุภาพใส่ แต่กลับปล่อยให้เดินจากไปได้ง่ายๆ ไม่มีการทำโทษอะไรสักอย่าง

     

                ยังไม่ทันที่ปากอิ่มจะได้เอ่ยถามอะไร อาจารย์ผิวเข้มก็เอ่ยขึ้นมาราวกับรู้ว่าซอกจินกำลังสงสัยอะไรอยู่

     

                “คิมแทฮยอง จอนจองกุก จองโฮซอกเสียงเข้มเว้นช่วงไปเล็กน้อย ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดต่อ ถ้าไม่อยากถูกไล่ออกก็อย่าไปยุ่งกับเด็กพวกนั้นจะดีกว่า

     

     

     

     

    ----------Law of the Jungle----------

     

     

     

     

                “บังเอิญจังเนอะ เราได้อยู่ห้องเดียวกันอีกแล้ว

     

                ยุนกิหันมองตามเสียง เขามองเห็นใบหน้าของจีมินที่อยู่ห่างออกไปกำลังส่งรอยยิ้มมาให้ เขาพยักหน้าให้อีกฝ่ายเล็กน้อย แล้วหันกลับมานำของออกจากกระเป๋าเดินทางเหมือนเดิม ในขณะที่จีมินเองก็เริ่มจัดของตัวเองบ้างเช่นกัน

     

                “นาย... เหมือนคนพูดจะดูลังเลอยู่เล็กน้อย จีมินมองคนตัวขาวที่นั่งเงียบไปนานอย่างใจจดใจจ่อ

     

                ฉันลืมเอายาสีฟันมา ขอยืมของนายได้รึเปล่า

     

                “ได้สิ ถ้าขาดอะไรอีกก็บอกได้เลยนะ ก็เราเพื่อนกันนี่นา

     

                คำว่าเพื่อนที่ได้ยินจากจีมินทำให้ยุนกิรู้สึกแปลก ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเขาไปโมเมเอาตอนไหนว่าเป็นเพื่อนกัน แต่ถึงอย่างนั้นยุนกิก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

     

                “ขอบใจนะ เขาเอ่ยคำขอบคุณเพียงแผ่วเบา แต่ด้วยความที่ห้องเงียบมันจึงได้ยินชัดเจน จีมินที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มร่าออกมา ดูเหมือนว่าการเป็นเพื่อนกับยุนกิกำลังใกล้เข้ามาอีกก้าว

     

                “ถ้าเก็บของเสร็จแล้วก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวอาจารย์จะว่าเอา

     

                ยุนกิพยักหน้ารับ ทั้งสองคนเดินไปรวมตัวกับคนอื่นๆ ซึ่งยืนอยู่ที่หน้าที่พัก ตามกำหนดการของวันนี้แล้ว พวกเขาจะได้ไปปีนเขาเพื่อศึกษาธรรมชาติ โดยจะมีเจ้าหน้าที่เป็นคนคอยนำทาง จีมินที่รอเวลานี้มานานหันไปพูดคุยกับยุนกิที่อยู่ข้างๆ อย่างร่าเริง ทำเอาคนที่แอบมองอยู่อย่างจองกุกรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา ภาพตรงหน้าเขาคือจีมินหัวเราะต่อกระซิกกับยุนกิอยู่แบบไม่เกรงใจใคร เห็นแล้วก็รู้สึกแปลกๆ อยากเดินไปแยกสองคนนั้นให้ออกจากกัน

                ทันใดนั้นรอยยิ้มร้ายก็ปรากฏเมื่อจองกุกคิดแผนการบางอย่างออก เขาหัวเราะเบาๆ เพียงลำพังเมื่อคิดว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำนั้นน่าสนุกเพียงใด

     

     

     

     

     

     

                “เด็กๆ จำไว้ให้ดีนะว่าต้องเดินตามเจ้าหน้าที่ ห้ามออกนอกเส้นทางเด็ดขาด เสียงเจ้าหน้าที่พูดผ่านโทรโข่งดังก้อง เนื่องจากเส้นทางที่พวกเขากำลังจะเดินจากนี้เป็นภูเขา หากหลงทางขึ้นมาจะแย่เอาได้

     

                จากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ ป่าฮัลลาเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะกับการใช้เป็นที่ศึกษาธรรมชาติ พวกเขาได้ทำทางไว้สำหรับนักเดินทางเพื่อให้เดินได้สะดวก หากหลุดออกไป อาจจะหลงทางได้ โดยเฉพาะในช่วงที่หมอกลงในบางพื้นที่แบบนี้ เพราะฉะนั้นการไม่เดินออกนอกเส้นทางจึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด

     

                ตลอดการทำข้อตกลงก่อนการเดินป่า เด็กนักเรียนทุกคนต่างตั้งใจฟังเป็นอย่างดี พวกเขารับฟังกฏข้อห้าม รวมไปถึงข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในการปีนเขา และเนื่องด้วยฝนที่ตกในตอนเช้าทำให้พื้นที่บางส่วนนั้นอันตราย ทำให้อาจจะไม่ได้แวะในบางจุดตามที่ได้ตกลงไว้ในตอนแรก

     

                หลังจากยืนอยู่หน้าทางขึ้นเขามานาน ในที่สุดก็ได้เวลาเดินป่ากันเสียที ระหว่างทางจีมินรับฟังที่เจ้าหน้าที่อธิบายต้นไม้ต้นต่างๆ อย่างตั้งใจ จนกระทั่งเขาเจอต้นไม้ตนหนึ่ง คนตัวเล็กหยุดมองมันอยู่เนิ่นนานเพราะรู้สึกสนใจในความแปลกที่ไม่เคยได้พบมาก่อน รู้ตัวอีกทีเขาก็อยู่รั้งท้ายแถวมาไกล ด้วยความที่กลัวว่าจะพลัดหลงกับเพื่อน จีมินจึงรีบเดินหวังจะตามให้ทัน แต่ก็ถูกมือปริศนามาปิดปากเอาไว้ ก่อนจะลากเขาออกมาให้พ้นเส้นทางเดินปกติ

     

                “อื้อ! อื้อ~”

     

                “ชู่~ อยู่เงียบๆ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว หัวใจเต้นรัวแรง น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้คนตัวเล็กเบิกตากว้าง จีมินนิ่งเงียบตามที่อีกฝ่ายบอก จนมือหนานั้นปล่อยให้ริมฝีปากของเขาเป็นอิสระ แต่ไม่ทันให้ได้ร้องท้วงเขาก็ถูกจองกุกลากเข้ามาในป่าลึกมากขึ้น จนมองไม่เห็นทางที่เดินมาในตอนแรก

     

                “ปล่อยนะ! สะบัดมือออกจากจองกุก จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่พอใจ จองกุกจะเล่นแรงเกินไปแล้ว

     

                “จะโวยวายทำไม ฉันไม่ได้พานายมาฆ่าหรอกน่า

     

                “เล่นอะไรของนาย!ถามด้วยความโมโห แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงรอยยิ้มกวนประสาทเท่านั้น

     

                “เห็นอยากมามากไม่ใช่เหรอไง ป่าน่ะ ช่วยสงเคราะห์ให้แล้วยังไม่ขอบคุณอีก มือกอดอก มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย้ยหยัน

     

                จีมินมองตอบกลับด้วยความโกรธเคือง เกิดความเงียบอยู่นานจนคนตัวเล็กทนไม่ไหวเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี จีมินรีบสาวเท้ากลับไปยังทิศทางที่คิดว่าเป็นทางออก แต่ก็ถูกคนตัวสูงมาดักทางไว้ มือแกร่งจับที่ข้อแขนของจีมินแน่น แต่คนตัวเล็กก็พยายามสะบัดมันออก ทั้งคู่ยื้อยุดกันอยู่สักพัก จนกระทั่งขาเล็กเสียหลักลื่นตกจากเนินที่พวกเขายืนอยู่

     

                ฟุ่บ! แซ่ก แซ่ก แซ่ก!

     

                จีมิน และจองกุกลื่นไถลลงมาอย่างรวดเร็ว พอรู้สึกตัวอีกทีก็ลงมาอยู่ด้านล่างเนินแล้ว

     

                “โอย...เสียงร้องครางของจองกุกดังขึ้น เขาพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ต้องทรุดลง เมื่อรู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าด้านขวา

     

                “นายเป็นอะไรมากรึเปล่า จีมินเดินเข้ามาถาม เขาจับที่ข้อเท้าของจองกุกด้วยความเป็นห่วง ดูแล้วคงจะเจ็บไม่ใช่น้อย

     

                “เหอะ ห่วงตัวเองก่อนเหอะ หัวแตกขนาดนั้นยังจะมาถามอีก

     

                มือเล็กรีบแตะที่หัวของตัวเองทันทีที่ได้ยินจองกุกพูด เลือดสีแดงสดที่ติดมือมาทำเอาหน้าเสีย แต่พอเห็นคนตรงหน้าเอาแต่จับข้อเท้าของตัวเองอยู่ คนตัวเล็กก็รีบช่วยดูอาการทันที

     

                “โอ๊ย!จองกุกร้องออกมาเมื่อจีมินแตะตรงจุดที่เริ่มบวมออกมาอย่างเห็นได้ชัด

     

                “ขอโทษ

     

                “แม่งเอ๊ยเสียงสบถทำให้คนที่จับข้อเท้าดูอาการอยู่อย่างกล้าๆ กลัวๆ นั้นต้องตกใจ พอเงยหน้ามองก็เห็นจองกุกกำลังจิ้มที่หน้าจอมือถือตัวเองอย่างหงุดหงิด

     

                “เอามือถือนายมา

     

                “ฉันลืมไว้ที่ห้อง...

     

                “เออ! โว้ย! ให้มันได้อย่างนี้สิวะมือหนาขยี้ผมตัวเอง เขาเริ่มรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาหน่อยๆ ที่เล่นเกมในโทรศัพท์จนแบตหมด พอถึงเวลาฉุกเฉินเลยไม่เหลือแบตให้ใช้แบบนี้

     

                “นายลุกไหวรึเปล่า เดี๋ยวฉันช่วยพยุงนะ ลองเดินดูกันเถอะ เพื่อเจอเจ้าหน้าที่อยู่แถวนี้ เหมือนกับที่จีมินพูดเป็นเรื่องประหลาด คนตัวสูงทำหน้าตาเหลือเชื่อใส่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการเจ็บข้อเท้าที่มันเริ่มมีมากขึ้นเลยทำให้คนอย่างจองกุกเงียบลงหรือเปล่า แต่นั่นก็ทำให้จีมินแอบรู้สึกดีไม่น้อยเหมือนกันที่ไม่โดนตะคอกใส่อีก

     

                จีมินประคองจองกุกให้ลุกขึ้นเดินอยู่นาน แต่ก็ต้องล้มเหลวเมื่อจองกุกเจ็บมากจนไม่สามารถลุกขึ้นได้ ทั้งคู่จึงทำได้เพียงนั่งอยู่กับที่รอความช่วยเหลือเท่านั้น

     

                “อ๊ะ...คนตัวเล็กสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ จองกุกก็เอื้อมมือมาแตะตรงบาดแผลบริเวณหน้าผาก

     

                “อยู่เฉยๆ คนตัวสูงออกคำสั่ง

     

                จีมินมองอย่างไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก ตอนแรกเขาคิดว่าจะถูกแกล้งให้เจ็บตัวมากกว่าเดิม แต่ที่ไหนได้ ผ้าสีขาวสะอาดที่ไม่รู้จองกุกไปเอามาจากไหนถูกหยิบขึ้นมาเช็ดคราบเลือดอย่างแผ่วเบา ใบหน้าที่เข้าใกล้กันทำเอาเขารู้สึกหายใจขัดขึ้นมาซะดื้อๆ

     

                “แม่บ้านให้มา ไม่ได้อยากจะพกหรอก จองกุกพูดขึ้นราวกับจะแก้เขิน ตอนนี้ก็เย็นแล้ว เดี๋ยวพวกเจ้าหน้าที่ก็คงมา อย่าเสร่อเดินไปไหนให้หลงมากไปกว่านี้อีกล่ะ

     

                แล้วใครกันที่ทำให้ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ จีมินอยากจะสวนกลับไปอย่างนั้น แต่ก็ทำได้เพียงนั่งนิ่งๆ เพราะกลัวว่าจะพูดอะไรไม่ถูกใจจองกุกเข้า จีมินคิดว่าในเวลาแบบนี้มาทะเลาะกันอาจจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก

     

                ผ่านไปหลายชั่วโมง แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาเริ่มหมดลง อากาศในป่าก็เริ่มเย็นตาม ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่หน้าหนาว แต่เพราะฝนที่ตกเมื่อเช้าทำให้ภายในป่ายังคงมีความชื้น อากาศจึงเย็นพอสมควร จีมินเขยิบเข้าหาคนตัวสูงเพื่อรับไออุ่นอย่างไม่รู้ตัว ในขณะที่จองกุกเองก็ขยับเข้าหาจีมินเพราะรู้สึกหนาวเย็นเช่นกัน

     

                แซ่ก แซ่ก

     

                เสียงลมพัดใบไม้เสียดสีกันไปมาทำให้คนตัวเล็กสะดุ้ง เพราะคิดว่าจะมีสัตว์ป่าออกมา ท่าทางเหมือนลูกแมวนั่นทำให้จองกุกที่มองอยู่ตลอดรู้สึกแปลกๆ เขารู้สึกได้ถึงแรงสั่นตรงชายเสื้อแจ็คเก็ตที่เขาสวมอยู่ มันสั่นจนเขารู้สึกรำคาญ

     

                หมับ!

     

                จองกุกคว้ามือเล็กมาจับไว้ ถึงแม้จีมินพยายามจะชักมือออก แต่เขาก็ยังจับไว้แน่น

     

                “รำคาญ กระตุกอยู่นั่นแหละ

     

                เวลาผ่านไปนาน จากฟ้าสว่าง จนตอนนี้ทั้งป่าตกอยู่ในความมืดมิด จีมินและจองกุกผล็อยหลับไปด้วยความเพลีย ด้วยอากาศที่หนาวเย็นลงเรื่อยๆ ทำให้ทั้งคู่นั่งกอดกันอย่างไม่รู้ตัว ในขณะที่อีกด้านของป่า เจ้าหน้าที่ยังคงตามหาตัวเด็กทั้งสองคนอย่างไม่ลดละ

                หลังจากได้รับแจ้งจากอาจารย์ว่ามีนักเรียนหายไประหว่างการเดินป่า เจ้าหน้าที่จึงทำการตามหาทันที แต่ด้วยอุปสรรคหมอกที่ลงปกคลุมพื้นที่ทำให้การตามหาเป็นไปอย่างล่าช้าจนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนกลางคืน หลังจากพยายามกันอยู่นาน ในที่สุดพวกเขาก็เจอตัวทั้งคู่ จองกุกและจีมินได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากเจ้าหน้าที่ก่อนจะถูกพากลับที่พัก

     

                คืนนั้นทั้งจีมินและจองกุกโดนอาจารย์รุมสวดเสียยกใหญ่ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกคือจีมินโดนคนเดียวเต็มๆ มากกว่า คนตัวเล็กถูกขู่เรื่องพิจารณาทุนอีกครั้ง จากข้อหาก่อเรื่องในระหว่างการทัศนศึกษา ในขณะที่จองกุกถูกต่อว่าเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

     

                เช้าวันต่อมา อาจารย์ซองดึกผู้มีหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการดูแลการทัศนศึกษาครั้งนี้ได้ออกมาประกาศยกเลิกกำหนดการทั้งหมด เนื่องจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตั้งแต่บนเรือ จนกระทั่งเรื่องในป่าเมื่อวาน พวกเขาจะกลับโซลกันทันทีหลังจากพาทุกคนแวะซื้อของฝากเสร็จเรียบร้อย ซึ่งเมื่อเด็กนักเรียนได้ยินแบบนั้นต่างก็โวยวายกันใหญ่ที่อยู่ๆ ทริปของพวกเขาก็ล่มไม่เป็นท่า และเมื่อซองดึกเดินออกไป เด็กๆ ทุกคนต่างมองไปทางจีมินที่ยืนก้มหน้าอยู่อย่างรู้สึกผิด

     

                เสียงพูดคุยที่มีชื่อจีมินอยู่ในบทสนทนาดังขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน คนตัวเล็กได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ รู้สึกไม่ดีที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การทัศนศึกษาครั้งนี้ต้องจบลง

     

                “เพราะแกเลย พวกเราถึงต้องกลับโซลกันเร็วแบบนี้เด็กคนหนึ่งพูดขึ้น พวกเขารวมกลุ่มกันเดินเข้ามาหาจีมินอย่างเอาเรื่อง

     

                “ฉันขอโทษ มือเล็กกำแน่น เขาก้มหน้าลงไม่กล้าสบสายตาเพื่อนร่วมห้อง

     

                ผั้วะ!

     

                ศีรษะเล็กสั่นคลอนจากแรงที่ตบลงมาไม่เบานัก จีมินนิ่วหน้าเมื่อมันกระเทือนไปถึงแผลที่หัว เขาได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นจากรอบข้าง ไม่ชอบช่วงเวลาแบบนี้เอาซะเลย

     

                “หลบไป จองกุกพูดเสียงเข้ม เขาเดินเข้ามาคั่นกลางระหว่างจีมินและกลุ่มเพื่อนร่วมห้อง หน้าตาไม่สบอารมณ์ของจองกุกทำให้ทุกคนพากันแยกย้าย แตกกระเจิงกันไปคนละทาง

     

                จีมินมองแผ่นหลังของคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ จนกระทั่งอีกฝ่ายหันหน้ากลับมา หัวใจที่เคยเต็มไปด้วยความสงสัยก็เต้นระรัวด้วยคำพูดที่ไม่คาดคิดของจองกุก

     

                “วันหลังอย่าให้ใครมารังแกนาย นอกจากฉัน

     

     

     

     

    ----------Law of the Jungle----------

     

     

     

     

                ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พูดออกไปแบบนั้น ตอนนี้จองกุกรู้สึกอยากจะเอาหัวตัวเองโขกกระจกรถหลายๆ ทีให้มีสติ ตั้งแต่ที่เขาพูดประโยคนั้นออกไป ถึงจะผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว แต่มันก็ยังติดอยู่ในหัวไม่หายไปไหน

     

                “เป็นไรวะโฮซอกถามขึ้นด้วยความสงสัย หลังจากขอแลกที่นั่งกับคนในห้อง B ได้เขาก็ไม่รอช้าที่จะมาหาเพื่อนสนิททั้งสองคนทันที เขาเขยิบไปนั่งข้างๆ จองกุก มองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง หรือว่ามึงเจ็บขา ให้กูพาไปโรงบาลพ่อกูมั้ย

     

                “ไม่เป็นไร จองกุกตอบปัด เขาพิงหัวกับกระจกรถ มองวิวนอกหน้าต่างเพื่อดับความคิดฟุ้งซ่านในใจ

     

                “มึงก็ห่วงมันจังเลยนะ เอาแต่ถามตั้งแต่ขึ้นมาจนกูรำคาญแทนไอ้จองกุกแล้วเนี่ย

     

                โฮซอกชูหมัดใส่ทันทีที่ได้ยินเสียงจิกกัดจากคนผิวเข้มที่นั่งข้างๆ ถ้าเขาเอาแต่ถามจองกุกตั้งแต่ขึ้นรถ แทฮยองก็คงไม่ต่าง เพราะเอาแต่กวนเขามาตลอดตั้งแต่ขึ้นรถ ทั้งแย่งขนม ทั้งแย่งมือถือไปเล่นเกม แถมเอาเท้าก่ายแบบไม่เกรงใจ พอเป็นห่วงเพื่อนก็มาขัดคอกันอีก

     

                “แดกๆ ไปเหอะ กวนตีนกูอยู่ได้ เดี๋ยวมึงจะได้กินตีนแทนขนม

     

                “โหดจังนะมึง ทีกับจองกุกแม่งพูดดี กับกูนี่หยาบใส่ตลอดน้ำเสียงน้อยใจที่ถูกส่งมาจากคนข้างตัวทำเอาเขาต้องเบะปาก ทำตัวเป็นเด็กขาดความรักไปได้ น่ารักมากมั้งมึงอ่ะ

     

                “จะทะเลาะอะไรกันนักหนาวะถึงปากจะพูดกับเพื่อนตัวเอง แต่สายตากลับจับจ้องไปที่เบาะที่เยื้องกันออกไปไม่กี่แถว

     

                จองกุกมองจีมินที่นั่งหลับตาพริ้ม เอนหัวซบยุนกิอยู่ แก้มยุ้ยๆ ที่โผล่พ้นขอบเบาะทำให้เขาอยากจะเดินเข้าไปดึงมันแรงๆ อยากจะแกล้งให้อีกฝ่ายร้องไห้ซะให้เข็ด เมื่อคิดได้ดังนั้นกลุ่มเส้นผมดำขลับก็ต้องส่ายไปมาอย่างรุนแรง เมื่อรู้สึกตัวได้ว่าตัวเองกำลังคิดเรื่องอะไรแปลกๆ คนตัวสูงเบนสายตาออกจากแก้มกลมกลับมายังกระจกรถอีกครั้ง จองกุกไม่รู้ว่าโฮซอกย้ายไปนั่งติดริมกระจกตอนไหน และไม่รู้ว่าแทฮยองนอนหลับไปตอนไหน แต่ที่ใครเคยพูดเอาไว้ว่ากระจกมักสะท้อนความจริงนั้นอาจจะเป็นจริง

     

                สิ่งที่จองกุกเห็นผ่านเงาสะท้อนของกระจกรถตอนนี้คือภาพที่โฮซอกทำเป็นมองดูวิวนอกรถแต่แท้จริงแล้วกำลังมองใบหน้าของแทฮยองที่นอนพิงไหล่ของตัวเองอยู่ นิ้วเรียวยกขึ้นเกลี่ยที่กระจกแผ่วเบา เหมือนกับกำลังลูบไล้หน้าผากของแทฮยอง รอยยิ้มถูกส่งออกมาโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว และจองกุกเองก็ไม่ได้เอ่ยทักอะไรออกไป เขาหลับตาลงเพื่อที่จะไม่ต้องเห็นภาพเหล่านั้น

     

                ภาพของความรู้สึกที่โฮซอกคอยปกปิดมันเอาไว้ตลอด...

     

     

     

     

    ----------Law of the Jungle----------

     

     

     

     

                หลังจากส่งนักเรียนทุกคนที่หน้าประตูเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาที่เขาควรกลับบ้านเสียที ซอกจินยืนบิดขี้เกียจเล็กน้อย ความเมื่อยล้าจากการเดินทางทำให้เขาอยากจะกลับบ้านแล้วอาบน้ำพักผ่อนไวๆ

     

                เฮือก!

     

                ซอกจินสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ๆ ก็มีมือปริศนามาแตะเข้าที่ไหล่ แต่พอหันหน้ากลับไปมองแก้มนิ่มก็ชนเข้ากับนิ้วมือของใครบางคน

     

                “ยินดีต้อนรับกลับนะครับอาจารย์ รอยยิ้มสวย พร้อมถ้อยคำต้อนรับอันอบอุ่นทำเอาหัวใจของคนเป็นอาจารย์เกือบเต้นผิดจังหวะ นัมจุนดึงมือของตัวเองกลับไปแล้ว แต่ซอกจินก็ยังรู้สึกร้อนที่แก้มไม่หาย

     

                “ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอไง ซอกจินถาม มองนาฬิกาพบว่าเป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว และแน่นอนว่ามันเลยเวลาเลิกเรียนมานานแล้วด้วย

     

                “ผมอยู่รออาจารย์นั่นแหละ

     

                “จะรอทำไม กลับบ้านได้แล้วไปโบกมือไล่คนตัวสูงกว่าที่ทำตัวเหมือนเด็กงอแง ร่างโปร่งเดินไปหยิบกระเป๋าของตนมาถือ หากแต่ก็โดนคนที่วิ่งตามมาแย่งไปอย่างง่ายดาย พอจะหันไปต่อว่าก็โดนเล่นงานด้วยรอยยิ้มพิมพ์ที่ทำให้ใจเต้นอีกรอบ เขาจึงหาเรื่องอื่นขึ้นมาคุยเพื่อที่จะลดอาการใจเต้นของตน

     

                “เออใช่ ตอนไปทัศนศึกษาน่ะ อาจารย์ซองดึกบอกว่าให้ระวังจองกุก แทฮยอง แล้วก็โฮซอกด้วยล่ะ นายรู้มั้ยว่าเพราะอะไร

     

                “เจ้าพวกนั้นมันเป็นเด็กแสบ อาจารย์เพิ่งจะย้ายมาคงจะไม่รู้สินะครับ ว่าแต่อาจารย์ซองดึกไม่ได้บอกเหรอครับ ว่าต้องระวังผมด้วยน่ะ

     

                “หือ? เธอว่าอะไรนะ อาจารย์ไม่ค่อยได้ยินเลย ซอกจินหันไปถามเด็กหนุ่มที่เดินตามหลัง เพราะลมที่พัดมาพอดีเขาจึงได้ยินประโยคสุดท้ายที่นัมจุนพูดไม่ชัดนัก

     

                “ไม่มีอะไรครับ แค่จะบอกว่าไม่ได้เจอตั้งหลายวัน คิดถึงซอกจินจัง

     

                “ย่าห์! บอกแล้วใช่มั้ยว่าให้เรียกว่าอาจะ—!...” อยู่ๆ เสียงก็หายไปจากลำคอเอาซะดื้อๆ เมื่อใบหน้าของคนที่เด็กกว่าอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่คืบ

     

                นัมจุนมองคนที่แก้มขึ้นสีด้วยรอยยิ้มขำ เขาเลื่อนใบหน้าของตนเข้าหาซอกจินช้าๆ จนกระทั่งริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกัน

     

                พลั่ก!

     

                มือเรียวผลักอกของคนตรงหน้าออก ใบหน้าหวานแดงก่ำ เป็นช่วงเวลาที่เกิดขึ้นเพียงแค่ไม่กี่วินาที แต่ร่างโปร่งรู้สึกเหมือนกำลังจะระเบิด เขาคว้ากระเป๋าของตัวเองมาก่อนจะวิ่งหนีเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว

     

                คนที่บุกจู่โจมอาจารย์ห้องพยาบาลยืนยิ้มด้วยความชอบใจ เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากตนช้าๆ ความนุ่มนิ่มยังคงติดอยู่ให้ได้รู้สึก ยิ่งได้เห็นใบหน้าที่แดงเหมือนเด็กสาวที่สูญเสียจูบแรกก็ยิ่งชอบ

     

                คิดถูกจริงๆ ที่เลือกให้คิมซอกจินเป็นเหยื่ออันดับหนึ่งของเขา

     

     

     

    -------------------------------------------------------------

    KataeBum TALK

    จองกุกไม่ใช่เด็กร้ายกาจอะไรขนาดนั้นค่ะ ผู้ร้ายตัวจริงยังไม่ออก (หัวเราะ)

    ตัวละครทุกตัวมีเหตุผลในการกระทำของตัวเองเสมอนะคะ

    สำหรับบางคนที่อยากพูดคุย ทักมาได้เลยน้า @KataeBum13

    แต่อย่ามาทวงเราเลย เดี๋ยวเราจิตตก 5555555555555

    ขอบคุณคนอ่านที่ถึงจะดองบ้าง ช้าบ้างแต่ก็ยังไม่จากกันไปไหน รักค่ะ (เขิน)

    #ฟิคป่า






     
    ♔THE ORA♔
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×