ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตราพันธนาการหัวใจ #ป๋อจ้าน #ป๋อตี้จ้านเกอ

    ลำดับตอนที่ #7 : >

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.23K
      59
      13 พ.ค. 65


    << Chapter 5 >>

    Part 2






    “อรุณสวัสดิ์ครับคุณชาย จริงๆก็ไม่อรุณแล้วสิ”

    “อื้ออ”

     

    ร่างบางนอนกลิ้งไปมาบนเตียงพลางหยิบหมอนขึ้นปิดหูไม่พร้อมรับรู้เรื่องใดทั้งสิ้น ตั้งแต่เมื่อคืนร่างกายสัมผัสกับเตียงคนขี้เซาอย่างผมก็สลบเป็นตายเพิ่งได้สติตอนเสียงปลุกของอวี๋ปินทำงานนี่แหละ หากเป็นเวลาปกติอีกคนคงยินยอมปล่อยให้ผมจมอยู่ในห้วงนิทราต่อแต่เพราะวันนี้ดันเป็นวันสำคัญจึงปล่อยผ่านไม่ได้เด็ดขาด

     

    “ขออีกห้านาที ไม่สิขออีกครึ่งชั่วโมงเลย”

    “ตื่นเถอะครับคุณชาย นี่ก็เกือบเที่ยงแล้วด้วย”

    “.......”ตู๊ดดด..ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก

    “วันนี้คุณชายต้องเตรียมตัวเข้าร่วมพิธีสาบานตนนะครับ เหล่าต้ากำชับไว้แล้วว่าหากปลุกคุณชายไม่ตื่นจะให้ธีออนกับเลอามาปลุกแทน”

     

    ทันทีที่ได้ยินชื่อลูกรักของอี้ป๋อผมก็สะดุ้งตื่นเต็มสองตาจนเผลอกลิ้งตกลงจากเตียง แม้บาดแผลที่เคยได้รับเริ่มสมานบ้างแล้วแต่ก็ยังคงมีอาการช้ำดังนั้นเมื่อถูกกระแทกซ้ำเลยอดร้องโอดโอยออกมาไม่ได้ อวี๋ปินจัดแจงให้ผมรีบอาบน้ำเตรียมแต่งตัวเพื่อไปงานสำคัญในวันนี้ซึ่งก็คือพิธีสาบานตน มันคือพิธีที่ใช้สำหรับผู้เข้าร่วมตระกูลคนใหม่เปรียบเสมือนการขอขมาต่อบรรพบุรุษทั้งหลายที่ล่วงลับ เนื่องจากว่าอี้ป๋อรับผมเข้าตระกูลด้วยสถานะของภรรยาจึงค่อนข้างมีพิธีรีตรองมากกว่าปกติ อวี๋ปินรับหน้าที่ช่วยดูแลผมส่วนอี้ป๋อกับลูกน้องของเขาบางส่วนเดินทางไปจัดเตรียมสถานที่ตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นตั้งนานแล้ว

     

    “เฮ้ออ”

     

    ผมเอาผ้าขนหนูขยี้หัวอันเปียกปอนหลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ท่าทางไม่ค่อยรีบร้อนเท่าไหร่นักเพราะยังไงพิธีก็จะเริ่มตอนช่วงเย็นอยู่ดี อันที่จริงแค่ร่วมพิธีการสั้นๆอี้ป๋อไม่เห็นจำเป็นต้องรีบไปตั้งแต่ไก่โห่ หรืออาจเพราะเขาคงให้ความสำคัญกับพิธีประจำตระกูลตัวเอง ต่างจากผมที่เป็นเพียงคนนอกมาพึ่งพาอาศัยชั่วคราวไม่จำเป็นต้องรู้สึกจริงจังถึงขนาดนั้นก็ได้

     

    จะว่าไปพิธีวันนี้ก็ดูคล้ายงานแต่งอยู่นะ

     

    ผมบ่นกับตัวเองบริเวณหน้ากระจกหลังจากเห็นชุดที่ต้องใส่วันนี้อย่างเต็มตา เสื้อด้านบนถูกออกแบบให้เป็นคอปกตั้งสูงเนื้อผ้าโปร่งสีขาวสง่า ติดประดับด้วยกระดุมทองเม็ดใหญ่ดูเข้ากันดีกับโซ่สีทองห้อยระย้าไปมาสร้างสรรค์เป็นลวดลายที่แปลกตาแต่ก็คล้ายว่ามีลูกเล่นในตัว กางเกงขายาวสีขาวเข้าเซ็ตกันถึงใช้แค่เนื้อผ้าลักษณะเรียบๆแต่เมื่อใส่แล้วกลับขับผิวให้เปล่งประกายโดดเด่นขึ้น ผมใช้ปลายนิ้วลูบไล้เข็มกลัดตราประจำตระกูลสิงโตที่ถูกติดยังบริเวณตำแหน่งหน้าอกข้างซ้ายด้วยความรู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก จริงอยู่ที่ผมจำเป็นต้องใส่ชุดทางการเข้าร่วมพิธีแต่ดูยังไงชุดนี้ก็ออกจะทางการมากเกินไปนิด ต่อให้คนโง่ที่ไหนก็ยังดูออกว่าการประยุกต์รูปแบบของชุดมันออกมาแฝงความหมายคล้ายชุดแต่งงานชัดๆ

     

    เหอะ!!

    ทำไมไม่เอากระโปรงให้ผมใส่เลยล่ะ!!

    หวังอี้ป๋อ!!

     

    ระหว่างอยู่บนรถผมเอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดช่างดูตรงข้ามกับอวี๋ปินที่ยิ้มเริงร่าอารมณ์เบิกบานเสมือนเป็นผู้เข้าร่วมพิธีซะเอง เจ้าตัวอธิบายพิธีการคร่าวๆรวมถึงเล่าประวัติความสำคัญของพิธีให้ผมฟัง ส่วนผมเองก็รับฟังบ้างไม่รับฟังบ้างครุ่นคิดอะไรในหัวไปเรื่อยเปื่อย พออวี๋ปินจอดรถผมจึงได้โอกาสเรียกสติคืนกลับมา ดวงตากลมโตเบิกค้างเมื่อถึงจุดหมายเพราะเบื้องหน้านั้นเป็นบันไดทอดยาวขึ้นไปบนภูเขาสูงเกือบเสียดฟ้าเห็นจะได้

     

    “อย่าบอกนะ!!”

    “ใช่ครับคุณชาย พวกเราต้องเดินเท้าขึ้นไป”

     

    โอ้พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก!!

    ไม่ใช่ยอดธรรมดาแต่เป็นยอดภูเขาซะด้วยงานนี้!!

     

    “แฮ่กๆ..ปะ..ปินปินอา..ระ..รอฉันด้วย”

     

    พวกเราเดินทางขึ้นไปไม่เท่าไหร่ผมก็ออกอาการหอบจนต้องเกาะขอบราวบันไดเอาไว้ไม่ให้ร่วงตกลงข้างล่าง อวี๋ปินทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยที่ดีตลอดทางเพราะคอยเข้ามาประคองอยู่เป็นระยะเมื่อเห็นทีท่าว่าผมใกล้จะหมดแรงเต็มทน เพิ่งรู้ข้อมูลเพิ่มเติมจากปากอีกคนว่าแท้จริงแล้วตระกูลของอี้ป๋อต้องการสร้างสุสานบรรพบุรุษให้คงอยู่ในบรรยากาศเงียบสงบจึงเลือกสร้างอนุสรณ์รำลึกผู้คนที่จากไปไว้บนภูเขาสูง เพราะไอ้ความต้องการบรรยากาศเงียบสงบที่ว่านี่แหละพวกเขาก็เลยไม่สร้างถนนลาดยาวเป็นจุดเชื่อมแต่กลับสร้างบันไดเอาไว้ออกกำลังกายบริหารน่องแทน ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมอี้ป๋อต้องเตรียมจัดพิธีตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน ลำพังแค่ใช้เวลาขึ้นบันไดก็ปาไปครึ่งค่อนวันเสียเหงื่อจนเปียกปอนไปทั้งตัว

     

    ผมถูกอี้ป๋อพามาฆ่าตายชัดๆ

     

    “คุณชายเก่งมากครับ พวกเรามาถึงครึ่งทางกันแล้ว”

    “เดินมาตั้งนานได้แค่ครึ่งทางเองเหรอ ขั้นบันไดสูงเท่าไหร่กันเนี่ย”

    “ประมาณสามร้อยขั้นครับ ผมว่าก็ไม่ได้สูงอะไรมากแค่คุณชายยังไม่ชินเท่านั้น”นึกถึงตอนสาวชวนเดินขึ้นพระธาตุดอยสุเทพที่ประเทศไทยเลยแฮะ

    “ฉันใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในเมืองจะเอาเวลาที่ไหนมาชินล่ะ”

    “อีกหน่อยพอคุณชายเป็นภรรยาเหล่าต้าเดี๋ยวก็คงชินกับป่าเขาเองแหละครับ”

     

    ผมรู้สึกอยากหันหลังกลับไปแต่ก็ทำไม่ได้เพราะไอ้พิธีสาบานตนที่ว่าดันถูกจัดเตรียมเรียบร้อยรอให้ผมเข้าร่วมงานทางด้านบน ดูท่าอวี๋ปินขยันขันแข็งมากกว่าปกติจึงกุลีกุจอช่วยผมยกใหญ่ เมื่อเราทั้งคู่เดินทางเกือบถึงจุดหมายก็ได้สัมผัสกับสายลมเอื่อยลอยพัดผ่านมา ขาขวาก้าวขึ้นบันไดขั้นสุดท้ายเป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจทรมานน่องสักที

     

    “แฮ่กๆ..ฉัน..ขอ..ขะ..ขอน้ำ”

    “นี่ครับคุณชาย”

    “ก่อนเข้าร่วมพิธีฉัน..ขอพักสิบห้า..แฮ่กๆ..ขอเวลาสิบห้านาทีนะ”

     

    พอสิ้นเสียงก็มีลูกน้องอีกสองคนเข้ามาช่วยปรนนิบัติให้ผมรู้สึกสบายตัวขึ้น อวี๋ปินพาผมมานั่งพักยังบริเวณระเบียงชมวิวพลางนวดขาหวังช่วยให้อารมณ์เริ่มผ่อนคลาย หลังจากพักร่างอยู่นานก็เพิ่งมีโอกาสได้กวาดสายตาสำรวจพื้นที่โดยรอบ แม้จะเดินทางมาเหนื่อยแต่รู้สึกร้อนอบอ้าวแค่ชั่วครู่เท่านั้นคงเพราะวันนี้หมอกลงช่วยให้อากาศด้านบนชุ่มชื้นและรู้สึกเย็นสบายตัวมากกว่าตอนอยู่ด้านล่างภูเขา ผมเผลอชื่นชมทิวทัศน์ป่าไม้อันเขียวขจีเบื้องหน้าพร้อมสูดรับอากาศบริสุทธิ์จนเต็มปอด 

     

    ได้ใกล้ชิดธรรมชาติแบบนี้ค่อยคุ้มกับค่าเหนื่อยหน่อย

    เงียบสงบเหมาะสมเป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับผู้ที่ล่วงลับจริงๆ

     

    “อวี๋ปิน ภูเขาลูกโน้นทำไมรูปร่างประหลาดดูโดดเด่นกว่าภูเขาลูกอื่น”

    “.......”

    “ปินปินอา ฉันถามว่า..”

     

    ขณะที่ผมพยายามชวนอีกคนสนทนาก็ออกก้าวเดินเรื่อยเปื่อยจึงไม่ทันสังเกตเห็นว่าบุคคลเหล่านั้นไม่ได้เดินตามมาด้วยกัน พอหันหลังกลับไปมองก็ดันเจอเพียงแค่ความว่างเปล่าเข้าซะแล้ว ผมเลยเดินสำรวจรอบสถานที่ต่อเพียงลำพังแต่นึกได้ว่ายังมีพิธีสาบานตนรอให้เข้าร่วมอยู่ จังหวะที่ผมเตรียมจะเดินกลับไปร่างสูงของใครอีกคนก็โผล่มาอยู่ตรงหน้าในระยะประชิดกะทันหัน

     

    “อี้ป๋อ”

    “ฉันมารับนายเข้าพิธีสาบานตนด้วยกัน”

     

    พวกเราสบสายตานิ่งค้างอยู่เช่นนั้นชั่วขณะหนึ่งท่ามกลางไอเย็นของหมอกบนภูเขาที่เริ่มเคลื่อนตัวเข้ามา ร่างสูงอยู่ในชุดทางการสีขาวสง่ารูปลักษณ์คล้ายคลึงกับชุดผมแทบไม่ต่างอะไรกัน วันนี้อี้ป๋อไม่ได้มัดผมครึ่งหนึ่งไปทางด้านหลังแต่กลับเซ็ตผมปาดข้างเผยให้เห็นโครงหน้าคมเข้มอย่างชัดเจน ข้อมือหนายื่นรออยู่นานคล้ายเชิญชวนให้ผมสัมผัส ท่าทีอ่อนโยนกว่าปกติรวมถึงแววตาอ้อนวอนคู่นั้นอันตรายต่อหัวใจผมเป็นอย่างมาก กว่าจะรู้ตัวก็ในวินาทีนั้นเองว่าทำไมใครๆถึงใฝ่ฝันอยากเป็นเมียเจ้าพ่อกันนัก

     

    ถ้าผมยื่นมือไปจับเท่ากับว่าผมยอมรับเขาเป็นสามีหรือเปล่านะ

     

    สุดท้ายผมก็ตัดสินใจยินยอมสัมผัสกับข้อมือหนาของคนตรงหน้าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ผมพยายามสะกดจิตตัวเองว่าร่างกายเหนื่อยล้ามากไปจึงอยากได้คนช่วยพยุงไม่ใช่เพราะผมเผลอใจตกหลุมรักเขาขึ้นมา ทางเดินที่ทอดไปเบื้องหน้าถูกปกคลุมด้วยป่าไผ่ขนาบทั้งสองด้านให้ความรู้สึกร่มรื่นเย็นสบาย เมื่อเดินถึงสุดปลายทางก็จะได้พบกับลานพิธีขนาดกว้างมีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุมคอยให้ร่มเงาอยู่ตรงใจกลาง เหล่าลูกน้องอีกหลายชีวิตยืนล้อมรอบต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นคอยเฝ้ารอให้พวกเราเดินทางมาจนถึงหน้าลานพิธีจึงเริ่มจุดเทียนในมือขึ้น

     

    “เหล่าต้า..ฮะ..ฮึกก”

    “อวี๋ปิน นายร้องไห้ทำไม”

    “เหล่าต้าของพวกเราจะเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว”

    “รอให้พิธีเสร็จสิ้นก่อนแล้วค่อยไปร้องไห้ทีหลัง”

    “ฮะ..ฮึกก..ผมดีใจด้วยจริงๆนะครับ”

     

    อวี๋ปินเดินเข้ามาหาพวกเราพร้อมด้วยอุปกรณ์บางอย่างในมือ ขณะเดียวกันนั้นก็เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดราวกับว่าเพิ่งส่งลูกเข้าโรงเรียนวันแรก ผมตบบ่าเบาๆหวังช่วยปลอบโยนทั้งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะปลอบอีกคนไปเพื่ออะไร สุดท้ายแล้วคนที่ชะตาชีวิตน่าเศร้ากว่าอวี๋ปินก็คือตัวผมมากกว่า อี้ป๋อโคลงศรีษะอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะเลือกหยิบเส้นด้ายสีแดงในมือคนตรงหน้ามาพันเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของผมแบบไม่ถงไม่ถามสุขภาพกันสักคำ

     

    “ไหนบอกว่าเป็นแค่พิธีสาบานตน ทำไมต้องพันด้ายแดงด้วยล่ะ”

    “เพื่อความเป็นสิริมงคล”

    “นายคงไม่ได้หลอกฉันมาทำพิธีแต่งงานใช่ไหม”

    “ต่อให้ฉันหลอกนายมานายก็คงหาทางหนีไปจากที่นี่ไม่เจอหรอก”

    “อี้ป๋อ!! นี่นาย..”

    “วางใจเถอะ ถ้าเป็นงานแต่งระดับคนอย่างฉันจริงๆต้องยิ่งใหญ่กว่านี้หลายเท่า”

     

    ถ้อยคำอธิบายของเขาไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาเลยสักนิด อี้ป๋อไม่รอผมอนุญาตก็ทำการพันด้ายแดงที่นิ้วนางของผมจนเสร็จจากนั้นจึงนำปลายอีกด้านมาพันที่นิ้วนางข้างขวาของตัวเอง เมื่อเราทั้งคู่ถูกเชื่อมโยงกันเรียบร้อยอวี๋ปินก็ยื่นกระดิ่งอันเล็กให้ถือคนละอัน ด้วยความนึกซนผมจึงเขย่ามันเล่นจนอี้ป๋อต้องสะกิดเตือนว่านี่คือกระดิ่งเรียกวิญญาณ ยิ่งเขย่ามากเท่าไหร่ก็ยิ่งเรียกให้วิญญาณมาหาเร็วขึ้นเท่านั้น ผมเลยเกือบโยนกระดิ่งทิ้งทันทีที่ได้ยิน

     

    แล้วทำไมไม่แนบวิธีใช้มาด้วยเล่า!!

     

    อี้ป๋อค่อยๆจูงมือผมผ่านผู้คนมายืนอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ ระหว่างนั้นเหล่าลูกน้องต่างซุบซิบกันสนุกปากทำสีหน้ารื่นเริงคงสุขใจกันมากสินะที่เหล่าต้าของพวกเขาขายออกสักที ต่อให้ภรรยาของเหล่าต้ากลายเป็นคนเพศเดียวกันก็ไร้กังวล เชื่อแล้วล่ะว่าผู้คนที่นี่ไม่ยึดถือเรื่องเพศจริงๆด้วย ผมพยายามไม่สนใจบุคคลอื่นเลือกที่จะหันกลับมาจดจ่ออยู่กับงานพิธีแทน อี้ป๋อนำผมเดินวนรอบต้นไม้และในระหว่างนั้นก็สั่งให้สั่นกระดิ่งไปพร้อมกันเพื่อเรียกวิญญาณบรรพบุรุษ ผมยอมทำตามคำที่เขาบอกอย่างว่าง่ายจนในที่สุดเราสองคนก็เดินวนรอบต้นไม้ใหญ่ครบทั้งหมดสามรอบ

     

    “เมื่อคนในตระกูลล่วงลับพวกเราจะแบ่งเถ้ากระดูกส่วนหนึ่งมาโปรยใต้ต้นไม้แล้วแบ่งอีกส่วนหนึ่งเอาไปฝังที่เนินเขาอีกด้าน ต้นไม้ต้นนี้จึงเปรียบเสมือนศูนย์กลางเชื่อมต่อผู้คนในตระกูลเข้าด้วยกัน”

    “มิน่าล่ะเพราะได้รับปุ๋ยศักดิ์สิทธิ์นี่เองมันถึงได้ยืนต้นใหญ่โต”

    “พิธีสาบานตนหน้าต้นไม้แห่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ห้ามทำพลาดเป็นอันขาด”

    “รู้แล้วน่า ว่าแต่พวกเราต้องทำอะไรต่อ”

    “จุดเทียนก่อนแล้วคุกเข่าก้มลงคำนับบรรพบุรุษ รอจนได้ยินเสียงสายลมพัดผ่านค่อยเงยหน้าขึ้นมาอีกที ถึงเวลานั้นให้นายสั่นกระดิ่งหนึ่งครั้งพร้อมกุมมือกล่าวคำสาบานตนในใจขอให้บรรพบุรุษรับเข้าเป็นคนในตระกูล เมื่อสาบานตนเรียบร้อยก็นำกระดิ่งไปแขวนไว้กับต้นไม้ หากท่านยอมรับคำขอสายลมจะพัดผ่านเพื่อสั่นกระดิ่งให้ดังขึ้นอีกครั้ง”

    “ไม่เห็นจะยาก ของแค่นี้สบายมาก”

     

    อี้ป๋อก้มลงกระซิบข้างหูถึงขั้นตอนพิธีการเพราะกลัวว่าผมจะทำตัวเก้ๆกังๆจับต้นชนปลายไม่ถูก อีกอย่างคงเพราะเราสองคนผูกด้ายแดงจนเสมือนตัวติดกันจึงจำเป็นต้องทำทุกอย่างให้สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันด้วย พวกเราดำเนินพิธีมาเรื่อยๆจนถึงช่วงเวลาสำคัญที่ผมต้องเอ่ยคำสาบานตนขอให้บรรพบุรุษรับเข้าเป็นคนในตระกูล ข้อมือบางเกาะกุมกันแน่นพลางหลับตาลงพยายามตั้งจิตให้มั่นนึกถึงสิ่งที่ต้องเผชิญนับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าเมืองชิรัณย์มา 

     

    ถึงคุณบรรพบุรุษ

    ผมอาจจะไม่ใช่ลูกสะใภ้อย่างที่ท่านจินตนาการวาดฝันเอาไว้

    ผมอาจจะไม่ได้เพียบพร้อมเป็นแม่พันธุ์เตรียมผลิตทายาทสืบสานสายเลือดของท่าน

    อย่างน้อยผมก็ยังมีความหล่อเหลากับคารมเป็นต่ออยู่บ้าง

    ถ้าหากท่านเมตตายอมรับผมเข้าเป็นคนในตระกูล

    ผมสัญญาว่าจะช่วยอี้ป๋อสืบค้นความลับที่เขาพยายามตามหาอย่างสุดความสามารถ

    ณ ช่วงเวลาที่เขาต้องการใครสักคน

    ผมจะคอยอยู่เคียงข้างทำหน้าที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัว

    ถึงแม้การแต่งงานระหว่างเรามีระยะเวลาจำกัด

    แต่ผมก็จะใช้เวลาที่มีอยู่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

    ขอท่านจงคุ้มครองให้อี้ป๋อปลอดภัย

    หวังว่าจะช่วยคุ้มครองครอบครัวของผมด้วยเช่นกัน

     

    ปล.ถ้าหากงวดไหนมีเลขเด็ดอย่าลืมมาเข้าฝันกันบ้างแล้วผมสัญญาว่าจะแก้บนชุดใหญ่

    ด้วยรักและเคารพ

     

    ผมแขวนกระดิ่งเอาไว้กับต้นไม้หลังจากเอ่ยถ้อยคำสาบานตนเสร็จสิ้น ขณะที่กำลังเฝ้ารอให้บรรพบุรุษตอบรับคำขอในใจก็แอบหวาดหวั่นไปพร้อมกัน นี่อาจเป็นการเอ่ยคำสาบานตนที่ดูไม่เป็นทางการที่สุดนับตั้งแต่เคยจัดทำพิธีมาแถมผมยังพูดเรื่องตัวเองแทรกไปด้วย ไม่รู้แหละถ้าท่านไม่ยอมดลบันดาลให้สายลมพัดกลับมาอีกครั้งผมก็จะฉวยโอกาสสั่นกระดิ่งให้ดังด้วยลมปากมันซะเลย

     

    กริ๊ง~

     

    “.......”

    “ยินดีด้วย บรรพบุรุษของฉันยอมรับนายเข้าเป็นคนในตระกูลแล้ว”

     

    ผมจ้องมองกระดิ่งตรงหน้าขยับเคลื่อนไหวเพราะแรงลมด้วยความรู้สึกที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก หากคิดว่าสาเหตุที่สายลมพัดเกิดจากธรรมชาติก็คงใช่แต่ลึกๆแล้วส่วนหนึ่งผมเองอยากเชื่อเหมือนกันว่าบรรพบุรุษของเขาเป็นฝ่ายส่งเสียงกระซิบผ่านสายลมมาให้ผมจริงๆ รอยยิ้มกระต่ายซุกซนผุดขึ้นบนใบหน้าอีกครั้งส่องประกายความสุขจนไม่อาจควบคุมได้อยู่

     

    “นี่พวกท่านยอมรับฉันเข้าตระกูลจริงๆเหรอ”

    “ใช่ สงสัยพวกท่านคงชอบของแปลก”

    “แปลกยังไง”

    “หึ..ไปคิดเอาเอง”

     

    อี้ป๋อไม่ตอบคำถามแต่กลับทำสีหน้ายียวนกวนประสาทจนผมนึกอยากชกสักหมัดเข้าให้ พวกเราคำนับบรรพบุรุษครั้งสุดท้ายถือว่าพิธีสาบานตนเป็นอันเสร็จสิ้นเรียบร้อย จากนั้นอี้ป๋อก็นำทางผมไปยังเนินเขาที่อยู่ด้านหลังสุดซึ่งเป็นสุสานรวมเถ้ากระดูกของตระกูล ระหว่างทางมีลูกน้องของเขาคอยโปรยดอกไม้บ้างก็ชูเชิงเทียนในมือขึ้นเหนือศรีษะแสดงถึงการต้อนรับหรือจะให้มองอีกแง่ก็ดูคล้ายอวยพรคู่บ่าวสาวยังไงอย่างงั้นไม่มีผิด 

     

    ในเมื่อเขาบอกว่ามันไม่ใช่การแต่งงาน

    งั้นนี่คืองานหมั้นของเราสองคนหรือไง

    แล้วไอ้ด้ายแดงนี่จะผูกมัดให้ตัวติดกันไปถึงเมื่อไหร่

    ขืนทำพิธีนานกว่านี้ผมชักจะเชื่อว่ากำลังจะกลายเป็นเมียเจ้าพ่อจริงๆแล้วนะ

     

    เมื่อมาถึงยังจุดหมายเขาก็ใช้ข้อมือหนาดันผมให้ขึ้นไปยืนบนแท่นเล็กๆลักษณะคล้ายกับจุดชมวิว หรือไม่ก็คงเป็นจุดชมดาวเพราะช่วงเวลานี้พระอาทิตย์เริ่มจะลาลับขอบฟ้าเต็มทน เขากระซิบอธิบายแค่สั้นๆว่าให้ผมมองตรงไปที่ท้องฟ้า ณ เบื้องหน้าแล้วค้นหากลุ่มดาวสิงโตทางทิศใต้ ถ้าหากเห็นดวงดาวส่องแสงกระพริบเมื่อไหร่ก็เริ่มอธิษฐานขอพรให้ตัวเองทันที พิธีจะเสร็จสิ้นเมื่อได้รับของขวัญจากกลุ่มดาวที่ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูล ผมจึงเฝ้ารอช่วงเวลาที่ดาวกระพริบอย่างใจจดจ่อคาดหวังจะขอพรให้รอดพ้นจากการตกเป็นเมียเจ้าพ่อเร็วๆสักที

     

    “นายมองเห็นหรือยัง”เสียงเข้มเอ่ยถามขึ้นมาหลังจากเฝ้ารอเวลาอยู่นานแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าผมจะตั้งท่าอธิษฐาน

    “ก็เหมือนจะเห็นแล้วนะแต่ทำไมมันไม่กระพริบเลยล่ะ ฉันอธิษฐานได้เลยไหม”

    “เหล่าต้าครับ หรือว่าจะเป็นเพราะ..”

     

    ผมได้ยินผู้คนซุบซิบกันว่าหากใครก็ตามที่ไม่มีโอกาสได้เห็นดวงดาวส่องแสงกระพริบนั่นหมายถึงบรรพบุรุษไม่ยอมรับคนผู้นั้นเข้าเป็นคนในตระกูลจริงๆจึงไม่ยอมให้พรวิเศษ พอคนหนึ่งจุดประเด็นขึ้นมาอีกหลายคนก็เริ่มตั้งวงสนทนาบ้าง 

     

    “รออีกหน่อย เดี๋ยวดวงดาวก็กระพริบเอง”อี้ป๋อเอ่ยเสียงเรียบแต่ไม่คิดโต้ตอบอะไรกลับไปยังลูกน้องตน เขาปล่อยให้ผมได้ใช้เวลาเฝ้ารอนานขึ้นคล้ายกับเชื่อมั่นในตัวผมเต็มร้อยว่าบรรพบุรุษของเขาจะยอมรับผมเข้าเป็นคนในตระกูลจริงๆ

    “อี้ป๋อ ถ้าหากว่า..”

    “ถ้าหากว่านายไม่เห็นดวงดาวกระพริบก็ช่วยแกล้งทำเป็นเหมือนเห็นว่ามันกระพริบแล้วอธิษฐานไปซะ ไม่มีใครรู้หรอกเพราะนายจะเป็นคนเดียวที่เห็นมัน”

    “ถ้าบรรพบุรุษของนายไม่ยอมรับฉันจริงๆล่ะ”

    “แต่ฉันยอมรับ”

    “.......”

    “ยังไงนายก็ต้องมาเป็นภรรยาของฉัน คนอื่นไม่ยอมรับแล้วยังไง..ช่างมันสิ”

    “.......”

    “ให้ฉันเป็นคนเดียวที่ต้องการนายแค่นั้นก็พอ”

     

    นัยน์ตาคมจับจ้องตรงมาคล้ายต้องการตอกย้ำให้ผมเชื่อในถ้อยคำที่เขาพูด ข้อมือหนาประสานมือกับผมอย่างแนบแน่นบีบกระชับคอยให้กำลังใจจนถึงวินาทีสุดท้าย ผมเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นและเตรียมตั้งท่าจะอธิษฐาน พลันวินาทีนั้นผมก็สังเกตเห็นแสงประกายวิบวับเข้าพอดี ทว่าไม่ได้มาจากบนฟากฟ้าแต่กลับส่องออกมาจากภูเขาลูกหนึ่งที่ผมเคยเอ่ยทักว่ารูปร่างประหลาดดูโดดเด่นกว่าภูเขาลูกอื่น

     

    “อี้ป๋อ ฉันว่าฉันเห็นแสงกระพริบแล้วล่ะ”

    “งั้นนายก็อธิษฐานเลยสิ”

    “แต่มันไม่ได้มาจากกลุ่มดาวสิงโตนะ”

    “หมายความว่ายังไง”

    “แสงกระพริบที่ฉันเห็นมันมาจากภูเขาลูกโน้นต่างหาก”

     

    ผมใช้ข้อมือข้างที่ยังว่างชี้ไปยังตำแหน่งของมัน ทั้งที่คิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระเพราะภูเขาที่ไหนจะส่องแสงได้กันล่ะ จนแล้วจนรอดผมก็ไม่อาจมองเห็นดวงดาวกระพริบเหมือนคนอื่นและเรื่องนี้คงทำให้อี้ป๋อหัวเสียน่าดู

     

    “ทำไม..นายถึงเห็นมัน”

    “ไม่รู้สิ อยู่ดีๆก็ส่องแสงขึ้นมาเองน่ะ ว่าแต่นายไม่เห็นเหรอ”

    “เซียวจ้าน”

    “หืมม”

    “ฉันมองไม่เห็น”

    “แต่ฉันยังเห็นแสงอยู่เลยนะ”

    “งั้นนายก็คงเป็นคนเดียวที่มองเห็นมัน”

    “นายจะหาว่าฉันบ้าหรือเปล่าที่เห็นภูเขาส่องแสงได้น่ะ”

    “ธีร์อานา”

    “.......”

    “ภูเขาลูกนั้นชื่อว่าธีร์อานา”

    “มันคืออะไร”

    “สมบัติของแม่ที่ทิ้งเอาไว้ให้ฉันก่อนตาย”

     

    ภูเขาลูกนั้นเคยเป็นของคุณหญิงท่านมาก่อนเหรอ

    ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ผมเห็นก็เปรียบเสมือนตัวแทนของแม่เขาน่ะสิ

     

    ดูเหมือนทุกคนจะตื่นตกใจกันมากที่ผมค้นพบแสงประหลาดบนภูเขา แม้กระทั่งอี้ป๋อก็ยังจ้องผมนิ่งค้างอยู่เช่นนั้นเนิ่นนานคล้ายกับกำลังตกผลึกความคิดบางอย่างในหัว ผมรีบเอ่ยถามอวี๋ปินทันทีว่ามันแฝงความหมายถึงสิ่งใดกันแน่ 

     

    “ธีร์อานาเป็นชื่อแร่ที่มีลักษณะพิเศษคือสามารถเรืองแสงได้ มันจัดเป็นอัญมณีชนิดหายาก ว่ากันว่าหากใครพบอัญมณีชนิดนี้เข้านั่นสื่อถึงความโชคดี คุณหญิงท่านเคยค้นพบแร่ชนิดนี้บนภูเขามาก่อนจึงนำชื่อธีร์อานามาใช้ตั้งชื่อสถานที่ที่ค้นพบมันด้วย”

    “ฉะ..ฉันน่ะเหรอ ฉันได้รับความโชคดีแล้วใช่ไหม”

    “ครับคุณชาย ได้รับทั้งความโชคดีแล้วก็ได้รับความยินยอมจากคุณหญิงท่านเลยล่ะ มีตำนานกล่าวถึงธีร์อานาด้วยนะครับ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักระหว่างนักรบกับองค์หญิงของเมืองชิรัณย์ ผู้คนเลยเล่าลือกันว่านอกจากการค้นพบธีร์อานาจะสื่อถึงความโชคดีแล้วก็ยังสามารถสื่อถึงความรักที่มั่นคงได้อีกด้วย เสมือนหัวใจของนักรบที่มอบให้กับองค์หญิงเพียงผู้เดียว”

     

    คราวนี้ทุกคนกลับซุบซิบนินทาเสียงดังยิ่งกว่าเดิมเพราะการค้นพบอัญมณีพิเศษมีค่ายิ่งกว่าขอพรกับดวงดาวกระพริบซะอีก อวี๋ปินเป็นคนจุดประเด็นขึ้นมาว่าคุณหญิงท่านดลบันดาลให้ผมเห็นแสงของอัญมณีพิเศษเพราะต้องการรับผมเป็นลูกสะใภ้และช่วยอวยพรให้ผมกับอี้ป๋อมีความรักที่มั่นคงยั่งยืน นั่นเท่ากับสามารถลบข้อครหาที่บรรพบุรุษไม่ยอมรับผมเข้าตระกูลก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น

     

    “อี้ป๋อ แม่นายยอมรับฉันจริงๆเหรอ”

    “.......”

    “แสดงว่าแม่นายก็ชอบของแปลกน่ะสิ”

     

    ผู้คนมากมายส่งเสียงเฮฮากับปรากฏการณ์ประหลาดในขณะที่คนข้างกายของผมนิ่งเงียบจนดูผิดปกติ บางทีอี้ป๋ออาจจะไม่เชื่อก็ได้ว่าแม่ของเขายินยอมรับผมเป็นลูกสะใภ้ง่ายดาย ส่วนผมนั้นก็ไม่ค่อยเชื่อในถ้อยคำที่ผู้คนกล่าวอ้างเหมือนกัน 

     

    ถ้าความโชคดีเกิดขึ้นกับผมจริงๆ

    ขอให้ครอบครัวของผมปลอดภัยตลอดรอดฝั่งด้วยเถอะ

    ส่วนไอ้เรื่องความรักมั่นคงบ้าบออะไรนั่นผมไม่ค่อยสนใจนักหรอก

     

    ไม่นานนักเมื่อพิธีทั้งหมดเสร็จสิ้นพวกเราต่างก็แยกย้ายกันกลับ ผมรู้สึกอารมณ์ดีมากกว่าตอนขามาจึงกระโดดลงบันไดพร้อมกับฮัมเพลงเบาๆไปด้วย อี้ป๋อกระตุกด้ายแดงเพื่อรั้งตัวผมไว้ทำให้ผมไม่อาจเดินได้สะดวกตามใจนึก ขณะที่ผมเตรียมตั้งท่าจะเอ่ยถามอยู่ดีๆอีกคนก็จับผมขึ้นขี่หลังซะอย่างนั้นโดยที่มีด้ายแดงเป็นตัวเชื่อมระหว่างเราทั้งสองคนอยู่

     

    “อ๊ะ!! นายจะทำอะไร!!”

    “เข่านายยังเจ็บไม่ใช่เหรอ”

    “ก็ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น ขนาดตอนขึ้นบันไดฉันยังผ่านมาได้เลย ปล่อยฉันลงเถอะ ฉันจะเดินเอง”

    “อวี๋ปิน”

    “ครับเหล่าต้า”

    “รายงาน”

    “ตอนคุณชายเดินขึ้นบันไดบ่นว่าปวดเข่ามาตลอดทางแถมยังมีอาการหอบด้วยครับ หลายครั้งก็สะดุดขั้นบันไดจนแทบจะกลิ้งตกลงไป ไหนจะแพ้อากาศจนไอค่อกแค่กวิงเวียนศรีษะคล้ายจะเป็นลม ผมล่ะเป็นห๊วงเป็นห่วง~ คุณชายอย่าเดินเองเลยดีกว่าครับ ปล่อยให้เหล่าต้าพาขี่หลังไปส่งด้านล่างดีกว่า”

     

    ห๊ะ!!

    นี่ผมไปบ่นว่าปวดเข่าเหมือนคนเป็นเก๊าท์ตั้งแต่ตอนไหนกัน!!

    แล้วไอ้อาการวิงเวียนคล้ายจะเป็นลมก็ดูเกินจริงไปหน่อยมั้ง!!

     

    “ฉันอาจจะหอบเพราะเหนื่อยแต่ฉันไม่ได้แสดงท่าทีอ่อนแอเหมือนที่นายพูดสักหน่อย อวี๋ปินนายนี่มัน..”ผมทำท่าจะเอาด้ายแดงรัดคออีกคนแต่ดันติดอยู่บนหลังอี้ป๋อจึงทำให้ไม่ถนัดสักเท่าไหร่ อวี๋ปินเห็นผมเริ่มจะถอดด้ายแดงออกจากนิ้วจึงรีบเอ่ยเตือนขึ้นทันที

    “คุณชายทำแบบนั้นไม่ได้นะครับ!! ห้ามถอดด้ายแดงเป็นอันขาด!!”

    “ทำไมล่ะ”

    “บ่าวสาวที่ผูกด้ายแดงในพิธีสาบานตนห้ามปล่อยให้ด้ายหลุดออกจากกันจนกว่าจะถึงช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นของอีกวัน มิเช่นนั้นบรรพบุรุษจะตามมาหาครับ คนโบราณเขาถือกันมาก”

    “ไม่เห็นบอกก่อนว่ามีกฎประหลาดแบบนี้ด้วย นี่เท่ากับพวกเราสองคนต้องตัวติดกันตลอดทั้งคืนเหรอ เหอะ!! ไม่เอาด้วยหรอก!!”

    “คุณชายจะไม่เชื่อก็ได้นะครับแต่ผมอยากเตือนด้วยความหวังดี”

    “อวี๋ปิน ไปได้แล้ว”

    “ครับเหล่าต้า”

     

    ชายหนุ่มอาศัยจังหวะที่ผมกำลังชะงักเดินหนีไปทันทีไม่ยอมอธิบายเรื่องราวต่อ ผมจึงเอาแต่จ้องมองด้ายแดงบนนิ้วตัวเองพลางครุ่นคิดจนรู้สึกปวดหัว แม้ว่าความยาวของมันทิ้งระยะห่างให้ยังพอเคลื่อนไหวสะดวกอยู่บ้างแต่ถ้าต้องอยู่ใกล้ชิดกับอี้ป๋อตลอดทั้งคืนยังไงก็อึดอัดไม่ใช่น้อย

     

    “เห็นไหมว่าเข่านายยังเจ็บอยู่”เมื่อเหลือกันสองคนแล้วอี้ป๋อจึงพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อที่จะหาข้ออ้างแบกผมลงไปข้างล่างแทน

    “นี่นายเชื่อเรื่องที่อวี๋ปินพูดด้วยเหรอ ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย”

    “อ่อนแอหรือเข้มแข็งยังไงซะตอนนี้นายก็เป็นคนของฉันแล้ว ฉันจะทำหน้าที่พานายไปส่งเอง”

     

    ข้อมือหนาโอบกระชับให้ร่างของผมแนบชิดไปกับแผ่นหลังโดยไม่สนว่าผมจะอนุญาตหรือไม่ ฝีเท้าหนักก้าวเดินลงบันไดแต่ละขั้นอย่างเชื่องช้าไร้ซึ่งความเร่งรีบ เมื่อเห็นว่าขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์ผมจึงปล่อยร่างกายให้อยู่ในท่วงท่าสบายพร้อมกับฉวยโอกาสโอบรอบคออีกคนไว้คล้ายหาที่พึ่งพิง 

     

    หากเขาเผลอเมื่อไหร่ผมจะจับล็อคคอให้ดู

     

    “อยากแบกเมียนักใช่ไหมคุณสามีงั้นก็เชิญแบกให้หลังหักไปเลย ดีซะอีกฉันจะได้ไม่ต้องเปลืองแรง แบร่~~”

     

    ผมติดความสบายจนเคยตัวเลยพักคางลงบนไหล่ของอี้ป๋ออย่างไม่ทันคิดอะไรรวมถึงถ้อยคำกำกวมที่ใช้ก็เป็นเพียงนิสัยซุกซนเท่านั้น อวี๋ปินที่เดินนำหน้าอยู่ห่างๆคอยแอบฟังและฉวยโอกาสส่องดูพวกเราสองคนอยู่เป็นระยะเริ่มคิดไกลไปถึงไหนต่อไหน ชายหนุ่มอมยิ้มกรุ้มกริ่มพลางหยิบยกเอามือถือตัวเองขึ้นมากดรายงานสถานการณ์ลงไปในกลุ่มลับเพียงไม่นานแชทก็เด้งรัวเพราะการโต้ตอบอันแสนดุเดือด 

     

    สงสัยคืนนี้ต้องมีการอุ่นเตียงเตรียมพร้อมรับศึกหนัก

    ปล่อยให้เหล่าต้าได้ใช้เวลาส่วนตัวดีกว่า

     

    อวี๋ปินเริ่มทิ้งระยะห่างสักพักพื้นที่โดยรอบก็หลงเหลือเพียงแค่พวกเราสองคนเท่านั้น อี้ป๋อแบกผมลงเขาด้วยความนิ่งเงียบไม่คิดชวนสนทนาอะไร เมื่อครู่ตะวันเพิ่งลับขอบฟ้าส่งผลให้ความมืดในยามราตรีค่อยๆย่างกรายเข้ามา ผมรับฟังเสียงหายใจของเขาผสานกับลมหายใจของตัวเองพลันเกิดความรู้สึกวังเวงชอบกล ขณะที่พวกเราเดินมาจนถึงครึ่งทางผมจึงพยายามเอาคางถูไถกับบ่าหนาเพื่อสะกิดเรียกชวนให้เขาทำลายความเงียบไปด้วยกัน

     

    “นี่”

    “อะไร”

    “ชวนคุยหน่อยสิ ฉันไม่ชอบฟังเสียงแมลงกลางคืน”

    “อยากคุยอะไรล่ะ”

    “ฉันไม่เห็นเลอากับธีออนอยู่ในพิธี พวกมันหายไปไหนเหรอ” 

    “ล่าสัตว์”

    “แล้วมีใครคอยดูแลหรือเปล่า ถ้าเกิดพวกมันเจอพรานป่ามาฆ่..”

    “สิงโตเป็นสัตว์นักล่า พวกมันเอาตัวรอดได้ นายไม่ต้องเป็นห่วง”

    “แต่ฝูงของมันก็ยังเคยพลาดท่ามาก่อน คืออวี๋ปินเล่าให้ฉันฟังน่ะ นายไม่นึกห่วงพวกมันบ้างเหรอ”

    “เป็นห่วงสิ”

    “แล้วทำไม..”

    “เซียวจ้าน ถึงยังไงการล่าสัตว์ก็คือธรรมชาติของสิงโต ฉันฝึกมันให้เชื่องแต่บังคับให้มันอยู่ข้างกายตลอดเวลาไม่ได้หรอก ต่อให้ฉันอยากปกป้องมันแค่ไหนแต่มันก็ต้องมีชีวิตของตัวเอง สัตว์นักล่าจำเป็นต้องปกป้องตัวเองให้ได้”

    “ฉันได้ยินมาว่าพวกมันเปรียบเสมือนครอบครัวสุดท้ายที่นายเหลืออยู่”

    “ฉันจะพูดยังไงให้นายเข้าใจดี นายไม่ต้องกังวลมากไป ภายใต้การปกครองของฉันพื้นที่รอบนอกถูกควบคุมเอาไว้หมดแล้ว ไม่มีทางที่พรานป่าหน้าไหนจะเข้ามาในเขตของฉันได้อีก”

    “จริงเหรอ”

    “จริงสิ ขอบคุณนะที่เป็นห่วงเลอากับธีออน”

     

    ผมเป็นห่วงความรู้สึกของนายต่างหากเล่า

    เจ้าโรบอททึ่ม

     

    “มีอะไรจะถามอีกไหม”

    “อืมม จะว่าไปฉันไม่ค่อยเห็นผู้หญิงเลยแฮะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ นายก็รู้ใช่ไหมล่ะว่าผู้ชายอย่างเราควรมีอาหารตาเอาไว้บ้าง”

    “เรื่องนั้นมันสำคัญยังไง”

    “ไม่สำคัญสำหรับนายแต่มันสำคัญสำหรับฉันนี่”

    “ตั้งแต่ฉันสืบจนรู้ประวัติอันโชกโชนของนายฉันก็ย้ายพวกลูกน้องที่เป็นผู้หญิงให้ไปทำงานที่อื่นแทนเพราะฉะนั้นเลิกคิดฝันเถอะ”ผมถึงกับอ้าปากค้างทันทีเมื่อได้ฟังเหตุผลที่แท้จริง คนอะไรตายด้านทางอารมณ์ชะมัด

    “นายคิดว่าฉันจะทำอะไรกับลูกน้องของนายฮะ ตอนมาเมืองชิรัณย์ฉันถอดเขี้ยวเล็บแล้วนะ”

    “นายแค่ซ่อนแต่ไม่ได้ถอดจริงซะหน่อย”

    “ทำมาเป็นรู้ทัน ชิ!!”อี้ป๋อยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อจินตนาการถึงใบหน้ามุ่ยๆของคนบนหลังยามเอ่ยประโยคนั้น 

     

    แกล้งให้เด็กดื้อหงุดหงิดกว่านี้อีกสักหน่อยแล้วกัน

     

    “ฉันว่านายควรห่วงตัวเองมากกว่าจะสนใจเรื่องลูกน้องของฉันนะ เซียวจ้าน”

    “ทำไมล่ะ”

    “ก็เรื่องด้ายแดงนี่ไง”

    “นะ..นี่..อย่าบอกนะ..พะ..พวกเราห้ามถอดด้ายแดงออกจากกันจริงเหรอ”

    “ไม่รู้สิ ฉันเองก็ไม่เคยผูกกับใครมาก่อน”

    “.......”

    “แต่จากที่ได้ยินมาความเชื่อนี้ก็มีส่วนที่เป็นจริงอยู่”

    “ฉะ..ฉันไม่เชื่อหรอก”

    “อยากลองดูไหม ลองถอดด้ายแดงออกจากกัน วันพรุ่งนี้ค่อยมาเล่าให้ฟังว่าบรรพบุรุษของฉันที่ไปหานาย..”

    “…….”

    “ท่านมาในสภาพสมบูรณ์หรือเปล่า”

     

    ทั้งที่สายลมบริเวณภูเขาพัดผ่านคอยให้ความเย็นสบายแต่ผมกลับรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งตัวคล้ายว่าถูกไฟในนรกกำลังแผดเผา อี้ป๋อส่งเสียงหัวเราะครางต่ำในลำคอเป็นจังหวะช้าๆเล่นเอาผมขนลุก ขาลุก แขนลุก (ไอ้นั่นก็ลุก)ไปพร้อมกัน ข้อมือบางเกาะเกี่ยวรอบคออีกคนแน่นพลางซุกตัวลงไปหาที่พึ่งพิง ชั่วขณะนั้นความคิดที่ไม่เคยอยู่ในหัวมาก่อนก็ดันปรากฏขึ้น

     

    ถ้าถอดด้ายแดงออกจากกันไม่ได้งั้นพวกเราสองคนก็ต้อง..

     

    “อะ..อี้ป๋อ”

    “ดูท่านายคงไม่เชื่อสินะ งั้นเดี๋ยวพอเรากลับไปถึงบ้านค่อยถอดด้ายแดงออกจากกันแล้วแยกย้าย..”

    “ไม่เอา!!”

    “ว่าไงนะ”

    “คะ..คืนนี้..”

    “.......”

    “คืนนี้ฉันจะไปนอนกับนาย!!”





    << To Be Continued >>

    #ตราพันธนาการหัวใจ



    อีพีนี้แต่งยาวมากจึงใช้เวลานานในการลงแต่คิดว่าอีพีต่อไปคงใกล้ขนมาเสิร์ฟเร็วๆนี้

    อีพีหน้าเจอกับการอุ่นเตียงครั้งแรกของคู่รักข้าวใหม่ปลามัน

    ขอบคุณนักอ่านที่ยังติดตามกันเสมอมา

    กราบขอบคุณทุกคนมากๆเลยนะคะ


    *ปาระเบิดหัวใจใส่บ้าน*



    ปล.แวะมาแนบภาพเลอากับธีออนกำลังออกผจญภัย




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×