ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตราพันธนาการหัวใจ #ป๋อจ้าน #ป๋อตี้จ้านเกอ

    ลำดับตอนที่ #8 : >

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.25K
      49
      13 พ.ค. 65


    << Chapter 6 >>

     

     

     



    “ปล่อย”

    “ไม่ปล่อย”

    “ฉันบอกว่าให้ปล่อย!!”

    “ก็บอกว่าไม่ปล่อยไงโว้ยยยยย!!”

     

    ร่างทั้งสองยื้อยุดฉุดกระชากอยู่ภายในห้องโถงท่ามกลางเหล่าสมุนเจ้าพ่อซึ่งกำลังจับกลุ่มนินทากันสนุกปาก อี้ป๋อพยายามเหวี่ยงคนบนหลังให้ตกลงสู่พื้นแต่ก็ถูกอีกคนใช้ข้อมือบางเกี่ยวรัดบริเวณรอบลำคอแนบแน่นจนแทบหายใจไม่ออก ดูเหมือนยิ่งพยายามสลัดให้เจ้าตัวแสบออกห่างมากเท่าไหร่ผลกลับกลายเป็นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

     

    “แค่กๆ!! เซียวจ้าน!! นายจะฆ่าฉันหรือไง!!”

    “เออฉันฆ่านายแน่ถ้าคืนนี้นายไม่ยอมให้ฉันไปนอนเตียงเดียวกับนาย!!”

    “อย่าบอกนะว่านายเชื่อเรื่องที่ฉันแกล้งแหย่เป็นตุเป็นตะ เรื่องห้ามถอดด้ายแดงออกจากกันน่ะมันก็เป็นเพียงแค่ความเชื่อของคนโบราณจะไปกลัวอะไรนัก เราสองคนไม่จำเป็นต้องทำตัวติดกันข้ามคืนก็ได้”

    “ถึงจะพูดว่าทั้งหมดเป็นแค่ความเชื่อแต่ถ้ามันเกิดเป็นความจริงขึ้นมาล่ะ ไม่รู้แหละ ยังไงพวกเราก็ควรกันไว้ดีกว่าแก้ทีหลัง ฉันไม่มีทางเผชิญหน้ากับเหล่าบรรพบุรุษของนายตามลำพังหรอก ยังไงคืนนี้เราสองคนก็ห้ามถอดด้ายแดงออกจากกันเป็นอันขาด ให้ฉันนอนด้วยเหอะนะอี้ป๋อ ไม่งั้นฉันจะเกาะติดนายเหมือนเห็บหมัดจนกว่าจะถึงรุ่งเช้าเลยคอยดู”

    “นายเห็นฉันเป็นหมาข้างทางงั้นเหรอ”

    “ฉันเห็นนายเป็นร็อตไวเลอร์ผู้สง่างามน่าเกรงขามต่างหาก”

    “เฮ้ออ ทำไมฉันต้องมาสนทนาเรื่องไร้สาระกับนายด้วย ตอนนี้ได้ลองมองดูสภาพเราสองคนบ้างหรือเปล่า นี่นายไม่อายสายตาคนอื่นหรือไง”

    “ตั้งแต่มาถึงที่นี่ฉันก่อเรื่องไว้กองเท่าภูเขาแล้วยังเหลืออะไรให้อายอีกล่ะ”

    “นายนี่ช่าง..”

     

    คนพูดหยุดประโยคไว้เท่านั้นพลางโคลงศีรษะเล็กน้อยอย่างทอดถอนใจ คล้ายจะสื่อความนัยว่าตัวผมช่างไร้ยางอายเสียนี่กระไรถึงได้กล้าก่อเรื่องไม่เว้นวัน แทบไม่ต้องส่องกระจกก็พอรู้หรอกน่าว่าสภาพการทะเลาะของเราทั้งคู่ในค่ำคืนนี้ดูอิรุงตุงนังมากมายเพียงใด ผมใช้เรียวขากอดก่ายอีกคนเอาไว้พร้อมทั้งเกาะรอบคอของเขาแนบแน่นเสมือนปรสิตเตรียมสิงร่างก็ไม่เชิง อี้ป๋อถึงกับต้องยกนิ้วนวดขมับครุ่นคิดหาวิธีกำจัดปรสิตอย่างผมท่ามกลางเสียงหัวเราะขันจากผู้คนรอบข้างซึ่งเฝ้ารับชมเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้น ดูท่าลูกน้องของเขาคงไม่เคยเห็นเจ้านายในมุมอับจนหนทางมากเท่าเวลานี้มาก่อน นี่ผมเผลอทำลายภาพลักษณ์ของเขาไปแล้วเหรอเนี่ย 

     

    หึ..ช่วยไม่ได้

    อยากหลอกให้ผมมาเป็นภรรยาเจ้าพ่อดีนักงั้นก็จงรับผลกรรมไปเถอะ 

    ปรสิตตัวนี้จะตามติดกลายเป็นหมอนข้างของเขาทั้งคืนเลยคอยดู

     

    “ว่าไงล่ะ ถ้านายไม่ยอมให้ฉันไปนอนด้วยเราก็คงต้องอยู่สภาพนี้ทั้งคืน”

    “นายคงชินกับการชวนใครต่อใครขึ้นเตียงแต่สำหรับฉันมันไม่ใช่ ห้องนอนคือพื้นที่ส่วนตัวจึงถือเป็นเขตหวงห้ามไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปอย่างเด็ดขาด”

    “ฉันเป็นคนนอกที่ไหนล่ะ อย่าลืมสิว่าตอนนี้เราสองคนไม่ใช่คนอื่นคนไกล ฉันมีตำแหน่งเป็นถึงภรรยาของเจ้าพ่อแล้วด้วยเพราะฉะนั้นภรรยามีสิทธิ์ขึ้นเตียงสามีทุกประการ”

    “ภรรยาแค่ในนามไม่มีสิทธิ์ถึงขนาดนั้น นายต้องเคารพกฎของฉันถ้าเราจะอยู่ด้วยกัน”

    “กฎอะไรที่นายมีก็ช่างเหอะฉันจะแหกมันให้หมดนั่นแหละ”

    “นายถูกเลี้ยงดูยังไงถึงได้โตมาดื้อแบบนี้ ฉันไม่เคยอนุญาตให้ใครหน้าไหนมาถืออภิสิทธิ์เหนือกว่า นายคิดว่านายเป็นใครกันถึงกล้าแหกกฎของฉัน..เซียวจ้าน”

    “ฉันน่ะเหรอ ฉันก็คือคนที่จะได้รับอภิสิทธิ์พิเศษจากนายเป็นคนแรกน่ะสิ..หวังอี้ป๋อ”

    “ไอ้ความมั่นใจไร้ขอบเขตของนายคงไม่มีประโยชน์ นายก็เป็นแค่ผู้อาศัยจะมีอภิสิทธิ์เหนือไปกว่าตำแหน่งผู้นำตระกูลอย่างฉันได้ยังไง”

    “ถึงจะเป็นผู้อาศัยแต่ฉันควบตำแหน่งเมียผู้นำตระกูลด้วยนะจะบอกให้ แค่ฉันถืออภิสิทธิ์ของเมียก็มีอำนาจเหนือกว่าสามีอยู่แล้ว จริงไหมทุกคน”

     

    ทันทีที่ผมโต้เถียงออกไปเหล่าลูกน้องของเขาก็พากันหัวเราะครืนโดยไม่ได้นัดหมาย ทุกคนพร้อมใจกันพยักหน้าเห็นด้วยเพราะเริ่มตระหนักถึงอำนาจเมียอย่างแท้จริง อี้ป๋อออกอาการหูแดงขึ้นมาดื้อๆเมื่อโดนผมสวนกลับโดยไม่ทันตั้งตัว

     

    “แค่นายเป็นเมียฉันก็ไม่ได้หมายความว่านายจะมีอภิสิทธิ์เหนือกว่านะ นี่มันยุคไหนแล้วไอ้ค่านิยมให้อำนาจเมียคอยควบคุมบงการสามีมันควรหมดไปสักที”

    “ชิชะ ริอาจเป็นพ่อบ้านใจกล้าตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าหองั้นเรอะนายน่ะ ฉันล่ะสงสารคนที่ต้องตกเป็นเมียนายในอนาคตจริงๆ ไม่รู้เราจะมัวเถียงกันเรื่องอำนาจใครเหนือกว่าใครไปทำไมให้เสียเวลา นายอย่าคิดเล็กคิดน้อยนักเลยน่า ฉันขอนอนกับนายแค่คืนเดียวเองรับรองว่าฉันไม่ปล้ำนายหรอก หลังจากคืนนี้ฉันสัญญาว่าจะกลับมาทำตามกฎและเชื่อฟังนายทุกอย่าง”

    “ปากก็เอ่ยคำสัญญาแต่นายชอบแอบไขว้นิ้วลับหลังฉันทุกที”แน่ะ..ยังจะตาไวอีกต่างหาก

    “แฮะๆ ครั้งนี้นายเชื่อใจฉันได้น่า ฉันไม่ผิดคำพูดหรอก”

    “.......”

    “นะนะ”ผมพยายามส่งเสียงอันหวานเจี๊ยบสุดชีวิตเพื่อใช้ออดอ้อนให้อีกฝ่ายใจอ่อน อี้ป๋อยังคงมองผมด้วยความระแวงจนผมต้องเพิ่มระดับน้ำตาลในประโยคให้มากขึ้นอีกนิด

    “…….”

    “เถอะนะคุณสามีขา..ให้เมียจ๋าไปนอนด้วยเหอะ เมียจ๋าสัญญาว่าคืนนี้จะปรนนิบัติสามีขาอย่างดี นะนะน้าาาา”

    “สะ..สามีขาอะไรของนาย เลิกกระซิบข้างหูได้แล้ว เสียงนายมีแต่จะทำให้ฉันยิ่งขนลุก”

    “ไอ้คุณสามีโรบอทจอมเย็นชา นายนี่มันตายด้านทางอารมณ์ซะจริงๆ ขอฉันนอนกับนายแค่คืนเดียวเตียงนายคงไม่สึกหรอขึ้นมาหรอก ทำไมฮะ หรืออันที่จริงเหตุผลที่นายพยายามปฏิเสธนักหนาก็เพราะนายแอบซ่อนหนังโป๊เอาไว้ใต้เตียงถึงไม่ยอมให้ฉันไปนอนด้วยน่ะ”

     

    อวี๋ปินออกอาการหน้าแดงเรื่อแทนเจ้านายตน รวมทั้งลูกน้องคนอื่นก็เริ่มจับกลุ่มซุบซิบนินทาพร้อมแสดงความคิดเห็นถึงข้อเท็จจริงในประโยคที่ผมกล่าวอ้างอย่างออกรส อี้ป๋อพยายามกดข่มอารมณ์ความโกรธเอาไว้ภายในไม่ให้ปะทุ สิงโตเจ้าป่าถูกพ่อเสือยามราตรีรุกฆาตเข้าให้แล้วไง ผมอมยิ้มซุกซนอย่างนึกสนุกพลางได้ทียั่วแหย่อีกคนต่อ

     

    “แหม..ที่แท้หัวหน้าตระกูลสิงโตอย่างหวังอี้ป๋อแสร้งทำเป็นเย็นชาไร้ความรู้สึกแต่นึกไม่ถึงเลยว่าลึกๆแล้วนายจะแอบเก็บซ่อนความลับเอาไว้ อะไรซ่อนอยู่ภายในห้องนอนของหนุ่มโสดอย่างนายกันน้า ว่าไงล่ะอี้ป๋อ ถ้านายไม่ยอมอนุญาตให้ฉันไปนอนด้วยคืนนี้จะถือซะว่านายยอมรับนะ”

    “ยอมรับอะไร”

    “ก็ยอมรับว่านายแอบซ่อนหนังโป๊เอาไว้ใต้เตียงเหมือนที่ฉันพูดจริงๆน่ะสิ อ๊ะๆ หรือมีอะไรที่เด็ดกว่านั้นแต่นายไม่อยากให้ฉันล่วงรู้ อย่างเช่น..”

    “.......”

    “ตุ๊กตายาง”

    “เซียวจ้าน!!”

    “ฮะฮ่า~”

     

    ผมอดขำกับมุกตลกของตัวเองไม่ได้เช่นเดียวกับลูกน้องของเขาที่พากันหัวเราะครืนอีกระลอก มันก็น่าคิดนี่นาเพราะชายหนุ่มเต็มวัยอย่างอี้ป๋อไม่เคยคบหากับใครจริงๆจังๆสักที ขึ้นชื่อว่าผู้ชายเมื่อถึงช่วงเวลากลัดมันแล้วยังไงซะก็ต้องหาหนทางปลดปล่อย หากเขาไม่คิดหาผู้หญิงมาขึ้นเตียงด้วยงั้นไม่แน่ว่าสิ่งที่ผมคิดอาจเป็นจริงก็ได้ใครจะรู้

     

    “สนุกกันพอหรือยัง ถ้าขำจนพอใจแล้วก็หุบปาก!!”

    “ชะอุ้ย!!”อวี๋ปินหุบยิ้มเกือบไม่ทันเมื่อเสียงเข้มเอ่ยขัดจังหวะการหัวเราะ เล่นเอาผมต้องเงียบเสียงตามไปด้วยเลยแฮะ

    “ส่วนนาย..”

    “หืออ”

    “นายนี่สมกับเป็นเซียวจ้าน แค่พลิกลิ้นไม่กี่ทีก็สามารถปั่นหัวผู้คนไปหมด ฉันขอบอกเอาไว้ตรงนี้ว่าฉันไม่เคยทำอะไรแบบที่นายกล่าวหา หมายถึงฉัน..เอ่อ..ไม่เคยซ่อนตุ๊กตายางเอาไว้ใต้เตียง”

    “อ้ออออ”

    “ไม่ต้องมาทำลากเสียงยียวนเลยนะตัวแสบ ลูกน้องทุกคนทำงานกับฉันมานานย่อมรู้ดีว่าความจริงเป็นยังไง พวกเขาไม่มีวันเชื่อลมปากของนายเพียงไม่กี่คำหรอก เลิกสร้างข่าวลือไร้สาระได้แล้ว”

    “ฉันก็แค่สงสัยเหมือนที่ทุกคนสงสัย นายยังหนุ่มยังแน่นแต่ไม่เคยคบหากับใครจริงๆจังๆสักที มันก็อดคิดไม่ได้นี่นาว่านายอาจมีแฟนเป็นตุ๊กตายางก็ได้ ถ้านายไม่ได้ซ่อนตุ๊กตายางไว้ใต้เตียงก็แค่บอกกันดีๆสิไม่เห็นต้องทำเป็นดุกลบเกลื่อนเลยนี่”

    “ฉันเหนื่อยที่จะต้องโต้เถียงกับคนอย่างนายเต็มทน เอาเป็นว่าฉันขอตัดปัญหาทุกอย่างซะ ในเมื่อนายยังยืนยันคำเดิมว่าจะไปนอนกับฉันให้ได้งั้นฉันจะอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ”

    “พูดจริงนะ ยะฮู้วววว!!”ผมโห่ร้องอย่างดีใจเมื่อได้รับชัยชนะ เหล่าสมุนของเขาที่เฝ้าเป็นกองเชียร์แบบลับๆต่างก็แอบพยักหน้าอย่างรู้กันว่าคืนนี้เจ้านายได้อุ่นเตียงแน่นอน อี้ป๋อเห็นท่าทีลูกน้องแล้วถึงกับถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย ดูเหมือนผมจะสามารถซื้อใจคนของเขาไปเกินกว่าครึ่งเรียบร้อย

    “อย่าเพิ่งดีใจ ถึงฉันจะอนุญาตให้นายไปนอนด้วยแต่ฉันมีข้อแม้นะ”

    “ข้อแม้อะไรอีกล่ะ”

    “ข้อหนึ่งห้ามซน”

     

    โอ้โหแฮะ

    แค่ข้อแรกก็ยากแล้ว

     

    “ข้อสองก็ห้ามซน”

    “.......”

    “ข้อสามก็ห้ามซนอยู่ดี”

    “…….”

    “ข้อสี่จนถึงข้อสิบให้ทวนกลับไปเหมือนข้อแรก ฉันขอแค่นี้นายทำได้ไหม”

    “หวังอี้ป๋อ นายคิดว่าฉันอายุกี่ขวบกัน ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะที่ต้องมีผู้ปกครองคอยสั่งห้ามไม่ให้เล่นซนไปทั่วน่ะ”

    “แต่ในสายตาฉันดูเหมือนนายยังโตไม่พอ ฉันยอมให้นายไปนอนด้วยก็เพื่อที่นายจะได้รู้สึกสบายใจมากขึ้น ทีนี้ถึงคราวที่นายต้องเป็นฝ่ายทำให้ฉันสบายใจคืนบ้าง”

    “แต่..”

    “ถ้าทำไม่ได้ก็ยกเลิก..”

    “อ๊ะๆ อนุญาตแล้วห้ามคืนคำสิ ฉันยอมรับปากนายก็ได้ว่าคืนนี้จะไม่ซน”แอบไขว้นิ้วในใจอีกรอบแล้วนะ

    “งั้นเป็นอันตกลงตามนี้ จบเรื่องแล้วเชิญทุกคนแยกย้าย”อี้ป๋อออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดและเมื่อลูกน้องของเขาต่างแยกย้ายกันไปจนหมด ภายในห้องโถงกลางจึงเหลือเพียงแค่คู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันเท่านั้น ผมฉวยโอกาสนี้ปีนขึ้นมาขี่บนหลังของเขาอีกรอบซะเลย

    “นายจะทำอะไร ฉันว่านายควรเลิกเกาะติดฉันสักทีไม่งั้นเดี๋ยวจะได้กลายเป็นปรสิตเข้าจริงๆหรอก”

    “เมื่อกี้นายอาสาแบกฉันลงมาจากเขาได้ตั้งนานสองนาน งั้นก็ช่วยทำหน้าที่สามีของปรสิตตัวนี้ไปให้ตลอดรอดฝั่งสิ”

     

    ดูท่าผมจะเริ่มชอบเป็นฝ่ายออกคำสั่งซะแล้วแฮะ

    อันที่จริงตำแหน่งเมียเจ้าพ่อก็ไม่ได้เลวร้ายนี่นา

     

    “เซียวจ้าน นายช่างกล้าเรียกฉันว่าสามีได้เต็มปาก ดูเหมือนนายคงจะหลงลืมไปว่าก่อนหน้านี้ใครกันที่เคยพยายามหนีจากการเป็นเมียเจ้าพ่อ”

    “ก็ตอนนั้นฉันยังมองไม่เห็นประโยชน์ที่จะได้รับแต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าการได้เป็นเมียเจ้าพ่อมันดีแค่ไหน ถ้านายอยากรักษาฉันเอาไว้ข้างกายนานๆก็จงทำดีกับฉันให้มากๆล่ะ อย่าได้ริอาจทำตัวเป็นพ่อบ้านใจกล้าเลยนะคุณสามี เพราะฉันน่ะสามารถคิดแผนหลบหนีนายในทุกลมหายใจเข้าออกตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”

    “นายนี่มัน..”

     

    ภรรยาตัวแสบ!!

    วางอำนาจตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าหอ!!

    คืนแรกยังเหนื่อยขนาดนี้แล้วคืนต่อไปจะรับมือไหวได้ยังไงกัน

     

    “กลับห้องกันเถอะสามีขา~ แบกภรรยาไปสิเร็วๆเข้า ร่างกายเมียจ๋าต้องการเตียงนุ่มๆจะแย่แล้วน้า~”

     

    กรอด!!

     

    อี้ป๋อได้แต่กัดฟันอยู่ในใจเพราะถึงยังไงแผนหลอกให้อีกคนพยายามเรียกร้องขอเข้าห้องนอนของเขาก็เป็นสิ่งที่ถูกวางไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ร่างสูงพาคนบนหลังมุ่งตรงไปยังจุดหมายพลางครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่างเงียบๆคนเดียว ไม่เคยมีใครชวนเขาต่อปากต่อคำและทำให้เขารู้สึกสนุกเช่นนี้มาก่อนราวกับว่าในที่สุดก็ได้เจอคู่ปรับที่เหมาะสมกับตัวเองสักที แม้เจ้าปรสิตตัวแสบอาจจะรับมือยากไปบ้างแต่เขาก็ยินดีที่จะคอยคิดค้นหาหนทางปราบพยศเจ้าปรสิตจอมซนเพื่อไม่ให้อีกคนหนีหายไปไหน ปรสิตตัวนี้จะต้องคอยเกาะติดอยู่ข้างกายเขาไปอีกนานนั่นแหละ

     

    แค่ถืออภิสิทธิ์ของเมียไม่ได้ทำให้อำนาจเหนือกว่าเขาสักหน่อย

    แต่เป็นเพราะสามีอย่างเขายินยอมจะตกอยู่ภายใต้อำนาจนั้นด้วยความเต็มใจต่างหากล่ะ

     

     

     

     

     

    หลังจากอี้ป๋อพาผมผ่านโถงทางเดินจนกระทั่งเข้าสู่อาณาเขตพื้นที่ส่วนตัวของเขาผมก็เริ่มออกอาการตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้นขึ้นมา ผมเกือบลืมชื่นชมคนออกแบบคฤหาสน์หลังนี้ไปซะสนิท(ก็แหงสิก่อนหน้านี้ดันมัวคิดแต่แผนหลบหนีนี่นา) ทุกย่างก้าวที่เคลื่อนผ่านรู้สึกราวกับเดินหลงอยู่ในธรรมชาติเพราะผนังรอบด้านนั้นถูกย้อมไปด้วยสีน้ำตาลอ่อนเปรียบดั่งสีของพื้นดินตัดสลับกับสีเขียวจากเหล่าต้นไม้พันธุ์หายากวางเรียงรายตามสองข้างทาง การตกแต่งโดยรอบยังคงคุมโทนสีเดียวกันทั้งหลังแถมยังมีกลิ่นอายสไตล์โมร็อคโคปะปนจึงให้ความรู้สึกหรูหราแต่แฝงด้วยความสงบเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจริงๆ โถงทางเดินกว้างขวางใหญ่โตนี่คงเพราะคฤหาสน์ถูกออกแบบเพื่อรองรับสิงโตเจ้าป่าทั้งสองตัวอย่างเลอากับธีออนให้เดินเล่นไปมาสะดวก อี้ป๋ออาจจะชื่นชอบให้บ้านของเขาดูกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเลยตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ซึ่งทำมาจากไม้จริงซะเป็นส่วนใหญ่ การจัดสรรพื้นที่รอบด้านก็เน้นใช้งานมากกว่าจะประดับประดาของตกแต่งให้รกไปเรื่อยเปื่อย ผมว่าการตกแต่งที่เรียบง่ายไม่หวือหวานี่แหละช่างเหมาะสมจะเป็นบ้านของโรบอทอย่างหวังอี้ป๋อจริงๆ

     

    กึก

     

    ร่างสูงพาผมมาหยุดอยู่หลังประตูบานหนึ่งก่อนจะทำการถอนหายใจเล็กน้อยจากนั้นจึงเริ่มเปิดมันออกเผยให้เห็นโลกส่วนตัวของเขาซึ่งถูกซ่อนอยู่หลังประตูบานนั้น ผมค่อนข้างแปลกใจที่ห้องด้านในช่างดูคับแคบกว่าด้านนอกราวกับผมกำลังเข้ามาอยู่ในห้องพักของโรงแรมมากกว่า

     

    นี่เสมือนเป็นบ้านเล็กๆหลังที่สองของเขาซึ่งถูกเก็บซ่อนเอาไว้ภายใต้คฤหาสน์หลังโต

    ช่างต่างจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงแถมการตกแต่งด้านในก็ยังมีแค่ผนังสีขาวราบเรียบเรียกได้ว่าจืดชืดสนิท

     

    ผมค่อยๆไต่ลงจากตัวของเขาเพื่อมายืนอยู่บนพื้นในระนาบเดียวกันก่อนจะสำรวจรอบห้องพลางทำคิ้วขมวด พ้นบานประตูไปแล้วผมได้เจอกับห้องโถงกลางขนาดย่อมโดยจัดสรรพื้นที่แบบกะทัดรัดให้เหมาะสมกับคนเพียงคนเดียวอาศัยอยู่เท่านั้น ภายในห้องโถงกลางไม่ได้ถูกตกแต่งอะไรมากนักนอกจากชั้นวางหนังสือกับชั้นวางงานอดิเรกทั้งหลายที่เขาชอบ ผมเหลือบมองด้านซ้ายจะนำพาไปสู่ห้องนอนส่วนด้านขวาจะนำพาไปสู่ห้องแต่งตัวพ่วงด้วยห้องอาบน้ำซึ่งไม่ได้กว้างขวางอะไรสักเท่าไหร่ ประตูฉลุลายอีกบานตรงหน้าก็เป็นเพียงระเบียงเอาไว้ชมทิวทัศน์หุบเขาด้านนอกเท่านั้น แม้กระทั่งอุปกรณ์เทคโนโลยีอย่างเช่นโทรทัศน์กลับไม่ได้ถูกติดตั้งไว้ที่นี่ ผนังรอบด้านเป็นสีขาวจนทำให้ห้องส่องสว่างแต่กลับไร้ชีวิตชีวาชอบกล ผมเดินวนไปมาแค่ไม่ถึงสิบก้าวก็สำรวจรอบห้องของเขาจนเสร็จเรียบร้อย ช่างให้ความรู้สึกเหมือนแค่หลงเข้ามาอยู่ในห้องพักของโรงแรมเล็กๆตามข้างทางแทบไม่เหลืออะไรให้ทำนอกจากยืนหายใจเล่นฆ่าเวลา ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมกันนะห้องนอนของเจ้าพ่อถึงได้ต่างจากคฤหาสน์ภายนอกอย่างสิ้นเชิงจึงเลือกโพล่งถามอีกคนออกไปตรงๆแทนที่จะเก็บงำความสงสัยเอาไว้กับตัวให้ปวดหัว

     

    “อี้ป๋อ ทำไมห้องนอนของนายช่างคับแคบแล้วก็ดูจืดชืดนักล่ะ ฉันแทบไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คืออาณาเขตลับของเจ้าพ่อตระกูลสิงโตผู้ยิ่งใหญ่”

    “ฉันตกแต่งคฤหาสน์ภายนอกให้เลอากับธีออนอยู่ไปแล้ว นี่เป็นห้องนอนส่วนตัวของฉันที่มีไว้เพื่ออาศัยอยู่แค่คนเดียวไม่ได้เอาไว้อวดใครก็เลยไม่มีความจำเป็นต้องตกแต่งอะไรเพิ่มเติมอีก ฉันไม่ชอบใช้พื้นที่เปลืองและก็ไม่ชอบห้องที่แต่งแต้มสีสันมากจนเกินไปนัก” 

    “โอ้โหแฮะ เพิ่งรู้ว่าสามีของฉันเป็นพวกชอบสไตล์มินิมอล นี่เหรอคือความลับที่นายพยายามปกปิดไม่ให้ฉันรู้ ทีแรกฉันก็นึกว่านายจะแอบซ่อนฮาเร็มตุ๊กตายางเจ็ดวันเจ็ดสีเจ็ดตัวไว้ในนี้ซะอีก เอาเข้าจริงไม่ต้องถึงเจ็ดตัวหรอกเพราะแค่เราสองคนยืนหายใจรดกันไม่กี่ทีฉันก็เริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาแล้วเนี่ย”

    “ผิดหวังหรือไงที่รู้ว่าห้องนอนของฉันไม่ได้ดูหรูหราเหมือนคฤหาสน์ภายนอกอย่างที่นายคิดไว้ ฉันไม่เคยบังคับให้นายเข้ามาในเขตพื้นที่ส่วนตัวแต่นายเป็นคนขอนอนกับฉันเองนะ ถ้าหากรู้สึกอึดอัดนักจนทนไม่ไหวก็กลับไปนอนที่ห้องของนายสิเซียวจ้าน เรื่องแค่นี้ไม่เห็นยาก ฉันจะได้ถอดด้ายแดงระหว่างเราเดี๋ยวนี้เลย”

    “อ๊ะ!! เรื่องอะไรจะถอดล่ะ!! ฉันไม่อยากเจอบรรพบุรุษของนายตอนดึกๆนี่นา คืนนี้อยู่ด้วยกันเหอะน้า”

    “ถ้าอยากอยู่กับฉันงั้นก็เลิกบ่นได้แล้ว”

    “ฉันไม่ได้บ่นสักหน่อยแค่สงสัยก็เลยถามต่างหากเล่า นายนี่มีรสนิยมที่แปลกประหลาด เคยคิดบ้างไหมว่าตัวเองอาจเป็นพวกโรคกลัวที่กว้างอะไรทำนองนั้นเพราะห้องนอนของนายมันดูแค๊บแคบกว่าปกติ”ผมทำทีเอามือวัดขนาดพื้นที่รอบห้องขณะเอ่ยถามไปด้วย คราวนี้ดูเหมือนอี้ป๋อจะเริ่มหน่ายใจขึ้นมากับความขี้สงสัยของผมจึงเลือกใช้น้ำเสียงดุเล็กน้อยในการตอบกลับ

    “แล้วนายมีปัญหาอะไรกับการเป็นอยู่ของฉันนักจนพาลมากล่าวหาว่าฉันเป็นโรคอีกต่างหาก”

    “ฉันไม่ได้มีปัญหาก็บอกแล้วไงว่าแค่สงสัยน่ะ”

    “หากนายอยากรู้เหตุผลจริงๆล่ะก็ฉันจะบอกให้รู้ไว้ ทำไมฉันถึงสร้างให้ห้องส่วนตัวมีขนาดคับแคบกว่าปกตินั่นเพราะฉันไม่ชอบห้องที่ดูกว้างขวางเหมือนกับคนอื่น”

    “กว้างแล้วมันไม่ดียังไงล่ะ นายไม่ชอบความสะดวกสบายเหรอ งั้นรสนิยมของนายก็ยิ่งแปลกมาก”

    “เพราะมันกว้างเกินไปน่ะสิ”

    “.......”

    “มันกว้างเกินไป..เกินกว่าที่จะอยู่คนเดียว”

    “.......”

    “นายรู้ไหมว่าการต้องใช้ชีวิตอยู่กับอากาศอันว่างเปล่ามาตั้งแต่เด็กมันรู้สึกยังไง ฉันเฝ้ามองดูคฤหาสน์อันโอ่อ่ากว้างขวางแต่กลับไร้ซึ่งผู้คนวันแล้ววันเล่าจนกระทั่งโตขึ้น แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่จะสร้างพื้นที่เหล่านั้นไว้จริงไหม สู้สร้างห้องให้กำแพงแคบเข้ามาอีกนิดเพื่อลดความว่างเปล่านั้นลงคงจะดีซะกว่า ในสายตานายคงมองว่าพื้นที่ส่วนตัวของฉันนั้นแสนอึดอัดแต่สำหรับฉันที่แห่งนี้เปรียบเสมือนเซฟโซนเพียงหนึ่งเดียวที่ฉันมี”

    “อี้ป๋อ..คือฉัน..”

    “สถานที่อันแสนคับแคบแห่งนี้แหละที่ฉันยังคงนิยามมันว่าบ้าน บ้านที่มีฉันเป็นผู้อาศัยเพียงคนเดียว แม้จนถึงขณะนี้ในทุกครั้งในทุกตารางนิ้วที่ฉันก้าวผ่านมันยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกที่กว้างเกินไปเสมอ ช่องว่างนั้นไม่เคยลดน้อยลงเลย ฉันเป็นเจ้าของบ้านที่ได้แต่ครอบครองพื้นที่อันโดดเดี่ยวเรื่อยมา ไม่มีใครเข้าใจตัวฉันจริงๆสักคน การที่ฉันกลายเป็นแบบนี้มันดูแปลกมากนักเหรอในสายตาของนาย..เซียวจ้าน”

     

    ผมยืนชะงักงันชั่วขณะหลังจากได้มองเห็นนัยน์ตาอันเย็นชาตรงหน้าแฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อยยามเอ่ยถึงเรื่องราวที่เก็บซ่อนอยู่ภายใน นี่อาจเป็นครั้งแรกที่อี้ป๋อยอมพูดเปิดอกกับผมโดยตรงเพื่อหวังให้ผมเข้าใจตัวตนข้างในของเขาอย่างแท้จริง พอลองกวาดสายตาสำรวจรอบกายอีกครั้งผมจึงเริ่มเข้าใจสิ่งที่ตัวเขารู้สึก หากผมต้องอาศัยอยู่ตัวคนเดียวในคฤหาสน์หลังโตที่มองไปทางไหนก็พบเจอเพียงแค่ความว่างเปล่าผมคงรู้สึกทั้งเหงาทั้งเดียวดาย แม้จะสร้างกำแพงให้แคบลงมาแต่ก็ไม่อาจลดช่องว่างที่ก่อเกิดขึ้นในใจดวงนั้น ผมคุ้นชินกับการใช้ชีวิตอิสระในต่างแดนเป็นร้อยเป็นพันแห่งแต่น่าแปลกที่ผมเองยังไม่เคยพบเจอสถานที่ไหนเหมาะจะนิยามมันว่าบ้านเหมือนที่อี้ป๋อทำเลยสักครั้ง สำหรับเขาคำว่าบ้านคงอยู่ที่ความรู้สึกมากกว่าขนาดพื้นที่เพราะหากพอใจแล้วไม่ว่าพื้นที่นั้นจะใหญ่หรือเล็กก็ไม่สำคัญ บางทีคนที่แปลกที่สุดอาจไม่ใช่ตัวเขาแต่กลายเป็นตัวผมเองซะมากกว่า 

     

    “นายไม่ได้ดูแปลกหรอกอี้ป๋อ ฉันขอโทษที่พูดโดยไม่ทันคิด ฉันไม่รู้ว่านายต้องเติบโตมาท่ามกลางความโดดเดี่ยวมากมายแค่ไหน จากนี้ไปฉันจะพยายามเข้าใจตัวตนของนายให้มากขึ้นนะ ขอสัญญาด้วยเกียรติของลูกเสือสามัญ”

    “อย่าสัญญาหากนายไม่คิดจะอยู่เคียงข้างฉันตลอดไป พวกเรามีความสัมพันธ์ต่อกันเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น”

    “ถึงจะเป็นเวลาชั่วคราวแต่มันก็มีค่านะ”

    “.......”

    “ฉันไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้อะไรจะมาถึงแต่อย่างน้อยตราบใดที่ฉันยังมีโอกาสได้อยู่เคียงข้างนาย ฉันขอสัญญาจริงๆว่าจะไม่ทิ้งให้นายต้องอยู่ตามลำพังเหมือนที่ผ่านมา ในสายตาของนายฉันอาจดูเป็นตัวแสบจอมซนก่อเรื่องไม่เว้นวันแต่ฉันจะแสดงให้นายเห็นว่าตัวแสบอย่างฉันสามารถทำอะไรเพื่อคนอื่นได้บ้าง”

    “ตัวแสบอย่างนายน่ะเหรอ..”

    “นายเคยขอให้ฉันเชื่อใจนายไปแล้ว ครั้งนี้ฉันจะขอให้นายเชื่อใจฉันเช่นกัน”

    “…….”

    “นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะอี้ป๋อ นายยังมีผู้คนที่อยู่ใต้บัญชาเป็นกองทัพ นายยังมีเลอากับธีออนผู้เปรียบเสมือนครอบครัวของนายด้วย และที่สำคัญสุด..”

    “.......”

    “นายยังมีฉันอยู่ตรงนี้ทั้งคน ฉันจะเข้ามาทำให้โลกส่วนตัวของนายกลายเป็นพื้นที่ที่ถูกเติมเต็มไปด้วยคำว่าเรา”

    “เซียวจ้าน..”

    “เพราะฉะนั้นฉันขอเป็นเซฟโซนอีกแห่งของนายได้ไหม ขอให้ทุกช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันนับจากนี้เปรียบเสมือนบ้านอีกหลังและเป็นพื้นที่ที่นายสามารถพักใจได้ทุกเวลายามเหนื่อยล้า”

     

    อี้ป๋อจ้องมองบุคคลผู้เป็นเจ้าของรอยยิ้มสดใสด้วยความรู้สึกมากมายไหลวนอยู่ในหัว แรกเริ่มเขาหวาดกลัวที่จะเปิดเผยทุกสิ่งเพราะไม่อยากให้อีกคนมองเขาเป็นคนประหลาดและเลือกเดินออกไปจากโลกส่วนตัวที่เขาสร้างขึ้น หากทว่าเรื่องราวกลับไม่ได้เป็นดังเช่นที่เขาเคยนึกหวาดหวั่น ข้อมือบางยกขึ้นเพื่อรอให้เขาเกี่ยวก้อยทำสัญญาซึ่งกันและกัน นัยน์ตาคมจดจ้องการกระทำนั้นแน่นิ่งชั่วขณะก่อนจะตัดสินใจยกนิ้วก้อยไปเกี่ยวเพื่อตอบรับคำ

     

    นานมากแล้วที่หัวใจดวงนี้ถูกแช่แข็งและถูกทิ้งให้เผชิญกับความหนาวเหน็บเพียงลำพัง

    ดูเหมือนเขากำลังได้เจอผู้ที่จะเข้ามาช่วยละลายหัวใจดวงนี้ให้กลับมามีความรู้สึกเฉกเช่นมนุษย์ผู้อื่นสักที

     

    “เป็นอันว่าตกลงนะ จากนี้ไปเราจะเป็นเซฟโซนของกันและกัน”

    “อืม”

     

    ก็คงใช่

    เราจะกลายเป็นของกันและกัน

     

    ผมส่งยิ้มซุกซนแบบที่ชอบทำประจำพร้อมทั้งเกี่ยวกระชับนิ้วก้อยให้แน่นขึ้นอีกโดยไม่รู้ว่าแววตาเย็นชาคู่นั้นแฝงความคิดสิ่งใดในหัว อี้ป๋อเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา เขาจัดการฉุดข้อมือเล็กไปอีกทางโดยไม่ปล่อยโอกาสให้ผมได้ทันตั้งตัว

     

    “อ๊ะ!! นายจะพาฉันไปไหน”

    “ฉันอยากให้นายดูอะไรบางอย่าง”

    “หืมม อะไรเหรอ”

    “สมบัติของแม่ฉัน”

     

    กึก

     

    อี้ป๋อขยับกลไกบนชั้นวางหนังสือจนกระทั่งมันเริ่มทำงานและไม่นานนักมันก็ค่อยๆเลื่อนออกเผยให้เห็นห้องลับซึ่งถูกซ่อนอยู่ทางด้านหลังของกำแพง ผมตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้นราวกับโดนอีกคนพามาเล่นเกมหาสมบัติยังไงอย่างงั้น ร่างสูงเขยิบตัวบังวิสัยทัศน์ของผมไว้เล็กน้อยก่อนจะกดรหัสผ่านเพื่อเปิดห้องลับนั้นทำเอาผมต้องแอบใช้กำปั้นทุบหลังไปหนึ่งทีโทษฐานที่ไม่เชื่อใจกัน เขาไม่ได้ร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวดแต่กลับรู้สึกชอบใจซะอีกแน่ะที่ได้ยั่วแหย่ให้ผมมีน้ำโหจึงเอาแต่ระเบิดหัวเราะไม่หยุด นิ้วเรียวยกขึ้นมาจี้จุดกลางหน้าผากพร้อมเอ่ยประโยคหนึ่งเพื่อให้ผมคลายปมคิ้วอันยับย่น

     

    “ถ้าทำหน้าที่ภรรยาจนฉันพอใจเมื่อไหร่ สักวันฉันจะมอบรหัสผ่านให้เอง เพราะฉะนั้นจากนี้ก็ทำตัวดีๆล่ะ”

    “แบร่!!”

     

    ผมแกล้งแลบลิ้นใส่เขาไปหนึ่งทีอย่างไม่คิดจริงจังอะไรมากนักเพราะเราสองคนก็เพียงเล่นบทสามีภรรยาแค่ในนาม เขาไม่จำเป็นต้องเปิดเผยความลับประจำตระกูลอะไรทำนองนั้นให้ผมรู้หรอกยังไงผมก็ไม่สนใจอยู่ดีนั่นแหละ

     

    แต่ถ้าเขาซ่อนคลังลับเกี่ยวกับหนังอิโรติกเน้นท่ายากแบบลิมิเต็ดอิดิชั่นก็ค่อยว่ากันอีกที

    ผมจะแบมือขอรหัสผ่านคนแรกเลยคอยดู

     

    เมื่อประตูตรงหน้าเปิดออกอี้ป๋อก็ก้าวเท้ายาวๆของตัวเองเพื่อนำทางผมเข้ามายังห้องลับด้านใน แม้จะได้ชื่อว่าเป็นห้องลับของเจ้าพ่อตระกูลสิงโตผู้ยิ่งใหญ่แต่การตกแต่งก็ไม่ได้ถือว่าหรูหราอะไรมากนัก มันเป็นเพียงแค่ห้องเล็กๆห้องหนึ่งประกอบไปด้วยตู้กระจกซึ่งด้านในเก็บซ่อนเอกสารสำคัญต่างๆเอาไว้จำนวนมากและทุกตู้จะมีรหัสผ่านป้องกันเอาไว้เสมอ นอกจากเอกสารแล้วก็ยังมีเหล่าเพชรพลอยกับรูปปั้นทองคำส่องประกายระยิบระยับชวนมอง ผมกะด้วยสายตาคร่าวๆสมบัติในห้องลับจะต้องมีมูลค่ารวมกันไม่ต่ำกว่าสิบล้านหรือเผลอๆมูลค่าของมันอาจมากพอที่จะซื้อคฤหาสน์นี้ได้ทั้งหลัง 

     

    ไม่ควรดูถูกห้องรูหนูของเขาเลยแฮะ

    เพราะถึงแม้ภายนอกดูแสนธรรมดาแต่กลับซุกซ่อนทรัพย์สมบัติอันมีมูลค่ามหาศาลไว้ภายใน

    คิดไม่ผิดจริงๆที่ยอมตบแต่งเข้าตระกูลของเจ้าพ่อสิงโต

     

    ระหว่างที่ผมใช้สายตาสำรวจข้าวของรอบตัวไปเรื่อยเปื่อยราวกับอะลาดินกำลังเที่ยวเล่นในถ้ำวิเศษ สายตาเจ้ากรรมก็ดันเกิดไปสะดุดเข้ากับสร้อยเส้นหนึ่งที่จัดวางแสดงตรงชั้นบนสุดพอดี สร้อยเส้นนั้นลักษณะราบเรียบมีจี้รูปหัวใจสีเงินห้อยอยู่และประดับไปด้วยอัญมณีสีเขียวมรกตเม็ดเล็กวางตรงใจกลาง อัญมณีสีมรกตอันน่าหลงใหลค่อยๆเรืองแสงประกายออกมาเป็นวงกว้างแม้จะอยู่ในที่มืดมิด อี้ป๋อเห็นผมตกตะลึงกับความสวยงามของมันก็เผลอยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยก่อนจะจัดการนำเจ้าสร้อยเรืองแสงออกจากตู้ให้ผมรับชมแบบใกล้ชิด ยังไม่ทันได้เอ่ยถามเขาสักคำข้อมือหนาก็รีบจัดแจงสวมสร้อยเส้นนั้นให้กับตัวผมทันที

     

    “นี่มัน..”

    “สวยไหม”

    “อะไรที่เอาไปขายได้ก็สวยหมดนั่นแหละในสายตาฉัน”

    “สมองนายคิดเป็นแต่เรื่องกวนประสาทฉันหรือไง”

    “แฮะๆ ฉันแค่ล้อเล่นน่า”

    “นายยังไม่ได้ตอบฉันเลย สรุปว่าสร้อยที่ฉันใส่ให้มันสวยหรือเปล่า”

    “สวยสิ..ว่าแต่นายเอามาใส่ให้ฉันทำไม ของรับขวัญเมียจ๋าในคืนเข้าหอเหรอคุณสามี”ผมอดที่จะหยอดมุกใส่อีกคนไม่ได้แต่แทนที่อี้ป๋อจะแกล้งผมกลับเขาดันหันมาทำสีหน้าพร้อมทั้งน้ำเสียงจริงจังซะอย่างงั้น

    “เซียวจ้าน” 

    “นายเป็นอะไรทำไมดูจริงจังชอบกล”

    “ลองนึกดีๆสิ อัญมณีที่อยู่บนสร้อยเส้นนี้มีลักษณะพิเศษ นายพอคุ้นลักษณะของมันบ้างไหม”

    “หืมม..นี่น่ะเหรอ อัญมณีสีมรกตแถมยังเรืองแสงได้ในที่มืด เหมือนคำบอกเล่าที่ได้ยินมาเลยนี่นา”

    “.......”

    “หรือว่านี่จะเป็น..อัญมณีธีร์อานาเหรอ”

     

    ผมก้มลงมองสร้อยที่อยู่บนคอตัวเองพร้อมใช้ปลายนิ้วลูบไล้สัมผัสเบาๆอย่างคาดไม่ถึง ไม่ใช่เพราะได้พบเจอกับอัญมณีชนิดหายากแบบกะทันหันแต่เป็นเพราะอี้ป๋อยอมนำสมบัติลับซึ่งเป็นของส่วนตัวมาให้คนนอกอย่างผมต่างหาก ราวกับว่าเขาอยากแบ่งปันความลับให้ผมรู้แม้ว่าตัวผมจะเป็นภรรยาแค่ในนามก็ตาม

     

    “สิ่งที่นายคิดนั้นถูกแล้ว นี่คือสมบัติของแม่ฉัน สร้อยที่ทำมาจากอัญมณีธีร์อานา อัญมณีที่ผู้คนเล่าขานกันว่าหากใครพบเจอจะได้รับความโชคดี ฉันไม่คิดเลยว่านายจะมีโชคชะตาเชื่อมโยงกับแม่ของฉัน”

    “นายหมายถึงอะไรน่ะ”

    “รู้ไหมว่าตอนที่แม่ของฉันร่วมพิธีสาบานตนเพื่อเข้าเป็นคนในตระกูล แม่ก็ได้ค้นพบแสงของธีร์อานาเหมือนนายไม่มีผิด หลังจากวันนั้นพ่อจึงสั่งให้คนไปที่ภูเขาและเริ่มตามหาอัญมณีแห่งความโชคดี พวกเขาใช้เวลาเกือบสามเดือนในที่สุดก็สามารถพบอัญมณีที่ต้องการ ด้วยความเชื่อว่ามันจะนำพาซึ่งความโชคดีมาให้พ่อก็เลยไม่นำไปขายแต่เลือกที่จะเก็บมันไว้แทน พ่อสั่งคนเจียระไนอัญมณีธีร์อานาชิ้นที่ถูกค้นพบให้กลายเป็นเครื่องประดับชิ้นหนึ่งก่อนจะส่งมอบสิ่งวิเศษซึ่งเปรียบเสมือนของขวัญแทนใจให้แม่เก็บไว้ ใช้เวลาไม่นานความโชคดีตามตำนานก็เดินทางมาถึงคนทั้งคู่เพราะท่านได้ให้กำเนิดลูกชายที่จะกลายเป็นผู้สืบทอดสายเลือดคนต่อไป”

    “ความโชคดีนั้น..ลูกชายที่หมายถึงก็คือนายสินะ หวังอี้ป๋อ”

    “พวกท่านเชื่อว่าตัวฉันคือความโชคดีแต่ทว่าความโชคดีก็ไม่ได้คงอยู่กับครอบครัวเรานานนักหรอก หลังจากฉันสูญเสียแม่ไปสร้อยเส้นนี้ก็ถูกส่งต่อให้ฉันเป็นผู้ดูแลแทน พ่ออยากให้ฉันเก็บธีร์อานาเอาไว้เพื่อรอเวลาเมื่อวันหนึ่งมาถึงฉันจะได้มีโอกาสส่งมอบมันให้กับใครสักคนที่คู่ควร เหมือนเช่นที่พ่อเคยมอบมันให้กับแม่ เหมือนเช่นที่ครั้งหนึ่งนักรบผู้องอาจเคยมอบมันให้กับองค์หญิงที่เขารัก พ่อหวังให้ฉันมีความรักสุขสมหวังและยืนยาวกว่าตัวท่าน”

    “งั้นนี่คือเหตุผลที่นายมอบสร้อยเส้นนี้ให้กับฉันเหรอ นายเชื่อว่าธีร์อานาเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความโชคดีแล้วก็ความรักที่มั่นคงตามตำนาน นายมอบสร้อยให้กับฉันเพราะตอนนี้ฉันมีสถานะเป็นภรรยาของนายใช่ไหม 

    “หรือว่านายไม่อยากได้”

    “ยิ่งฉันรู้ว่ามันเคยเป็นสมบัติของแม่นายมาก่อนฉันจะกล้ารับไว้ได้ยังไงล่ะ อย่าลืมสิว่าพวกเราสองคนประทับตราพันธะด้วยความจำเป็นบางอย่าง เราไม่ใช่สามีภรรยากันจริงๆสักหน่อย เพราะอะไรผู้คนที่นี่ถึงเชื่อเรื่องเล่าขานของเมืองชิรัณย์กันนัก”

    “เพราะพวกเขาเชื่อว่านักรบที่เคยปกป้องเมืองชิรัณย์เอาไว้ในอดีตนั้นมีอยู่จริงไม่ใช่แค่เพียงเรื่องเล่าจากลมปาก ใครได้พบกับธีร์อานาจึงเปรียบเสมือนได้รับพรอันยิ่งใหญ่ ตามตำนานกล่าวว่านักรบหนุ่มผู้องอาจเคยถูกกษัตริย์กีดกันความรักและถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ขโมยสมบัติของพระองค์ นักรบหนุ่มจึงได้วางแผนพาองค์หญิงที่ตนรักหนีไปพร้อมกัน ว่ากันว่าพวกเขาหลบไปซ่อนยังหุบเขาอันไกลโพ้นโดยแอบนำอัญมณีของกษัตริย์ชิ้นหนึ่งเก็บเอาไว้กับตัว เมื่อคนทั้งคู่ใช้ชีวิตครองรักกันจนสิ้นอายุขัย อัญมณีชิ้นนั้นที่ซ่อนอยู่ภายใต้หุบเขากลับเปล่งแสงประกายออกมาปกคลุมไปทั่วบริเวณก่อกำเนิดเป็นแร่ธีร์อานาสีมรกต วิญญาณนักรบหนุ่มคอยทำหน้าที่ดลบันดาลมอบพรวิเศษให้ผู้ใดก็ตามที่ค้นพบอัญมณีชิ้นนั้น นักรบหนุ่มจะส่งมอบความโชคดีหรือหากเอ่ยขอเรื่องความรักเขาก็จะมอบรักที่มั่นคงยืนยาวให้แก่ผู้พบเจอเพราะไม่อยากให้ใครต้องมีโชคชะตาซ้ำรอยตัวเขาอีก นับจากที่พรวิเศษถือกำเนิดผู้คนจึงยึดมั่นในตำนานรักระหว่างนักรบหนุ่มกับองค์หญิงเรื่อยมา ธีร์อานาเปรียบดั่งสัญลักษณ์วิเศษและนายก็คือผู้ถูกเลือกให้ได้รับพรของนักรบเหมือนกับแม่ของฉัน”

    “ผู้ถูกเลือกอะไรกันล่ะ มันอาจจะแค่บังเอิญก็ได้”

    “เซียวจ้าน..ฉันคิดว่านายคือคนพิเศษนะ”

    “.......”

    “ตอนที่ฉันรู้ว่านายมีโชคชะตาเชื่อมโยงกับแม่ของฉัน มันมีความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้นในช่วงเสี้ยววินาทีนั้น”

    “ความรู้สึกอะไร”

    “ความรู้สึกที่ว่า..นายอาจจะเป็นคนที่แม่ฉันส่งมาให้ นายอาจจะเป็นคนที่มีความหมายพิเศษมากกว่าแค่พบเจอกันชั่วคราว พอฉันคิดแบบนั้นมันเลยทำให้ฉันเริ่มไม่แน่ใจ”

    “.......”

    “ฉันไม่แน่ใจว่าเมื่อถึงเวลาจริงๆฉันจะสามารถปล่อยให้นายเดินจากไปโดยไม่ฉุดรั้งนายเอาไว้ได้หรือเปล่า”

     

    เราทั้งคู่ช้อนสายตาสบกันท่ามกลางความเงียบงันที่เกิดขึ้นรอบกาย ผมไม่รู้มาก่อนว่าแม่ของเขาก็เคยค้นพบธีร์อานาเหมือนที่ผมค้นพบในพิธีสาบานตนวันนี้ สาเหตุหลักที่อี้ป๋อชะงักงันไปชั่วขณะระหว่างพิธีคงเพราะเขาเชื่อเต็มร้อยว่าผมอาจเป็นคนที่มีโชคชะตาเชื่อมโยงกับแม่ของเขาไม่ใช่เพียงเหตุบังเอิญ แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นเพียงคู่สามีภรรยาจอมปลอม เราสองคนประทับตราพันธะด้วยจุดประสงค์บางอย่างซึ่งไม่ได้เกิดจากความรัก เขาไม่ควรมอบสิ่งของวิเศษชิ้นนี้ให้กับคนอย่างผมเพราะผมคิดว่าตัวเองนั้นยังไม่ใช่คนที่คู่ควร

     

    “อี้ป๋อ นายเชื่อว่าฉันเป็นคนที่แม่นายส่งมาให้จริงๆน่ะเหรอ”

    “หรือฉันไม่ควรเชื่อว่านายคือคนที่มีโชคชะตาเชื่อมโยงกับท่าน”

    “ฉันไม่รู้หรอก ฉันไม่ใช่คนของที่นี่ เพราะฉะนั้นฉันยังไม่อาจปักใจเชื่อตำนานของเมืองชิรัณย์เหมือนที่นายเชื่อได้เต็มร้อย”

     “ถึงนายจะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แม้พวกเราจะไม่ใช่คู่สามีภรรยากันจริงๆแต่ฉันคิดว่านายควรเก็บสร้อยเส้นนี้เอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ในตอนที่นายยังคงสถานะเป็นภรรยาของฉันอยู่”

    “อี้ป๋อ ยังไงฉันก็รับมันไว้ไม่ได้ นายไว้ใจฉันมากเกินไปแล้วทั้งที่พวกเรารู้จักกันเพียงไม่นาน ฉันไม่คู่ควรกับสมบัติของแม่นายหรอก”ผมทำใจกล้าถอดสร้อยที่อยู่บนคอตัวเองออกก่อนจะค่อยๆยื่นมันคืนให้กับเจ้าของเดิม

    “นายควรจะเก็บมันไว้และมอบให้คนสำคัญเมื่อถึงเวลาที่ใช่ คนๆนั้นที่นายยอมมอบทั้งหัวใจและเป็นคนที่นายจะรักไปชั่วชีวิต”

    “.......”อี้ป๋อทำทีครุ่นคิดชั่วครู่จนในที่สุดก็ยอมรับสร้อยธีร์อานากลับคืนไปแต่ยังไม่ลืมทิ้งท้ายด้วยประโยคหนึ่งซึ่งแฝงความหมายสำคัญบางอย่าง

    “ถ้าตอนนี้นายไม่พร้อมจะรับมันก็ไม่เป็นไร”

    “…….”

    “ฉันจะจำคำพูดของนายเอาไว้ สักวันฉันจะมอบสร้อยเส้นนี้ให้กับคนที่ฉันยอมมอบทั้งหัวใจและเป็นคนที่ฉันจะรักไปชั่วชีวิต แม้อาจใช้เวลาเนิ่นนานกว่าเวลาที่ใช่นั้นมาถึงแต่ฉันก็พร้อมจะรอ”

     

    แสงประกายจากสร้อยวิเศษฉายชัดในความมืดมิดทำให้เราสองคนต่างจมเข้าสู่ห้วงภวังค์อยู่ชั่วขณะ ข้อมือหนาดึงด้ายแดงฉุดรั้งร่างของผมให้เข้าหาตัวก่อนจะกระซิบเบาๆข้างใบหูด้วยน้ำเสียงแหบพร่าชวนใจเต้นชอบกล

     

    “มาเถอะคุณภรรยา ถึงเวลาขึ้นเตียงแล้ว”

    “.......”

     

     

     


     

    ฟุบ!!

     

    ฟับ!!

     

    ฟึบ!!

     

    ร่างบางพลิกตัวไปมาบนเตียงอยู่หลายทีคล้ายเนื้อเพลงน้องนอนไม่หลับหัวใจมันกระสับกระส่าย..เหมือนคนไม่บายใจหายมาหลายสิบคืน~(แต่นี่เพิ่งเริ่มคืนแรกเท่านั้นเองนะ) บรรยากาศการขึ้นเตียงในคืนแรกของคู่สามีภรรยาจอมปลอมเต็มไปด้วยความเงียบสงัด อี้ป๋อเพียงแค่นอนนิ่งๆพลางปิดเปลือกตาลงดูท่าอยากเข้าสู่ห้วงนิทราเต็มทน ต่างกับตัวผมนอกจากจะต้องมานอนแปลกที่แปลกทางในห้องรูหนูของเขาแล้วก็ยังมีด้ายแดงมัดพันธนาการร่างกายเราสองคนให้ไม่อาจขยับห่าง ผมพยายามจะพลิกตัวไปอีกด้านก็ไม่สามารถทำได้ดั่งใจนึก หนำซ้ำพ่อสามีโรบอทจอมเย็นชาดันเป็นพวกไม่ชอบห้องนอนมืดๆ เขาเลยสั่งการให้โคมไฟตรงหัวเตียงตั้งเวลาเปิดอัตโนมัติทั้งคืนเท่ากับว่าผมไม่อาจควบคุมความสว่างที่แยงตาอยู่ได้เลย

     

    “โอ้วซาร่า..นี่คุณกำลังประสบปัญหากับการนอนไม่หลับอยู่ใช่หรือไม่”

    “ใช่เลยจอร์จ..คืนนี้คุณมีวิธีดีๆมานำเสนอฉันไหม”

    “แน่นอนอยู่แล้วซาร่า..เพียงแค่คุณลองทำกิจกรรมเข้าจังหวะกับคนด้านข้างสักหนึ่งยก รับรองว่าคืนนี้คุณจะหลับสบายไปยันรุ่งสาง”

    “นี่คุณจะให้ฉันชวนคนด้านข้างลุกขึ้นมาเต้นแอโรบิกใต้แสงจันทร์อย่างงั้นเชียวเหรอ โอ้วพระเจ้าจอร์จมันยอดมาก..ความคิดคุณนี่วิเศษสุดๆไปเลย”

     

    (*จอร์จกับซาร่าเป็นพิธีกรโฆษณาขายเครื่องออกกำลังกายที่ดังมากในสมัยอดีตกาล)

     

    ผมอดอมยิ้มขำไปกับมุกตลกในหัวของตัวเองไม่ได้จึงเผลอระเบิดหัวเราะเล็กน้อยเรียกความสนใจให้บุคคลที่อยู่ด้านข้างหันมามอง ดวงตาคมฉายแววเชิงตำหนิเมื่อเห็นว่าผมยังคงพยายามก่อกวนเขาและไม่ยอมเข้านอนสักทีทั้งที่ผมเป็นฝ่ายรับปากเอาไว้แล้ว

     

    “มีอะไรตลกนักเหรอ ฉันบอกแล้วไงถ้านายจะอยู่ที่นี่ก็ห้ามซน ทำไมยังกวนฉันไม่เลิก”

    “ฉันไม่ได้ตั้งใจกวนนายสักหน่อยก็แค่นอนไม่หลับน่ะ”

    “นายคงรู้สึกไม่สบายตัวเพราะห้องของฉันมันแคบเกินไป ทำไมไม่กลับไปนอนห้องที่ฉันจัดเตรียมให้แทนล่ะ”

    “นายไล่ฉันอีกแล้วนะอี้ป๋อ ยังไงคืนนี้พวกเราก็ต้องนอนด้วยกันจนถึงรุ่งเช้า ฝันไปเถอะว่าฉันจะกลับห้องง่ายๆ”

    “งั้นนายก็ควรเริ่มตั้งใจข่มตานอนหลับได้แล้ว”

    “ฉันคงจะหลับลงหรอกดูนายเปิดไฟจ้าซะขนาดนี้ ตัวก็ออกจะโตแต่ไหงดันกลัวความมืด ไม่รู้ว่าการอยู่ร่วมกันจนถึงสามเดือนจะทำให้ฉันค้นพบตัวตนของนายเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่”

    “ถ้าการเรียนรู้ตัวตนของฉันมันทำให้นายรู้สึกยุ่งยากก็เลิ..”

    “อ๊ะๆ อย่าเพิ่งคิดเองเออเองสิ ที่ฉันบ่นก็แค่อยากขอเวลาปรับตัวบ้าง ทีนายยังใช้เวลาศึกษาตัวตนของฉันก่อนหาวิธีกำราบเลยไม่ใช่เหรอ”

    “ขนาดฉันศึกษามาก่อนยังกำราบนายไม่อยู่หมัด”

    “ก็นั่นแหละ พวกเราสองคนถึงต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ซึ่งกันและกันจนกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง กว่าเราสองคนจะปรับตัวให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อาจใช้เวลาสักพัก”

    “ไม่ใช่แค่สักพักหรอกแต่คงเป็นพักใหญ่เลยล่ะ”

    “แฮะๆ นั่นสิเนอะ ช่วยไม่ได้นี่นาในเมื่อตกกระไดพลอยโจนมาร่วมหอเป็นคู่สามีภรรยากันแล้วก็คงทำได้แค่ยอมรับโชคชะตา”

     

    ผมถอนหายใจเล็กน้อยพลางจ้องมองไปยังเพดานสีขาวด้านบนด้วยความคิดมากมายอยู่ในหัว หลายวันก่อนเราสองคนยังเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกัน นึกไม่ถึงว่าโชคชะตาจะพลิกผันให้ผมกลายเป็นเมียเจ้าพ่อโดยไม่ทันรู้ตัว ยังไงซะผมก็ไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรคงทำได้แค่ต่อสู้กับปัญหาที่จะเดินทางมาถึงในวันพรุ่งนี้ร่วมกับเขา

     

    หวังว่าโชคชะตาจะไม่ใจร้ายกับผมมากจนเกินไปนะ

     

    ฟึบ

     

    ร่างสูงเริ่มขยับกายเข้าหาอีกคนโดยหวังใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังแสงโคมไฟจากหัวเตียงเพื่อให้คนด้านข้างนอนหลับสบายขึ้น ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสใช้สายตาสำรวจโครงหน้าหวานไปด้วย ในจังหวะนั้นคนถูกจ้องพลิกตัวกลับมาเผชิญหน้ากันทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งคู่ใกล้เพียงลมหายใจรินรด ความคิดมากมายหลุดลอยไปในเสี้ยววินาทีพร้อมกับที่หัวใจสองดวงเต้นประสานคล้ายจะหลอมรวมเป็นหนึ่ง

     

    ตึกตัก

     

    ตึกตัก

     

    “…….”

    “…….”

     

    ผมไม่รู้เลยว่าเราสองคนเผลอจ้องตากันภายใต้แสงไฟสลัวนานเท่าไหร่ รู้เพียงแค่ดวงตาคมตรงหน้าสะกดตรึงร่างกายผมเอาไว้ไม่ให้ขยับหนี ปลายนิ้วเรียวแตะสัมผัสเบาๆเท่านั้นแต่กลับรู้สึกไหวสั่นไปทั่วทั้งตัว ผมหลงทางอยู่ในดวงตาของเขานานจนเกินไปจึงทำให้ผมเริ่มเสียการควบคุม 

     

    “อี้ป๋อ ฉันว่าฉันทนไม่ไหวแล้ว”ผมเลือกใช้น้ำเสียงครางต่ำขณะเอ่ย

    “ทะ..ทนอะไร”คนฟังถึงกับลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความประหม่า

    “คืนนี้..”

    “.......”

    “พวกเรามาหากิจกรรมเข้าจังหวะทำก่อนนอนกันไหม”

    “กิจกรรมเข้าจังหวะอะไรที่นายหมายถึง”

    “หึ”

     

    ผมยกยิ้มกรุ้มกริ่มแทนคำตอบขณะที่อี้ป๋อนั้นเบิกตาโพลงพร้อมทั้งสารพัดจะจินตนาการถึงคำว่า ‘กิจกรรมเข้าจังหวะ’ พุ่งทะยานไปไกลจนสุดขอบโลกแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     


    ซ่า!!

     

    “ฮะฮ่า~ สนุกจังเลย”

    “…….”

    “อี้ป๋อ มาทำกิจกรรมเข้าจังหวะด้วยกันสิ”

     

    ผมรีบกวักมือเรียกให้คนร่างสูงเข้ามาใกล้เพื่อชักชวนเขาตีฟองสบู่ในน้ำด้วยกัน ไหงอี้ป๋อกลับเอาแต่ทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจหลังจากผมขอให้เขาพามาแช่บ่อน้ำร้อนกลางดึก หรือเขาคิดว่าผมจะชวนไปทำกิจกรรมเข้าจังหวะที่อื่นงั้นเหรอ ผมไตร่ตรองเป็นอย่างดีไม่มีกิจกรรมไหนระหว่างคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันจะสร้างสรรค์ไปกว่าการชวนกันมาตีฟองสบู่เล่นในน้ำท้าทายแสงจันทร์หรอก

     

    “นี่เหรอ กิจกรรมเข้าจังหวะที่นายหมายถึง”

    “ก็ใช่น่ะสิ วันนี้ฉันต้องเดินขึ้นเขาลงเขาทั้งวันจนเนื้อตัวมอมแมมไปหมด หนำซ้ำพวกเรายังถูกด้ายแดงมัดติดกันทำให้แยกไปอาบน้ำไม่ได้ ฉันคงทนไม่ไหวหรอกนะถ้าต้องนอนดมกลิ่นเหงื่อตลอดคืน”

    “ดูเหมือนนายจริงจังกับความเชื่อยิ่งกว่าฉันที่อยู่ในตระกูลมาก่อนซะอีก ถ้าอยากอาบน้ำมากนักก็แค่ถอด..”

    “อ๊ะๆ บอกแล้วไงว่าห้ามถอดด้ายแดงอีก แค่ครั้งเดียวก็ขนลุกเกินพอแล้วนะ”

     

    ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันควันพลางนึกไปถึงเหตุการณ์ถอดด้ายแดงครั้งแรกของเรา คงเพราะผมเอ่ยขอให้เขาพามาแช่บ่อน้ำร้อนกลางดึก พวกเราทั้งคู่จึงต้องเปลี่ยนจากเสื้อผ้าเข้าพิธีสาบานตนกลายเป็นชุดคลุมอาบน้ำแทนและเพื่อความสะดวกสบายพวกเราเลยทำข้อตกลงว่าจะถอดด้ายแดงออกจากกันชั่วคราวเป็นเวลาสั้นๆ ระหว่างที่แยกย้ายไปเปลี่ยนชุดคนละมุมห้องอยู่นั้นจู่ๆผมก็เกิดอาการขนลุกชูชันบริเวณต้นคออย่างไม่ทราบสาเหตุ ผมจึงรีบใช้ด้ายแดงมัดติดกับอี้ป๋อตามเดิมและตั้งปณิธานว่าให้ตายยังไงคืนนี้ก็จะไม่ยอมถอดด้ายแดงออกจากกันเป็นครั้งที่สองจนกว่าจะถึงรุ่งเช้า

     

    “เซียวจ้าน แน่ใจเหรอว่าอาการขนลุกที่นายบอกฉันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนายคิดไปเอง”

    “ฉันค่อนข้างแน่ใจอย่างน้อยก็เกือบเต็มร้อย หรือแท้จริงมันจะเกิดเพราะอะไรก็ช่างเถอะ ไหนๆฉันก็เลือกแล้วว่าจะยอมผูกติดกับนายจนกว่าแสงอาทิตย์ยามเช้าโผล่พ้นขอบฟ้า ฉันจะไม่มีทางถอดด้ายแดงกลางคันอีกเป็นอันขาด ระหว่างนี้เรามาใช้เวลาให้คุ้มค่ากันดีไหม”

    “เล่นฟองสบู่เหมือนเด็กน่ะเหรอที่บอกว่าใช้เวลาคุ้มค่า ฉันเพิ่งออกกฎไปเองว่าห้ามซน นี่ยังไม่ทันไรนายก็ป่วนฉันซะแล้ว รู้ไหมว่าฉันต้องเปลี่ยนน้ำในบ่อใหม่ทั้งหมดเพราะฟองสบู่ที่นายเอามาตีเล่น แถมนายยังพรากเวลานอนของฉันอีกต่างหาก”

    “อะไรเล่า อย่าพูดเหมือนฉันคอยหาเรื่องเดือดร้อนมาให้นายท่าเดียวสิ แล้วก็เลิกทำสายตาเหมือนฉันเป็นเด็กสักที ฉันอุตส่าห์ชวนนายมาเล่นน้ำด้วยเพราะเห็นว่านายเคร่งเครียดกับงานมากเกินไป ฉันแค่อยากให้เราทั้งคู่ผ่อนคลายลงบ้างก็เท่านั้น สามีขาช่วยแกล้งตามใจเมียจ๋าหน่อยไม่ได้หรือไง”

    “สะ..สามีขาอะไรของนาย”

    “คุณสามีขา~ ขอแค่คืนเดียวเองน้า~”

    “นายใช้น้ำเสียงแบบนี้กับฉันอีกแล้วนะ”

    “น้ำเสียงแบบนี้มันทำไมเหรอ”

    “มันก็ทำให้ฉัน..”

    “หืมม”

     

    มันก็ทำให้ฉันใจสั่นทุกครั้งที่ได้ยินน่ะสิ

     

    “ว่าไง”

    “มันก็ทำให้ฉันขนลุกน่ะสิถามได้”

     

    อี้ป๋อแกล้งทำน้ำเสียงเคร่งขรึมกลบเกลื่อนเสียงความคิดที่ซ่อนอยู่ภายใน ยิ่งเห็นอีกคนมีท่าทีออดอ้อนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เขาเสียอาการจนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ สุดท้ายเขาจึงเป็นฝ่ายจำยอม ร่างสูงเดินเข้าหาคนตรงหน้าและร่วมทำกิจกรรมเข้าจังหวะไปพร้อมกันซึ่งก็คือการตีสบู่ให้ขึ้นฟองเหนือผิวน้ำ

     

    ชิ..สุดท้ายก็ยอมแพ้ให้อำนาจเมียอยู่ดี 

    ไม่รู้จะชวนต่อปากต่อคำทำไมตั้งนาน 

    ยังไงนายก็ไม่มีวันเอาชนะฉันหรอกน่า..หวังอี้ป๋อ

     

    ซ่า!!

     

    “วู้วว สนุกจัง”

     

    ข้อมือบางออกแรงตีฟองสบู่อย่างรู้สึกเพลิดเพลินจนไม่ทันสังเกตว่าทุกอากัปกิริยาของตนเองนั้นถูกใครอีกคนเฝ้าจับจ้องอยู่ เมื่อผืนน้ำกลายเป็นสระสบู่ขนาดย่อมคนทั้งคู่ก็เริ่มแหวกว่ายไปมา ในขณะที่คนหนึ่งออกอาการเริงร่าแสดงให้เห็นว่ามีความสุขที่ได้เล่นน้ำยามค่ำคืนขนาดไหน อีกคนหนึ่งกลับเอาแต่แสดงสีหน้านิ่งขรึมคล้ายถูกบังคับให้มาเล่นน้ำด้วยกันยังไงอย่างงั้น เจ้าตัวซนจึงนึกแกล้งแหย่ด้วยการสาดน้ำใส่หนึ่งทีก่อนหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีที่หยอกเย้าอีกฝ่ายเป็นผลสำเร็จ หารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นกลับยิ่งเสมือนเชื้อเพลิงจุดติดให้ความรู้สึกหนึ่งค่อยๆลุกโชน

     

    “ฮะฮ่า ดูหน้านายสิอี้ป๋อ ตลกจัง”

    “…….”

     

    ใครจะหน้าเหมือนนายล่ะเซียวจ้าน

    นายนี่มัน..

    น่า..รัก

    ทำสีหน้าแบบนี้น่ารักชะมัด

     

    อุณหภูมิน้ำที่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆผสมกับเรี่ยวแรงที่เพิ่งใช้ไปส่งผลให้พวงแก้มใสเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อดึงดูดใจผู้พบเห็นให้นึกอยากเข้าไปสัมผัส ดวงตาคมฉวยโอกาสแอบขโมยรอยยิ้มอีกคนมาเก็บไว้กับตัวโดยหวังว่ามันจะสามารถช่วยเติมเต็มหัวใจน้ำแข็งดวงนี้ให้กลับมาสดใสเหมือนเช่นคนอื่นบ้าง นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ต้องสัมผัสกับค่ำคืนอันแสนว่างเปล่าด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวและเดียวดายอย่างที่เคยเผชิญมาโดยตลอด ใครบางคนกำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงเรื่องราวทุกอย่างและในอีกไม่ช้าคนๆนั้นอาจจะกลายมาเป็นโลกทั้งใบที่เขาเคยใฝ่ฝันว่าจะมีในสักวันหนึ่ง

     

    “แปลกจัง ถ้าเป็นชายโสดคนอื่นก็คงสร้างสถานที่ส่วนตัวเอาไว้ผ่อนคลายกับสาวๆ แต่ดูท่าชายโสดอย่างนายคงสร้างสถานที่แห่งนี้เอาไว้เล่นน้ำกับสัตว์เลี้ยงซะมากกว่าล่ะมั้งเนี่ย”ผมพยายามชวนอี้ป๋อคุยเล่นเมื่อเห็นว่าเขานิ่งเงียบไปนาน เจ้าตัวเอ่ยตอบเบาๆโดยที่สายตายังคงไม่ละไปจากคู่สนทนา 

    “ฉันสร้างบ่อน้ำร้อนแห่งนี้เอาไว้ให้เลอากับธีออนเล่นแล้วมันมีปัญหาด้วยเหรอ สำหรับฉันการใช้เวลาอยู่กับครอบครัวก็คือการผ่อนคลายอย่างหนึ่ง พวกมันก็เปรียบเหมือนครอบครัวสุดท้ายที่ฉันเหลืออยู่ ฉันไม่ใช่นายนะเซียวจ้านที่จะคิดแต่เรื่องผู้หญิงในหัว”ชิ..ย้อนเก่งเป็นที่หนึ่งเลยนะคุณสามีโรบอท

    “ฉันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกแค่รู้สึกเสียดายแทนน่ะ สถานที่สวยๆแบบนี้แถมยังดูโรแมนติกราวกับอยู่ในหนัง เก็บไว้เชยชมคนเดียวก็เสียของแย่น่ะสิ นายน่าจะหาคนพิเศษเอาไว้แบ่งปันความสวยงามในชีวิตด้วยกันสักคนนะ”

    “ตอนนี้ก็มีแล้วไง”

    “…….”

    “คนที่เข้ามาแบ่งปันความสวยงามในชีวิตอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว ยังจะต้องหาใครอีกล่ะ”

     

    ตึกตัก

     

    “แฮะๆ ขยันเล่นมุกนะเนี่ย ฉันหมายถึงคนพิเศษตัวจริงของนายต่างหาก ฉันเป็นภรรยาแค่ในนาม เป็นแค่ภรรยาจอมปลอมของนายจะร่วมแบ่งปันความสวยงามในชีวิตได้ยังไง”

    “ได้สิ ถ้าสักวันความรู้สึกระหว่างเราเกิดแปรเปลี่ยนเป็นความจริงขึ้นมา”

     

    ตึกตัก

     

    “ถึงเวลานั้นนายก็ไม่ใช่แค่ภรรยาจอมปลอมแต่จะกลายเป็นคนพิเศษของฉัน”

    “…….”

    “คนพิเศษและคนสำคัญที่สามารถแบ่งปันความสวยงามทั้งหมดในชีวิตให้แก่กันและกันได้เหมือนสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในตอนนี้”

    “.......”

    “บอกฉันหน่อยสิ ทำไมถึงคิดว่าคนๆนั้นจะกลายเป็นนายไม่ได้ล่ะ..เซียวจ้าน”

     

    ตึกตัก

     

    อี้ป๋อใช้น้ำเสียงจริงจังยิ่งกว่าเคยส่งผลให้หัวใจคนฟังทำงานหนักจนใกล้ระเบิดออก ผมแน่นิ่งไปชั่วขณะแม้พยายามอ่านสายตาคนตรงหน้าแต่กลับไม่อาจค้นหาความหมายที่แท้จริง สายลมยามค่ำคืนพัดพากลุ่มดอกไม้ให้ร่วงหล่นลงจากต้นกระจัดกระจายปลิวไสวทั่วทั้งบริเวณ ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นอย่างเชื่องช้าเพื่อช่วยหยิบกลีบดอกไม้อันเล็กซึ่งบังเอิญพัดมาติดยังพวงแก้มของผมเข้าพอดี ทันทีที่กายเนื้อเราสองแตะโดนกันก็ราวกับมีกระแสไฟนับล้านแล่นผ่านทั่วทั้งร่าง อี้ป๋อไล้ปลายนิ้วจากพวงแก้มค่อยๆเลื่อนมาหยุดที่ริมฝีปากบางก่อนจะกดย้ำเบาๆคล้ายต้องการฝากรอยสัมผัส ผมยังคงงุนงงกับการกระทำนั้นเนิ่นนานกว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่สมองสั่งการให้รีบหาทางหลุดออกจากสถานการณ์อันตรายต่อหัวใจโดยฉับพลัน

     

    ตึกตัก!!

     

    แย่แล้วสิ

    ผมเผลอตกหลุมรักผู้ชายตรงหน้าไปหรือยังนะ

     

    “อะ..อี้ป๋อ สิ่งที่นายพูดเมื่อกี้..”

    “…….”

    “ฮั่นแน่~ นายต้องไปจำบทมาจากหนังรักสักเรื่องแน่เลย นึกว่านายจะเก่งแต่เรื่องต่อสู้อย่างเดียวนะเนี่ย นี่ถ้าฉันเป็นสาววัยแรกแย้มคงหลงคารมจนตกหลุมรักนายไปแล้ว ทีหลังจะฝึกมุกจีบสาวอย่าลืมบอกกันก่อนล่ะฉันจะได้ตั้งหลัก”ผมแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อนอาการใจเต้นแรงของตัวเอง อี้ป๋อที่ได้ฟังดังนั้นจึงถอนหายใจหนักพลางโคลงศีรษะเล็กน้อย เขาไม่คิดชวนต่อบทสนทนาอะไรเพิ่มเติมแต่กลับเลือกตัดบทเอ่ยชวนผมกลับห้องทันที

    “เอาเถอะถ้านายจะคิดแบบนั้น”

    “.......”

    “ตอนนี้เล่นน้ำจนสบายตัวแล้วใช่ไหม งั้นก็ถึงเวลาเข้านอนกันสักที”

    “อ๊ะๆ เดี๋ยวสิ”ข้อมือหนาเตรียมช้อนร่างผมขึ้นจากบ่อน้ำแต่ผมรีบขืนตัวไว้ทันทีเพราะยังนึกเสียดายเวลาอยู่

    “ฉันคงไม่อยู่เล่นน้ำกับนายทั้งคืนหรอกนะเซียวจ้าน อีกอย่างตากน้ำค้างกลางดึกนานๆเดี๋ยวก็พาลไม่สบายทั้งคู่”

    “ฉันจะยอมเข้านอนก็ต่อเมื่อนายเล่นเกมถามตอบกับฉันก่อน”

    “หมายถึงอะไร”

    “ฉันอยากรู้ว่านายจะกล้าตอบคำถามของฉันหรือเปล่า เอางี้เป็นไง ฉันมีคำถามให้นายสามข้อ ถ้านายกล้าตอบโดยไม่หลบตาและตอบตามความจริงฉันจะยอมเลิกเล่นซนทันที”ผมส่งยิ้มอ้อนวอนพยายามยื้อเวลาเอาไว้สุดความสามารถ 

    “รู้ไหมว่าฉันเหนื่อยกับนายขนาดไหน ทั้งที่จริงฉันควรได้พักผ่อนบนเตียงแต่นายกลับลากฉันให้ลงมาเล่นน้ำกลางดึก แถมนายยังจะชวนฉันเล่นเกมถามตอบไร้สาระอีกเหรอ ปุ่มลดความซนของนายอยู่ตรงไหนกันชักอยากรู้แล้วสิ”

    “เอาน่า ฉันขอเล่นซนอีกแค่แปบเดียว งั้นฉันอนุญาตให้นายถามกลับได้สามคำถามเหมือนกันตกลงไหม ถือซะว่าเป็นการเรียนรู้ตัวตนของกันและกันให้มากขึ้นไงล่ะ”

    “ไม่จำเป็นหรอก สิ่งที่ฉันอยากรู้เกี่ยวกับนายฉันได้สืบมาหมดแล้ว ในเมื่อนายอยากเล่นเกมถามตอบกับฉันนักงั้นก็ถามมา ฉันจะรีบตอบแล้วเราจะได้รีบกลับขึ้นห้องสักที”

    “แน่ใจนะว่าจะไม่ถามกลับน่ะ”

    “อืม”

     

    แบบนี้ก็เสร็จโจรน่ะสิ

     

    “งั้นนายต้องสัญญาว่าจะตอบทุกอย่างตามความจริง ฉันจับคนโกหกเก่งนะจะบอกให้”

    “ฉันจะตอบทุกอย่างตามความจริงแต่..”

    “ทำไมต้องมีแต่ด้วยล่ะ”

    “ฉันมีเพียงข้อแม้เดียวนั่นคือทุกคำถามของนายจะต้องให้ตัวเลือกตอบได้แค่สองทาง ยกตัวอย่างเช่นใช่หรือไม่ เคยหรือไม่เคย เห็นด้วยหรือปฏิเสธ หากเป็นคำถามในเชิงอธิบายฉันจะไม่ตอบเป็นอันขาด”

    “ขี้โกงนี่ แบบนี้ฉันก็อดถามเรื่องน่าอายในอดีตของนายน่ะสิ”

     

    ผมทำหน้าหงิกงอเพราะแผนที่วางไว้ในหัวดันไม่เป็นอย่างที่คาดเอาไว้เลยสักนิด อุตส่าห์เกลี้ยกล่อมให้เขายอมเล่นเกมเพื่อจะหลอกถามความลับของเขาแต่ไหงดันถูกขัดขาซะเองล่ะ อี้ป๋อยกคิ้วเล็กน้อยเชิงท้าทายพลางกอดอกคล้ายเป็นฝ่ายกุมชัยชนะ ผมจึงสาดน้ำใส่ใบหน้าอันหล่อเหลานั่นเข้าให้หนึ่งทีโทษฐานเยาะเย้ยกันตั้งแต่ยังไม่เริ่มเกม

     

    “เหอะ ฉันล่ะเกลียดวิธีที่นายใช้ข่มศัตรูเป็นที่สุด คิดว่านายตั้งเงื่อนไขแบบนี้แล้วฉันจะไม่สามารถล้วงความลับของนายได้หรือไง”

    “ถ้าคิดว่าแน่ก็ลองดูสิ หวังว่านายจะไม่ถามอะไรไร้สาระนะ อย่างเช่นฉันเคยช่วยตัวเองหรือเปล่า ฉันเคยฉี่รดกางเกงไหม ฉันเคยโกหกผู้ใหญ่หรือเคยขโมยเงินอะไรทำนองนั้น นายเป็นผู้ชายที่ผ่านช่วงวัยรุ่นมาเหมือนกัน น่าจะรู้นะว่าไอ้เรื่องน่าอายทำนองนั้นต้องเคยเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเราอย่างน้อยสักหนึ่งเรื่องอยู่แล้ว อีกอย่างต่อให้นายคิดจะถามฉันจริงๆนายก็จะได้คำตอบกลับไปแค่แบบผิวเผินเท่านั้น มันช่างว่างเปล่าและไร้ประโยชน์สิ้นดี”

     

    กรอด!!

     

    ผมเกลียดคนอย่างหวังอี้ป๋อที่สุด

    เขานั้นรู้ทันความคิดของผมเพียงแค่สบสายตากันหนึ่งครั้ง

    แล้วผมจะเป็นฝ่ายชนะในเกมนี้ได้ยังไงล่ะ

     

    ปลายนิ้วเรียวเขี่ยฟองสบู่เล่นไปมาคล้ายกำลังใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง ผมพยายามแล้วที่จะสร้างสารพัดคำถามแต่ก็ติดอยู่ตรงเงื่อนไขข้อเดียว ผมทำได้แค่ให้เขาตอบว่าเคยหรือไม่เคยแต่ไม่อาจล้วงความลับในอดีตไปไกลกว่านั้น หากผมไม่สามารถทำให้เขาเล่าเรื่องราวของตัวเองงั้นการเล่นเกมในคืนนี้ก็คงดำเนินไปอย่างเปล่าประโยชน์

     

    เฮ้ออ~

    คงจริงอย่างที่เขาว่า

    ผมจะได้คำตอบกลับไปแค่แบบผิวเผิน..มันช่างว่างเปล่าและไร้ประโยชน์สิ้นดี

     

    หากผมจะเล่นงานคนอย่างเขาต้องเริ่มถามถึงเรื่องไหนก่อนนะ

    เรื่องไหนกันที่คนเย็นชาอย่างอี้ป๋อไม่อยากพูดถึงมากที่สุด

     

    “ว่าไงล่ะ ถ้านายไม่คิดจะถามงั้นเกมนี้ถือเป็นอันโมฆะ”

    “เดี๋ยวสิ ฉันนึกคำถามออกแล้ว”

    “อะไร”

    “นายเชื่อในรักแรกพบไหม”

    “.......”

     

    ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมเอ่ยถามคำนั้นออกไป อยู่ดีๆผมก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาว่าอี้ป๋ออาจจะไม่ชอบเอ่ยถึงเรื่องราวความรักมากนัก คงน่าแปลกพิลึกที่หนุ่มโสดจอมเย็นชาอย่างเขาต้องคอยตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องหัวใจทั้งที่ตัวเองไม่มีประสบการณ์สักหน่อย ผมอาจไม่ได้อะไรกลับไปในคืนนี้แต่อย่างน้อยก็ได้ยั่วแหย่ให้เขามีน้ำโหบ้างแหละน่า 

     

    “อะไรกัน ไม่น่าเชื่อว่านายจะใช้เวลาคิดนานขนาดนี้ ถึงแม้ภาพลักษณ์ภายนอกของนายจะดูเป็นชายหนุ่มผู้มีสมรรถภาพทางกายตายด้านมากแค่ไหนก็ตามแต่ฉันรู้นะว่าลึกๆแล้วในใจของนายก็เรียกร้องหาใครสักคน นายกำลังเฝ้ารอให้โชคชะตานำพารักแรกของนายเดินทางมาหาอยู่ใช่ไหม ไม่ต้องห่วงหรอกหวังอี้ป๋อ ถ้านายยอมรับกับฉันมาตามตรงฉันสัญญาว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปฟ้องลูกน้องให้มาดเจ้าพ่อผู้องอาจต้องมัวหมอง”

    “คิดว่าถามเรื่องความรักแล้วฉันจะไม่กล้าตอบเหรอ”

    “ถ้านายกล้าจริงก็ตอบมาสิ โอ๊ะโอ หรือว่านายคิดจะกอดคอลูกสิงโตขึ้นคานไปจนตายกันแน่น้า”

    “ผิดแล้ว”

    “งั้นก็ตอบคำถามตอนนี้เลย อยากรู้นักว่าหัวใจด้านชาดวงนี้เลือกที่จะเชื่อในรักแรกพบเหมือนคนอื่นไหม”ผมแกล้งใช้นิ้วจิ้มยังตำแหน่งหัวใจของคนตรงหน้าด้วยท่าทีขบขันแต่ดันกลายเป็นว่าเปิดโอกาสให้เขาดึงนิ้วของผมเก็บเอาไว้ซะนี่ อี้ป๋อออกแรงฉุดร่างผมเข้าหาตัวก่อนจะเอ่ยตอบน้ำเสียงราบเรียบ

    “ฉันเชื่อ”

    “.......”

    “ฉันเชื่อว่ารักแรกพบมีอยู่จริง”เจ้าของประโยคพูดโดยที่ไม่ยอมละสายตาไปจากคนตรงหน้าแม้สักวินาทีเดียว ผมซะอีกที่เสียสมาธิไปกับดวงตาคมคู่นั้นจึงพยายามรวบรวมสติที่เหลืออยู่อันน้อยนิดในการเอ่ยถามต่อ 

    “ทำไมล่ะ ฉันไม่คิดว่าคนอย่างนายจะศรัทธาในความรัก”

    “เพราะฉันเคยได้สัมผัสกับความรู้สึกนั้นมาก่อน”

    “.......”

    “ความรู้สึกเมื่อได้สบสายตากับใครสักคนแล้วห้วงเวลารอบตัวหยุดหมุนขึ้นมาชั่วขณะ แม้รอบกายจะประกอบด้วยผู้คนมากมายแต่สมองกลับเลือกจดจำภาพของใครคนนั้นแค่เพียงผู้เดียว วินาทีที่หัวใจเริ่มเต้นผิดจังหวะหลังจากได้สบประสานสายตาตรงหน้าเพียงหนึ่งครั้ง วินาทีนั้นเองที่ฉันสูญเสียความเป็นตัวตนและได้รู้ว่ารักแรกพบมีอยู่จริงไม่ใช่แค่ในนิยาย”

     

    ตึกตัก!!

     

    ผมพยายามสะกดกลั้นอาการใจเต้นแรงของตัวเองจนกระทั่งอีกคนเอ่ยถ้อยคำอธิบายจบ เกิดความเงียบชั่วขณะคล้ายห้วงเวลารอบตัวหยุดหมุนไป ท่าทีจริงจังยามเขาพูดทำให้ผมเผลอคิดไกลว่าอาจเป็นตัวเองที่ปรากฏอยู่ในบทสนทนาข้างต้น

     

    ตั้งสติหน่อยสิเซียวจ้าน

    ผมเคยผ่านบทกวีเกี่ยวกับความรักอันแสนหวานมานับพัน

    นี่จะมาหวั่นไหวง่ายๆกับผู้ชายเย็นชาอย่างเขาได้ไงกัน

     

    แต่ทว่าสายตาที่เขาใช้มองผม

    น้ำเสียงที่เขาใช้พูดกับผม

    กระทั่งสัมผัสที่เขาจงใจส่งมา

    ท่าทีเหล่านั้น..

    ยามที่เขาเอ่ยถึงความรัก..

     

    ตึกตัก!!

     

    ถ้าไม่ใช่เพราะแกล้งหยอกผมเล่น

    ผมคงเผลอคิดว่าเขารู้สึกเช่นนั้นกับผมจริงๆซะอีก

     

    “ฉันทำผิดกฎ ฉันไม่ควรตอบเกินคำถาม ถือซะว่าเป็นโบนัสพิเศษก็แล้วกัน”ในที่สุดอี้ป๋อก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน ผมจึงได้สติกลับคืนหลังจากเผลอใจหลุดลอยออกไปซะไกล

    “อะ..อ้อ..นั่นสินะ ไม่น่าเชื่อเลยว่านายจะมีรักแรกพบกับเขาด้วย แสดงว่าสมรรถภาพทางกายไม่ได้ตายด้านอย่างที่คิด”

    “ฉันก็ไม่เคยบอกว่าตัวเองตายด้านสักหน่อย”

    “อะแฮ่ม งั้นคำถามต่อไปก็แล้วกัน ในเมื่อนายเชื่อเรื่องรักแรกพบจริงๆฉันก็จะเจาะจงไปที่ใครคนนั้น”

    “.......”

    “ถ้าสมมุติว่านายได้เจอกับคุณรักแรกพบอีกครั้ง บังเอิญว่าครั้งนี้นายได้มีโอกาสใช้เวลาอยู่กับคนที่เป็นดั่งโชคชะตาแล้วจู่ๆวันหนึ่งก็มีเหตุจำเป็นให้ต้องแยกจาก ทั้งที่รักมากจนไม่อาจเสียคนๆนั้นไปได้แต่ขณะเดียวกันนายก็ยังมีภาระหน้าที่ของตระกูลต้องดูแล นายจะเลือกเส้นทางไหนระหว่างคำว่าหน้าที่กับหัวใจ”


    ครั้งนี้อี้ป๋อขมวดคิ้วเป็นปมดูท่าคิดหนักกว่าเคยจนทำให้ผมต้องแอบลุ้นตามไปด้วย ดวงตาคมฉายแววหม่นหมองอยู่ครู่ใหญ่คงมีความคิดมากมายไหลวนในนั้น เหตุผลของคำถามข้อที่สองก็เพื่อต้องการลองใจคนตรงหน้า ผมอยากรู้ว่าผู้ชายที่คอยแบกรับภาระของตระกูลมาครึ่งชีวิตอย่างเขาหากวันหนึ่งได้พบเจอหนทางแห่งอิสระที่สามารถทำตามใจปรารถนา ท้ายที่สุดแล้วอี้ป๋อจะเลือกเส้นทางไหนกันแน่


    “ฉัน..ไม่อยากเลือก”

    “.......”

    “แต่ถ้าหากฉันต้องตัดสินใจจริงๆ ฉันจะเลือกหน้าที่”


    ก็ไม่ได้ผิดจากที่คาดเลยแฮะ


    “ครั้งนี้นายใช้เวลาคิดนานเกินไป ถือซะว่าเป็นค่าปรับที่นายตอบช้า ช่วยบอกเหตุผลหน่อยได้ไหมว่าเพราะอะไร”

    “เพราะหน้าที่คือสิ่งที่ติดตัวฉันมาตั้งแต่เกิด ถึงยังไงก็ละทิ้งมันไปไม่ได้”

    “สุดท้ายนายก็เลยต้องยอมให้คุณรักแรกพบเดินจากไปอย่างงั้นเหรอ”

    “ถ้าใจคนต้องการจะไปต่อให้ฉุดรั้งไว้ก็เปล่าประโยชน์”


    อุบ๊ะ!! คำคมนิยายแจ่มใสหรือเปล่านะ


    “ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังแล้วทำตามใจปรารถนาได้หรอก”

    “อืม ฉันรู้ว่ามันยากสำหรับนายในการตัดสินใจ”

    “แต่ฉันอยากให้รู้ไว้อย่าง”

    “.......”

    “การที่ฉันตัดสินใจเลือกหนทางนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะรักใครคนนั้นน้อยลง ฉันจะยังคงดูแลผู้คนของฉันและขณะเดียวกันก็จะทำหน้าที่เฝ้ารอใครคนนั้นอยู่ตรงนี้เสมอ”

    “เหลือเชื่อเลยแฮะว่าคนอย่างนายจะพูดจาอะไรเลี่ยนๆกับเขาก็เป็น งั้นฉันก็คงได้แต่ภาวนาให้คุณรักแรกพบได้มีโอกาสกลับมาเจอนายอีกครั้งและไม่มีวันเดินหนีนายไปอีกเป็นครั้งที่สอง”

    “นายชักจะจริงจังกับเรื่องสมมุติมากเกินไปแล้ว..เซียวจ้าน ทุกสิ่งที่นายว่ามาล้วนยังไม่เคยเกิดขึ้นสักหน่อย”

    “ถือซะว่าเป็นคำอวยพรล่วงหน้าให้กับภรรยาตัวจริงของนายที่จะมาถึงในอนาคตก็แล้วกัน เอาล่ะ คราวนี้มาถึงคำถามข้อสุดท้าย พวกเราชักจะเรื่อยเปื่อยมากเกินไป ขอฉันถามในสิ่งที่ฉันอยากรู้มาโดยตลอดบ้างนะ”

    “อะไรคือสิ่งที่นายอยากรู้มาโดยตลอด”

    “ตอนที่นายเจอฉันครั้งแรก..”ผมชูนิ้วเป็นเลขหนึ่งพลางนึกย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องราวระหว่างเราสองคน วันที่ผมเกือบถูกสิงโตของอี้ป๋อรุมขย้ำตายอย่างเขียดพร้อมเหล่าพี่เบิ้มนั่นแหละ

    “ครั้งแรกงั้นเหรอ”

    “อ่าฮะ ฉันอยากรู้ว่าวันนั้นตอนที่นายเจอกับฉันเป็นครั้งแรก ความคิดที่นายมีต่อฉันมันเต็มไปด้วยด้านมืดหรือด้านสว่างมากกว่ากัน”

    “.......”อี้ป๋อดูคล้ายจะแปลกใจเล็กน้อยหลังจากได้ฟังคำถาม เขามีท่าทีแน่นิ่งไปชั่วขณะก่อนจะตัดสินใจหลับตาลงเพื่อทบทวนภาพเหตุการณ์ในความทรงจำระหว่างเราทั้งสอง 


    อะไรกัน

    เรื่องวันนั้นก็ผ่านมาเพียงไม่นานเองนี่

    เขาถึงกับต้องทุ่มเทใช้ความคิดแบบอิคคิวซังเลยเหรอ

    ชิชะ!!

    ทั้งที่คืนนั้นผมเกือบโดนคมเขี้ยวของสิงโตเจ้าป่าขย้ำตายแท้ๆ

    เขาช่างลืมความทรงจำระหว่างเราอย่างง่ายดายเหมือนสายลมตดที่พัดผ่าน

    โลกใบนี้ไม่เคยยุติธรรมกับเซียวจ้านเลย


    ผมยืนเฝ้ารอคำตอบของเขาด้วยใจจดจ่อพลางนึกไปถึงวินาทีที่เราสองคนได้พบกันเป็นครั้งแรก ผมยังคงจดจำได้ดีว่าคืนนั้นรู้สึกขลาดกลัวเพราะเจ้าเลอากับธีออนมากเพียงใด ชั่วขณะที่อี้ป๋อมาปรากฏกายตรงหน้าพร้อมสิงโตคู่ใจ แววตาอันสงบนิ่งดั่งทะเลสาบน้ำแข็งของเขารวมถึงเสียงผิวปากอันเป็นเอกลักษณ์ชวนให้ขนลุกจนก้าวขาแทบไม่ออก เขาช่างเหมือนกับราชานักล่าผู้พร้อมสังหารเหยื่อทุกเมื่อและในคืนนั้นผมก็คงเป็นเป้าหมายแรกที่เขาต้องการ หากไม่ใช่เพราะตัวผมยังมีประโยชน์และมีผลผูกพันกับเขา ไม่แน่ว่าเขาอาจสั่งให้สิงโตขย้ำผมตายไปแล้วก็ได้ อยากรู้นักเชียวว่าวินาทีนั้นที่เราได้พบกันเป็นครั้งแรก ความคิดที่เขามีต่อผมมันเต็มไปด้วยด้านมืดหรือด้านสว่างมากกว่ากัน


    “ตอนที่ฉันเจอนายครั้งแรก ฉันมีแต่ความคิดร้ายๆอยู่ในหัว”

    “.......”

    “สิ่งที่ฉันรู้สึกต่อนายมันเต็มไปด้วยด้านมืด”

    “นะ..นี่นายคิดจะทำอะไรกับฉันกันแน่ อย่าบอกนะว่า..”ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากตอบผมก็เผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่พลางทำหน้าเหยเกเพราะดันจินตนาการภาพไปถึงร่างตัวเองนอนจมกองเลือดในท้องสิงโตเรียบร้อยแล้ว

    “หึ”

    “อย่ามาทำน้ำเสียงมีเลศนัยแบบนั้นนะ ฉันรู้หรอกว่านายคิดจะทำอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะตัวฉันยังเป็นที่ต้องการของนายอยู่ ป่านนี้นายคงสั่งให้ลูกสิงโตขย้ำฉันตายไปแล้วใช่ไหม”

    “จินตนาการกว้างไกลดีนี่แต่ฉันไม่เคยมีความคิดจะฆ่านาย”

    “ยอมรับกับฉันมาตามตรง งั้นความคิดด้านมืดของนายมันคืออะไร”

    “อยากรู้เหรอ”

    “อื้อ อยากรู้สิ”

    “เอาหูมาใกล้ๆนี่”

    “หืม”

    “สิ่งที่ฉันอยากทำกับนายตอนเจอกันครั้งแรกน่ะ”

    “.......”

    “ถึงฉันคิดฉันก็ไม่ให้นายรู้หรอก”


    หวัง-อี้-ป๋อ-ใจ-ร้าย-มาก!!

     

    “ฉันตอบคำถามครบแล้ว หมดเวลาสนุกแล้วสิ รีบขึ้นไปนอนกันเถอะ..คุณภรรยา”

    “อ๊ะ!!”


    ซ่า!!


    อี้ป๋อฉวยโอกาสในตอนที่ผมไม่ทันระวังช้อนร่างของผมขึ้นมาแนบอกก่อนจะรีบฝ่าสายน้ำเพื่อพาเราทั้งคู่ขึ้นฝั่ง เมื่ออุณหภูมิรอบกายเปลี่ยนจากสายน้ำอุ่นเป็นสายลมเย็นยามค่ำคืนอย่างกะทันหันพลันร่างที่เคยมีพลังงานเหลือล้นกลับหมดแรงเอาดื้อๆ ขณะกำลังฉุกคิดถึงคำถามข้อสุดท้ายอยู่นั้นเจ้าเปลือกตาก็ดันเริ่มปรือเตรียมเข้าสู่ห้วงภวังค์เพราะความเหนื่อยล้าซึ่งสะสมตลอดวัน ผมค่อยๆทิ้งตัวลงนอนในอ้อมอกแกร่งของเขาทั้งที่ยังคงสวมใส่ชุดคลุมอาบน้ำอันเปียกปอน


    ช่วยไม่ได้ก็มันง่วงนี่นา

    เก็บสิ่งที่ยังสงสัยไปคิดต่อในฝันก็แล้วกัน


    ใช้เวลาแค่ไม่นานร่างสูงก็พาคนในอ้อมอกมาถึงยังห้องนอนส่วนตัวของเขา ข้อมือหนาค่อยๆบรรจงวางร่างซึ่งกำลังหลับใหลไม่ได้สติให้พักอยู่บนโซฟาก่อน อี้ป๋อไล่สายตาสำรวจเรือนร่างอันเปียกโชกตรงหน้าพลางคิดอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อยเปื่อย ชุดคลุมที่อีกคนใส่อยู่มีลักษณะเนื้อบางดังนั้นยามที่มันอุ้มน้ำเอาไว้ก็ยิ่งโอบกระชับกับเรือนร่างของคนใส่ให้เห็นสัดส่วนแท้จริง อีกทั้งชายผ้าด้านล่างถูกถลกขึ้นเล็กน้อยเผยเรียวขาอ่อนสีนวลล่อตาล่อใจในเงามืดยามราตรี


    “อื้ออ”

    “…….”


      เสียงครางเบาๆคล้ายลูกแมวในกำมือยิ่งทำให้ความคิดชั่วร้ายเตลิดไปไกลกว่าที่เคย อี้ป๋อพยายามสะบัดหัวก่อนจะดึงสติกลับคืนเพื่อไม่ให้เผลอแทะโลมคนตรงหน้าผ่านทางสายตา สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจแอบถอดด้ายแดงซึ่งพันธนาการระหว่างทั้งคู่ออกก่อนจะเริ่มจัดการเช็ดตัวอีกฝ่ายให้แห้งสนิท


    “หลับลึกขนาดนี้ต่อให้บรรพบุรุษของฉันตามมาหานายจริงๆก็คงไม่ทันรู้ตัวหรอก”


    อี้ป๋อก้มลงกระซิบเบาๆบริเวณข้างหูพร้อมทั้งยกยิ้มเล็กน้อยกับอาการตื่นกลัวไปเองของคนตรงหน้า เขาเริ่มหลับตาลงขณะที่ปลดชุดคลุมอันเปียกปอนให้อีกคน แม้จะมองไม่เห็นแต่ทว่าสัมผัสที่ได้รับผ่านฝ่ามือก็ยังคงชัดเจนจนสามารถจินตนาการภาพในหัว ปลายนิ้วเรียวเริ่มไล้ขึ้นตามสัดส่วนกายเนื้อเปลือยเปล่าทีละนิดทุกซอกทุกมุมอย่างนุ่มนวลและแสนจะเชื่องช้าคล้ายต้องการเก็บเกี่ยวสัมผัสเหล่านี้เอาไว้ให้นานที่สุด เขาพยายามหักห้ามใจไม่ให้เผลอลืมตาขึ้นมามองดูความสวยงามที่เฝ้ารอ ณ เบื้องหน้า ทุกวินาทีจึงผ่านไปด้วยความยากลำบากเพราะความคิดทั้งด้านมืดและด้านสว่างของเขากำลังตีกันในหัวให้วุ่นว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะในคืนนี้กันแน่


    ฟึบ


    “อื้ออ..นุ่มจัง”

    “.......”


    หลังจากอี้ป๋อจัดการเช็ดตัวและสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ให้อีกฝ่ายเรียบร้อย เขาก็รีบจัดการตัวเองอย่างว่องไวก่อนจะพาร่างบางมานอนพักผ่อนบนเตียงโดยไม่ลืมผูกด้ายแดงซึ่งเชื่อมต่อระหว่างทั้งคู่เอาไว้เหมือนเดิม แสงไฟสลัวรบกวนเวลานอนทำให้เจ้าตัวซนหน้ามุ่ยจึงพยายามเอียงตัวเข้าหาที่กำบัง อี้ป๋อเห็นดังนั้นเลยคว้าร่างบางมากอดแนบแน่นหวังใช้อ้อมอกของเขาเป็นเกราะป้องกันแสงสว่าง ระยะห่างระหว่างคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆจนในที่สุดก็หลงเหลือเพียงลมหายใจที่รินรดกัน ความใกล้ชิดเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีฉุดให้ดวงตาคมเผลอจดจ้องใบหน้ารูปงามคล้ายดั่งว่ากำลังต้องมนต์วิเศษอันแสนลึกลับ เขาพลันนึกขึ้นได้ถึงคำถามสุดท้ายระหว่างเราทั้งคู่



    “ฉันอยากรู้ว่าวันนั้นตอนที่นายเจอกับฉันเป็นครั้งแรก ความคิดที่นายมีต่อฉันมันเต็มไปด้วยด้านมืดหรือด้านสว่างมากกว่ากัน”

    “ตอนที่ฉันเจอนายครั้งแรก ฉันมีแต่ความคิดร้ายๆอยู่ในหัว”

    “.......”

    “สิ่งที่ฉันรู้สึกต่อนายมันเต็มไปด้วยด้านมืด”



    ทุกสิ่งที่อี้ป๋อพูดไปนั้นล้วนเป็นความจริงเพราะวินาทีแรกที่เขาได้สบตากับใครอีกคนพลันความมืดในกายซึ่งเขาพยายามเก็บซ่อนเอาไว้กลับตื่นขึ้น สำหรับเขาแล้วภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งแรกเจอไม่ใช่ในคืนที่เขาพาเลอากับธีออนออกรบ ครั้งแรกที่สิงโตหนุ่มได้เจอกับพ่อเสือนักรักยามราตรีมันคือค่ำคืนหนึ่งที่ถูกย้อนกลับไปไกลกว่านั้น


    ค่ำคืนที่เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทุกอย่าง






    อึก!!


    ของเหลวสีอำพันเคลื่อนผ่านจากปลายแก้วเลื่อนลงสู่ลำคอสูบฉีดเลือดในกายให้พุ่งสูงขึ้น ดวงตาคมเฝ้าจับจ้องผู้คนมากมายในคลับกำลังสนุกสนานไปกับเสียงเพลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย แม้จะมีสาวน้อยสาวใหญ่ต่างแวะเวียนมาขอชนแก้วแต่กลับถูกชายหนุ่มปฏิเสธทุกรายไป นั่นเพราะเขาไม่ได้มาที่คลับเพื่อเล่นสนุกหากทว่าเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวในค่ำคืนนี้ก็เพื่อเฝ้ารอจะพบเจอชายหนุ่มอีกคนผู้มีรายชื่อปรากฏอยู่ในเอกสารสำคัญ


    เซียวจ้าน..


    แรกเริ่มเขาทำการสืบหาบุคคลที่มีเหตุให้ต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าของเขตหนึ่งสาม..อี้โจว จากในบรรดาผู้ต้องสงสัยทั้งหมดชายหนุ่มที่เข้ามาพัวพันกับลูกสาวของนายอี้โจวอย่างมีนัยยะผู้นี้เป็นคนที่เขาให้ความสนใจมากที่สุด เขาได้รับรายงานมาจากลูกน้องว่าอีกคนค่อนข้างหาตัวจับได้ยาก ไม่ใช่เพราะเป็นคนที่มีฝีมือเก่งกาจอะไรนักแต่เพราะนิสัยส่วนตัวที่ค่อนข้างจะไหลไปเรื่อยมากกว่า เมื่อดูประวัติโดยรวมก็ทำให้เขาแปลกใจอยู่บ้างจึงต้องมาจับตาดูความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายด้วยตัวเอง หากเป้าหมายไม่ได้ข้องเกี่ยวกับธุรกิจมืดของอี้โจวเขาจะได้รีบขีดฆ่ารายชื่อทิ้งซะและสืบหาผู้ต้องสงสัยคนต่อไป


    ฟึบ


    ร่างสูงรีบลุกออกจากที่นั่งประจำเมื่อสายตาดันเหลือบไปเห็นแผ่นหลังของเป้าหมายเข้าพอดี เขารีบเดินฝ่าฝูงชนหวังจะไล่ตามไปแต่เพียงไม่นานนักก็คลาดกันจนได้ ชายหนุ่มสบถเล็กน้อยอย่างหัวเสียที่เผลอพาตัวเองหลงเข้ามาอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่านักสังสรรค์ยามราตรี ยิ่งถูกผู้คนเต้นเบียดเสียดกันไปมาก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดจนอยากฝ่าวงล้อมออกไป ทว่าขณะที่เขาเตรียมจะก้าวฝีเท้าอยู่นั้นกลับชนแผ่นหลังของใครบางคนเข้าอย่างจัง


    ตุบ!!


    “อ๊ะ!!”

    “…....”


    เจอตัวเป้าหมายแล้ว


    พวงแก้มแดงก่ำจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ผสมกับดวงตาปรืออันแสนยั่วยวนฉุดรั้งร่างสูงเอาไว้ไม่ให้ขยับหนี เพราะการชนอย่างกะทันจึงทำให้เขาเผลอคว้าเอวบางเข้ามาแนบตัวโดยอัตโนมัติ เสียงเพลงในคลับเปลี่ยนจังหวะเป็นรัวเร็วยิ่งกระตุ้นให้ผู้คนโยกย้ายส่ายสะโพกมากกว่าเดิม พวกเขาทั้งคู่ถูกผู้คนดันจนกายเนื้อแนบชิดและท่อนล่างก็เผลอบดเบียดกันเรียกอารมณ์ส่วนลึกในกายของชายหนุ่มให้ตื่นขึ้นมา ดูท่าอีกฝ่ายจะค่อนข้างชำนาญในการเข้าหาผู้คนถึงไม่ได้มีท่าทีประหม่าหรือผลักออกหนำซ้ำยังฉวยโอกาสพาดแขนของตนลงบนบ่าหนาพลางกระดกเหล้าในมือไปด้วย 


    อึก!!


    ของเหลวสีใสเอ่อล้นออกจากริมฝีปากบางไหลต่ำลงตามแผงคอรูปงามจนเปรอะเปื้อนปกเสื้อเชิร์ตที่สวมใส่ เสี้ยววินาทีนั้นเองดวงตาปรือจึงค่อยๆเริ่มขยับเปิดอ้าออกเผยให้เห็นนัยน์ตาซุกซนแฝงความขี้เล่นอยู่ในที รอยยิ้มอันสดใสสะกดตรึงผู้พบเห็นให้ไม่อาจเคลื่อนขยับ 


    “อ๊ะ..อื้ออ”

    “.......”

    “ดื่มด้วยกันไหม”

    “.......”

    “หรือว่าคุณอยากเต้นกับผม”

    “.......”

    “นี่ผมคุยกับก้อนหินอยู่เหรอ สีหน้าคุณ..ตลกจังแฮะ”


    คนตรงหน้าโน้มตัวเข้ามากระซิบก่อนจะลอบขบใบหูของชายหนุ่มเบาๆเชิงหยอกเย้า ไม่เพียงเท่านั้นแต่อีกคนยังฉวยโอกาสซุกไซร้ริมฝีปากบางลงบริเวณซอกคอเพื่อใช้เสื้อเชิร์ตของเขาเป็นผ้าเช็ดคราบแอลกอฮอล์ ร่างสูงไม่ทันได้ตั้งรับทุกการกระทำที่อีกฝ่ายส่งมาเพราะยังมัวตะลึงงันกับเหตุการณ์ต่างๆ รู้ตัวอีกทีเขาก็เผลอหลงใหลไปกับนัยน์ตาสีหวานตรงหน้าอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้อยู่ ความรู้สึกประหลาดกำลังก่อตัวภายในหัวใจน้ำแข็งอันด้านชาอย่างเชื่องช้า ความรู้สึกนี้ที่เขาไม่เคยได้รับจากผู้ใดมาก่อนในชีวิต


    ตึกตัก


    ราวกับว่าห้วงเวลารอบตัวหยุดหมุนขึ้นมาชั่วขณะ แม้รอบกายจะประกอบด้วยผู้คนมากมายแต่สมองกลับเลือกจดจำภาพของคนตรงหน้าแค่เพียงผู้เดียว วินาทีที่หัวใจของเขาเริ่มเต้นผิดจังหวะ วินาทีที่เขาเริ่มสูญเสียความเป็นตัวตน วินาทีนั้นเองเขาจึงได้รู้ว่ารักแรกพบมีอยู่จริงไม่ใช่แค่ในนิยาย


    “.......”

    “.......”


    เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่มีทีท่าตอบสนองอีกคนจึงจัดการยัดแก้วเปล่าใส่ในมือก่อนจะเอาปลายนิ้วเคาะเบาๆยังบริเวณหัวใจคล้ายจะสื่อว่าของทั้งสองสิ่งนี้มีลักษณะไม่ต่างกัน ไม่นานนักร่างบางก็เป็นฝ่ายถอยห่างเพื่อไปหาความบันเทิงใจที่อื่นแต่ยังไม่วายลอบส่งยิ้มยั่วยวนให้เขาเป็นการทิ้งท้าย ชั่วขณะนั้นอีกคนคงไม่รู้หรอกว่าในหัวของชายหนุ่มมีแต่ความคิดร้ายๆผุดขึ้นมา 


    เขานึกอยากบดขยี้คนตรงหน้าให้สาสมใจ

    อยากกระแทกกระทั้นอีกฝ่ายให้ร้องครวญครางจนเอ่ยเรียกชื่อของเขาเพียงผู้เดียว

    อยากลิ้มลองกลิ่นกายอันหอมหวานยามที่ร่างบางนั้นตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา

    และเขาก็อยากทำอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย

    แต่ทว่าทั้งหมดที่เขาทำได้ก็แค่ยืนมองอีกฝ่ายเดินจากไปเท่านั้น


    ตึกตัก


    “ดูเหมือนคุณไม่ได้เดินไปตัวเปล่าแต่คุณคงเกี่ยวหัวใจผมติดมือไปด้วย..เซียวจ้าน”






    หลังจากคืนนั้นเขาก็จำใจต้องปล่อยให้เซียวจ้านเป็นอิสระเพราะข้อมูลที่ได้รับเพิ่มเติมไม่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจมืดของอี้โจวแม้แต่น้อย ไม่นานความสัมพันธ์ระหว่างเซียวจ้านกับลูกสาวของอี้โจวก็จบลงและเป็นเหตุให้อีกฝ่ายต้องเดินทางออกจากเมืองชิรัณย์ เขาเคยคิดว่าระหว่างเราทั้งคู่คงไม่มีโอกาสได้กลับมาเจอกันอีกแล้ว นึกไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะพลิกผันให้เราทั้งสองได้มาอยู่เคียงข้างกันในวันนี้


    “อื้ออ”

    “.......”


    เสียงร้องครางของคนในอ้อมอกดึงสติทั้งหมดให้กลับคืนมาสู่สถานการณ์ปัจจุบัน อี้ป๋อจ้องมองใบหน้าอีกคนภายใต้แสงไฟสลัวสีนวลยามราตรี แรงดึงดูดบางอย่างทำให้ปลายนิ้วเรียวค่อยๆเชยคางมนขึ้นอย่างเชื่องช้าคล้ายกลัวเจ้าตัวจะตื่นจากห้วงภวังค์ เขาโน้มลงเข้าใกล้ริมฝีปากบางอันแสนดึงดูดใจมากขึ้นทุกขณะก่อนจะประทับรอยจูบด้วยความอ่อนโยน เพียงไม่นานเขาก็แปรเปลี่ยนท่าทีเป็นดุดันด้วยการลอบขบริมฝีปากยังบริเวณจุดแมลงวันซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของอีกฝ่าย เสียงครางอื้ออึงเกิดขึ้นในลำคอของคนขี้เซาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว อี้ป๋อลอบยกยิ้มเล็กน้อยที่ภารกิจขโมยจูบคุณภรรยาในคืนนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี


    “สิ่งที่ฉันอยากทำกับนายน่ะเหรอ”

    “.......”

    “ถึงฉันคิดฉันก็ไม่ให้นายรู้หรอก”


    ร่างทั้งสองกอดก่ายกันอยู่บนเตียงพร้อมจังหวะการเต้นของหัวใจที่ค่อยๆหลอมรวมประสานกลายเป็นหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแค่ด้ายแดงที่เชื่อมระหว่างคนทั้งคู่เข้าไว้ด้วยกันแต่ยังมีตราพันธะที่ประทับยังบริเวณอกข้างซ้าย นั่นคือเครื่องหมายพิเศษที่โชคชะตากำหนดเอาไว้ให้หัวใจสองดวงต้องมาผูกพันซึ่งกันและกัน ตราพันธะนี้อาจคงอยู่ชั่วคราวหรืออาจฝังรากลึกติดตรึงไปจนตลอดกาล มีเพียงแค่เวลาเท่านั้นที่จะเป็นคำตอบสำหรับเรื่องราวทุกอย่างซึ่งเฝ้ารออยู่ ณ เบื้องหน้า




    << To Be Continued >>

    #ตราพันธนาการหัวใจ


    ก่อนอื่นเลยต้องกราบขอโทษนักอ่านทุกท่านที่รอบนี้หายไปนานมาก

    เนื่องด้วยผู้แต่งติดพันเคลียร์นิยายอีกเรื่องอยู่ผสมกับปัญหาส่วนตัว

    เวลาไม่ค่อยมีแรงใจแล้วหัวก็จะตันๆคิดงานไม่ค่อยออก

    ขอบคุณทุกคนที่ยังคงติดตามกันเสมอมานะคะ *ปาหัวใจใส่*

    สำหรับอีพีนี้ก็ถือเป็นการเรียกน้ำย่อยให้คู่สามีภรรเมียอุ่นเตียง

    เอาแบบเบาๆกรุบกริบไปก่อนเพราะยังไม่ได้เข้าหออย่างเป็นทางการ

    อีพีหน้าเหล้าต้าจะพาตัวซนไปตะลอนทัวร์ในเมือง

    และเตรียมรับศึกหนักที่เขตหนึ่งสามจะเริ่มโต้กลับเจ้าพ่อสิงโตของเรา

    ชอบหรือไม่ชอบยังไงสามารถคอมเม้นติชมกันได้เสมอนะคะ ชุ้บๆ~

    ปล.สุดท้ายขอแนบรูปสร้อยธีร์อานาที่จะกลายเป็นของแทนใจของกัลและกัล~




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×