คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Reaching you : บทนำ
“แซม วิตวิกกี้!”
เด็กหนุ่มแทบไม่มีเวลาตอบสนองใครก็ตามที่เรียกชื่อเขาเสียลั่น เมื่อกำปั้นเล็กๆของใครบางคนปะทะเข้ากับใบหน้าซีกขวาของเขาเต็มๆ และหากไม่ได้คิดไปเองแล้วล่ะก็ แซมค่อนข้างมั่นใจที่เดียวว่าเขาได้ยินเสียงดังกร็อบมาจากแถวๆกรามของเขาเอง
“เฮ้ย อะไรวะ!” เพื่อนสนิท(อย่างไม่มีทางเลือก)ของเขา ลีโอนาร์โด้ พอนเซ่ เดอ เลอออน ลีโอ สปิทซ์ หรือที่มีชื่อเรียกสั้นๆว่า ลีโอ อุทานลั่น เด็กหนุ่มเชื้อสายสเปนกระโดดถอยห่างด้วยความตกใจ มองตรงมาที่เขาอย่างงงๆอยู่ครู่ ก่อนจะหันไปยังผู้ปล่อยหมัดปริศนา...
แล้วอ้าปากค้างอย่างห้ามไม่อยู่
เจ้าของกำปั้นเป็นเด็กสาวรูปร่างสูงโปร่ง ผมสีบลอนด์ล้อมรอบใบหน้ารูปไข่นั้นยาวตรงสลวยจนถึงเอวบาง นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนเป็นประกายคล้ายอัญมณี จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางได้รูป ดูเผินๆแล้วงดงามราวกับนางฟ้าก็ไม่ปาน หากสิ่งที่ทำให้ลีโอยืนตะลึงอยู่ตรงนั้นไม่ใช่แค่ความสวยของหล่อน แต่เป็นเพราะเขาเคยเห็นใบหน้านี้อยู่บ่อยครั้ง...ในทีวี!
“แม่เจ้า แอนนาลิซ่า สโนว์!”
เสียงของเด็กหนุ่มดังสนั่นลั่นทุ่ง หรือในที่นี้คือเขตมหาลัยฯ ทำเอานักศึกษาแทบทุกคนพุ่งความสนใจมายังพวกเขาทั้งสามคนในทันที ทว่าเด็กสาวเจ้าของชื่อยังคงยืนกอดอกมองมาที่แซมอย่างเอาเรื่อง ไม่ได้ยี่หระกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของผู้คนรอบข้างเลยแม้แต่น้อย
“แอนนา...อะไรนะ” แซมถามพลางส่ายหัวเบาๆเพื่อขับไล่ความรู้สึกมึนงง
“นายมีชีวิตแบบไหนกันถึงได้ไม่รู้จักนักร้องดังอย่างแอนนาลิซ่า สโนว์ น่ะ!”
“โทษทีที่ฉันมีชีวิตแบบต้องคอยหนีตายจากพวกหุ่นรบยักษ์จากต่างดาวจนไม่มีเวลามารู้จักดาราที่นายปลื้มนักปลื้มหนาน่ะ” แซมประชดกลับเบาๆ พลางเหลือบมองเด็กสาวผมบลอนด์ที่ยืนอยู่ห่างออกไปมีกี่ฟุตอย่างระมัดระวังไม่ให้เจ้าหล่อนได้ยิน
“เออว่ะ” ลีโอพยักหน้ารับอย่างนึกขึ้นได้ เมื่อไม่นานมานี้เขาเองก็ตกกระไดพลอยโจนโดนพวกเอเลี่ยนต่างดาวไล่ล่าเอาเหมือนกัน เพราะดันดวงซวยสุดๆ บังเอิญได้เพื่อนร่วมห้องเป็นตัวดึงดูดอันตรายจากนอกโลกอย่างหมอนี่
“จะคุยกันอีกนานมั้ย ฉันจะได้ต่อยนายอีกรอบ” เสียงหวานฟังดูไม่ไพเราะเท่าที่ควร เพราะห้วนจัดและหาเรื่องเต็มที่
“ทำไมถึงต้องมาต่อยผมด้วย” เด็กหนุ่มไม่กล้าขึ้นเสียงดังนัก ยังรู้สึกเจ็บแปลบๆตรงกรามข้างขวาที่โดนหล่อนซัดเข้าให้อย่างจัง
“ผมไปทำอะไรให้”
ใบหน้าสวยของเด็กสาวนามแอนนาลิซ่าแดงเผือดขึ้นมาทันทีด้วยความโกรธ
“นายไม่ได้ทำอะไรฉัน แต่เพราะนาย...เพราะนายเพื่อนของฉันถึงต้อง...”
“หยุดนะแอนนา!”
เสียงตะโกนพร้อมกับการปรากฎตัวของเด็กสาวผมสีน้ำตาลเข้มทำให้นักร้องสาวหยุดนิ่งราวกับถูกสาป แอนนาลิซ่าค่อยๆหันมองกลับไปทางด้านหลังของตน แล้วเอ่ยด้วยเสียงเบาหวิว
“อดีเลีย...”
เด็กสาวนามอดีเลียยืนกอดอกคิ้วขมวดใส่เพื่อนสาว ก่อนจะเสมองมาทางแซมและลีโอ แล้วยิ้มให้เจื่อนๆอย่างขออภัย
“อย่าถือสาเพื่อนสนิทของฉันเลยนะ แซม”
น้ำเสียงคุ้นเคยของเด็กสาวยามที่เรียกชื่อเขาทำให้แซมนึกอะไรบางอย่างออก
“อดีเลีย แคมป์เบล!” เด็กหนุ่มอุทานไม่เบานัก สีหน้างุนงงแปรเปลี่ยนเป็นยินดี
แซมยังจำเด็กหญิงตัวเล็กอ้วนตุ๊ตะที่นานๆครั้งจะมาเล่นเป็นเพื่อนเขาที่บ้านได้เป็นอย่างดี ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นยามที่พ่อและแม่ของหล่อนไม่อยู่บ้าน จึงจำเป็นต้องฝากหล่อนไว้กับครอบครัวของเขา เพิ่งจะมามีเมื่อสี่หรือห้าปีก่อน ที่มารดาของอดีเลียรับน้องสาวมาอยู่ด้วย เพราะหวังให้คอยดูแลและอยู่เป็นเพื่อนลูกสาวในเวลาหล่อนและสามีต้องไปทำงานไกล เขาได้ยินมาว่าน้าสาวคนนี้ดุและเข้มงวดอย่างเหลือร้าย ห้ามให้อดีเลียคบเพื่อนผู้ชายอย่างเด็ดขาด นัยๆว่าหลานเริ่มจะมีพฤติกรรมห้าวและโผงผางราวกับเด็กผู้ชายก็ไม่ปาน แซมจึงแทบไม่ได้พบหน้าอดีเลียอีก
หากเพื่อนบ้านตั้งแต่เด็กคนนี้แต่งต่างไปจากที่เขาเคยรู้จักมากทีเดียว จากเด็กหญิงน้ำหนักเกินมาตรฐานไปหลายสิบกิโล กลายเป็นเด็กสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวหยิกเป็นลอนจนถึงกลางหลัง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน จมูกโด่งได้รูปเข้ากับใบหน้าเรียวมน เรือนร่างบอบบางแต่ก็มีส่วนเว้าส่วนโค้ง...และถ้ามิเคล่าแฟนสาวของเขารู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ มีหวังได้ไปนอนหยดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาลแน่
สิ่งเดียวที่ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน คือริมฝีปากอิ่มที่มักถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ
“ไม่เจอกันซะนาน จำแทบไม่ได้เลย เมื่อสองปีก่อนเธอยัง...”
แซมหยุดตัวเองไว้ทันเพราะได้รับสายตาพิฆาตจากอดีเลีย เด็กหนุ่มจึงต้องเรียงลำดับคำในหัวเสียใหม่
“เธอผอมลงเยอะเลย”
แซมถอนหายใจโล่งอกเมื่อเด็กสาวผมสีน้ำตาลพยักหน้ายิ้มรับอย่างพอใจ
หากวินาทีที่เขาเดินตรงเข้าไปกอดเพื่อนในสมัยเด็กเป็นการทักทาย แซมรู้สึกได้ถึงพลังงานมหาศาลที่แล่นปราดออกมาจากตัวเด็กสาว ถ่ายทอดสู่ส่วนสมองของเขาโดยตรงราวกับถูกไฟฟ้าช็อตอย่างแรง จนเขาต้องรีบพลักหล่อนออกห่างคล้ายต้องของร้อน
แอนนาลิซ่าร้องเฮ้ยอย่างเอาเรื่อง ส่วนอดีเลียและลีโอได้แต่เอียงคอมองเขาอย่างสงสัย
หากแซมไม่ได้สนใจใครทั้งนั้น เขาจำความรู้สึกนี้ได้...รู้จักพลังงานแบบนี้ดี
“แซม มีอะไรหรือเปล่า” อดีเลียถามอย่างเป็นห่วง
เด็กหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัว พยายามฝืนยิ้ม ส่ายหน้านิดๆเป็นการตอบ
“เอ้อ โทษที แต่ฉันกับลีโอมีธุระด่วน ยังไงขอเบอร์มือถือเธอไว้หน่อยได้ไหม เผื่อไว้วันหลังจะได้นัดเจอคุยกัน” และเขาค่อนข้างมั่นใจว่าเขากับอดีเลียต้องได้คุยกันยาวทีเดียว
น่าแปลก ที่อดีเลียมองราวกับรับรู้ได้ถึงสิ่งที่เขากำลังคิด หล่อนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกนยีนส์สีซีด วางเฉยต่อท่าทีกระฟัดกระเฟียดอย่างไม่เห็นด้วยของเพื่อนสาวข้างๆตัว ควักมือถือสีฟ้าเครื่องเล็กออกมายื่นให้เขา แล้วยิ้ม
“ใช้นี่โทรเข้าเครื่องแซมเลยแล้วกัน จะได้ไม่ต้องยุ่งยาก”
แซมรับโทรศัพท์ของอดีเลียมาแล้วกดโทรเข้าเครื่องของเขา เมื่อมือถือคู่กายดังอยู่สองครั้ง เขาก็กดตัดสาย แล้วส่งมือถือสีฟ้าคืนให้เจ้าของ
อดีเลียรับโทรศัพท์คืนจากมือเด็กหนุ่ม กดปุ่มอะไรบางอย่างอยู่ไม่กี่วินาที ก่อนเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม
“แล้วอย่าลืมโทรมาละ” อดีเลียโบกมือลาเด็กหนุ่มทั้งสอง หันไปคว้าแขนของแอนนาลิซ่า แล้วกึ่งจูงกึ่งลากเด็กสาวผมบลอนด์ไปจากตรงนั้นโดยไม่รีบร้อนอะไร โดยมีนักศึกษาหลายคนมองตามอย่างอยากรู้อยากเห็น แซมและลีโอยังไม่วายได้ยินเสียงโวยวายของนักร้องสาวต่อท้ายว่า
“ปล่อยฉันนะดี! ทำไมต้องมาขวางฉันด้วย!”
ลีโอถอนหายใจออกมาดังๆอย่างโล่งอก นึกเสียดายอยู่เหมือนกันที่ดาราคนโปรดนิสัยไม่สวยเหมือนหน้าตา แต่ท่าทางของเพื่อนร่วมห้องน่าเป็นห่วงกว่าเยอะ เขาจึงละสายตาจางร่างบางทั้งสอง แล้วหันไปถามเพื่อนเสียงจริงจัง
“นายเป็นอะไรวะแซม”
แซมไม่ตอบ แต่รีบออกเดินต่อ ปล่อยให้คนถามต้องรีบเดินตามอย่างงุนงงปนร้อนใจไม่น้อย
เมื่อกลับถึงห้องพัก รอจนลีโอตามเข้ามาสมทบ ปิดประตูล็อกเรียบร้อย แซมจึงหยิบมือถือออกมาโทรออกอย่างรวดเร็ว
รออยู่ไม่นานเลย ปลายสายก็มีเสียงตอบรับ
“ผู้พันเลนน็อกส์ ผมแซมนะฮะ ผมมีเรื่องต้องบอกพวกออพทิมัสด่วนเลย”
อีกฝ่ายพูดอะไรบางอย่าง ลีโอเห็นแซมขมวดคิ้วแน่น
“ต้องเดี๋ยวนี้ฮะ เรื่องนี้สำคัญมาก”
ผู้พันหนุ่มคงตอบตกลง เพราะแซมมีท่าทีผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
วิลเลี่ยม เลนน็อกส์รู้สึกสังหรณ์ใจประหลาด เขารู้สึกไม่ค่อยดีตั้งแต่เห็นชื่อสายเรียกเข้าแล้ว
พอมีเด็กแซมนี่เกี่ยวข้องด้วยทีไร ต้องเป็นเรื่องใหญ่ทุกที...
และเท่าทีฟังจากน้ำเสียงของเด็กหนุ่มในตอนนี้แล้ว เขาก็รู้สึกว่าพายุลูกใหญ่คงกำลังจะพัดเข้าใส่แน่ๆ
เลนน็อกส์บังคับขาทั้งสองข้างของเขาให้ก้าวเร็วยิ่งขึ้น สายตาสอดส่ายหาร่างใหญ่โตมโหฬารของหุ่นยนต์สีน้ำเงินสลับลายเปลวเพลิงผู้เป็นเป้าหมาย
เขาพบคน(หรือหุ่น)ที่กำลังตามหากำลังนั่งเหม่อมองท้องฟ้ายามบ่ายบนสนามหญ้าด้านหลังตึกฐานทัพของหน่วย NEST อยู่เพียงลำพัง
“ออพทิมัส!” เลนน็อกส์ตะโกนเรียก
หัวหน้าออโต้บอทตื่นขึ้นจากภวังค์ ก้มลงมองตามที่มาของเสียง ก่อนทักอย่างสุภาพ
“สวัสดีผู้พัน”
“เจ้าหนูแซมอยากคุยกับคุณและพวกแน่ะ เห็นบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญมากด้วย”เลนน็อกส์ไม่รอช้า รีบบอกธุระของตนทันที พลางชูโทรศัพท์สื่อสารของกองทัพขึ้นให้อีกฝ่ายเห็น
“ธุระสำคัญ” ออพทิมัสทวนด้วยความสงสัย หากไม่ลังเลที่จะเชื่อมต่อวงจรของเขากับเครื่องสื่อสารในมือของผู้พันหนุ่ม
/แซม เกิดอะไรขึ้น/
/ออพทิมัส! วันนี้ผมเจอเพื่อนข้างบ้านที่ไม่ได้คุยกันมานานหลายปีแล้วพอผมเข้าไปกอดทักทายเขาผมรู้สึกเหมือนทุกไฟฟ้าช็อตอย่างแรงจนผมเกือบหมดสติผมเลยพลักเขาออกทันทีเลยแต่หลังจากนั้นไม่กี่วิผมก็นึกได้ว่า.../ แซมพูดรัวเร็วแทบไม่หายใจจนจับความไม่ค่อยได้ ออพทิมัสจึงต้องบอกให้เด็กหนุ่มใจเย็นๆ ค่อยๆเรียบเรียงเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เขาได้ยินเสียงเด็กหนุ่มปลายสายสูดสมหายใจเข้าออกเบาๆ ก่อนแซมจะเล่าต่อด้วยน้ำเสียงช้าลงกว่าเดิมมาก
/อดีเลีย แคมป์เบล เธอเป็นเพื่อนบ้านผม ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว พอเจอกันวันนี้ผมรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างจากตัวเธอ ผมไม่แน่ใจหรอก แต่มันรู้สึกคล้ายๆกับพลังงานที่ผมได้รับจากเศษของ The Cube เมื่อห้าเดือนก่อน เพียงแต่...มันมหาศาลเลย ต่างกับของผมลิบลับ/
เมื่อแซมเงียบไป ออพทิมัสซึ่งกำลังขมวดคิ้วแน่นอย่างรู้สึกกังวลถึงเรื่องที่เด็กหนุ่มเพิ่งเล่าให้ฟังจึงต้องเป็นฝ่ายถาม
/เจ้ากำลังบอกว่าพลังของเด็กผู้หญิงคนนั้น/ อย่างน้อยจากคำบอกเล่าของแซม ออพทิมัสก็คิดว่าน่าจะเป็นเด็กผู้หญิง /มีมากพอๆกับ The All Spark ก่อนที่จะถูกทำลายอย่างนั้นหรือ/
ความเงียบก็เปรียบเสมือนการยอมรับ
ไซเบอร์โทรเนี่ยนหลายตนอาจจะหัวเราะเยาะเขา ที่ฟังคำพูดของเด็กมนุษย์คนหนึ่ง แต่ออพทิมัสเชื่อว่าทุกสิ่งนั้นมีมากกว่าที่ตาเห็น และแซมก็มีความรู้มากมายเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ของเขา รวมทั้งเคยร่วมเป็นร่วมตายพวกเขามานาน นอกเหนือจากนั้น...แซมยังช่วยชีวิตเขาไว้ถึงสองครั้งสองครา ออพทิมัสคิดว่านั่นเป็นเหตุผลเพียงพอแล้วที่จะรับฟังคำพูดของเด็กหนุ่มไว้พิจารณา
ออพทิมัสก้มลงมองผู้พันเลนน็อกส์อย่างเครียดเคร่งไม่น้อย
“ผู้พัน ช่วยตามออโต้บอททุกตนมาพบข้าที อย่างที่แซมว่า...เรื่องนี้สำคัญจริงๆ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ แล้วรีบวิ่งไปทำตามคำขอของหัวหน้าออโต้บอททันที
/แซม ข้าขอขอบคุณที่นำเรื่องนี้มาบอก ทางเราจะรีบส่งคนไปตรวจสอบให้เร็วที่สุด ยังไงก็ตาม ข้าต้องรบกวนให้เจ้านัดแนะเด็กคนนั้นด้วย/
/ได้เลยฮะ แต่จะให้นัดพบเธอเมื่อไหร่/
ออพทิมัสครุ่นคิดอยู่ครู่
/พรุ่งนี้ ส่วนเวลา...แล้วแต่ทางเจ้าสะดวกเถอะ แต่ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี/
หากเป็นอย่างที่แซมคาดเดาไว้จริง เขาก็ได้แต่หวังว่า พวกดิเซปติคอนจะไม่รู้เรื่องนี้ ไม่อย่างนั้น...โลกใบนี้คงต้องตกอยู่ในอันตรายยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้แน่นอน
“แอนนานะแอนนา ทำไมถึงไปต่อยเขาแบบนั้นล่ะ รู้ทั้งรู้ว่าแซมไม่ผิดสักหน่อย ไอ้นิสัยทำก่อนแล้วค่อยคิดน่ะช่วยเพลาๆลงหน่อยได้ไหม” อดีเลียบ่นใส่เพื่อนสาวที่กำลังนั่งอยู่หลังพวงมาลัย โดยไม่กลัวว่าเจ้าของรถจะหมั่นไส้จนไล่ให้เดินกลับบ้านเองคนเดียวเลยสักนิด
จะกลัวอะไร เงินก็มี โทรศัพท์ก็มี การเรียกรถรับจ้างไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าหล่อนจะไม่รู้ถึงสาเหตุที่แอนนาลิซ่าประทุษร้ายเด็กหนุ่มอดีตเพื่อนบ้านเลยเสียดีเดียว
ทุกอย่างเป็นเพราะแอนนารักเพื่อนมากเกินไป...
หล่อนยอมรับว่าตกใจไม่น้อย ที่อยู่ดีๆเพื่อนสาวก็โทรมาบอกว่าจะไปคิดบัญชีกับคนที่ทำลายชีวิตของหล่อนและเมลานี่ให้เดี๋ยวนี้ล่ะ อดีเลียจึงรีบเรียกรถแท๊กซี่ตามไปมหาลัยฯของเด็กหนุ่ม ซึ่งบังเอิ๊ญ บังเอิญ อยู่เมืองเดียวกันกับบ้านพักของแอนนาลิซ่าที่เจ้าตัวให้อดีเลียยืมอาศัยมาได้สองปีแล้วพอดิบพอดี
แต่ช้าไปนิด แซมโดนไปแล้วหนึ่งหมัดเต็มๆซะก่อน
“เชอะ...ทำเป็นพูดดี ไอ้นิสัยขี้บ่นของเธอก็ช่วยเลิกทีเถอะ น่ารำคาญ” แอนนาลิซ่าตอกกกลับเสียงสะบัด
อดีเลียมองเพื่อนสาวอยู่ครู่ ไม่ถือสาอะไร ก่อนหัวเราะเบาๆ
ไอ้อาการแบบนี้นี่...
“มีเรื่องที่ทำงานมาอีกแล้วเหรอ”
ไฟสัญญาณเปลี่ยนเป็นสีแดง แอนนาลิซ่าจึงเหยียบเบรกเบาๆเพื่อชะรอความเร็ว เมื่อรถหยุดนิ่งสนิทแล้ว หล่อนก็ซบหน้าผากขาวนวลบนบวงมาลัยอย่างไม่เบานัก ก่อนจะ...
กรี๊ด!!!!!!
เสียงกรีดร้องเสียดแก้วหูทะลุเข้าไปถึงระบบประสาทดังลั่นไปทั่วรถ
ถ้าเป็นคนอื่นคงสะดุ้งตัวชิดติดขอบประตูรถไปแล้ว หากอดีเลียและเมล หรือเมลานี่ เพื่อนสาวอีกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ เคยชินกับกิริยาเช่นนี้ของแอนนาลิซ่าดี
สิ่งที่อดีเลียกลัวคือ หนึ่ง กระจกรถจะทนรับแรงสั่นสะเทือนไม่ไหว แตกกระจุยกระจายเสียก่อน และสอง ถ้ามีปาปารัซซี่อยู่ใกล้ๆ ไม่เกินพรุ่งนี้ ภาพของเพื่อนหล่อนคงได้ขึ้นข่าวหน้าหนึ่งแหงๆ
รอจนแอนนาลิซ่าร้องจนพอใจแล้วหอบฮักๆนั่นล่ะ อดีเลียจึงค่อยเอ่ย
“ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย งั้นเล่ามา”
แอนนาลิซ่าหลับตา พยายามสงบสติอารมณ์ ตอบโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นจากพวงมาลัยรถว่า
“ยัยเด็กใหม่นิกกี้นั่นน่ะสิ”
อดีเลียถึงกับบางอ้อ นิกกี้ โรเบิร์ต ดาราเด็กสาวดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการฮอลลีวูด
ไม่รู้เพราะอะไร แต่แอนนาเกลียดแสนเกลียดรุ่นน้องที่อายุอ่อนกว่าสี่ปีคนนี้เหลือเกิน พอเป็นเรื่องของเด็กคนนั้นทีไร คนที่อารมณ์รุนแรงโมโหง่ายเป็นปกติอยู่แล้วยิ่งดุเดือดเลือดร้อน ไม่ต่างจากลูกระเบิดปรมาณูดีๆนี่เอง
โดยส่วนตัวจากที่เห็นตามรายการทีวีและบทสัมภาษณ์ อดีเลียคิดว่านิกกี้น่ารักขี้อ้อน คล้ายเด็กอายุสิบขวบมากกว่าสิบห้าปี พอแอนนาได้ยินเข้า เพื่อนสาวของหล่อนหน้าแดงเถือดด้วยความโกรธ ก่อนตะโกนลั่น
‘ยัยเด็กนั่นตอแหล! ทำเป็นดัดจริตพูดเสียงง้องแง้งเป็นเด็ก น่ารำคาญที่สุด!’
อดีเลียได้แต่รับคำส่งๆไป เมลานี่ที่อยู่ด้วยในตอนนั้นจึงเป็นคนส่งสายตาปรามแอนนาให้ควบคุมอารมณ์ของตัวเอง
“คราวนี้เขาทำอะไรให้เธออีกล่ะ”
แซมที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เลยดันซวยกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของเจ้าหล่อนซะงั้น...
“เลิกพูดถึงเด็กนั่นสักทีเถอะดี คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ด้วย” แอนนาลิซ่าตัดบทเสียดื้อๆอย่างนั้น
อดีเลียไม่เซ้าซี้อะไรต่อ อาจด้วยเพราะโทรศัพท์มือถือของหล่อนดังขึ้นพอดี พอเห็นชื่อคนโทรเข้า นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายกังวลอยู่ครู่ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นยินดีล้นพ้น
หล่อนอาจจะได้เจอ‘เขา’อีกครั้งในเร็ววันนี้ก็เป็นได้
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คงมีเรื่องยุ่งยากตามมาไม่หยุดหย่อนแน่” แร็ทเชตถอนหายใจเฮือก
“ไม่หรอกน่า ตราบใดที่พวกดิเซปติคอนยังไม่รู้เรื่องล่ะก็นะ” ไซดสไวป์ปลอบทั้งสหายและตัวเอง ก่อนมองไปทางคนเป็นผู้นำของพวกเขาอย่างต้องการขอความคิดเห็น
ทว่าออพทิมัสยังคงนิ่งเงียบ จมปลักอยู่ในห้วงความคิดของตน
ถ้าเรื่องที่แซมพูดเป็นจริงขึ้นมา พวกเขาคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากควบคุมดูแลความปลอดภัยของเด็กสาวนามอดีเลียผู้นั้น แต่ความรู้สึกและสิทธิของเด็กคนนั้นเล่า หากนางไม่ยินยอม พวกเขาอาจต้องฝืนใจกักขังนางไว้ไม่ให้มีอันตราย หรือพูดให้ถูก...ก็คือไม่ให้นางตกไปอยู่ในมือของศัตรูอย่างพวกดิเซปติคอน
“บัมเบิ้ลบี”
ออโต้บอทสีเหลืองที่เด็กที่สุดในกลุ่มส่งเสียงขานรับ
“เจ้า แร็ทเชต กับไอรอนไฮด์มากับข้า ส่วนไซด์สไวป์และพวกที่เหลือให้รอรักษาการอยู่ที่นี่”
ออโต้บอททุกตนพยักหน้ารับคำสั่ง แม้จะมีเสียงบ่นนิดๆจากไซด์สไวป์ว่าตนอดมีส่วนร่วมกับเรื่องสนุกๆ หากพวกเขาไม่เคยมีข้อกังขากับการตัดสินใจของออพทิมัส ไพรม์เลยสักครั้ง อาจมีบ้างที่ไม่เห็นด้วย แต่ไม่เคยมีใครคิดขัดคำสั่งของเขา นั่นเพราะคำสั่งของออพทิมัสฟังดูคล้ายคำไหว้วานเสียมากกว่า และพวกเขารู้ดีว่า...ถ้าเลือกได้...ผู้นำหนุ่มจะเลือกทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายเสมอ
นั่นคือเหตุผลหลักที่พวกเขาติดตามออพทิมัสมาจนถึงทุกวันนี้ และจะยอมพลีชีพของตนเองเพื่อปกป้องอุดมการณ์และสิ่งสำคัญของออพทิมัสให้คงอยู่ตลอดไป
/ฉันไม่ยอมนะดี เธอจะมากลับคำเอาตอนนี้ไม่ได้!/ เสียงแหวลั่นของแอนนาลิซ่าดังผ่านคลื่นดาวเทียมจากนอกโลกสู่แก้วหูของหล่อน จนอดีเลียแทบยกโทรศัพท์มือถืออกห่างตัวไม่ทัน หวุดหวิดเกือบได้กลายเป็นคนหูหนวกเสียแล้ว
“โธ่ ฉันไม่ได้กลับคำนะแอนนา แค่ไม่บอกเธอเฉยๆว่าฉันตัดสินใจนัดกับแซมวันนี้” อดีเลียเถียงข้างๆคูๆ
เมื่อวานหลังจากได้รับโทรศัพท์จากแซม เด็กหนุ่มนัดแนะว่าอยากเจอหล่อนวันนี้ แต่อดีเลียแกล้งปฏิเสธต่อหน้าแอนนาลิซ่าว่าไม่ค่อยสะดวก ขอเป็นอีกสองสามวัน รอให้เพื่อนสาวผมบลอนด์เสร็จธุระจากการถ่ายมิวสิคเพลงที่แอลเอเสียก่อน ค่ำวานนี้แอนนาลิซ่าจึงขึ้นเครื่องบินไปทำงานของตนอย่างสบายใจขึ้น หากเมื่อไปส่งเพื่อนที่สนามบินกลับมาถึงที่พัก อดีเลียก็รีบโทรกลับไปหาอดีตเพื่อนบ้าน บอกว่ามีการเปลี่ยนแผนนิดหน่อย และยินดีนัดเจอกับเขาเช้านี้ตอนเก้าโมงที่มหาลัยฯ
ว่าจะรอให้จบเรื่องแล้วค่อยโทรไปบอกพร้อมขอโทษแอนนา เจ้าหล่อนก็ดันมีหูผีจมูกมด รู้เรื่องเข้าจนได้...และรีบต่อสายเข้ามาเปิดฉากเม้งแตกใส่หล่อนเสียก่อน
หากทุกอย่างไม่อาจย้อนกลับได้อีก
อดีเลียรับรู้แล้ว...ในสิ่งที่หล่อนเป็น และเข้าใจว่าตัวเองสำคัญกับความอยู่รอดของทุกคนบนโลกใบนี้มากแค่ไหน
หล่อนไม่ลังเลที่จะสละอิสรภาพของตัวเองเพื่อผู้อื่น
แต่เหนือสิ่งอื่นใด...
อดีเลียมองไปรอบๆด้านในตัวรถบรรทุกปีเตอร์บิลท์สิบแปดล้อที่หล่อนโดยสารอยู่...อันเป็นร่างแฝงของเอเลี่ยนจากต่างดาวนามว่าออพทิมัส ไพรม์...ด้วยแววตาเปี่ยมสุขเหลือล้น
...หล่อนจะไม่ยอมสูญเสียโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดเขาคนนี้ไปเป็นอันขาด
คิดแล้วเด็กสาวก็คลี่ยิ้มบางๆ พลางหวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณสองชั่วโมงที่แล้ว
อดีเลียรู้สึกตกใจไม่น้อย เพราะหลังจากไปหาแซมที่มหาลัยฯแล้วพบว่าเด็กหนุ่มพาแฟนสาวที่ทั้งสวยและเซ็กซี่อย่างเหลือร้ายนามมิเคล่า บาร์นมาแนะนำให้รู้จัก ก่อนเสนอให้ทั้งหมดไปหาที่สนทนาแห่งใหม่ และคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากเด็กหนุ่มจะชักชวนให้ไปคุยกันตามร้านกาแฟสตาร์บัคส์หรืออะไรที่ใกล้เคียง ไม่ใช่สุสานที่ทั้งสามกำลังยืนอยู่ในตอนนี้
“เอ่อ ทำไมเราถึงต้องมาคุยกันที่นี่ด้วยล่ะ” อดีเสียถามอย่างหวั่นๆ
ไม่ใช่เพราะกลัวเด็กหนุ่มและแฟนสาวของเขาจะทำอันตรายอะไรหล่อนหรอก
แต่กลัวผู้ล่วงลับทั้งหลายที่ทุกฝังอยู่ใต้ดินจะลุกพรวดขึ้นมาทักทายซะมากกว่า!
แซมหย่อนตัวนั่งลงกับผืนหญ้าข้างๆหลุมศพของชายเจ้าของนามแพททริก การ์เนอร์ โดยมีมิเคล่ายืนกอดอกอยู่ไม่ห่าง
“โทษทีอดีเลีย แต่คุยที่นี่ปลอดภัยที่สุดแล้ว จะได้ไม่มีคนมารบกวนด้วย”
คงไม่มีคนมารบกวนหรอก...แต่ไอ้ที่ไม่ใช่คนล่ะ...
อดีเลียรู้สึกหงุดหงิดกับความขี้ขลาดในส่วนนี้ของตัวเองไม่น้อย นี่ก็กลางวันเสกๆ จะมีภูตผีวิญญาณที่ไหนออกมาปรากฎตัวให้เห็นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ขนาดคนขี้กลัวขึ้นสมองอย่างแซมยังไม่มีอาการสะท้กสะท้านอะไรเลยสักนิด
หล่อนพยายามตั้งสติให้มั่น ข่มความกลัวบอกกับตัวเองว่าไม่มีอะไร แล้วค่อยๆนั่งลงตรงหน้าเด็กหนุ่ม
“งั้นมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันเหรอ”
แซมหันหน้าเงยขึ้นไปมองสบตากับแฟนสาว ก่อนหันกลับมามองหล่อน
“เมื่อวาน ตอนที่ฉันทักเธอ เธอรู้สึกแปลกๆเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตอย่างแรงบ้างมั้ย”
อดีเลียฉีกยิ้มกว้าง พยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร
ทั้งแซมและมิเคล่ามีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วทำไมถึง...”
“ทำเป็นไม่รู้เรื่องน่ะเหรอ เพราะฉันนึกว่าฉันคิดไปเองน่ะสิ”อดีเลียถอนหายใจเบาๆ “ฉันไม่มั่นใจว่าเธอจะรู้หรือเปล่า แต่พอได้รับโทรศัพท์จากเธออีกที ฉันถึงแน่ใจว่าเธอต้องเอะใจเหมือนกัน”
ว่าแล้วก็หันไปพูดกับมิเคล่าอย่างติดตลกว่า
“แต่อย่าห่วงเลย ไม่ใช่ไฟฟ้าช็อตแบบที่เขาว่าคนสองคนเกิดสปาร์คติดอกติดใจกันหรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ แต่เป็นแบบที่เล่นเอาซะจุกจนอยากจะอ้วกเลยล่ะ”
มิเคล่ายิ้ม รู้สึกถูกชะตากับความตรงไปตรงมาของเด็กสาวตรงหน้าไม่น้อย
“ฉันไม่คิดอย่างนั้นอยู่แล้ว” แต่สายตาคมหวานจับจ้องไปทางแฟนหนุ่มอย่างคาดโทษ...นายก็อย่าคิดล่ะ
“แล้วเธอไม่รู้สึกแปลกใจสงสัยเลยเหรอว่ามันคืออะไร” แซมดึงบทสนทนากลับมาก่อนที่อดีเลียจะพูดอะไรให้เขาต้องรู้สึกร้อนๆหนาวๆไปมากกว่านี้
อดีเลียอ้าปากจะตอบ ก็พอดีได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังแว่วๆใกล้เข้ามา ความสนใจของเด็กหนุ่มสาวจึงถูกหันเหไปทางต้นตอของเสียง
รถคาเมโร่ยี่ห้อเชฟโรเลตสีเหลืองอร่ามปรากฎสู่สายตาเป็นคันแรก ตามมาติดๆด้วยรถกระบะยี่ห้อจีเอมซีสีดำบึกบึน และรถปฐมพยาบาลฉุกเฉินสีเขียวอ่อนสลับขาว รั้งท้ายสุดคือรถบรรทุกปีเตอร์บิลท์สิบแปดล้อสีน้ำเงินแดงซึ่งตกแต่งด้วยลายเปลวเพลิงสีฟ้าเข้มและสีส้มสดออกแดง
ยานพาหนะทั้งสี่ขับเคลื่อนมาจอดนิ่งตรงหน้าเด็กทั้งสาม ก่อนชิ้นส่วนประกอบทั้งหมดของแต่ละคันจะค่อยๆแยกออกสลับกันไปมา กลายรูปร่างเป็นหุ่นยนต์ขนาดยักษ์สี่ตนยืนอย่างตระหง่านสง่าผ่าเผย โดยมีท้องฟ้าสีครามและพระอาทิตย์ยามเช้าอยู่เบื้องหลัง
แซมและมิเคล่าเพียงมองดูเฉยๆด้วยความเคยชิน หากเด็กสาวอีกคนผู้ที่ควรจะตกตะลึงกลับทำตัวไม่ต่างจากคู่รักทั้งสองเลยแม้แต่น้อย มีเพียงรอยยิ้มหวานบนริมฝีปากบางที่ผิดแผกออกไป
แทบทุกคน ณ ที่นั้นสังเกตุเห็น มีเพียงเด็กหนุ่มจอมซื่อ(บื้อ)คนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไร รีบลุกขึ้นยืนอธิบายให้เพื่อนสาวฟังอย่างเงอะงะเต็มที
"ใจเย็นๆ อย่าตกใจนะอดีเลีย พวกเขาคือออโต้บอท...เป็น...เอเลี่ยนจากนอกโลก คือ...เอ้อ...จะเล่ายังไงดี"
ก่อนที่แซมจะต้องขายหน้ามากไปกว่านี้ แฟนสาวผู้ซื่อสัตยจึงรีบสะกิด(โดยการศอกเข้าที่ท้อง)ให้เด็กหนุ่มหยุดพูดและมองอดีตเพื่อนบ้านของเขาให้ดีๆ แซมเกาหัวแกรกๆ ร้องอ้าวอย่างไม่มีเสียง เมื่อพบว่าอดีตเพื่อนบ้านไม่มีร่องรอยตกอกตกใจกับสิ่งที่เห็นสักนิด
อดีเลียค่อยๆยันกายขึ้นจากพื้นหญ้าช้าๆ ไม่สนว่าใคร...ทั้งมนุษย์...และมนุษย์ต่างดาวสามตนที่เหลือ...จะจับจ้องมาที่หล่อนด้วยความรู้สึกเช่นไร สายตาและความสนใจทั้งหมดของหล่อนจดจ่ออยู่ที่ออโต้บอทสีน้ำเงินเข้มเพียงคนเดียวเท่านั้น คนที่ตอนนี้กำลังเพ่งพิศมองหล่อนอย่างไตร่ตรองด้วยนัยน์ตาสีฟ้าสุกสว่างราวดวงจันทร์ในยามค่ำคื่นคู่นั้น
ในที่สุด...หล่อนก็ได้พบกับเขาอีกครั้ง
"สวัสดีค่ะ ฉันชื่ออดีเลีย แคมป์เบล ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการนะคะ" เด็กสาวฉีกยิ้มกว้างส่งให้เขา ก่อนหันไปให้ความสนใจหุ่นอีกสามตนที่เหลือ พยักหน้าให้น้อยๆเป็นการทักทาย
"ดูเจ้าไม่ตกใจที่เห็นพวกเรา"
เสียงทุ้มนุ่มหูของเขาที่หล่อนได้ยินชัดๆเป็นครั้งแรกแทบทำเอาอดีเลียถอนหายใจออกมาดังๆอย่างหลงไหล
"ห้องนอนที่บ้านเก่าของฉันมองเห็นวิวสวนหลังบ้านของแซมได้ชัดแจ๋วเลยล่ะค่ะ" อดีเลียเปรยเสียงใส แต่เพียงเท่านั้นหลายคนที่ได้ฟังก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง...ยกเว้นเพียงคนเดียว
"หมายความว่าไง?" แซมมองทุกคนสลับไปมา หวังว่าใครสักคนจะไขความกระจ่างให้
"แสดงว่าเจ้าเห็นพวกเราที่บ้านแซมในวันนั้น" แร็ตเชทกล่าวสรุปมากกว่าถาม
"อีกทีก็บนถนนไฮเวย์ทางไปเมือง Mission City ค่ะ" ดวงหน้านวลสลดลงครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็กลับมาสดใสดังเดิม
"เอ้อ งั้นจะขอแนะนำล่ะนะ" แซมกระแอมกระไอนิดหนึ่ง ผายมือไปทางออโต้บอทสีเหลืองด้านขวาสุดของกลุ่ม เอ่ยยิ้มๆ "นั่นบัมเบิ้ลบี เรียกว่าบีก็ได้ คู่หูของฉันเอง"
'บัมเบิ้ลบี'ตั้งท่าปล่อยหมดชกมวยโชว์หล่อน ดูน่ารักจนอดีเลียหัวเราะออกมาเบาๆ
"ฉันเองก็มีชื่อเล่นเหมือนกัน จะเรียกว่า'ดี'ก็ได้ค่ะ"
"ส่วนนั่น...แร็ตเชท เป็นเหมือนหมอประจำกลุ่มออโต้บอท" ออโต้บอทสีเขียวอ่อนทำเสียงฟุตฟิตในจมูก(อย่างน้อยอดีเลียคิดว่าน่าจะเป็นจมูก) ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง หากมิเคล่าส่งเสียงดังๆในลำคอ 'หมอ'จึงเปลี่ยนใจ ปิดปากลงสนิททันที
"ตัวสีดำนั่นไอรอนไฮด์ ชำนาญด้านอาวุธ" ผู้ถูกแนะนำเพียงกอดอกมองมาที่หล่อนนิ่งๆคล้ายหาเรื่อง จนอดีเลียรู้สึกกลัวนิดๆไม่ได้ แต่ก็แค่นิดดียวเท่านั้นล่ะ
"ส่วนนั่น" น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความเคารพ ขณะเงยหน้าขึ้นมองหุ่นยนต์จากต่างดาวผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ที่สุดในที่นั้น "ออพทิมัส ไพรม์ หัวหน้าของพวกออโต้บอท"
อดีเลียใช้โอกาสนี้สบตากับเขาอีกครั้ง
ออพทิมัส แม้แต่ชื่อก็เท่สุดๆไปเลยแฮะ...
คิดแล้วอดีเลียก็หัวเราะตัวเองในใจ...เรานี่ท่าจะอาการหนัก มิน่าแอนนากับเมลถึงห่วงนักห่วงหนา
ผู้นำของเหล่าออโต้บอทค่อยๆคุกเข่าลงตรงหน้าหล่อน ก่อนเอ่ยอย่างเป็นงานเป็นการว่า
"ยินดีที่ได้รู้จัก อดีเลีย พวกเราคือสิ่งมีชีวิตประเภท Autonomus Robotic จากดาวเคราะห์ที่มีชื่อว่าไซเบอร์ทรอน" แล้วเล่าต่อย่อๆว่าเขาและพรรคพวกเดินทางจากบ้านเกิดมาเพราะสงครามกับพวกดิเซปติคอน เผ่าพันธุ์เดียวกันที่มีความคิดต่างกัน เพราะฝ่ายนั้นต้องการครอบครองจักรวาล และหัวหน้าของพวกนั้นที่ชื่อว่าเมกาทรอนเกิดซุ่มซ่าม(อันนี้อดีเลียสรุปเอาเอง)พลัดตกลงมาบนโลก เพราะตาม The All Spark หรือ The Cube สิ่งที่เป็นต้นตอของพลังงานที่ให้กำเนิดเหล่าไซเบอร์โทรเนี่ยนทั้งหลาย ซึ่งถูกเขาปล่อยไปในอวกาศอันแสนกว้างใหญ่เพื่อไม่ให้ต้องตกไปอยู่ในมือของศัตรู จนสุดท้ายพวกเขาจึงจับพลัดจับพลู กลายเป็นผู้อยู่อาศัยของดาวดวงนี้ และสาบานว่าจะปกป้อง'บ้าน'แห่งนี้อย่างเต็มความสามารถจากพวกดิเซปติคอน ที่ยังคงกระจัดกระจายพยายามรวบรวมกำลังเพื่อกลับมาเอาคืนเหล่าออโต้บอทและยึดครองโลกใบนี้อีกครั้ง
"คณะรัฐบาลของประเทศนี้ยินยอมร่วมมือกับพวกเรา และก่อตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษ NEST ขึ้น เพื่อไว้รับมือกับพวกดิเซปติคอนโดยเฉพาะ และแก้ไขปัญหาอื่นๆที่พวกเขาไม่อาจจัดการได้"
"เอ่อ แล้วพวกคุณมีธุอะไรกับฉันหรือคะ" ถึงหล่อนจะพอรู้อยู่ว่ามันคงเกี่ยวกับปฏิกิริยา'ไฟฟ้าช็อต'ที่เกิดขึ้นระหว่างแซมกับหล่อนเมื่อวานก็เถอะ
"เจ้าจะขัดข้องหรือไม่ หากแร็ทเชตจะขอสแกนร่างกายของเจ้าเพื่อตรวจสอบว่าเจ้ามีพลังอย่างที่พวกเราคาดการณ์ไว้หรือเปล่า" ออพทิมัสถามเสียงอ่อนโยน
โอ้ แล้วอย่างนี้ใครจะกล้าปฏิเสธ (ไม่เกี่ยวหรอกว่าคนถามจะสามารถบดขยี้หล่อนจนแบนแต้ดแต๋ได้ในพริบตา)
"พลัง...พลังอะไรหรือคะ"
"คืองี้ ฉันคิดว่าบางทีเธออาจจะ..." สีหน้าของเด็กหนุ่มคนเดียวในที่นั้นมีแววลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด "มีพลังของ The All Spark อยู่ในตัว"
หา!?
หล่อนว่าตัวเองเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับสถานการณ์ไม่ขาดฝันมาพร้อมแล้วนะ แต่ไอ้สิ่งที่ได้ยินจากปากของอดีตเพื่อนบ้านก็เล่นเอาอดีเลียอึ้งกิมกี่ไปเลยเหมือนกัน
"ล้อเล่นหรือเปล่าแซม อย่างฉันเนี่ยนะจะมีพลังขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก ฉันเคยเห็นพวกของออพทิมัสแค่สองครั้งเท่านั้นเองนะ แล้วไอ้ทั้งสองครั้งนั่นน่ะ ฉันก็อยู่ห่างจากพวกเขาเป็นโยชๆ แล้วฉันจะไปได้รับพลังของ The All Spark อะไรนั่นตอนไหนกัน" อดีเลียพูดเป็นต่อยหอยเมื่อหาเสียงของตัวเองเจอ เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวรู้สึกตกใจจนควบคุมไม่อยู่
แต่เดี๋ยว...ถ้าหล่อนมีพลังของ The All Spark นั่นก็เท่ากับว่า...
"พวกเราจึงต้องการยืนยันให้แน่ใจ หากเจ้าคือ The All Spark ก็หมายความว่าเจ้ามีความสำคัญกับเผ่าพันธุ์ของเราอย่างมาก และพวกเราต้องคุ้มครองไม่ให้เจ้าตกไปอยู่ในกำมือของพวกดิเซปติคอน" แร็ทเชตถอนหายใจออกมาดังๆ "และเจ้าก็คือ The All Spark จริงๆ"
เสียงสูดลมหายใจอย่างตกตะลึงดังขึ้นไปทั่ว มีเพียงออพทิมัสและแร็ทเชตผู้แจ้งข่าวอันน่าตกใจนี้เท่านั้น ที่ยังคงแสดงท่าทีสงบออกมาได้ แม้ทั้งคู่จะดูหนักใจอยู่ไม่น้อยก็ตาม
ส่วนคนที่ถูกประกาศว่าเป็น The All Spark ก็ได้แต่เบิกตากว้างเป็นแตงโม อ้าปากพะงาบๆ พูดอะไรไม่ออก ก่อนจะทรุดลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
___________________________________________________________________
แหะๆ กว่าจะคลอดบทนำออกมาได้ เล่นซะเป็นปีๆเลยทีเดียว ต้องขออภัยอย่างสูงจริงๆค่ะ
แต่พอได้ดูภาคสามจบ ก็ทำให้เกิดไอเดียปิ๊งๆขึ้นมาอีกเยอะ เลยมีแรงบัลดาลใจให้หันมาเขียนเรื่องนี้อย่างจริงๆจังๆซะที
แต่อย่าห่วงเลยค่ะ เรื่องนี้จะยาวมากกกกกกกกกก เพราะฉะนั้นจะไม่มีการสปอยภาคสามจนเกือบกลางเรื่องโน่นนนนนนนแน่ะค่ะ
แต่ก่อนอื่น คงต้องขอโทษผู้อ่านทุกท่าน(ถ้ามี)เรื่องของภาษาที่ใช้ซ้ำๆกันและความห่วยแตกของสำนวนของหมูจริงๆค่ะ
หมูร้างงานเขียนไปนาน อยู่ต่างประเทศนาน ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาไทยเท่าไหร่ ทำให้หลงๆลืมๆไปบ้าง แต่จะพยายามกู้ความจำกลับมาให้เร็วที่สุด และจะใช้คำให้หลากหายมากขึ้นในอนาคตนะคะ
อีกอย่าง...ก็เรื่องสำนวนนี่ล่ะค่ะ หมูเขียนเอง อ่านเอง ยังรู้สึกขัดๆเองเลยค่ะ เพราะแทบทุกฉากหมูอธิบายอย่างรวบรัดเกินเหตุจริงๆ
และยิ่งเรื่องการอธิบายความรู้สึกของตัวละครนี่...ยิ่งแย่ค่ะ โดยเฉพาะความรู้สึกของอดีเลีย มีใครอ่านแล้วไม่งงกับบุคลิกของสาวเจ้าบ้างคะว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ ดูมันขาดตอนยังไงๆไม่รู้สิคะ
หากแก้ตัวได้ หมูอยากจะบอกว่าในตอนต่อๆไป หมูจะเขียนให้ละเอียดละออกว่านี้นะคะ (โดยเฉพาะเรื่องของอดีเลีย)
และบางเรื่องยังไม่ถึงคราวเฉลย อย่างเช่นเกิดอะไรขึ้นกับอดีเลียและเมลานี่(ผู้ที่ยังไม่ได้โผล่มานอกจากชื่อ)กันแน่ ทำไมแอนนาถึงโกรธแซมขนาดนั้น (แต่จริงๆแล้วถ้าอ่านจากเรื่องย่อก็คงพอจะเดาได้) ทำไมอดีเลียถึงมีพลังของ The All Spark และอีกมากมายจะค่อยๆเฉลยออกมาหลังจากดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ (แต่บางเรื่อง อย่างเช่นว่าอดีเลียและเพื่อนอีกสองคนเจอพวกทรานสฟอร์มเมอร์สครั้งแรกตอนไหนยังไง คงต้องรออ่านใน Meeting You ล่ะค่ะ แต่คิดว่าคงจะไม่ได้ฤกษ์เขียนเร็วๆนี้แน่)
ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวเรื่อง Reaching You นี้ด้วยนะคะ คนเขียนคนนี้เขียนออกมาจากความบ้าเรื่อง Transformers ภาค Live Action อย่างสุดๆ
คำเตือน: เรื่องนี้จุดเด่นคือความรักข้ามเผ่าพันธุ์ หากใครไม่ละดวกใจที่จะอ่าน...ยังไงก็ช่วยอ่านต่อด้วยเถอะนะคะ!
สุดท้ายนี้ ชอบไม่ชอบยังไงก็กรุณาติชมมาได้เลยนะคะ แล้วคนเขียนคนนี้จะเก็บคำแนะนำของเพื่อนไปใช้ปรับปรุงต่อไปในอนาคตค่ะ
สำหรับวันนี้ บายค่า!
ความคิดเห็น