ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic BTS] Law of The Jungle (kookmin, namjin)

    ลำดับตอนที่ #5 : CHAPTER 4 l สิงโตตัวที่สอง (รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 29 ต.ค. 60


     



    CHAPTER 4

    Be careful who you trust, the devil was once an angel.

    (Ziad K. Abdelnour)

     

     

     

     

     

                นับวันการกลั่นแกล้งของคนในโรงเรียนมีแต่จะรุนแรงมากยิ่งขึ้น จากที่กลั่นแกล้งเพียงเล็กๆ น้อยๆ อย่างการเอารองเท้าไปซ่อน ขังจีมินไว้ในห้องเก็บของ เทน้ำใส่จากชั้นสอง หรือจะรวมหัวกันเขียนคำด่าลงบนโต๊ะเรียนของจีมินจนดูสกปรกไปหมด

     

                ‘ไปตายซะไป

                ‘ไอ้ขอทาน

                ‘ขยะของโรงเรียน

                ‘ไอ้ตัวน่ารังเกียจ!

               

                จีมินจ้องมองที่ตัวอักษรเหล่านั้น เขาหลับตาลงข่มความรู้สึกในใจ แล้วหย่อนก้นนั่งลงเพื่อเตรียมเข้าเรียนตามปกติ มือเล็กสอดเข้าไปใต้โต๊ะเพื่อที่จะหยิบหนังสือแต่ก็ต้องดึงมือกลับออกมาอย่างรวดเร็วเมื่อรู้สึกเหมือนถูกอะไรบาดเข้า เลือดสีแดงสดไหลออกมาเต็มนิ้วจนแม้แต่เจ้าตัวก็ยังตกใจ ก้มหน้าลงมองก็เห็นใบมีดคมที่ยื่นออกมาจากตัวหนังสือ

                ก็รู้ว่าต้องการจะแกล้งกัน แต่ถึงกับเลือดออกขนาดนี้เขาว่ามันก็ออกจะเกินไปหน่อย จีมินข่มความเจ็บปวด เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าที่มักจะพกไว้เป็นประจำมาพันไว้เพื่อห้ามเลือด ก่อนจะขออนุญาตอาจารย์ไปห้องพยาบาล

     

                ในจังหวะที่กำลังเปิดประตูห้อง เสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมชั้นก็ลอยมาให้ได้ยิน

     

                “สมน้ำหน้า

                “เฮอะ ไอ้ขอทานแบบมันน่ะโดนซะบ้างก็ดี

     

                จีมินพยายามทำเป็นไม่ได้ยินมัน เขาก้มหน้าเดินออกจากห้อง ไม่ชอบเอาเสียเลยพวกคนที่เห็นความเจ็บปวดของคนอื่นเป็นเรื่องสนุก

     

     

     

     

    ---------------------------------------Law of The Jungle---------------------------------------

     

     

     

     

                “ขออนุญาตครับ

     

                เสียงจากด้านหลังเรียกให้คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหันกลับไปมอง เขาส่งยิ้มให้นักเรียนชายคนนั้นก่อนจะเอ่ยทัก อ้าว เป็นอะไรล่ะ เข้ามาก่อนสิ

     

                “พอดีว่าผมถูก เอ่อคัตเตอร์บาดครับ

     

                “ไหน อาจารย์ขอดูแผลหน่อยกวักมือเรียกให้นักเรียนตัวเล็กเดินมานั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามตน มือเรียวยกมือที่มีบาดแผลขึ้นมาดูอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงลุกขึ้นไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลที่ชั้น

     

                จีมินมองตามหลังอาจารย์ห้องพยาบาลที่เขาไม่คุ้นเคย ดูเหมือนว่าจะย้ายมาใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ คนที่ประจำอยู่คืออาจารย์ซองฮยอนขวัญใจของสาวๆ ในโรงเรียน

     

                “อืมแผลไม่ลึกมากนะ ว่าแต่ทำยังไงให้โดนบาดได้ล่ะเนี่ย

     

                ไม่มีคำตอบกลับ เด็กหนุ่มส่งยิ้มแห้งให้ผู้เป็นอาจารย์ เมื่อเห็นแบบนั้นอาจารย์หน้าใหม่จึงพึมพำว่าช่างมันเถอะแล้วจัดการทำแผลให้กับเด็กหนุ่มต่อ

     

                “เอาล่ะ เสร็จเรียบร้อย พูดเมื่อพันแผลให้เสร็จ

     

                “ขอบคุณครับ อาจารย์…”

     

                “อ้อ ลืมแนะนำตัวไปเลย อาจารย์ชื่อซอกจิน มาแทนพี่ซองฮยอน ไม่ใช่สิ มาแทนอาจารย์ห้องพยาบาลคนก่อน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มหนึ่งที จากนั้นจึงเดินไปเก็บอุปกรณ์ทำแผลเข้าที่ของมัน ก่อนออกไปอย่าลืมเซ็นชื่อเข้าใช้ห้องด้วยล่ะ

     

                จีมินขานรับ เด็กหนุ่มเดินไปเซ็นชื่อแล้วเดินออกจากห้องไป เหลือเพียงซอกจินอยู่ในห้องเพียงคนเดียวอีกครั้ง เมื่อดูนาฬิกาเห็นว่ายังเป็นเวลาเรียนอยู่และคิดว่าคงไม่น่ามีนักเรียนเข้ามาอีกสักพัก ซอกจินจึงนั่งลง หยิบคู่มือแนะนำโรงเรียนที่รุ่นพี่ของเขาได้ให้ไว้มาอ่านต่อ

     

                สองวันได้แล้วที่ซอกจินย้ายมาทำงานที่นี่ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยทำงานที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงลาออกมา ในตอนที่เขากลายเป็นคนว่างงานเดินเตะฝุ่นไปเรื่อยก็ได้พบกับรุ่นพี่คนสนิทเมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเข้า

                หลังจากพวกเขาได้พูดคุยไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของกันและกันแล้ว ซองฮยอนที่ได้รู้ว่ารุ่นน้องกำลังตกที่นั่งลำบากก็แนะนำงานนี้ให้กับซอกจิน ซึ่งเจ้าตัวเองก็เห็นว่าเป็นงานที่น่าสนใจและอยากลองทำมานานแล้วจึงตอบตกลงอย่างง่ายดาย ถึงแม้จะรู้สึกตงิดใจตอนที่ได้ฟังคำเตือนแปลกๆ บางอย่างจากรุ่นพี่ก็ตามที

     

                ครืด~

     

                เสียงเปิดประตูดังขึ้น ซอกจินหันไปมองผู้เข้ามาใหม่ หัวใจเขาแทบร่วงลงไปที่พื้นเมื่อใบหน้าของนักเรียนคนนั้นเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ แถมหางคิ้วแตกมีเลือดไหลเป็นทาง ถึงแม้จะตกใจ แต่ด้วยความที่ความเป็นอาจารย์ (ห้องพยาบาล) ไฟแรง พอเห็นเสื้อที่หลุดรุ่ยออกมาจากกางเกงทำให้เขาอดที่จะส่งเสียงเตือนออกไปไม่ได้

     

                “นายน่ะ แต่งตัวให้มันดีๆ หน่อยสิ ทำเสียงดุ แต่ดูเหมือนว่านักเรียนคนนั้นจะไม่ได้สนใจเขาเท่าไหร่ เอาแต่เดินตรงมาจนซอกจินเผลอถอยหลังไปชนกับโต๊ะ ได้ยินที่อาจารย์พูดรึเปล่า

     

                “ครับเสียงทุ้มตอบกลับ เขาส่งยิ้มให้อาจารย์ห้องพยาบาลที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้แล้วยื่นมือที่มีบาดแผลส่งให้กับอีกฝ่าย

     

                “นี่เธอไปทำอะไรมาเนี่ย!ยิ่งเห็นแผลใกล้ๆ ก็ยิ่งทนไม่ไหว ซอกจินเผลออุทานออกมาเสียงดัง นายไปสู้มาหรอ เป็นนักเรียนที่ดีจะมีเรื่องทะเลาะกันในโรงเรียนไม่ได้นะ!

     

                ไหนๆ ก็ได้มาทำหน้าที่เป็นอาจารย์ห้องพยาบาลแล้วก็ต้องขอสักหน่อย ทะเลาะกันจนเจ็บขนาดนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน มาโรงเรียนก็ต้องมาเรียนหนังสือสิ

     

                ซอกจินทำหน้าดุ เสียงดุ ใส่เด็กนักเรียนตรงหน้า ดูสิ แผลเต็มไปหมดขนาดนี้ ถ้าพ่อแม่นายเห็นเข้าจะว่ายังไง แล้วอาจารย์ล่ะ มีใครรู้เรื่องนี้รึเปล่า พวกนายอาจจะถูกพักการเรียนก็ได้นะ เอ๊ะ?! หรือว่านายจะถูกรังแกมา?”

     

                “อุ๊บฮึๆ เสียงเจื้อยแจ้วไม่มีหยุด พูดเองเออเองอยู่คนเดียวจนเด็กหนุ่มหลุดขำ

     

                ซอกจินที่กำลังทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมหยุดแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ขำอะไรของเธอ

     

                “ผมว่าอาจารย์เป็นคนตลกดี ว่าแต่จะไม่ทำแผลให้ผมหรอครับยื่นมือใส่ผู้เป็นอาจารย์อีกครั้ง ซอกจินที่เห็นแบบนั้นก็ทำหน้าตกใจ

                เขาเดินไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลที่เพิ่งเดินไปเก็บได้ไม่ถึง 5 นาทีมาวางบนโต๊ะ จัดแจงหยิบนั่นนี่ออกมาวางเพื่อเตรียมทำแผลให้เด็กหนุ่ม

     

                สำลีเม็ดกลมชุบแอลกอฮอล์พอหมาดถูกเช็ดลงบนบาดแผลบริเวณมือของเด็กหนุ่ม สัมผัสแผ่วเบาจนคนเจ็บแทบไม่รู้สึก และพอรู้สึกตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ซอกจินกำลังพันผ้าพันแผลให้เขาอยู่

                จากแผลที่มือก็ไปต่อที่แผลบนใบหน้า ซอกจินย่นคิ้ว เม้มปากตอนที่ทำความสะอาดแผลที่คิ้วให้อีกคน มือเรียวค่อยๆ กดสำลีชุบแอลกอฮล์อย่างระมัดระวัง อดที่จะประหม่าไม่ได้เมื่อถูกสายตาของเด็กหนุ่มจับจ้องอยู่ตลอดเวลา จนเผลอกดสำลีลงไปกับแผลเข้า

     

                “ซี้ด…”

     

                “ขอโทษๆ เจ็บมากมั้ย เอ่ยถามด้วยความตกใจ ทำหน้าเหมือนคนทำความผิด

     

                “ไม่เป็นไรครับ ทำต่อได้เลย ถึงจะได้ยินแบบนั้นแต่ซอกจินก็อดที่จะขอโทษไม่ได้ ปกติเขาได้รับคำชมจากคนไข้หลายๆ คนว่าเป็นคุณหมอที่มือเบามากเลยนะ แต่ไม่รู้ทำไมพอถูกเด็กหนุ่มจ้องแล้วมือไม้มันสั่น จนเผลอทำให้เจ็บซะได้

                หลังจากทำความสะอาดแผล ทายาแล้วก็หยิบพลาสเตอร์มาปิด แต่ก็อดที่จะมือสั่นไม่ได้เพราะดวงตาของเด็กหนุ่มที่จ้องมองไม่มีหยุด

     

                ให้ตายสิ จะจ้องอะไรกันนักกันหนา!

     

                “อาจารย์เพิ่งย้ายมาใหม่หรอครับ คำถามของเด็กหนุ่มทำให้คนที่กำลังทาแผลที่มุมปากชะงักมือ เขาพยักหน้ารับเพื่อเป็นการตอบคำถาม

     

                เพราะสมาธิจดจ่ออยู่แต่กับบาดแผล ทำให้ซอกไม่ได้สังเกตถึงสายตาของเด็กหนุ่มที่จ้องมองมาที่ตน

     

                เพราะแบบนี้อาจารย์ถึงได้ไม่รู้จักผมสินะ

     

                ประโยคที่ฟังดูแล้วน่าสงสัยทำให้ซอกจินเงยหน้าขึ้นมองผู้พูด แต่เมื่อพบว่าระยะห่างที่อยู่ใกล้กันนั้นมันใกล้จนปลายจมูกแทบจะสัมผัสกัน เขาจึงรีบเด้งตัวออกมาทันที

     

                “เอ้า เสร็จแล้ว กลับไปเรียนได้แล้วไป

     

                “ขอบคุณครับ

     

                “ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าเกิดว่ามีใครรังแกเธออีกบอกอาจารย์ได้เลยนะ ดูสิได้แผลมาขนาดนี้เจ้าพวกนิสัยไม่ดีนั่นจะต้องโดนซะบ้างพูดด้วยสีหน้าจริงจัง มือก็กำหมัดไปด้วย

     

                เด็กหนุ่มมองอาจารย์ที่คิดเองเออเองแล้วหัวเราะออกมาเล็กน้อย เขาลงชื่อในบันทึกการใช้ห้องพยาบาลที่ซอกจินให้มาก่อนจะโค้งขอบคุณแล้วเดินออกจากห้องไป

                ซอกจินมองรายชื่อในบันทึกการใช้ห้องพยาบาล ชื่อแรก พัคจีมิน เด็กที่โดนคัตเตอร์บาด ส่วนชื่อที่สอง คิมนัมจุน เด็กคนเมื่อครู่นี้ ร่างโปร่งไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก เขาอาจจะคิดไปเองหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เขารู้สึกคุ้นๆ กับชื่อนี้อย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าจะเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่ง

     

                “คิมนัมจุนงั้นเหรอ…”

     

     

     

     

    ---------------------------------------Law of The Jungle---------------------------------------

     

     

     

     

                “ไปไหนมาวะนัมจุนอิกเจเอ่ยเมื่อเห็นเพื่อนสนิทเดินเข้ามาในห้อง

     

                เจ้าของชื่อทำเพียงยกมือทักทายเล็กน้อยแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ตอบคำถามโดยไม่หันมองหน้าเพื่อน ห้องพยาบาล

     

                “ไปต่อยกับใครมาอีกวะ ไม่มีชวน พูดด้วยน้ำเสียงเสียดายเล็กน้อย ก็ถ้าให้เลือกระหว่างนั่งอยู่ในห้องเรียนกับออกไปต่อยตีข้างนอก อิกเจขอเลือกอย่างหลังดีกว่า ถึงจะเจ็บตัวแต่ก็ดีกว่าต้องมานั่งแกร่วอยู่ในห้องแบบนี้

     

                “ไอ้พวกหมาลอบกัดโรงเรียนจินซังมันมาดักอยู่หน้าโรงเรียน แต่กูอัดมันจนวิ่งหางจุกตูดไปแล้ว

     

                “สมกับเป็นคิมนัมจุนจริงๆยกนิ้วให้เพื่อนเพื่อเป็นการชม แล้วบ่ายวันนี้โดดมั้ยวะ ขี้เกียจเรียนว่ะ

     

                นัมจุนหันหน้ามองเพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้มร้าย เออ โดด

     

                อิกเจที่ได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มร่า กำลังจะเสนอสถานที่เที่ยวให้เพื่อนแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรนัมจุนก็บอกปฏิเสธล่วงหน้าว่าคงไม่ได้ไปด้วย เพราะมีเรื่องสนุกให้ต้องทำ ซึ่งอิกเจก็ไม่ได้ว่าอะไร เขากลับไปสนใจหนังสือการ์ตูนในมือที่อ่านค้างอยู่

     

                เมื่อบทสนทนาของสองเพื่อนสนิทจบลง นัมจุนหยิบหูฟังขึ้นมาใส่ เปิดเพลงเสียงดังกลบเสียงรอบข้าง นึกถึงใบหน้าหวานของคนในห้องพยาบาลแล้วก็ยกยิ้ม จากนี้ไปคงมีเรื่องสนุกให้ทำอีกเยอะแน่ๆ

     

     

     

     

     

                เมื่อช่วงเวลาพักเที่ยงมาถึง อาจารย์ไฟแรงก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจคลายความขบเมื่อยไปมา หลังจากเด็กนักเรียนที่ชื่อคิมนัมจุนเข้ามาใช้บริการจากเขา หลายชั่วโมงต่อมาห้องพยาบาลก็เงียบสนิทราวกับป่าช้า ทำเอาเขานั่งสัปงกไปอยู่หลายรอบ แต่เพราะที่นี่เป็นโรงเรียน จะให้มีคนเดินเข้าเดินออกห้องพยาบาลเป็นว่าเล่นเหมือนโรงพยาบาลก็ออกจะดูแปลกไปหน่อย

     

                ซอกจินที่เคยชินกับการทำงานหัวฟูมาก่อน ไม่ชินเอาซะเลยกับการต้องมานั่งเอื่อยเฉื่อย ไม่มีอะไรทำอยู่นานสองนานแบบนี้ พอคิดว่าจะออกไปเดินเล่นก็กลัวว่านักเรียนจะมาแล้วไม่เจอตัวเอง สุดท้ายเลยได้แต่นั่งมองเข็มนาฬิการอเวลาพักเที่ยงอยู่แบบนี้ อย่างน้อยเขาจะได้เดินออกไปสูดอากาศข้างนอกโดยไม่ต้องกังวลบ้าง

                พอบิดขี้เกียจจนพอใจก็เหมือนจะได้ยินเสียงท้องร้องประท้วงอยู่เบาๆ ซอกจินลุกขึ้นยืน มองนาฬิกาพบว่าอีกสิบนาทีจะพักเที่ยงจึงตัดสินใจเดินไปที่ประตูหวังจะออกไปหาอะไรกินแก้หิวสักหน่อย ในจังหวะที่เอื้อมมือไปเปิดประตูก็ต้องชะงักเพราะบานประตูถูกเปิดออกเสียก่อน

     

                “เอ๋ เธอ?” ชี้หน้านักเรียนที่เปิดประตูเข้ามา หน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

     

                “คิมนัมจุนครับ

     

                “อ้อ! คิมนัมจุน เด็กคนเมื่อเช้า ว่าแต่แผลเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บอยู่รึเปล่า มองสำรวจทั่วใบหน้าหล่อที่มีรอยฟกช้ำ

     

                นัมจุนยิ้ม ไม่แล้วครับ ว่าแต่พักเที่ยงนี้อาจารย์ว่างรึเปล่า ให้ผมพาเดินชมโรงเรียนนะครับ

     

                ซอกจินตั้งใจว่าจะปฏิเสธ แต่ก็ไม่ทันได้พูดอะไรเพราะนัมจุนถือวิสาสะจับข้อมือของเขาแล้วออกเดินนำโดยไม่สนคำท้วงของผู้เป็นอาจารย์ เท่านั้นไม่พอยังหันกลับมาพูดพร้อมรอยยิ้มว่าจะพาซอกจินไปหาของกินก่อนแล้วค่อยเดินชมโรงเรียนเพื่อเป็นการย่อย

     

                “นี่นัมจุน…”

     

                “ว่าไงครับ

     

                “ทำไมพวกเขาต้องมองเราแบบนั้นด้วยล่ะซอกจินถามด้วยความสงสัย เพราะตั้งแต่ตอนที่โดนลากมาจนถึงตอนนี้ พวกเด็กนักเรียนเอาแต่มองมาไม่หยุด มองแล้วก็หันไปซุบซิบนินทากันในหมู่เพื่อนของตนเอง ทำเอาเขาไม่กล้าที่จะขยับตัว ขนาดจะตักข้าวใส่ปากยังไม่กล้าเลย

     

                “สงสัยเพราะผมหล่อมากล่ะมั้ง

     

                ควรจะขำดีรึเปล่านะ

               

                ร่างโปร่งมองเด็กนักเรียนตรงหน้าแล้วส่งยิ้มแห้งไปให้ ก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวเพื่อเติมเต็มท้องของตัวเอง เหลือบตามองก็เห็นนัมจุนนั่งกินข้าวของตัวเองหน้าตาเฉยเหมือนถูกมองเป็นเรื่องปกติ ทำเอาอดคิดไม่ได้ว่าที่ถูกมองแบบนี้อาจเพราะนัมจุนเป็นคนดังของโรงเรียน พอคิดแบบนั้นก็ยิ่งทำให้ซอกจินรู้สึกอึดอัด เพราะเขาไม่ชอบการตกเป็นเป้าสายตาสักเท่าไหร่

     

                หลังจากกินข้าวเสร็จ นัมจุนก็เป็นคนออกแรงดึงให้อาจารย์ห้องพยาบาลจอมเอื่อยเดินตามอีกครั้ง เสียงทุ้มพูดแนะนำสถานที่ในโรงเรียนเป็นระยะ ซึ่งซอกจินเองก็รับฟังมันเป็นอย่างดี เสียงพูดคุยดังไปตลอดทางที่ทั้งคู่เดินผ่าน บ้างก็เป็นเสียงตื่นตาตื่นใจจากอาจารย์หน้าหวาน บ้างก็เป็นเสียงทุ้มต่ำที่คอยแนะนำนู่นนี่ให้ฟังราวกับเป็นไกด์พาเที่ยว

     

                ตลอดช่วงบ่ายซอกจินใช้เวลาอยู่กับเด็กหนุ่มจนรู้สึกสนิท พอกลับมาที่ห้องพยาบาลมองนาฬิกาก็พบว่าคาบเรียนเริ่มไปนานหลายนาทีแล้ว ซอกจินอ้าปากด้วยความตกใจ นึกโทษตัวเองที่ทำให้เด็กนักเรียนต้องเข้าเรียนช้าด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำให้เขาต้องรีบไล่นักเรียนจอมดื้อให้กลับไปเรียน

               

                “ไปเรียนช้าเดี๋ยวก็ถูกว่าเอาหรอก

               

                “ผมว่าผมคงไปเรียนไม่ไหว บอกเสียงอ่อย ยกมือกุมไว้ที่ท้อง ผมรู้สึกปวดท้องมากเลย ขอนอนสักพักให้หายแล้วจะกลับไปเรียนนะครับ

     

                เมื่อพูดจบก็ตรงดิ่งไปยังเตียงนอนทันที ทำเอาซอกจินยืนงง แต่พอตั้งสติได้ก็เดินตรงไปหาคนบนเตียง เขย่าแขนเรียกให้ลุก แต่อีกฝ่ายก็พลิกตัวหันหนี ขดตัวงอ ทำท่าทางว่าปวดท้องจนทนไม่ไหว

     

                “นี่! เมื่อกี้ยังปกติดีอยู่เลยแท้ๆ เธอหาเรื่องโดดเรียนงั้นเหรอดึงผ้าห่มแย่งกับนักเรียนจอมดื้อที่เอาแต่จะนอนท่าเดียว

     

                “ผมว่าอาหารที่กินเข้าไปมันคงจะเป็นพิษ ตอนแรกอาจจะไม่รู้สึก แต่ตอนนี้ผมปวดท้องมากๆ เลยครับ

     

                “อย่ามาโกหกกันนะ อาจารย์ไม่เชื่อหรอก เลิกแย่งผ้าห่มกับเด็กดื้อแล้วเปลี่ยนมาเป็นยืนเท้าสะเอวแทน

               

                “ก็แล้วแต่อาจารย์เลย ผมนอนล่ะ บาย

     

                ซอกจินถอนหายใจใส่เจ้าเด็กจอมดื้อที่ตอนนี้เอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง นอนหันหลังให้เขาด้วยความเหนื่อยใจ ยกให้วันนี้แค่วันเดียวนะ

     

     

     


     

     

                “ฮัลโหล

     

                [ว่าไง ไอ้จิน งานเป็นยังไงบ้าง]

     

                “ก็ดีครับพี่ เรื่อยๆ แต่งานน้อยไปหน่อย ผมไม่มีอะไรทำเลย บ่นให้คนในสายฟัง มือก็หยิบหนังสือพิมพ์โรงเรียนที่ได้รับมาจากเด็กชมรมหนังสือพิมพ์ตอนที่เขาเดินผ่านห้องนั้นมาอ่าน

     

                [ทำงานในโรงเรียนก็แบบนี้ล่ะนะ แต่ก็ดีสำหรับจอมบ้างานแบบแกแล้วนี่] เสียงหัวเราะดังลอดมาจากปลายสาย

     

                “พี่ก็พูดไป ผมไม่ได้บ้างานขนาดนั้นซะหน่อย ซอกจินยู่ปากใส่โดยที่คนปลายสายไม่มีทางเห็น แต่มันกลับอยู่ในสายตาของคนที่แสร้งป่วยทั้งหมด

     

                [เออๆ ช่างเหอะ ว่าแต่ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง แบบมีอะไรเกิดขึ้นบ้างมั้ย]

     

                ซอกจินขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำถามแปลกๆ จากปลายสาย เขาลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่าง มองไปรอบๆ โรงเรียนอย่างพิจารณา

     

                “ก็ไม่เห็นจะมีอะไรนี่ครับ

     

                [งั้นก็แล้วไป/ คุณซองฮยอนคะ มีเคสด่วนเข้ามาค่ะ]

     

                เสียงที่แทรกเข้ามาทางโทรศัพท์บ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายท่าทางจะยุ่งไม่ใช่น้อย ทำเอาซอกจินนึกอิจฉาขึ้นมา ในขณะที่ซองฮยอนยุ่งจนหัวปั่น เขาได้แต่นั่งหาว ไม่มีอะไรทำ พอเอามาเทียบกันแล้วก็อยากจะกลับไปทำงานที่โรงพยาบาลเหมือนเดิม

     

                “ดูท่าจะยุ่งนะครับ ผมว่าพี่ไปทำงานต่อเถอะ

     

                [‘โทษทีนะ ว่าจะโทรมาคุยเล่นแต่ดันมีงานด่วนมาซะได้]

     

                “ไว้วันหลังเราค่อยนัดเจอกันก็ได้ ถ้างั้นแค่นี้ก่อนนะพี่ซองฮยอน

     

                [เฮ้ย เดี๋ยวๆ]

     

                มือที่จะลดโทรศัพท์ลงหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงร้องทักจากปลายสาย ซอกจินถือโทรศัพท์นิ่ง หัวคิ้วขมวดมุ่นเมื่อได้ฟังประโยคถัดมาของรุ่นพี่คนสนิทก่อนที่อีกฝ่ายจะวางไป

     

                ซอกจินวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ เขาเบนสายตาจากภาพของสนามโรงเรียนมาเป็นเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงพลางนึกไปถึงคำเตือนจากซองฮยอน

     

                “ที่บอกว่าให้ระวังนี่หมายความว่ายังไงกันนะ...

     


     

    ------------------------------------------------------------------ 

    KATAEBUM TALK

    เฮลโหล~~ ครบ 100% แบ้ว ;3 ตอนนี้ดูจะยาวเป็นพิเศษ ไม่ใช่อะไร บทพูดเยอะ 55555555555

    นัมจินปรากฏตัวแล้วล่ะ แล้วพี่จินต้องระวังอะไรน้อ

    แล้วก็ เราไม่แน่ใจว่าคุณ Monkey Devil เห็นคอมเม้นต์ที่เราไปตอบแล้วหรือยัง

    ถ้าเกิดว่าอย่างงั้นขอพูดตรงนี้อีกรอบนะคะ

    ที่คุณบอกว่าเหมือนเคยอ่านเรื่องนี้ที่ไหนนี่หมายถึง SF ของเรารึเปล่าอ่ะ

    หรือว่าไปเจอเรื่องอื่นมาจริงๆ ถ้าเกิดว่าเป็นอย่างหลังรบกวนบอกพิกัดได้มั้ยคะ

    แต่เรื่องนี้เราเค้นมาจากหัวสมองน้อยๆจริงๆน้า ฮือ ถ้าไปซ้ำของใครบอกได้เลยนะคะ

    ปล. มีคำผิดโปรดบอก ขณะนี้เวลาตีสองครึ่งแล้ว เครื่องรวนค่ะ 55555555

    ปล.จ๋อง เรื่องนี้ไม่ทิ้งๆ แต่อาจอัพช้า โปรดเข้าใจ 555555555555

    เจอกันตอนหน้าเน้อ

    #ฟิคป่า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×