คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๑
ตอนที่ ๑ เสียงเคาะประตูดังขึ้นติดกันสามครั้งเบาๆ คนเคาะรอจนได้ยินคำอนุญาตจากผู้ที่อยู่ภายในห้อง แล้วจึงเปิดประตูเข้าไป รายงานเสียงสั่นนิดๆด้วยความยำเกรง “เอ่อ คุณธันวาคะ คุณศิศิรามาถึงแล้ว จะให้เข้าพบเลยมั้ยคะ?” ธันวาเงยหน้าขึ้นจากเอกสารกองเล็กๆตรงหน้า ตอบเสียงเรียบสนิท “อีกสักห้านาทีแล้วกันคุณปราณี” คุณปราณีรับคำ แล้วรีบเดินออกจากห้องของผู้บริหารสูงสุดจนแทบจะเป็นวิ่ง ผู้จัดการฝ่ายบุคคลวัยห้าสิบต้นๆอย่างหล่อนทำงานกับบริษัทเมฆากรุ๊ปมานาน ตั้งแต่สมัยที่คุณอธิ พ่อของคุณธันวายังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ หล่อนเห็นชายหนุ่มตั้งแต่เขายังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ จนปัจจุบันเข้ามาสืบทอดกิจการต่อจากบิดาได้เกือบหกปีแล้ว ปราณีก็ยังรู้สึกหนาวๆร้อนๆทุกครั้งที่ต้องอยู่ร่วมสถานที่กับเจ้านายหนุ่ม จากประสบการณ์ที่สั่งสมมานาน ปราณีภาคภูมิใจในความสามารถด้านการวิเคราะห์นิสัยและความคิดของผู้คนรอบข้างที่ตนมีเป็นอย่างมาก กับ‘คุณศิศิรา’ที่เพิ่งพบกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี้ก็ด้วย หล่อนมองแว๊บเดียวก็รู้ว่าหญิงสาวเป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองมากทีเดียว หากอะไรบางอย่างในแววตาสีดำสนิทคู่นั้นทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนว่าเด็กคนนี้ผ่านเรื่องราวร้ายๆมาไม่น้อย แต่เพียงอึดใจเดียวเท่านั้นล่ะ ที่นัยน์ตาของหญิงสาวกลับกลายเป็นร่าเริงสดใส ไม่หลงเหลือถึงความโศกเศร้าให้เห็นสักนิด แต่กับเจ้านายหล่อนนั้นต่างออกไป ไม่ว่าคุณปราณีจะพยายามมากแค่ไหน หล่อนกลับไม่สามารถเข้าใจและรับรู้ถึงความคิดของธันวาเลยสักนิด ราวกับว่าเขาสามารถเก็บซ่อนทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังนัยน์ตาที่แสนโดดเดี่ยวคู่นั้นได้เป็นอย่างดี เฮ้อ แต่มันก็เรื่องของเจ้านาย ไม่เกี่ยวกับลูกน้องเกือบสูงวัยอย่างหล่อนสักหน่อย เมื่อเดินห่างจากห้องทำงานผู้บริหารได้ไกลพอสมควร ความอึดอัดจางหายไป ปราณีถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะเหลือบไปเห็นหญิงสาวที่ชื่อศิศิรายืนรออยู่หน้าลิฟท์ โอ้ ฉันละสงสารแม่หนูคนนี้จริงจริ๊ง โชคชะตาพาซวยแล้วมั้ยละหนูเอ๋ย คุณธันวาที่ไม่เคยมีเลขาฯ จู่ๆนึกต้องการด่วนขึ้นมาซะงั้น แถมเฉพาะเจาะจงคนนี้คนเดียว นี่แม่หนูคนนี้ไปทำอะไรให้เจ้านายของหล่อนไม่พอใจ...หรือพอใจ...หรือเปล่าหนอ ถึงโดนเรียกตัวมาทำงานด่วนแบบไม่ต้องมีสัมพงสัมภาษณ์อะไรเลยแบบนี้ ในใจนั้นคิดเวทนาเหลือแสน หากใบหน้าอวมอูมมีริ้วรอยตามวัยปั้นยิ้มหวาน เดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวดวงตกอย่างสุภาพ “คุณธันวาบอกอีกห้านาทีให้คุณเข้าไปพบได้เลยค่ะ” “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้อย่างนอบน้อม เล่นเอาคุณปราณีรับไหว้แทบไม่ทัน ก่อนจะเอ่ยขอตัวกลับไปทำงานของตน สี่นาทีต่อมา ศิศิรายืนนิ่งอยู่หน้าห้องผู้บริหารสูงสุดของบริษัทเมฆากรุ๊ปด้วยความประหม่า มือบางทั้งสองข้างสั่นน้อยๆอย่างห้ามไม่อยู่ อย่าทำเสียงเรื่องเชียวล่ะยัยน้ำค้าง โอกาสทองแบบนี้ไม่ได้มีเข้ามาง่ายๆนะ ใครจะไปคิดว่าคุณเพ็ญสุวรรณ เพื่อนของคุณพ่อที่หล่อนเพิ่งเคยมีโอกาสพบไม่กี่ครั้ง ครั้งแรกวันที่พ่อของหล่อนเสีย กับอีกสามสี่ครั้งในงานศพของบิดา จะติดต่อให้หล่อนมาทำงานเป็นเลขาฯให้ลูกชายคนโตของนาง หล่อนแย้งว่าเรียนจบสายศิลป์มา ความรู้ด้านงานเลขาณุการเป็นศูนย์ คุณเพ็ญสุวรรณกลับหัวเราะ แล้วบอกปัดไปง่ายๆว่า ‘ไม่จำเป็นหรอกจ้ะ ขอแค่ผลลัพท์ออกมาอย่างที่ป้าหวังก็พอ’ ศิศิราจับต้นชนปลายไม่ถูก ว่า‘ผลลัพท์’ที่หญิงสูงวัยกล่าวถึงคืออะไร แต่คุณเพ็ญสุวรรณรีบตัดบทก่อนที่หล่อนจะทันได้ถาม ‘เอาเป็นว่าหนูรีบเริ่มงานวันจันทร์นี้เลยแล้วกันนะจ๊ะ ป้าคุยกับตาธันไว้แล้ว แต่ป้าคงต้องขอตัวก่อน พอดีมีธุระนิดหน่อย’ ธุระหาฤกษ์แต่งงานให้ลูกชายกับหนูไงจ๊ะ นั่นคือสิ่งที่คุณเพ็ญสุวรรณต่อท้ายในใจ ก่อนจะวางสายโทรศัพท์ไป ตอนนี้ศิศิราจึงยืนแข็งโป๊กเป็นรูปปั้นอยู่หน้าห้องทำงานของลูกชายคุณเพ็ญสุวรรณ รอเวลาหนึ่งนาทีที่เหลือให้ผ่านไปด้วยความตื่นตระหนกไม่น้อย ยิ่งนึกถึงท่าทีของพนักงานหญิงสูงวัยเมื่อครู่ ที่‘เผ่น’ออกมาจากห้องทำงานของนายจ้างราวติดจรวด แถมบวกกับใบหน้ายิ้มแย้มแต่นัยน์ตาคล้ายสงสารหล่อนจับใจด้วยแล้ว ศิศิราจึงรู้สึกเกร็งมากยิ่งขึ้นไปอีก ท่าทางลูกของเพื่อนพ่อจะดุและโหดไม่เบา แล้วอย่างนี้คนนิสัยพูดมากจนนกแก้วนกขุนทองยังต้องอายอย่างหล่อนจะไปรอดไหมเนี่ย? ศิศิราถอนหายใจเฮือก ก้มมองนาฬิกาข้อมือ...ครบห้านาทีพอดี เป็นไงเป็นกัน! ตัดสินใจได้ดังนั้นแล้ว หญิงสาวจึงยกมือบางขึ้น ชะงักค้างกลางอากาศเล็กน้อยด้วยความลังเล ก่อนเคาะมันลงกับประตูไม้สีน้ำตาลเข้มตรงหน้าสองครั้งด้วยแรงที่ไม่เบานัก “เชิญ” เสียงทุ้มเรียบของชายหนุ่มในห้องตอบกลับมาทันที ศิศิราสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี...แล้วผลักประตูเข้าไปช้าๆ... หล่อนมีโอกาสได้พบ...ไม่สิ ต้องบอกว่าเห็นถึงจะถูก...ว่าที่เจ้านายคนนี้อยู่ครั้งหนึ่ง คุณเพ็ญสุวรรณมักพาบุตรคนใดคนหนึ่งมางานศพของบิดาหล่อนด้วยเสมอ และคนที่มาร่วมฟังสวดพร้อมกับมารดาเป็นคนแรกก็คือธันวา ลูกชายคนโตนั่นเอง ในวันนั้นศิศิราไม่ได้ให้ความสนใจอะไรชายหนุ่มนัก นอกจากจะรู้สึกถึง‘กำแพง’ที่เขาจงใจแสดงออกต่อผู้คนรอบข้างเท่านั้น หากเวลานี้ หล่อนตั้งใจ‘มอง’ว่าที่นายจ้างมากกว่าเดิม ชายหนุ่มมีใบหน้าคมเข้มชวนให้หัวใจสาวละลายได้ง่ายๆ คิ้วหนาโค้งได้รูป จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางสวยจนหล่อนยังนึกอิจฉา ผมสีดำสนิทถูกตัดจนสั้นและจัดให้เป็นทรงด้วยเจลราคาแพง หากสิ่งที่ดึงดูดหล่อนมากที่สุดก็คือนัยน์ตาสีนิลอมเทาคู่นั้น ศิศิราไม่รู้จะอธิบายกับตนเองอย่างไร เพราะสิ่งที่หล่อนสัมผัสได้จากแววตาของเขา ช่างขัดกับบุคลิกท่าทางที่หล่อนจำฝังใจในงานวันนั้นเหลือเกิน หล่อนไม่รู้ตัวหรอกว่าตนเองถอนหายใจออกมาดังๆด้วยความโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก “คุณศิศิรา” เสียงทุ้มของชายหนุ่มเรียกสติศิศิราให้กลับคืนมาอีกครั้ง “อะ...คะ?” “เชิญนั่ง” ธันวาผายมือไปยังเก้าอี้ที่ตั้งอยู่อีกฝากของโต๊ะทำงานหรู ศิศิรายิ้มเห่ย โค้งนิดๆเป็นการขอโทษ แล้วรีบเดินไปนั่งลงตรงข้ามกับชายหนุ่ม “ผมคงต้องขอเสียมารยาทและพูดตรงๆกับคุณ” เว้นไปนิดเพื่อมองหญิงสาวตรงๆ เขาเป็นคนแรกที่พาคุณเพ็ญสุวรรณไปร่วมงานศพของเพื่อนเก่า เและเขาจำได้ดี ว่าในคืนนั้น หญิงสาวที่นั่งมองเขาตาแป๋วอยู่ในตอนนี้วิ่งวุ่นคอยเสิร์ฟน้ำและอาหารราวกับเป็นลูกจ้างในวัด มากกว่าที่จะเป็นลูกสาวคนหนึ่งของผู้เสียชีวิต ในขณะที่พี่สาวต่างมารดาทั้งสอง...ตามที่แม่เขาเล่าให้ฟัง...คอยรับแขกอย่างเดียวโดยไม่ทำอะไรนอกเหนือจากนั้นเลย ยิ่งกว่านั้น เวลาพระสวด หญิงสาวก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ร่วมนั่งฟังในศาลา เขาเห็นหล่อนนั่งจ๋องพนมมือทั้งน้ำตาอยู่ตรงห้องครัวข้างๆ ทั้งโทรมและดูน่าเวทนาในเวลาเดียวกัน หากในวันนี้ หญิงสาวแต่งกายด้วยชุดกระโปรงวันพีซแขนสั้นสีฟ้าอ่อนดูเรียบร้อย ผมหยักโศกสีน้ำตาลเข้มถูกปล่อยยาวเลยบ่าห้อมล้อมใบหน้ารูปไข่ หน้าม้าคลอเคลียคิ้วบาง จมูกนิดดูจิ้มลิ้ม ริมฝีปากอมชมพูเป็นธรรมชาติ ผิวเรียบเนียนและขาวผุดผ่อง รูปพรรณของหญิงสาวดูธรรมดามากในความคิดของเขา เขาคาดว่าหล่อนคงสูงไม่ถึงร้อยหกสิบดีด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายของหล่อนทำให้หญิงสาวดูมีชีวิตชีวาน่ามองอย่างประหลาด “ผมไม่ต้องการเลขาฯ” และก่อนที่หล่อนจะเข้าใจผิดว่าหล่อนไม่ได้งาน ธันวาจึงรีบเสริมเสียงเรียบ “ผมและแม่เพียงต้องการช่วยคุณเท่านั้น จึงได้รับคุณเข้าทำงานที่นี่” พูดไปแล้ว ก็กลัวหล่อนจะหาว่าเขาและมารดาดูถูกเหมือนกัน หากธันวาเชื่อเสมอ ว่าการพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมาคือการดีที่สุด ศิศิราไม่มีท่าทีตกอกตกใจหรือโกรธ ตรงกันข้าม หล่อนกลับยิ้มกว้างด้วยซ้ำ นั่นทำให้ธันวาหลุดปากถามด้วยความแปลกใจ “คุณไม่โกรธหรือ?” “โกรธ? โกรธเรื่องอะไรคะ?” ศิศิราเอียงคอถาม ชายหนุ่มไม่ตอบ หากเมื่อสบตาเขาแล้ว ศิศิราก็อดหัวเราะคิกออกมาเบาๆไม่ได้ “ฉันก็ว่าแล้วล่ะค่ะ เรื่องอะไรคุณจะรับคนเรียนจบทางสายศิลป์มาทำงานเป็นเลขาฯ” เว้นไปนิด ก่อนเอ่ยต่อ “จริงๆแล้วตอนแรกที่เดาได้...หมายถึงหลังจากที่แม่ของคุณโทรมาบอกฉันว่าคุณจะรับฉันเขาทำงานน่ะค่ะ ฉันก็รู้สึกโกรธนิดๆเหมือนกันค่ะ” หล่อนทำปากพองขมวดคิ้วนิดนึงราวกับงอน หากธันวาเห็นความขี้เล่นฉายแววอยู่ในตาคู่นั้น “ก็แหม พวกคุณทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกหมิ่นศักดิ์ศรีนี่คะ อุตส่าห์เรียนมาตั้งนานจนจบ แต่หางานการทำไม่ได้จนต้องให้...ขอโทษนะคะ...คนที่ไม่รู้จักโยนมาให้แทน” หล่อนยิ้มอีกครั้ง “แต่แล้วฉันก็คิดได้ค่ะ ศักดิ์ศรีของฉันไม่ได้หายไปไหนซะหน่อย ใครจะว่ายังไงก็ช่าง หากฉันทำดีและไม่ดูถูกตัวเองแล้วล่ะก็ ยังไงๆสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์ศรีนี่ก็จะอยู่ติดตัวฉันไปตลอดนั่นล่ะ แล้ว...ตอนนั้นฉันก็ยังไร้งานทำจริงๆ แถมค่าใช้จ่ายก็เริ่มมีมากขึ้นทุกวัน ทั้งค่ากินค่าอยู่ มีโอกาสดีๆแบบนี้ผ่านเข้ามา ถ้าไม่รับไว้ก็คงเรียกได้ว่าโง่เต็มทีแล้วล่ะค่ะ อีกอย่าง...ก็เหมือนที่คุณพูดเมื่อกี้...ทั้งคุณและแม่ของคุณก็อยากช่วยฉันจริงๆ ใช่มั้ยคะ?” เรื่องอยากช่วยหล่อนนั้นเป็นจริงดังที่เจ้าตัวว่า หากเขาไม่มั่นใจว่านั่นคือทั้งหมดที่แม่ของเขาต้องการแน่หรือเปล่าเท่านั้น หากธันวารู้สึกทึ่งในตัวผู้หญิงคนนี้จริงๆ หล่อนเป็นคนมองโลกตามหลักความเป็นจริงและในแง่ดีจนน่าใจหาย แต่นอกเหนือสิ่งอื่นใด...คือหล่อนพูดมากจนน่าปวดหัว! และที่แปลกที่สุด...คือเขาไม่รู้สึกรำคาญเลยสักนิด! อาจเพราะหล่อนมีส่วนคล้ายเมษา น้องสาวของเขาอยู่นิดๆก็เป็นได้ “เพราะงั้น...คงต้องขอความกรุณาด้วยนะคะ เจ้านาย” หญิงสาวเอ่ยเสียงใส ฉุดธันวาให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ และเมื่อมองสบตาเป็นประกายของหล่อนแล้ว เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่ให้ยิ้มไปกับความขี้เล่นนั้น หารู้ไม่ว่า ศิศิรามองเห็นความขบขันในนัยน์ตาของเขาชัดเจน หล่อนจึงยิ้มกว้างมากขึ้น ความหวาดหวั่นที่เคยมีมากจนต้องฝืนทำตัวร่าเริง...ซึ่งก็ไม่ได้น้อยกว่าปกติเท่าไหร่...ลดน้อยลงไปมาก และไม่มีหลงเหลืออยู่อีกเลย เพียงเพราะประโยคสั้นๆต่อมาของชายหนุ่ม “ผมเสียใจด้วย...เรื่องคุณพ่อของคุณ” เท่านั้นจริงๆ... เพียงแค่คำพูดเรียบๆคำนั้นของเขา และสายตาตรงไปตรงมา ไร้ซึ่งแววเวทนา...กับการที่หล่อนต้องกลายเป็นลูกกำพร้าพ่อ ไร้ซึ่งการดูถูก...ที่หล่อนอับจนจนต้องขอความช่วยเหลือจากเขา และไร้ซึ่งความสงสาร...ที่หล่อนต้องเหลืออยู่ตัวคนเดียว หากสิ่งที่ฉายชัดจนทำให้หัวใจหล่อนปลื้มเปรม คือเขาเสียใจ...ที่หล่อนต้องสูญเสียคนที่หล่อนรักไป ศิศิราไม่รู้ว่าควรพูดอะไร จึงจะสามารถแสดงถึงความรู้สึกอบอุ่นและตื้นตันที่เป็นอยู่ในตอนนี้ได้ดีไปกว่า “ขอบคุณจริงๆค่ะ” “แม่มีแผนอะไรกันแน่คะ?” เมษาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงรู้ทัน ขณะหยิบขนมฝอยทองของว่างหลังอาหารค่ำที่แม่ครัวเตรียมให้เข้าปากช้าๆ คุณเพ็ญสุวรรณละสายตาจากละครบนจอโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น มองลูกสาวซึ่งนั่งอยู่ข้างกายด้วยสีหน้าใสซื่อ “พูดถึงเรื่องอะไรกันจ๊ะยัยเม แม่มีแผนอะไรกัน?” เด็กสาวยิ้มกว้าง มารดาหล่อนก็เพียงแค่ทำฟอร์มแกล้งถามกลับมาอย่างนั้นเอง นางต้องรู้ดีว่าลูกสาวพอจะเดาเรื่องราวได้ไม่มากก็น้อย “ลูกสาวเพื่อนแม่กับพี่ธันไงคะ” “ลูกก็ออกจะเจ้าเล่ห์...นี่แม่ชมนะจ๊ะ...อย่ามาหลอกถามกันหน่อยเลย เราน่ะรู้อยู่แล้วว่าแม่ต้องการอะไร” เด็กสาวหัวเราะ เป็นการยอมรับคำพูดของมารดาไปโดยปริยาย “เม ลูกคิดว่าหนูน้ำค้างเป็นยังไงบ้าง?” จู่ๆคุณเพ็ญสุวรรณก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงค่อนข้างจริงจังไม่น้อย เมษาคิดกลับไปในช่วงเวลาไม่กี่วันที่หล่อนได้มีโอกาสไปร่วมงานศพของคุณลุงศรัณย์พร้อมมารดา นึกถึงหญิงสาวหน้าตาสะอาดสะอ้าน แต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีดำราคาย่อมเยา และหล่อนยังจำได้ว่าพี่สาวคนนั้นมักส่งรอยยิ้มเศร้าๆมาให้เป็นการทักทาย “จะว่ายังไงล่ะคะแม่ นอกจากว่าเมอยากมีพี่สาวมานานแล้วล่ะค่ะ” เป็นคำตอบที่ถูกใจคุณเพ็ญสุวรรณเป็นที่สุด นางจึงโอบไหล่ลูกสาวแน่นด้วยความเอ็นดู “แม่ว่าพี่ธันจะเอะใจมั้ยคะ?” ก็ขนาดหล่อนยังเดาได้เลย “แน่นอนอยู่แล้วจ้ะ พี่เราคนนี้ถึงจะเงียบ แต่ฉลาดทันคนออกจะตายไป ผิดกับตาสิงห์ รายนั้นคงไม่ฉุกคิดอะไรเลย” “ก็แน่ล่ะค่ะ พี่สิงห์น่ะ พอเป็นเรื่องพวกนี้แล้วล่ะก็ทั้งซื่อทั้งบื้อเลย” คุณเพ็ญสุวรรณถอนหายใจ เห็นด้วยกับลูกสาวหมดใจ บุตรชายสองคน อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว ควรมีครอบครัวเป็นฝั่งเป็นฝากับเขาเสียที สำหรับธันวา ถึงแม้ว่าลูกชายคนนี้ของนางจะหล่อเหลาแค่ไหน แต่เพราะบุคลิกภายนอกดูเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าเข้าใกล้สักคน นางจึงได้แต่หวังว่าศิศิราจะไม่รู้สึกเกรงกลัวเขาเหมือนที่คนอื่นๆเป็น อีกคนที่น่าห่วงไม่แพ้กันคือสิงหา ลูกชายคนที่สองของนาง สิงหาจัดได้ว่าหน้าตาดีไม่แพ้พี่ชาย บวกด้วยมาด...พวกวัยรุ่นสมัยนี้ใช้คำว่าอะไรนะ...อ้อ เซอร์ๆ จึงทำให้มีสาวๆตามกรี๊ดไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ไม่รู้เพราะไม่สนใจหรือไม่เข้าใจใน‘ท่า’ที่ผู้หญิงเหล่านั้นส่งมาให้กันแน่ ชายหนุ่มจึงยังคงครองตัวเป็นโสดไร้แฟนมาได้จนถึงทุกวันนี้ ส่วนคนสุดท้าย... “พี่วัฒน์!” เสียงอุทานด้วยความดีใจของลูกสาวปลุกคุณเพ็ญสุวรรณให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ นางมองตามสายตาของเด็กสาวจนพบร่างสูงสง่าของของชายหนุ่มราวๆสามสิบกำลังเดินเข้ามาหาทั้งคู่ ในมือหนามีถุงพลาสติกใส่กล่องอะไรบางอย่าง ใบหน้าคมสันมีรอยยิ้มเอ็นดูไม่น้อยเมื่อเห็นเมษา ‘พี่วัฒน์’ หรือ อภิวัฒน์ ณรงค์เกียรติ เป็นลูกชายคนโตของคุณวสัตน์และคุณสุชาดา เพื่อนบ้านและเพื่อนสนิทของอธิ สามีที่เสียชีวิตไปแล้วของคุณเพ็ญสุวรรณ ลูกๆของนางและคุณวสัตน์เล่นและเติบโตมาด้วยกัน สนิทกันไม่ต่างจากพี่น้องร่วมสายเลือด หากพักหลังนี้เริ่มห่างเหินกันไป เพราะแต่ละคนต่างแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตนเอง ธันวายุ่งเรื่องบริหารบริษัทต่อจากบิดา สิงหาซึ่งทำงานด้านการรักษาความปลอดภัยมักไม่ค่อยมีโอกาสอยู่บ้านเท่าไรนัก ลูกชายอีกสามคนของคุณวสัตน์เองก็มีครอบครัวแล้ว เหลือเพียงอภิวัฒน์เท่านั้น ที่แม้จะประกอบอาชีพไม่ต่างจากสิงหา หากเขากลับสามารถหาเวลามาเยี่ยมเยียนนางและ ครอบครัวอยู่บ่อยๆ หรือจะเรียกว่ามาหาเมษาบ่อยๆก็ได้ เพราะส่วนใหญ่แล้วเด็กสาวจะเป็นคนเดียวที่เขาได้พบเมื่อแวะเวียนมา “สวัสดีครับคุณอา” อภิวัฒน์ยกมือไหว้คุณเพ็ญสุวรรณอย่างสุภาพ จนนางอดชมเชยในใจไม่ได้ว่าชายหนุ่มช่างไหว้ได้สวย แม้จะมีถุงสิ่งของเกะกะทำให้ไม่สะดวกเท่าที่ควรก็ตาม ช่างต่างกับลูกสาวของนางซึ่งเป็นผู้หญิงแท้เสียเหลือเกิน เพราะเมษาไหว้แขกหนุ่มราวกับนักมวยมืออาชีพอย่างไรอย่างนั้น “นั่งสิจ๊ะ” คุณเพ็ญสุวรรณผายมือไปยังโซฟาอีกตัวข้างเมษา “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะตาวัฒน์ สบายดีไหมจ๊ะ?” นางเอ่ยถามเมื่อชายหนุ่มนั่งลงเรียบร้อยแล้ว และกำลังส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้ลูกสาวของนางเป็นการทักทาย “สบายดีครับ คุณอาล่ะครับ?” หญิงสูงวัยหัวเราะเบาๆ “ก็เรื่อยๆจ๊ะ ช่วงนี้เหงานิดหนึ่ง เพราะตาธันตาสิงห์ทำงานหนัก ไม่มีเวลาอยู่บ้านเท่าไหร่ เหลือแต่ยัยตัวเล็กนี่ล่ะปิดเทอมอยู่เป็นเพื่อน แต่ตอนกลางวันก็ชอบหนีเที่ยวเหมือนกัน” ตอบพลางลูบศีรษะลูกสาวเบาๆอย่างเอ็นดู “แน้ อะไรกันคะ ตอนกลางวันคุณแม่เองก็ไม่ค่อยอยู่บ้านเหมือนกัน เมก็ต้องหาวิธีแก้เบื่อบ้างสิคะ” ค้านผู้เป็นมารดาอย่างไม่จริงจังนักแล้ว เมษาก็หันไปหาแขกหนุ่ม “วันนี้มาซะเย็นเชียว มีอะไรหรือเปล่าคะพี่วัฒน์?” “พี่ไปธุระเแถวเอสพานาร์ดมา เลยซื้อทาโกยากิของโปรดเมมาฝาก” ตอบพลางชูถุงในมือขึ้น แล้วยื่นให้เด็กสาวที่ตาโตยิ้มกว้าง เมษารีบบอกขอบคุณและรับของฝากมาวางไว้บนตัก รู้สึกอุ่นๆตรงต้นขาเพราะอาหารที่บรรจุอยู่ในกล่องเพิ่งทำเสร็จมาหมาดๆ “ไม่น่ายุ่งยากเลยตาวัฒน์ แต่ก็ขอบคุณนะจ้ะ” คุณเพ็ญสุวรรณเอ่ยด้วยความเกรงใจ “ไม่เป็นไรครับ เมก็เหมือนน้องสาวของผม” อภิวัฒน์ตอบยิ้มๆ หากนางคิดไปเองหรือเปล่าหนอ ว่ารอยยิ้มเปี่ยมสุขของลูกสาวดูสลดลงทันใด ก่อนเจ้าตัวจะปรับสีหน้าให้กลับมาสดใสดังเดิม เมษาเหลือบมองนาฬิกาตรงผนังด้านบนของโทรทัศน์จอแบนขนาดใหญ่ เข็มยาวชี้เลขสิบ ขาดเกินนิดหน่อย ส่วนปลายเข็มสั้นอยู่เลยเลขหกจนเกือบจะถึงเลขเจ็ด “หกโมงห้าสิบ” หล่อนพึมพำ ก่อนเอ่ยถามชายหนุ่มข้างตัวจนติดจะอ้อนว่า “ตอนนี้พี่วัฒน์ว่างมั้ย ไปดูหนังกับเมหน่อยสิคะ แม่ไม่ยอมไปด้วยเลย” “ก็แม่ไม่ชอบหนังประเภทบู้ล้างผลาญนี่จ๊ะ นี่ก็จวนจะค่ำแล้วด้วย เกรงใจพี่เขาหน่อยสิลูก” ก่อนจะเอ่ยกับชายหนุ่มผู้เปรียบเสมือนลูกว่า “ไม่ต้องไปฟังยัยเมมากหรอกนะ ตาวัฒน์ กลับไปพักเถอะจ่ะ” อภิวัฒน์ยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรครับคุณอา ผมเองก็อยากดูหนังอยู่เหมือนกัน” เท่านั้นเองเมษาก็ลุกพรวด ยกมือขึ้นสวัสดีมารดาลวกๆ แล้วบอกขอตัวไปเอากระเป๋าสักครู่ โดยไม่ลืมหยิบถุงทาโกยากิติดมือไปด้วย “ตาวัฒน์นี่ ชอบตามใจยัยเมอยู่เรื่อย” คุณเพ็ญสุวรรณว่าคล้ายบ่น แม้ว่าจริงๆแล้วจะรู้สึกขอบคุณอภิวัฒน์ไม่น้อย เมษายังเด็กอยู่พอควร ต้องการความอบอุ่นจากครอบครัว ตัวนางมีงานสังคมงานกุสลบ่อยๆ ไม่ค่อยมีเวลาให้เด็กสาวนอกจากกลับมาทานมื้อเย็นร่วมกัน ยิ่งกับธันวาด้วยแล้ว ถึงแม้เขาจะรักและเอ็นดูน้องสาว แต่เพราะความที่เป็นคนเงียบๆ ทำให้บางครั้งอาจดูเหมือนไม่สนใจ ส่วนสิงหาเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจ รักน้องก็มักแสดงออกด้วยการแกล้งยั่วโมโหซะเป็นส่วนใหญ่ ทว่าโชคดีที่ทั้งสามคนพี่น้องก็ดูจะสนิมสนมกันดี หากเพราะอย่างนี้...เมษาจึงติดอภิวัฒน์แจตั้งแต่เด็กๆจนมาถึงทุกวันนี้ ชายหนุ่มตามใจเด็กสาวซะส่วนใหญ่ แต่ก็กล้าที่จะติติงและดุเมื่อหล่อนทำผิดหรือดื้อดึงในบางเวลา สำหรับเมษาแล้ว เขาเปรียบเสมือนทั้งพี่ชายและพ่อในคราวเดียวกัน อย่างน้อยๆ คุณเพ็ญสุวรรณก็หวังไว้ว่าจะเป็นเช่นนั้น
*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*
คลอดแล้วค่าในที่สุดตอนที่ ๑ ก็ได้ฤกษ์ได้ยามปรากฎสู่สายตาผู้อ่านทุกท่าน(ถ้ามีคนอ่าน)แล้วล่ะค่ะ
ชอบไม่ชอบยังไงติชมได้เลยนะคะ
แล้วเจอกันใหม่ตอนที่ ๒ ค่า
ความคิดเห็น