ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
ใต้เงาสายหมอก
บทนำ
เสียงสนทนาที่คล้ายต่อล้อต่อเถียงกันของใครบางคนดังลั่นออกมาจากตัวบ้านหลังใหญ่ จนคนที่เพิ่งเปิดประตูก้าวลงมาจากรถยี่ห้อเชฟโรเลตรุ่น คอร์เว็ตต์ สติงเรย์ สีเงิน ซึ่งจอดอยู่หน้าโรงเก็บรถใกล้ๆกันต้องส่ายหน้าอย่างระอา
ธันวาส่งกุจแจรถให้คนรับใช้ที่รีบเข้ามารับไปจัดการต่ออย่างรู้หน้าที่ แล้วออกเดินไปทางต้นเสียงชวนแสบแก้วหูช้าๆโดยไม่รีบร้อนอะไร จนเข้ามาในบ้าน มองไปยังห้องนั่งเล่นที่ตกแต่งอย่างสวยหรูแต่ค่อนข้างเรียบง่ายแล้วนั่นล่ะ เขาถึงกับต้องถอนหายใจออกมาเลยทีเดียว เมื่อเห็นคนสองคนยืนประจันหน้าเถียงกัน และ‘ต้นเหตุ’การทะเลาะเบาะแว้งของทั้งคู่ห้อยต่องแต่งแถมเปียกมะล่อกมะแล่กอยู่ในอ้อมกอดของเด็กหญิงที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นน้องเล็กของบ้าน
“พี่สิงห์แกล้งเม อย่ามาแก้ตัวเลยนะว่ามองไม่เห็น ตุ๊กตาตัวใหญ่ยิ่งกว่าท่อนบนอ้วนๆของพี่สิงห์แท้ๆ จะพลาดทำน้ำหวานหกใส่ได้ยังไง” เสียงสูงของเด็กสาวหวีดใส่ชายหนุ่มร่างบึกบึนในชุดหน่วยคุ้มครองปฏิบัติการพิเศษตรงหน้าเต็มกำลัง
“เดี๋ยวเลยนะยัยเม ท่อนบนกับพุงอ้วนๆของเธอน่ะสิไม่ว่า แล้วมันก็เป็นอุบัติเหตุจริงๆ ใครจะไปรู้ล่ะว่าเธอเกิดเล่นพิลึก เอาตุ๊กตาโปเกม่อนของเธอมานั่งดูทีวีบนโต๊ะวางของอย่างนั้นน่ะ” ฝ่ายชายผู้เป็นพี่ไม่ยอมลงให้ง่ายๆ แถมคำพูดที่ใช้สวนกลับก็เล่นเอาน้องสาวหน้าแดงแปร๊ดยิ่งกว่าเดิมเพราะโดนจี้ถูกจุดและความโมโหที่พุ่งสูงมากยิ่งขึ้น
ก่อนที่อะไรๆจะแย่ลงไปกว่านั้นถึงขั้นลงไม้ลงมือ และที่สำคัญ ก่อนที่หูของเขาและเหล่าคนรับใช้ที่พากันหลบอยู่อีกฝั่งของบ้านตรงทางห้องครัวจะใช้การไม่ได้ ธันวาซึ่งเป็นพี่ใหญ่จึงตัดสินใจเรียกชื่อน้องๆเสียงเข้มเป็นการเตือนสติ
“นายสิงห์ ยัยเม”
และได้ผล เมื่อน้องคนเล็กเป็นฝ่ายละสายตาที่จ้อง‘พี่ชายเฮงซวย’อย่างดุเด็ดเผ็ดมันออกก่อน แล้วยกมือสวัสดีพี่ชายคนโตลวกๆ
ฝ่าย‘นายสิงห์’กลอกตาอย่างยียวน ก่อนจะเอ่ยทักกวนๆ
“ไง ได้ฤกษ์กลับบ้านแล้วเหรอ หายไปหลายวัน”
ธันวาเพียงพยักหน้า ไม่หลงไปกับกลของน้องชาย ก่อนตอบเรียบๆ
“มีเรื่องที่บริษัทนิดหน่อย”
เขารู้ดี สิงห์ หรือ สิงหา น้องชายของเขาเป็นคนนิ่งๆแค่ภายนอก แต่จริงๆแล้วค่อนข้างใจร้อน หากการตัดสินใจเฉียบขาดแม่นยำเป็นเลิศ ทำให้เกื้อหนุนอาชีพหน่วยคุ้มครองปฏิบัติการพิเศษ หรือเรียกง่ายๆว่าบอดี้การ์ด ที่ทำอยู่ได้เป็นอย่างดี
นานๆทีหรอกถึงจะเห็นสิงหา‘น๊อตหลุด’แบบนี้
และที่หาดูได้ยากยิ่งกว่าก็คืออาการโมโหโกรธาของน้องคนเล็กวัยสิบแปดปีอย่างเมษา ปรกติเด็กสาวจะเป็นคนร่าเริง พูดเก่ง ต๊องเล็กๆ ขี้งอนหน่อยๆ ใจร้อนนิดๆ แต่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ไม่ดีออกมาให้เห็นบ่อยนัก
‘ตัวการ’ก็เจ้าตุ๊กตาโปเกมอนรูปร่างคล้ายนกคล้ายมังกรสีขาวสลับน้ำเงินที่อยู่ในอ้อมแขนของหล่อนนั่นล่ะ
ตั้งแต่เด็กๆมาแล้ว เมษา‘บ้า’สัตว์ประหลาดตัวนี้มาแต่ไหนแต่ไร ในห้องของเด็กสาวมีของสะสมแทบทุกชนิดที่เกี่ยวกับมัน
มีพักหลังๆที่เพลาๆลงบ้าง เพราะเด็กสาวปันใจที่มีอยู่มากกว่าครึ่งไปให้ตัวหุ่นยนต์หัวหน้าฝ่ายดีจากเรื่องทรานสฟอร์มเมอร์เสียแล้ว
ธันวาและสิงหาจะไม่สงสัยเลย หากห้องของเมษาจะมีตัวตุ๊กตุ่นตุ๊กตาของจุกจิกเกี่ยวกับหุ่นยนต์ตัวนั้นเพิ่มขึ้นมาหลายสิบชิ้นภายในเวลาไม่กี่อาทิตย์
ธันวามองหน้าน้องสองคนสลับกันไปมา แล้วถาม
“แม่ไปไหน?” ถึงปล่อยให้ทะเลาะกันจนบ้านแทบแตกอย่างนี้
ธันวาไม่ได้พูดประโยคหลังออกมาดังๆ ด้วยความที่เขาเป็นคนพูดน้อย และเห็นว่าไม่จำเป็น เพราะน้องสองคนของเขารับรู้ได้โดยไม่ต้องเอ่ย
“ไปเยี่ยมลุงศรัณย์อะไรเนี่ยล่ะค่ะ เห็นว่าเป็นเพื่อนเมื่อสมัยเรียนมหาฯลัย ลุงแกอยู่โรงพยาบาล เขาว่าอาการไม่ค่อยดี คงอยู่ได้ไม่นาน” แม้เพิ่งจะตวาดเสียงดันลั่นด้วยความโกรธ แต่ตอนนี้น้ำเสียงของเมษามีแต่ความรู้สึกสงสารคนที่หล่อนพูดถึงจับใจ
“แต่อีกเดี๋ยวก็คงกลับ แม่เห็นแกคงดีใจแย่ บ่นคิดถึงอยู่” ฝ่ายน้องคนรองเองก็คงสงบสติได้แล้ว เสียงทุ้มจึงมีแววสลดหน่อยๆ และถึงจะเป็นน้องชาย แต่สิงหากับธันวาห่างกันไม่ถึงปีดี ต่างจากเมษาที่อายุน้อยกว่าพวกเขาเกือบรอบหนึ่งเต็มๆ ทำให้เขาใช้คำพูดเป็นกันเองราวกับเป็นเพื่อนกันกับพี่ชายคนโตเสมอ
ยังไม่ทันขาดคำ นายค้อม คนดูแลรถของบ้านเมฆาธวนิชย์ก็เดินเข้ามารายงานว่าคุณเพ็ญสุวรรณ มารดาของสามพี่น้องกลับมาแล้ว ตอนนี้กำลังจะเดินเข้ามาในบ้าน และถามหาถึงคุณธันวา เพราะเห็นรถของชายหนุ่มจอดอยู่ในโรงรถ
“ขอบคุณค่ะลุง” เมษารับคำแทนพี่ชายทั้งสอง ด้วยรู้ดีกว่าพวกเขาคงแค่พยักหน้ารับเงียบๆ
นายค้อมยิ้มให้นายทั้งสาม ก่อนจะขอตัวกลับไปทำหน้าที่ของตน
และเพียงไม่กี่วินาทีต่อมา หญิงวัยกลางคนที่ยังดูอ่อนกว่าอายุจริงก็เดินเข้ามาถึงห้องนั่งเล่น แววตานางเป็นประกายด้วยความยินดีเมื่อเห็นลูกๆทั้งสามอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ก่อนจะยกมือรับไหว้จากสามพี่น้อง
“วันนี้เป็นวันดีจริงๆ นายสิงห์ไม่มีงานด่วน ยัยเมไม่ไปเที่ยวไหน แถมนายธันยังกลับบ้านมาได้จังหวะเหมาะพอดี” ผู้เป็นแม่เอ่ยพลางค่อยๆนั่งลงบนโซฟากำมะหยี่ตัวโปรด
“ใครว่าไม่มีงานด่วนครับ” สิงหาชี้ไปที่เครื่องแบบที่ใส่อยู่เป็นการประกอบคำพูดของตน ก่อนเอ่ยคล้ายฟ้อง “แต่ลูกสาวแม่สิครับ ทำผมสาย”
“เอ๊ะ เรื่องอะไรมากล่าวหากันอย่างนี้ล่ะพี่สิงห์” เมษาที่เพิ่งจะนั่งลงข้างมารดาลุกพรวด
“ก็เรามากล่าวหาพี่ก่อนนี่” พี่ชายสวนทันควัน
และก่อนที่จะมีการวางมวยร่วมสายเลือดยกสองขึ้น ธันวารีบขัดด้วยการถามมารดาสั้นๆ
“จังหวะเหมาะ?”
คุณเพ็ญสุวรรณที่กำลังจะดุลูกชายคนรองกับลูกสาวคนเล็กมีสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาที่อ่อนโยนอยู่เสมอคล้ายมีน้ำคลอคลองราวกับจะร้องไห้
“เพื่อนแม่เสียแล้วจ้ะ”
เมษารีบนั่งลงตามเดิม แล้วประคองมือทั้งสองข้างของผู้เป็นแม่อย่างปลอบประโลม
“เสียใจด้วยนะคะแม่”
สิงหาเองเลือกที่จะนั่งลงอีกข้างหนึ่งของคุณเพ็ญสุวรรณ แม้ไม่ได้พูดอะไร แต่กิริยาของชายหนุ่มแสดงถึงความห่วงใยได้เป็นอย่างดี
เหลือเพียงธันวาที่คุกเข่าลงตรงหน้ามารดา แล้วถามเสียงอ่อนโยนอย่างที่นานๆครั้งจะมีให้ได้ยิน
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับแม่?”
คุณเพ็ญสุวรรณยิ้มบางๆ รู้สึกเป็นปลื้มและภูมิใจในตัวลูกทั้งสามเหลือเกิน
“แม่ถึงว่าจังหวะเหมาะไงจ๊ะ ศรัณย์มีลูกอยู่สามคน แต่เห็นว่าลูกสาวสองคนแรกไม่ค่อยถูกกันกับคนเล็กเท่าไหร่” เห็นนัยน์ตาสามคู่ที่มองมาอย่างงงๆว่ามารดากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่ คุณเพ็ญสุวรรณจึงรีบชี้แจงต่อว่า
“ตอนนี้ลูกสองคนอยู่บ้านใหญ่ แล้วก็จะสืบทอดกิจการของเพื่อนแม่ต่อ แต่คนเล็กนี่สิ กำลังจะย้ายไปอยู่อพาร์ตเม้นต์เล็กๆแถวสุทธิสาร แถมเพิ่งจบปริญญาตรีมา หางานทำยังไม่ได้” ผู้เป็นแม่สบตาลูกชายคนโตตรงๆอย่างอ้อนวอน “แม่เลยอยากรบกวนให้ธันรับหนูน้ำค้างแกเข้าทำงานเป็นเลขาฯเราหน่อย”
เมื่อคิ้วเข้มได้รูปของลูกชายคนโตเริ่มขมวดเข้าหากันราวกับกำลังจะแย้ง คุณเพ็ญสุวรรณจึงรีบเอ่ยเสริม
“แม่เจอหนูน้ำค้างด้วยนะวันนี้” แต่ไม่เห็นลูกสาวอีกสองคนของนายศรัณย์แม้แต่เงา ทั้งๆที่บิดาของตนกำลังจะตายแท้ๆ “แกน่ารักมากๆเลยนะจ๊ะ แม่ถูกชะตาด้วยเหลือเกิน อีกอย่างแม่สงสารเขา ยังไงรับแกเข้าทำงานสักพักให้ตั้งตัวได้ก่อนแล้วค่อยให้ออกก็ยังไม่สายนะจ๊ะ ถือว่าทำบุญช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนะตาธัน”
เจอมารดาร่ายยาวแถมยกสัจธรรมขึ้นมาอ้างเข้าแบบนี้ ไม่เพียงแต่ลูกชายคนโตอย่างธันวาที่ถึงกับเบิกตากว้างตกตะลึงเท่านั้นหรอก แต่ลูกอีกสองคนที่นั่งขนาบข้างก็อึ้งกิมกี่พูดไม่ออกไปตามๆกัน
แม่ของพวกเขาดูแปลกๆยังไงชอบกล
“แล้วเขาจบปริญญาตรีคณะอะไรมาครับแม่?” ธันวาถามพลางถอนหายใจอย่างย้อมแพ้
“สายศิลป์จ๊ะ” คุณเพ็ญสุวรรณยิ้มหวานเมื่อเห็นลางชนะอยู่ไม่ไกล
“สายศิลป์ แต่จะให้มาเป็นเลขาฯเนี่ยนะครับ?” สิงหามองผู้เป็นแม่ราวกับนางได้เสียสติไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“งานเลขาฯจะไปยากอะไรนักเชียวจ๊ะ แถมปรกติตาธันก็ทำงานคนเดียวมาตลอดอยู่แล้ว แม่แค่อยากช่วยเขาเฉยๆ ให้มีรายได้มีเงินเก็บระหว่างที่กำลังหางานประจำทำจริงๆ” มารดาตอบหน้าตาย เล่นทำเอาลูกๆได้แต่ปลงอยู่ในใจ บทจะดื้อหรือเอาแต่ใจขึ้นมา แม่ที่แสนอ่อนหวานของพวกเขาก็ทำได้อย่างไม่มีที่ติและไม่มีใครเกินเลยทีเดียว
“ก็ได้ครับแม่ ให้เขาเริ่มงานเมื่อพร้อมแล้วกันครับ” ธันวายอมตกลงในที่สุด สร้างรอยยิ้มให้เกิดบนใบหน้าของคุณเพ็ญสุวรรณ
แต่เขาคิดไปเองหรือเปล่านะ ที่รอยยิ้มของแม่ดูจะออกไปในทางเจ้าเล่ห์เจ้ากลมากกว่าโล่งใจ
ธันวารีบตัดความรู้สึกแปลกๆนั้นทิ้งไป
คงไม่มีอะไรหรอก
โดยไม่รับรู้เลยว่า ลางสังหรณ์ของตนเองแม่นยำจนน่าเก็บไปใช้เดาหวยบ้าง
เพราะในขณะนั้น คุณเพ็ญสุวรรณกำลังนึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่เพื่อนของนางจะสิ้นใจ
‘จริงๆนะเพ็ญ ผมลองเช็กดูแล้ว ลูกชายคนโตของคุณกับยัยน้ำค้างเป็นเนื้อคู่กันจริงๆ’
หากใครคนอื่นที่ไม่ใช่ศรัณย์มาพูดอย่างนี้ นางคงได้หัวเราะแล้วย้อนให้ว่างมงาย แต่ตั้งแต่สมัยเรียนด้วยกันแล้ว ที่เขาแสดงความสามารถด้านโหราศาสตร์ทำนายดวงได้อย่างแม่นยำเป็นขวัญตาให้เพื่อนๆดูมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
‘ผมรู้สึกผิดกับยัยน้ำค้างจริงๆ ทั้งๆที่...เพิ่งจะยอมรับแกให้มาอยู่ร่วมเมื่อไม่นานมานี้แท้ๆ กลับจะต้อง...ทิ้งแกให้กลับไปเผชิญโลกนี้...เพียงลำพังอีก’ เสียงของชายบนเตียงคนไข้ขาดหายไปเป็นช่วงๆ นัยน์ตาสีเข้มดูล่องลอย หากยังพยายามมองไปทางประตู ราวกับจะมองทะลุให้เห็นหญิงสาวผู้เป็นลูกซึ่งยืนร้องไห้อยู่หน้าห้อง รออย่างสิ้นหวัง...รอเวลาที่พ่อจะต้องจากไป
‘ผมขอร้อง...คุณช่วยดูแลยัยน้ำค้างต่อจาก...ผมที ยัยนันกับยัยปันเกลียด...น้ำค้างอย่างกับอะไรดี ผมหวังพึ่งใครไม่ได้อีกแล้ว...นอกจากคุณ’
น้ำตาของคุณเพ็ญสุวรรณไหลริน ยามที่สัญญากับเพื่อนเสียงพร่า
‘อย่าห่วงเลยศรัณย์ ฉันจะดูแลหนูน้ำค้างอย่างดีที่สุด’
ตอนนั้นนางรับปากไปเพราะสงสารและเห็นใจเพื่อนจริงๆ แต่ตอนนี้มานึกทบทวนดู ลึกๆแล้วนั่นอาจจะเป็นความเห็นแก่ตัวด้วยก็ได้ นางหวังว่าลูกชายผู้เงียบขรึม แต่เก็บความใจดีอ่อนโยนไว้ข้างในอย่างธันวา จะได้พบเจอรักแท้ ที่สามารถแปรเปลี่ยนฤดูหนาวอันแสนอ้างว้างเดียวดาย ให้กลายเป็นฤดูใบไม้ผลิที่แสนสดใสเสียที
และเท่าที่ได้พบปะพูดคุย หนูน้ำค้างก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสดชื่นเบิกบานจนเกินพอเลยทีเดียว
คนพูดไม่เก่งกับคนพูดไม่หยุด...คงเป็นการผสมผสานที่น่าสนใจไม่หยอกเลยทีเดียว
เฮ้อ สงสัยเราจะต้องรีบหาฤกษ์หายามมงคลกับคิดชื่อหลานคนแรกเสียแล้วสิ
คิดแล้วคุณเพ็ญสุวรรณก็หัวเราะออกมาเบาๆโดยไม่รู้ตัวทำเอาสามพี่น้องมองตากันอย่างระแวงในพฤติกรรมแปลกๆของมารดา
________________________________
เป็นยังไงบ้างคะ? สำหรับบทนำ
หวังว่าเพื่อนๆคงจะถูกใจนะคะ (ถึงสำนวนของหมูจะซ้ำๆซากๆแถมห่วยพอดูทีเดียว TT_TT)
และอย่าลืมติชมมาได้เลยนะคะ หมูจะได้นำไปใช้พัฒนาการเขียนให้ดีขึ้นกว่านี้
ปล. เพื่อนๆหลายๆคนคงรู้สึกว่านิสัยของนายสิงห์เนี่ย เหมือนไฟขาเลยใช่มั้ยคะ แต่อย่าห่วงเลยค่ะ จริงๆแล้วเหมือนคุณดินมากกว่า 555 ล้อเล่นค่า รออ่านไปเรื่อยๆนะคะ แล้วจะได้รู้ว่าความจริงแล้วนิสัยของนายสิงห์เนี่ย...เหมือนใครกันแน่ เอ้ย ไม่ใช่ค่ะ ไม่เหมือนใครในชุดสี่หัวใจแห่งขุนเขาหรอกค่ะ (แต่ถ้าจะให้เห็นชัดเห็นลึกอย่างท่องแท้แล้วล่ะก็ เห็นทีคงต้องรออีกนานเลยล่ะค่ะ จนภาคสุดท้ายโน่น ซึ่งจะเป็นเรื่องราวของสิงหาโดยตรง)
ขอฝากเนื้อฝากตัวกับนิยายเรื่องนี้ด้วยนะค้า
สำหรับวันนี้ บายค่า
________________________________
เป็นยังไงบ้างคะ? สำหรับบทนำ
หวังว่าเพื่อนๆคงจะถูกใจนะคะ (ถึงสำนวนของหมูจะซ้ำๆซากๆแถมห่วยพอดูทีเดียว TT_TT)
และอย่าลืมติชมมาได้เลยนะคะ หมูจะได้นำไปใช้พัฒนาการเขียนให้ดีขึ้นกว่านี้
ปล. เพื่อนๆหลายๆคนคงรู้สึกว่านิสัยของนายสิงห์เนี่ย เหมือนไฟขาเลยใช่มั้ยคะ แต่อย่าห่วงเลยค่ะ จริงๆแล้วเหมือนคุณดินมากกว่า 555 ล้อเล่นค่า รออ่านไปเรื่อยๆนะคะ แล้วจะได้รู้ว่าความจริงแล้วนิสัยของนายสิงห์เนี่ย...เหมือนใครกันแน่ เอ้ย ไม่ใช่ค่ะ ไม่เหมือนใครในชุดสี่หัวใจแห่งขุนเขาหรอกค่ะ (แต่ถ้าจะให้เห็นชัดเห็นลึกอย่างท่องแท้แล้วล่ะก็ เห็นทีคงต้องรออีกนานเลยล่ะค่ะ จนภาคสุดท้ายโน่น ซึ่งจะเป็นเรื่องราวของสิงหาโดยตรง)
ขอฝากเนื้อฝากตัวกับนิยายเรื่องนี้ด้วยนะค้า
สำหรับวันนี้ บายค่า
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น