คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : >
<< Chapter 5 >>
Part 1
“อวี๋ปิน นายต้องพาฉันหนีไปจากที่นี่”
“คะ..คุณชายตะ..แต่ว่า..”
“เดี๋ยวนี้!!”
เพล้ง!!
หลังจากตั้งสติได้ผมก็รีบใช้ขวดฟาดลงกับขอบโต๊ะก่อนจะหยิบเศษแก้วปลายแหลมขึ้นมาจ่ออยู่บริเวณลำคอ ผมรู้ว่าการจับตัวเองเป็นตัวประกันคือเรื่องสิ้นคิดแต่จะให้ทำยังไงในเมื่อนี่เป็นทางรอดเดียวเท่านั้น ผมไม่มีทักษะการต่อสู้เหมือนจาพนมถึงจะเก่งกล้าสามารถกระโดดเตะก้านคอเพื่อเอาชนะคนตรงหน้าแล้วตีลังกาสามตลบหนีออกไป สิ่งที่ผมถนัดมากที่สุดก็คือการพลิกแพลงสถานการณ์ แม้อวี๋ปินจะเป็นมือขวาของเจ้าพ่อแต่เขาก็มีจิตใจอ่อนโยน เขาไม่มีทางทนเห็นผมได้รับบาดเจ็บแน่นอน
“ระวังนะครับคุณชาย!!”
“ถ้านายไม่พาฉันหนีไปตอนนี้ฉันจะกรีดคอตัวเองให้ดู”
“โธ่..คุณชาย ทำไมต้องพยายามหนีไปจากเหล่าต้าด้วยล่ะครับ คุณชายประทับตราพันธะไปแล้วนั่นเท่ากับว่าคุณชายได้กลายเป็นภรรยาของเหล่าต้าอย่างสมบูรณ์ ถึงหนีไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์”
“ไม่รู้แหละ ถ้าขืนยังอยู่ฉันต้องตายแน่ ผู้ชายอกสามศอกแมนๆทั้งแท่งอย่างฉันจะให้ทนเป็นเมียของเจ้าพ่อได้ยังไง”
“คุณชายยังไม่เคยลองใช้ชีวิตกับเหล่าต้าก็รีบปฏิเสธแล้วเหรอครับ ลองให้โอกาสเหล่าต้าได้ทำหน้าที่สามีดูก่อนเผลอๆบางทีคุณชายอาจจะชอบขึ้นมาก็ได้”อวี๋ปินลอบยกยิ้มมุมปากเล็กๆเมื่อนึกถึงความหมายแฝงในประโยค
หน้าที่สามีงั้นเหรอ?
นับรวมถึงช่วงเวลาโจ๊ะพรึมพรึมด้วยหรือเปล่า?
งั้นสามีก็ต้องเป็นฝ่ายบุกทะลวงน่ะสิ!!
ไม่นะ!!
ประตูเมืองของผมยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องจะยอมให้ข้าศึกยึดไปง่ายๆได้ไง!!
นี่มันจะบ้าไปกันใหญ่!!
แค่คิดก็อยากแทงคอตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดซะตอนนี้เลย!!
“ไม่ต้องมาอมยิ้มเลยนะอวี๋ปิน!! หน้าที่สามีบ้าบออะไรเล่า!! ใครมันจะไปชอบกันฮะ!! แค่นี้ฉันก็เสียศักดิ์ศรีจะแย่อยู่แล้ว นายไม่ต้องพยายามหว่านล้อมเลยนะ ฉันขอสั่งให้นายพาฉันหนีไปจากที่นี่ ถ้านายไม่ช่วยก็เชิญเอาวิญญาณฉันไปเป็นเมียเหล่าต้าของนายแทนแล้วกัน”
“คุณชาย!!”
จึก!!
ผมแกล้งทำใจดีสู้เสือใช้เศษแก้วเฉือนเนื้อตัวเองเข้าให้เบาๆ แม้จะไม่ลึกมากแต่ก็อดรู้สึกแสบไม่ได้ อวี๋ปินเกือบสิ้นสติทันทีหลังจากเห็นหยดเลือดค่อยๆไหลลงมาแปรเปลี่ยนลำคอสีขาวให้กลายเป็นสีแดงก่ำ ไม้ตายขั้นสุดท้ายคือการบีบน้ำตาเพื่อทำให้ดูน่าสงสารขึ้นอีกหน่อย เพียงเท่านี้ก็ฉวยโอกาสรุกฆาตได้เลย
“อย่านะครับคุณชาย!! ทำไมต้องทำร้ายตัวเองถึงขนาดนี้ด้วย วางเศษแก้วลงเถอะ ผมไม่อยากให้คุณชายบาดเจ็บ”
“ปินปินอา~ นายไม่สงสารฉันเหรอ อยากให้ฉันแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักหรือไง”
“อย่าร้องไห้สิครับ น้ำตาของคุณชายพาลจะทำให้ผมใจอ่อน”
“ถ้าใจอ่อนนายก็ต้องช่วยฉันหนีไปจากที่นี่ นะนะ”เปิดโหมดอ้อนขั้นสุดแล้วนะถ้ายังใจแข็งอีกก็ไม่รู้จะว่าไง
“เฮ้ออ..ผมไม่เข้าใจคุณชายเลย ทั้งที่การอยู่ข้างกายเหล่าต้าจะทำให้คุณชายปลอดภัยแต่ทำไมคุณชายถึงอยากออกไปเสี่ยงชีวิตข้างนอกด้วย”
“ถึงจะเสี่ยงหน่อยแต่ก็ยังได้ใช้ชีวิตอิสระไม่ต้องตกไปเป็นเมียใคร นายไม่เข้าใจความเจ็บปวดของฉันหรอก นอกจากถูกหลอกมาที่เมืองนี้จนถูกเจ้าพ่อจับเป็นตัวประกัน ล่าสุดยังถูกหลอกมาเป็นเมียเจ้าพ่ออีก”
“จะเรียกว่าถูกหลอกก็ไม่ค่อยถูกนักในเมื่อคุณชายไม่ยอมอ่านข้อตกลงก่อนประทับตราเองนี่ครับ”
“อวี๋ปิน!! นายหาว่าฉันไม่ขยันอ่านหนังสืออย่างงั้นเรอะ!!”นี่คงต้องโทษโควต้าอ่านหนังสือเกินแปดบรรทัดของผมที่ใช้หมดไปกับนิยายรักอีโรติกแบบมีภาพประกอบสีสดทั้งเล่มเมื่อเดือนก่อน ผมถึงได้ไม่เหลือโควต้าเอาไว้ใช้อ่านเอกสารสำคัญอีกเลย..เอเมน
“แฮะๆ ขอโทษครับคุณชาย ผมแค่จะสื่อว่าเหล่าต้าไม่ได้มีเจตนาจะหลอกลวงคุณชายซะหน่อย ทั้งหมดที่เหล่าต้าทำไปก็มีแต่ความหวังดีทั้งนั้น”
“ถึงฉันจะมีส่วนผิดที่สะเพร่าไม่ยอมอ่านเอกสารก่อนประทับตราแต่เขาเองก็ผิดเหมือนกัน ทั้งที่มีโอกาสอธิบายต่อหน้าตั้งหลายหนแต่เจ้าตัวกลับเลือกนิ่งเฉย คนหวังดีที่ไหนเขาทำกันแบบนี้ล่ะ เขากลัวหาเมียมาแต่งงานอย่างเป็นทางการไม่ได้ก็เลยหวังจะจับให้ฉันมาอยู่ในฐานะเมียแทน เหตุผลด้านความปลอดภัยอะไรนั่นก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้าง ฉันเสียสละทั้งกายยอมทำตราพันธะ เสียสละทั้งใจยอมเชื่อคำพูดเขา ทั้งหมดฉันทำไปเพื่ออะไรกันแน่”
“เหล่าต้าอยากปกป้องคุณชายกับครอบครัวจริงๆนะครับไม่งั้นเหล่าต้าก็คงไม่ยอมเสียสละตัวเองเหมือนกัน คุณชายคงไม่รู้ว่าการประทับตราพันธะในครั้งนี้ต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง”
“ฉันไม่สนใจหรอกว่าเขาต้องแลกด้วยอะไรเพราะยังไงคนที่เสียผลประโยชน์มากที่สุดก็คือฉันอยู่ดี แน่จริงก็ลองเปลี่ยนตำแหน่งให้ฉันมาเป็นสามีเจ้าพ่อแทนสิ เหอะ..ขอพนันเลยว่าลูกพี่นายไม่มีทางยอมหรอกเพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ห่วงแต่ศักดิ์ศรีของตัวเองเท่านั้น”
“ผมว่าเหล่าต้าไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีหรอกครับ เหล่าต้าคงเลือกตำแหน่งจากความเหมาะสมมากกว่า”
“งั้นนายกำลังจะบอกว่าคนอย่างฉันเหมาะสมกับตำแหน่งเพศเมียอย่างงั้นเรอะ!!”
“คุณชายจะโกรธไหมครับถ้าผมบอกว่า..เอ่อ..ใช่”
โกรธโว้ยยยยยยย!!
โกรธมากกกกกก!!
คนอย่างเซียวจ้านเป็นชายชาตรีมาทั้งชีวิตแต่การได้พานพบกับไอ้คุณโรบอทหวังอี้ป๋อเพียงครั้งเดียวก็ถูกจับโยนให้ไปอยู่ในกลุ่มสมาคมแม่บ้านอย่างงั้นเลยเชียว
เหอะ!!
ผมมีอะไรสู้เขาไม่ได้ตรงไหน!!
“แฮะๆ ผมขอโทษนะครับคุณชายก็ผมคิดแบบนั้นจริงๆ”
“นายเป็นคนของเขาต้องเข้าข้างกันอยู่แล้วนี่ แค่นายเห็นอี้ป๋อแข็งแกร่งกว่าก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเหมาะสมจะเป็นสามีฉันนะ เก่งจริงลองวัดจากจำนวนผู้หญิงที่เข้ามาพัวพันสิรับรองฉันเป็นฝ่ายชนะขาดลอยแน่นอน ไม่รู้แหละฉันจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ฉันไม่อยากคุยไร้สาระกับนายแล้ว สรุปว่านายจะช่วยหรือไม่ช่วย”ข้อมือบางหยิกยกเศษแก้วจ่อเข้าเนื้อตัวเองอีกรอบเพื่อกระตุ้นให้ลูกน้องของศัตรูรีบแปรพักตร์
“อย่านะครับคุณชาย!! โอเคผมยอมแล้ว ผมจะช่วยคุณชายหนีก็ได้”
“มันต้องอย่างงี้สิ”
“คุณชายแน่ใจแล้วเหรอครับว่าอยากหนีไปจากเหล่าต้าจริงๆ”
“แน่ซะยิ่งกว่าแน่ ถ้าฉันต้องเป็นเมียเจ้าพ่ออยู่ที่นี่ฉันยอมตายยังดีกว่าเลย”
“คุณชายควรรู้ไว้ว่าต่อให้หนีไปจากที่แห่งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณชายจะหนีจากเหล่าต้าพ้น ในเมื่อตราพันธะถูกประทับเรียบร้อยส่งผลผูกพันระหว่างคนทั้งสองนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หากคุณชายไม่เชื่อในผลผูกพันของมันอยากลองดูก็ได้ครับ ผมจะช่วยคุณชายหนีเองแต่ผมคงไม่อาจรับประกันถึงผลที่ตามมา เคยได้ยินที่คนโบราณว่าไว้ไหมครับ ยิ่งหนีก็ยิ่งเจอ..ยิ่งเกลียดก็ยิ่งรัก”
“.......”
“ยิ่งพยายามตัดขาดก็ยิ่งผูกมัดพันธนาการให้แน่นกว่าเดิม โชคชะตานำพาคุณชายกับเหล่าต้าให้มาเจอกันเพราะฉะนั้นไม่มีทางหนีไปจากโชคชะตาของตัวเองได้ง่ายๆหรอก จำคำพูดของผมเอาไว้ให้ดี”
หลังจากเจรจาต่อรอง(แกมบังคับข่มขู่)ลูกน้องของศัตรูสำเร็จ อวี๋ปินก็เป็นฝ่ายนำทางผมออกไปด้านนอก เมื่ออยู่ในองค์กรภาคีผู้มาเยือนไม่สามารถเดินเหินไปมาตามใจนึกจะต้องมีคนคอยนำทางตลอดเวลาเหมือนแม่สาวชุดแดงที่ผมชวดเบอร์ไป เราเรียกคนทำหน้าที่นี้ว่าผู้ส่งสาร คนในตระกูลผู้มีอิทธิพลบางรายเท่านั้นถึงจะได้รับสิทธิ์ใช้พื้นที่ตามใจชอบไม่มีผู้ส่งสารคอยควบคุมแต่ก็ต้องอยู่ในขอบเขตงานที่ได้รับมอบหมายมา อวี๋ปินเป็นมือขวาของตระกูลเจ้าสิงโตจึงมักได้รับมอบหมายงานสำคัญก็เลยถือเป็นข้อยกเว้นด้วย เขาสามารถพาผมหลบหนีออกไปอย่างง่ายดายโดยไม่มีใครนึกสงสัย คิดถูกแล้วล่ะที่ผมไม่ทำใจกล้าสวมวิญญาณนักแสดงหนังบู๊แล้วหลบหนีออกมาเองไม่งั้นป่านนี้ผมคงตายอย่างเขียดไปนานแล้ว
กึก
“อ๊ะ!!”
ขาทั้งสองข้างพลันหยุดชะงักเมื่อคนนำทางไม่ยอมก้าวเดินต่อ ผมมัวแต่ใจลอยไปหน่อยจึงไม่ทันระวังชนหลังอวี๋ปินเข้าให้อย่างจัง แถมยังเผลอทำสำลีที่เอามาแปะแผลรอบคอไว้แบบลวกๆหล่นลงกับพื้น ขณะเตรียมจะเอ่ยปากถามปลายหางตาก็ดันเหลือบไปเห็นสาเหตุที่อวี๋ปินตัดสินใจหยุดเดินพอดี ชายหนุ่มชุดดำท่าทางสุภาพโผล่มายืนขวางทางด้านหน้าแบบเงียบๆก่อนจะเริ่มโค้งคำนับหนึ่งทีเพื่อทักทาย
ผู้ส่งสารคนนั้นที่ทำหน้าที่พาผมไปยังห้องประทับตรานี่นา
แถมยังเคยทำผมตกใจมาหนหนึ่ง
ไม่รู้ทำไมชอบฝึกวิชาเป็นนินจานัก
แววตาคู่นั้นเพ่งเล็งเขม็งจดจ้องสำรวจเราสองคนด้วยความนึกสงสัย ผมรีบปิดรอยแผลรอบลำคอพร้อมกับแอบซ่อนเศษแก้ว(ที่ใช้ขู่ปาดคอตัวเอง)อย่างรวดเร็วแล้วแสร้งยิ้มหวานกลบเกลื่อนทันที
“เอาอีกแล้วนะ คุณนั่นเองที่ชอบโผล่มาเงียบๆจนเกือบทำผมหัวใจวาย”
“ขอโทษด้วยครับ”
“นี่พี่ชาย เมื่อไหร่จะสำเร็จวิชานินจาสักที คงมีใครสักคนหัวใจวายเพราะคุณเข้าสักวัน”
“นั่นเพราะคุณอาจจะไม่ชิน ยังไงผมก็ต้องขอโทษอีกที ว่าแต่พวกคุณกำลังจะไปไหนเหรอครับ ผมรู้มาว่าจิตรกรได้ทำการประทับตราพันธะเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณควรจะอยู่ในห้องรับรองเพื่อเตรียมเซ็นเอกสารร่วมกับพยานไม่ใช่เหรอครับ”
นอกจากจะชอบฝึกวิชานินจายังชอบฝึกวิชาถอดจิตไปดูวิถีชีวิตเพื่อนบ้านอีกเหรอ
“แหมพี่ชาย รู้มาเยอะจังเลยนะครับ”รู้ดีขนาดนี้ไม่ทำอาชีพหมอดูไปเลยล่ะ
“คือว่าคุณชายลืมของสำคัญไว้ในรถน่ะครับผมก็เลยจะพาไปเอา”
“งั้นเหรอครับ”
“ใช่ๆ อย่างที่อวี๋ปินพูดนั่นแหละ ผมเห็นว่าโรงจอดรถอยู่ไม่ไกลมากก็เลยขอไปด้วยจะได้ถือโอกาสเดินเล่นไปในตัว ขืนอยู่แต่ใต้ดินอึดอัดแย่เลย”
นัยน์ตาคมจดจ้องอยู่นานพร้อมยกคิ้วขมวดด้วยความฉงนกว่าเดิมหลังจากลอบสังเกตเห็นบาดแผลรอบคอ จะว่าไปพี่ชายคนนี้ชอบทำตัวผลุบๆโผล่ๆเสมือนเป็นผู้ฝึกวิชานินจาแถมยังอาศัยอยู่ใต้ดินคล้ายในหนังนินจาเต่าไม่มีผิด ต่อให้พวกเราอธิบายไปเท่าไหร่พ่อนินจาเต่าคนนี้ก็ไม่คิดจะหลีกทางให้ง่ายๆสินะ
“ผมขอทางหน่อยได้ไหม ไม่ทราบว่ายังสงสัยอะไรอีกหรือเปล่าครับ”
“แผลคุณ..”
“อ้อ..นี่น่ะเหรอ แฮะๆ ไม่มีอะไรมากหรอกก็แค่..”
ผมแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนทำสัญญาณมือว่าแท้จริงแล้วผมซุ่มซ่ามกำลังจะสะดุดล้มก็เลยเผลอทำร้ายตัวเองเข้า ไม่รู้ทำไมพอส่งสัญญาณมือนานไปเรื่อยๆกลับกลายเป็นแอบใบ้ว่าตั้งใจปาดคอตัวเองเพื่อบังคับให้อีกคนสงสารจึงพาหลบหนีซะอย่างงั้น
พ่อนินจาเต่าคงไม่ฉลาดพอที่จะอ่านรหัสมอสของผมออกหรอก
“เอาเป็นว่าผมไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”
“อ้อครับ”ผมส่งยิ้มหวานค้างอยู่นานเป็นเชิงไถ่ถามว่าจะปล่อยผมไปได้หรือยัง ถ้าขืนสงสัยไม่เลิกพวกเราคงต้องปูเสื่อนั่งจกข้าวเหนียวเล่าประวัติชีวิตกันตรงนี้แหละนะ
“ขอตัวก่อนนะครับ ผมอยากรีบไปเอาของจะได้รีบกลับมาเซ็นเอกสารเกี่ยวกับตราพันธะให้เสร็จเรียบร้อย”ผมลองหยั่งเชิงด้วยการพูดถึงประเด็นสำคัญและมันก็ได้ผลเพราะพ่อนินจาเต่ายอมขยับฝีเท้าออกแสดงถึงการเปิดทางทันที
“งั้นก็เชิญครับ”
โล่งแฮะ
หลอกพ่อนินจาเต่าสำเร็จด้วย
ผมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางก้าวเดินไปเบื้องหน้า ขณะที่กำลังจะจูงแขนอวี๋ปินให้ไปพร้อมกันชายหนุ่มกลับขืนตัวไว้เล็กน้อย ดูเหมือนอีกคนมีเรื่องสำคัญที่ยังไม่ได้จัดการสินะ
“ทำไมเหรออวี๋ปิน”
“สักครู่นะครับคุณชาย”
“.......”
“ผมเกือบลืมบอกคุณแน่ะ”อวี๋ปินเริ่มหันไปสนทนากับพ่อนินจาเต่าโดยตรง ผมจึงถือโอกาสเงียบเสียงและแอบฟังไปด้วย
“บอกอะไรเหรอครับ”
“ฝากบอกเชฟลีด้วยนะครับว่าอาหารมื้อกลางวันอร่อยมาก”
เชฟลีไหนอีกล่ะ?
ลีน่าจังหรือเปล่า?
“ผมติดใจเมนู Salmon Olive Steak จนถอนตัวไม่ขึ้น”
“นายได้กินของอร่อยด้วยเหรอปินปินอา ทำไมไม่เห็นแบ่งปันกันบ้าง”
“ได้สิครับ แล้วผมจะบอกเชฟลีให้”
“ขอบคุณมากครับ”
ผมกำลังจะอ้าปากถามต่อเพราะเมื่อเอ่ยถึงเจ้าปลาเนื้อส้มในตำนานพลันน้ำย่อยก็ทำงานอัตโนมัติ อวี๋ปินไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ซักถามอะไรเพราะหลังฝากข้อความเสร็จเจ้าตัวก็รีบพาผมหนีออกมาจากสถานที่แห่งนั้นทันที ผมเลยอดเห็นพ่อนินจาเต่าจดจ้องแผ่นหลังของเราสองคนด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป สักพักข้อมือหนาก็หยิบยกเครื่องมือสื่อสารภายในองค์กรและจัดการต่อสายตรงหาบุคคลที่เพิ่งอยู่ในบทสนทนาเมื่อครู่อย่างรวดเร็ว
“คุณลีอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า”
“.......”
“ฝากบอกคุณลีด้วยว่ารหัสลับถูกเปิดใช้งานแล้ว”
“คุณชายยังไม่เลิกเอาเศษแก้วจ่อคอตัวเองอีกเหรอครับ เดี๋ยวเผลอได้รับรอยแผลเพิ่มมันจะยุ่งไปกันใหญ่นะครับ”
“ฉันไม่เลิกง่ายๆหรอก ฉันจะเอาตัวเองเป็นตัวประกันจนกว่าจะหนีพ้น”
“ผมรับปากช่วยคุณชายแล้ว ทำไมคุณชายยังไม่ไว้ใจผมอีกล่ะ”
“เพราะนายซื่อสัตย์เกินไปน่ะสิ”
“มันไม่ดีเหรอครับ”
“ซื่อสัตย์กับฉันน่ะดีแต่ถ้าซื่อสัตย์กับอี้ป๋อถือว่าไม่”
“คุณชายจะไม่ลองคิดดูอีกทีเหรอครับ การเป็นภรรยาเจ้าพ่อก็ไม่เลวร้..”
“ขับรถไปเงียบๆเลยนะนายน่ะ!!”
“รับทราบครับ!!”
ไม่รู้ว่าหนที่เท่าไหร่แล้วแต่อวี๋ปินก็ยังคงไม่ละความพยายามในการเกลี้ยกล่อมให้ผมยอมเป็นเมียเจ้าพ่อซ้ำไปซ้ำมา อันที่จริงผมก็พอรู้หรอกว่าอีกคนพยายามหาทางถ่วงเวลาเผื่อจะมีสักวินาทีที่ผมเผลอใจอ่อน หากการเป็นเมียใครสักคนมันง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากผมคงไม่ต้องมัวคิดมากอยู่แบบนี้หรอก
บางทีมันอาจจะผิดที่เราดันเกิดมาเป็นผู้ชายทั้งคู่ก็ได้
ผมครุ่นคิดอะไรมากมายขณะเอนหัวพิงเบาะรถด้านหลัง สายตาเลื่อนลอยจับจ้องวิวข้างนอกหน้าต่างพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า ข้อมือบางคอยใช้สำลีซับเลือดบริเวณลำคอจนอาการดีขึ้นจึงไม่สนใจบาดแผลของตัวเองอีก ชั่วขณะหนึ่งผมก็นึกได้ว่ายังมีร่องรอยบาดแผลที่เพิ่งเกิดขึ้นบนตัวอีกแห่ง ปลายนิ้วเริ่มไล่ระดับเลื่อนลงต่ำยังตำแหน่งอกข้างซ้ายเพื่อสัมผัสถึงการมีอยู่ของร่องรอยนั้น ตราพันธะลายสิงโตสะท้อนแสงสีเงินประกายแลดูสง่าไม่อาจลบเลือนคล้ายกำลังฝังรากลึกลงไปยังตำแหน่งหัวใจ พลันน้ำเสียงอันแสนคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นในหัวคล้ายถูกตั้งเวลากดเล่นอัตโนมัติ น้ำเสียงของใครคนนั้นที่กระซิบบอกถ้อยคำบางคำให้ผมรับรู้
“นายคือสมบัติของฉัน”
“.......”
“นั่นหมายถึง..สมบัติที่ฉันมีสิทธิ์ครอบครองได้คนเดียว”
“.......”
“ต่อให้นายอยากวิ่งหนีไปตอนนี้ก็ทำไม่ได้แล้วนะเพราะตราพันธะผูกมัดเราสองคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว นี่มันคือโชคชะตาที่ถูกกำหนดมาเพื่อเรา”
อี้ป๋อ
หากนายรู้ว่าคนดื้อดึงกำลังพยายามหลบหนีอีกครั้งนายจะรู้สึกยังไงกันนะ
นายเชื่อจริงๆน่ะเหรอว่าแค่ประทับตราพันธะก็จะสามารถผูกมัดเราสองคนเอาไว้ด้วยกัน
คนที่ไม่เคยเชื่อในโชคชะตาอย่างฉันทำใจยอมรับมันไม่ได้หรอก
แน่จริงก็ใช้โชคชะตาตามหาสมบัติชิ้นนี้ให้เจอสิ
ถ้าทำไม่ได้ฉันจะถือว่าโชคชะตาระหว่างเราสองคนเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงทั้งเพ
“เฮ้ออ”
ผมถอนหายใจเป็นครั้งสุดท้ายพลางสะบัดหัวไล่ภาพของใครคนนั้นให้ออกไปจากความคิด ยังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนับจากวินาทีนี้แต่ในเมื่อผมเลือกแล้วว่าจะวิ่งหนีก็คงต้องยอมรับผลที่ตามมา
ลาก่อนหวังอี้ป๋อ
ผมใช้นิ้วนวดขมับเล็กน้อยเพื่อหวังให้มันช่วยบรรเทาอาการสับสนภายใน ขณะที่อวี๋ปินขับรถแล่นผ่านต้นไม้ใหญ่ผมก็ดันเผลอไปสบตาเข้ากับเจ้าม้าอาชาไนยตัวหนึ่งซึ่งมีลักษณะอันน่าเกรงขาม ลำตัวสีดำสนิทแฝงไว้ด้วยความสง่างามกำลังยกขาหน้าทั้งสองขึ้นชี้ฟ้าแสดงท่าทีโอ้อวดดึงดูดความสนใจของผมไปจนหมดสิ้นตั้งแต่แรกเห็น
โอ้โหแฮะ
เจ้าม้าตัวนี้เล่นหูเล่นตาไม่เบา
นอกจากนั้นผมยังรู้สึกคล้ายได้ยินเสียงร้องของมันดังกึกก้องเอ่ยชวนให้ผู้พบเห็นเข้าใกล้ เสียงร้องที่เปรียบเสมือนท่วงทำนองเสนาะหูหากแปลงออกมาเป็นภาษามนุษย์ก็คง..
ฮิย๊า~
“ชอบม้า~~ ชอบม้า~~
รูปร่างหน้าตาแบบนี้ถามหน่อยเถอะพี่..ชอบม้าชอบม้า~~”
(วุ้นแปลภาษาฉบับเซียวจ้าน)
ฉับพลันผมก็เริ่มจินตนาการภาพตัวเองกระโดดขึ้นขี่บนหลังเจ้าม้าสีนิลแล้วพากันวิ่งหนีตรงเข้าเมืองเหมือนฉากในหนังเรื่องจอห์นวิค เพียงเท่านั้นเลือดลมในกายพุ่งทะยานสูบฉีดไปทั่วทั้งร่างนึกอยากเล่นบทพระเอกสุดเท่กะทันหัน ผมคิดแผนสำรองเผื่อไว้ตั้งนานแล้วว่าจะหาทางแอบสลัดอวี๋ปินทิ้งระหว่างทาง นั่นก็เพราะว่าอันที่จริงผมยังไม่ไว้ใจอวี๋ปินเต็มร้อยนัก แรงจูงใจที่อีกคนเลือกช่วยผมก็มีแค่กลัวว่าผมจะทำร้ายตัวเองเท่านั้น ในไม่ช้าก็เร็วอวี๋ปินต้องพาผมกลับไปหาเจ้านายเก่าอีกจนได้ นึกไม่ถึงเลยว่าโอกาสสลัดลูกน้องของศัตรูทิ้งจะมาเร็วขนาดนี้
เอาวะ
คนบนฟ้าประทานยานพาหนะคันใหม่มาให้แล้ว
กายพร้อม ใจพร้อม เราทำได้
ขออัญเชิญจาพนมเข้าสิงร่าง ณ บัดนาว
ตุบ!!
ไวเท่าความคิดเมื่อผมตัดสินใจเปิดประตูรถอย่างกะทันหันก่อนจะรีบกระโดดลงพื้นหมายวิ่งหนีไปให้ไกลแสนไกล โชคดีที่ความเร็วในการขับรถของอวี๋ปินจัดอยู่ในระดับต่ำผมจึงไม่ตายคาถนนไปซะก่อน ถึงอย่างนั้นก็ยังแอบมีแผลถลอกเล็กน้อยบริเวณหัวเข่าเพราะเป็นตำแหน่งที่ผมใช้สัมผัสกับพื้นเข้าพอดี
ชักจะทำตัวใจกล้าบ้าบิ่นเข้าทุกวัน
ทำไมไม่เห็นเท่เหมือนพระเอกหนังเลยวะ
“อ๊า..เจ็บชิบ!!”
“คุณชาย!!”
“ขับรถโดยสวัสดิภาพนะปินปินอา ส่วนฉันขอตัวก่อนล่ะ”
ผมกัดฟันข่มความเจ็บพลางยันกายลุกยืนโดยไม่ลืมโบกมือบ๊ายบายไล่หลังอีกคนแถมรอยยิ้มซุกซนเพิ่มไปหนึ่งที กว่าอวี๋ปินจะตั้งสติได้ผมก็พุ่งตัวหนีไปนานแล้ว ดีว่าก่อนกระโดดลงรถมาผมถอดชุดเสื้อคลุมของอี้ป๋อทิ้งไว้ตรงเบาะหลังจึงรู้สึกเบาสบายขึ้นเยอะทำให้การหลบหนีคล่องตัวกว่าเดิม
“ไงเจ้าม้าสีนิล”
ฮิย๊า~
“ไหนดูสิว่าแกจะพาฉันหนีไปได้ไกลเท่าไหร่”
ข้อมือบางยกขึ้นลูบหัวปลอบประโลมเจ้าม้าตัวสูงตรงหน้าเพื่อทำให้มันรู้สึกผ่อนคลายลง ผมเห็นมันกระโดดโลดเต้นไปมาคงรู้สึกดีใจสินะที่ใกล้จะได้รับการปลดปล่อย เห็นอย่างนั้นผมจึงอดยิ้มตามไม่ได้ เราทั้งสองไม่มีโอกาสทำความรู้จักกันมากนักงั้นเอาไว้ไปตีสนิทระหว่างทางก็แล้วกัน ผมเลียนแบบท่าขี่ม้ามาจากในหนังเลยคิดเอาเองว่าการขี่ม้าของจริงคงไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ หน้าตาผมเป็นมิตรขนาดนี้มันคงยอมให้ความร่วมมือด้วยดีตลอดทาง ขณะที่ผมเตรียมจะปลดเชือกให้มันเป็นอิสระก็เพิ่งสังเกตเห็นเจ้าม้าอาชาไนยอีกตัวหนึ่งซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างออกไปนัก เพียงแค่สบสายตากันแวบแรกพลันความรู้สึกไม่ถูกชะตาเริ่มต้นทำงานอัตโนมัติ เจ้าม้าตัวนี้ยืนอาบแสงอาทิตย์เอียงหน้าสี่สิบห้าองศาท่าทีสงบนิ่งแลดูหยิ่งยโสไม่เบาและที่สำคัญลำตัวของมันเป็นสีนวลสว่างราวกับอาบน้ำด้วยนมทุกวัน เจ้าม้าสีนวลใช้ปลายหางตามองผมเล็กน้อยก่อนจะละความสนใจไปทางอื่นเสมือนว่าตัวผมไม่ได้มีความสำคัญใดๆเป็นเพียงอากาศธาตุที่ลอยผ่านมาและกำลังจะลอยผ่านไปเท่านั้น
ใช่เลย
ดูยังไงเจ้าม้าสีนวลก็ลักษณะเหมือนอี้ป๋อไม่มีผิด
ผมแอบแลบลิ้นใส่เมื่อจินตนาการว่ามันเป็นตัวแทนของใครคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าขนาดกำลังจะหลุดพ้นก็ยังมีใบหน้าของเขาตามมาวนเวียน ยังไงก็ช่างเถอะเพราะนี่คงเป็นการพบกันครั้งแรกและคงเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย
เชิญกินหญ้าให้ท้องแตกตายไปเลย
แบร่~
“ไปกันเถอะลูกพ่อ แกคงอยากออกวิ่งแล้วสินะ”
ฮิย๊า~
กรุบกรับ!!
ในที่สุดพวกเราหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวก็เริ่มต้นออกเดินทางไปข้างหน้าโดยวิ่งสวนกับชายหนุ่มที่เพิ่งตามมาถึงพอดี อวี๋ปินยืนหอบอยู่นิ่งๆไม่ได้มีท่าทีว่าจะวิ่งตามต่อ เขาทำเพียงแค่เฝ้ามองแผ่นหลังของผู้หลบหนีบนหลังม้าไปจนลับสายตา
“รหัสลับถูกใช้งานแล้ว อีกไม่นานคุณลีก็คงเตรียมแผนการไล่ต้อนนักโทษหลบหนี ขอให้โชคดีนะครับคุณชาย”
คำพูดที่กล่าวว่า ‘ระยะทางพิสูจน์ม้า..กาลเวลาพิสูจน์คน’ ดูท่าจะเป็นความจริง หลังจากเจ้าม้าสีนิลพาผมมาได้ครึ่งทางมันก็เริ่มเคลื่อนไหวช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ทีแรกผมนึกว่ามันอาจจะหิวเลยแวะพักให้มันได้กินหญ้าข้างทางแต่เมื่อกินจนอิ่มหนำสำราญก็ไม่เห็นแววว่าเจ้าม้าสีนิลจะคึกคักมากกว่าเดิมตรงไหน
“นี่”ผมใช้นิ้วสะกิดเรียกมันเพื่อชวนสนทนา
“.......”
“ไอ้ตัวขี้เกียจ วิ่งมาแค่นี้แกเหนื่อยแล้วเหรอ”
ฮิย๊า!!
“อย่ามายุ่ง!! ม้ากำลังกิน!!” (วุ้นแปลภาษาฉบับเซียวจ้าน)
“อย่าเพิ่งเหนื่อยสิลูกพ่อ ฉันต้องพึ่งพาแกนะ ถ้าวิ่งเข้าเมืองไม่ไหวช่วยพาฉันไปส่งที่เขตถนนใหญ่ก็พอจะได้โบกรถต่อ ตกลงไหม”
ฮิย๊า~
“ไม่ไปหรอก” (วุ้นแปลภาษาฉบับเซียวจ้าน)
“ทำไมล่ะ”
ฮิย๊า~
“ไกล..เหนื่อย” (วุ้นแปลภาษาฉบับเซียวจ้าน)
ผมชักอยากจะดิ้นตายตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไป ดูเหมือนการตัดสินใจเลือกขี่เจ้าม้าสีนิลเพื่อหลบหนีจะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ ป่านนี้อวี๋ปินคงฉวยโอกาสฟ้องเจ้านายเรียบร้อย หากผมยังขืนนิ่งอยู่กับที่อีกไม่ช้าก็ต้องถูกตามเจอตัวจนได้
มิน่าล่ะ
เจ้าม้าสีนวลถึงได้ปรายตามองผมคล้ายเยาะเย้ยในที
ที่แท้ก็รู้แต่แรกว่าสหายของมันไม่ชำนาญฝีเท้าในสนามแข่งนี่เอง
ถ้าผมรู้ก่อนคงยอมกัดฟันเลือกขี่ม้าผู้เป็นฝาแฝดของอี้ป๋อแทน
ถึงยังไงซะตอนนี้ผมมาไกลเกินกว่าจะหวนย้อนกลับ ต่อให้เจ้าม้าสีนิลวิ่งช้าแค่ไหนก็ต้องพาผมไปส่งให้ถึงจุดหมาย คิดได้ดังนั้นผมก็รีบกระตุ้นให้มันออกวิ่งต่อด้วยการเขี่ยพุงเบาๆ เจ้านิลคงรู้สึกจั๊กจี้อยู่บ้างถึงได้ใช้ฝีเท้าก้าวทะยานไปเบื้องหน้า ผมบังคับให้มันวิ่งตามทางลัดที่เห็นเมื่อครั้งนั่งรถผ่านตอนขามา จากที่ผมลองคำนวณเส้นทางแล้วหากพ้นทางลัดเล็กๆเส้นนี้ไปจะตรงเข้าสู่ถนนใหญ่ทันที หากเจ้านิลไปไม่ไหวจริงๆผมก็คงต้องอาศัยโบกรถสักคันเข้าเมืองแทน ข้าวของบางส่วนของผมยังคงอยู่ที่นั่น พอไปถึงโรงแรมค่อยจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายกับตั๋วเครื่องบินอีกทีก็แล้วกัน
กรุบกรับ!!
ความวัวยังไม่ทันหายความกระบือก็เข้ามาแทรก เจ้าม้าสีนิลหยุดชะงักฝีเท้ากะทันหันหน้ากำแพงลูกกรงซึ่งปล่อยประจุไฟฟ้าออกมาด้วย หากไม่ทันระวังอาจถูกช็อตตายทันที หนทางที่ผมจำได้ว่าเคยเปิดโล่งบัดนี้กลับกลายเป็นเสมือนกรงขัง ไม่ว่าผมจะหันไปทางไหนก็ไม่เห็นช่องว่างให้หลบหนีได้เลย
“เป็นไปได้ไงวะก็จำได้ว่าทางนี้เปิดโล่งนี่หว่า เซ็งชิบ!!”
ผมเริ่มสบถกับตัวเองอย่างหัวเสียไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าองค์กรภาคีจะมีลูกเล่นแพรวพราว นี่พวกเขาคงไม่ถึงขั้นฝังระเบิดเอาไว้ในดินเพื่อกันคนหลบหนีหรอกนะ ขณะที่ผมไล่สายตามองหาทางหนีทีไล่อยู่นั้นพลันได้ยินเสียงร้องอันแสนคุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง ผมสัมผัสได้ว่าเสียงนั้นค่อนข้างอยู่ไกลออกไปแต่กำลังเคลื่อนขยับเข้ามาใกล้ในอีกไม่ช้านี้แล้ว
ฮิย๊า~
เสียงม้าตัวนั้น..หรืออาจจะเป็นเจ้าม้าสีนวล?
งั้นคนที่ขี่มันเป็นใครกันล่ะ?
ผมค่อยๆหันหลังกลับไปมองยังต้นตอของเสียงด้วยใจสังหรณ์ว่าผู้มาเยือนอาจจะเป็นคนที่ผมต้องการหลบหนีไปให้ไกลแสนไกล แทบไม่ต้องเสียเวลาเฝ้ารอนานจนเกินไปนักผมก็ได้พบเจอคำตอบ
กรุบกรับ!!
ม้าอาชาไนยประดับด้วยขนสีขาวนวลสว่างกระโดดข้ามเนินเขาพร้อมท่วงท่าองอาจไม่ต่างอะไรจากผู้ควบคุมที่นั่งอยู่บนอาน ชายหนุ่มเพียงแค่ขยับข้อมือเบาๆก็สามารถบังคับให้ม้าเร่งฝีเท้าไปยังทิศทางที่ต้องการได้ ใบหน้าสุขุมผสมกับแววตาเย็นชาอันแสนคุ้นเคยแลดูสง่างามทุกตารางนิ้วไร้รอยตำหนิประกอบรับกับฉากหลังซึ่งกำลังฉายภาพแสงตะวันลับขอบฟ้าเข้าพอดี ขณะที่เขาขี่ม้าผ่านทะเลสาบขนาดย่อมทำให้รู้สึกคล้ายกับมองดูเจ้าชายขี่ม้าขาวในจินตนาการออกมาโลดแล่นมีชีวิตอยู่ ณ โลกแห่งความจริง
หวังอี้ป๋อ
หรือว่านี่มันคือโชคชะตาที่ถูกกำหนดมาเพื่อเรา
“เซียวจ้าน!!”
“นายตามหาฉันเจอจริงๆด้วยสินะ”
เพราะมัวแต่จดจ้องอีกคนนานเกินไปหน่อยเลยทำให้ระยะห่างระหว่างเราลดน้อยลงทุกที เมื่อตั้งสติได้ผมจึงรีบเตรียมบังคับเจ้าม้าสีนิลเพื่อหนีอีกครั้ง ยังไม่ทันไรอี้ป๋อก็สั่งให้ม้าของเขาส่งเสียงร้องขู่ออกมา เพียงครั้งเดียวเท่านั้นเจ้าม้าสีนิลก็เกิดสติกระเจิงสลัดผมหลุดจากหลังหล่นตุบไปกองอยู่บนพื้นทันที
“ลูกพ่อออออออ!!”
ฮิย๊า~
“ใครลูกมึง” (วุ้นแปลภาษาฉบับเซียวจ้าน)
กรุบกรับ!!
ผมจ้องมองเจ้าม้าสีนิลค่อยๆวิ่งหายเข้าไปในป่าด้วยความรู้สึกราวกับถูกแทงข้างหลังแล้วทะลุถึงหัวใจ สรุปว่าผมเจ็บตัวฟรีไปเพื่ออะไรกัน
เจ็บนี้อีกนาน~
เจ็บนี้ไม่ลืม~
แต่คนอย่างเซียวจ้านไม่มีทางจนตรอกหรอกเว้ย!!
ผมตัดสินใจวิ่งหนีในวินาทีสุดท้ายก่อนที่อี้ป๋อจะขี่ม้าเข้าถึงตัวแบบฉิวเฉียด แม้จะไม่มียานพาหนะให้หลบหนีผมก็ยังมีขาทั้งสองข้างให้ก้าวเดิน ต่อให้คนบนฟ้าจงใจสาดฝนเทกระหน่ำลงมาตอนนี้ก็ไม่อาจสั่งให้ผมหยุดได้
“เซียวจ้าน นั่นนายจะไปไหน ฉันสั่งให้คนปิดล้อมพื้นที่รอบนอกไว้หมดแล้ว ถึงวิ่งหนีไปก็เปล่าประโยชน์”
“ห้ามตามมานะ!! ไอ้คนหลอกลวง!!”
“เฮ้ออ กินอะไรแต่เด็กถึงได้โตมาดื้อแบบนี้”
นัยน์ตาคมเฝ้ามองร่างบางพยายามวิ่งฝ่าพงหญ้าเพื่อปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่ด้วยใจนึกขำ เขาไม่เคยเจอใครดื้อรั้นถึงขนาดหนีมาจนตรอกแล้วก็ยังไม่ยอมหยุดยกธงขาวสักที ข้อมือหนาออกแรงบังคับให้ม้าของตัวเองเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นอีกหน่อยจะได้เฝ้ามองนักโทษหลบหนีให้เต็มตา คงเพราะหกล้มคลุกคลานระหว่างทางจึงเผลอทำกางเกงขาดโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ คิ้วเข้มขมวดเป็นปมอัตโนมัติทันทีหลังจากเห็นแผลสดแต้มด้วยรอยเลือดสีจางบริเวณหัวเข่า อีกทั้งบาดแผลรอบคอที่ลูกน้องรายงานให้ฟังมาก่อนหน้านี้ก็ล้วนน่าเป็นห่วงทั้งสิ้น
แต่ทำไมดูเหมือนเจ้าของร่างไม่นึกห่วงตัวเองบ้างเลย
นายอยากหนีไปจากฉันมากนักหรือไง
เซียวจ้าน
“นายจะปีนขึ้นไปถึงไหน สูงเสียดฟ้าเลยไหม”
“ถ้ามันทำให้หนีพ้นฉันก็จะปีนขึ้นไปจนถึงบ้านของพระอินทร์นั่นแหละ”
“เลิกดื้อแล้วลงมาคุยกันข้างล่าง”
“ไม่มีวัน!! นายหลอกฉันเรื่องตราพันธะ!! คนหลอกลวงไว้ใจไม่ได้!!”
ข้อมือบางเกาะรัดกิ่งไม้เอาไว้แน่นแสดงถึงท่าทีไม่ยินยอมแต่ก็ไร้เรี่ยวแรงจะหนีต่อจึงหยุดพักที่กลางลำต้นชั่วคราว อี้ป๋อถอนหายใจด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่ายก่อนจะเริ่มปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงเพื่ออธิบายเรื่องราวทุกอย่าง
“นายจะโทษว่าฉันหลอกลวงไม่ได้นะ ข้อมูลทั้งหมดที่นายควรรู้ก็อยู่ในเอกสารที่ฉันมอบให้ หากนายจริงจังกับมันสักนิดเราสองคนคงเข้าใจกันไปนานแล้ว”
“นายจะโทษว่าเป็นความผิดของฉันงั้นสิ ข้อมูลในเอกสารออกจะยาวขนาดนั้นแค่อ่านไปสามบรรทัดฉันก็อ้าปากหาวแล้ว กะอีแค่อธิบายออกมาตรงๆให้ฉันเข้าใจมันยากนักหรือไง”
“นั่นมันความผิดของนายชัดๆที่ไม่ยอมอ่านเอกสารทั้งที่รู้ว่าสำคัญ นายมองเห็นทุกอย่างเป็นแค่เรื่องเล่นๆในชีวิตเหรอ”
“ก็..ใครจะไปคิดล่ะว่าผลผูกพันของตราพันธะมันเหมารวมถึงเรื่องที่ต้องกลายเป็นเมียเจ้าพ่อ ไม่รู้แหละยังไงนายก็มีเจตนาหลอกลวง ถ้าอยากมีเมียนักก็ไปหาเอาเองสิทำไมต้องมาหลอกให้ฉันประทับตราพันธะเพื่อไปเป็นเมียเจ้าพ่อด้วยเล่า!!”
“คนอย่างฉันไม่อดอยากถึงขนาดต้องบังคับให้ใครมาเป็นเมีย”
“งั้นนายให้ฉันประทับตราพันธะบ้าบอนี้ทำไม”
“เหตุผลเดียวที่ฉันทำไปนายเองก็รู้ดีอยู่แล้ว ผลผูกพันของตราพันธะสามารถปกป้องนายกับครอบครัวให้ปลอดภัยตราบใดที่นายอยู่ตระกูลฉันในฐานะภรรยา เราสองคนจำเป็นต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันจนกว่าธุรกิจมืดของอี้โจวถูกเปิดโปง”
“ฉันอยากรู้นักว่าไอ้ผลผูกพันของตราพันธะมันมีค่าสักแค่ไหนเชียว”
“นายเป็นใครมาจากไหนฉันไม่รู้ แต่เมื่ออยู่ที่นี่ ณ เมืองชิรัณย์ตราพันธะเปรียบเสมือนเจ้าชีวิตของทุกคน ตราพันธะมีค่ายิ่งกว่าเงินโดยเฉพาะตราของตระกูลชนชั้นสูง นายไม่เคยรู้จักความตายมากเท่าที่ฉันเคยรู้จัก นายไม่มีทางเข้าใจจนกว่าจะได้เจอความตายเฉียดเข้าใกล้ตัวเอง ผู้กุมอำนาจทั้งหลายต่างต้องการขยายอิทธิพลออกไปเพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ตราพันธะถูกประทับบนร่างพวกเขาจะกลายเป็นเจ้าชีวิตคน สามารถสั่งให้นายอยู่หรือสั่งให้นายตายโดยที่นายไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉันปล่อยนายไปไม่ได้เพราะหากนายตกไปอยู่ในมือของคนอื่น เชื่อเถอะว่าสิ่งที่แย่กว่าการกลายเป็นภรรยาของเจ้าพ่อจะเกิดขึ้นทันที”
“ถ้านายอยากปกป้องฉันจริงๆมันก็ยังมีอีกตั้งหลายวิธีไม่ใช่เหรอ”
“การประทับตราพันธะระหว่างเราคือวิธีปกป้องนายที่ดีที่สุด”
“ฉันปลอดภัยแต่ต้องแลกด้วยการยอมเป็นเมียเจ้าพ่อเนี่ยนะ เหอะ..ดีที่สุดสำหรับนายแต่เลวร้ายที่สุดสำหรับฉันล่ะสิไม่ว่า”
“คนที่ตกอยู่ในอันตรายก็คือนายนะเซียวจ้าน ถ้าขืนนายยังดื้อดึงความหวังดีของฉันคงเปล่าประโยชน์”
“ฉันไม่ได้ดื้อดึงฉันก็แค่..”
“อะไร”
“ฉันก็แค่ไม่อยากแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก”
“.......”
“ก็แค่นั้นเอง ฉันผิดมากเหรอ”
หยดน้ำสีใสเอ่อล้นหลั่งรินออกมาเปรอะเปื้อนสองข้างแก้มอย่างไม่อาจควบคุมได้อยู่ ผมนึกหัวเราะเยาะให้กับโชคชะตาของตัวเองนัก ใครจะไปคิดว่าผู้ชายหวงความโสดแบบผมวันหนึ่งต้องตกกระไดพลอยโจนกลายเป็นเมียเจ้าพ่อและยังสูญเสียอิสรภาพที่พึงมีไปจนหมดสิ้น ผมก็แค่อยากใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยเป็นไอ้เสือเซียวจ้านผู้รักสนุกคนเดิม ผมไม่อยากถูกขังอยู่ในกรอบที่ผู้คนต่างพากันขีดเขียนกำหนดไว้ ทำไมผมต้องพาตัวเองมาพัวพันกับเมืองชิรัณย์ ทำไมนายอี้โจวต้องหลอกล่อให้ผมมาที่นี่เพราะหวังใช้ประโยชน์ในงานวิจัยลับของพ่อด้วย
“ฉัน..”
“.......”
“ฉันขอโทษ”
“.......”
เจ้าของเสียงเอ่ยประโยคนั้นออกมาแผ่วเบาแต่กลับแฝงด้วยความรู้สึกอันมากล้น ผมลอบอ่านความรู้สึกทั้งหมดผ่านทางสายตาที่ส่งมา สัมผัสได้ว่าอี้ป๋อมีแต่ความหวังดีและทุกสิ่งที่เขาทำก็หมายความตามนั้นจริงๆ เพียงแค่ผมพยายามปฏิเสธโชคชะตาของตัวเองก็เลยเอาแต่โทษเขาอยู่ฝ่ายเดียว หากอี้ป๋อไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือผมก็คงตกอยู่ในกำมือของอี้โจวตั้งแต่คืนนั้น คิดดูแล้วผมก็เป็นคนดื้อดึงอย่างที่อี้ป๋อว่าเอาไว้จริงๆนั่นแหละ
“นายไม่จำเป็นต้องขอโทษด้วยซ้ำ อันที่จริงความเฮงซวยมันเกิดขึ้นกับชีวิตของฉันมาตลอดอยู่แล้ว ฉันน่าจะชินกับมันสักที”
“เซียวจ้าน หากนายยังคงเป็นกังวลฉันก็จะบอกให้รู้ไว้ แม้เราสองคนจะประทับตราพันธะที่มีความหมายพิเศษแต่พวกเราไม่จำเป็นต้องแต่งงานกันจริงๆ”
“หมายความว่ายังไง”
“เราสองคนจะเป็นสามีภรรยาเพียงแค่ในนามเท่านั้น”
“แน่ใจเหรอ”
“นายคงไม่คิดว่าฉันอยากได้คนประเภทนี้มาเป็นเมียจริงๆหรอกนะ”เจ้าตัวพูดพร้อมกับชี้นิ้วตรงมาแถมยังทำสีหน้าเอือมระอาจนผมอดสงสัยไม่ได้
“ทำไมฮะ คนประเภทฉันมันเป็นยังไง”
“ก็คนประเภทที่กำลังร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่ตรงหน้าฉันนี่ไง แถมยังชอบปีนป่ายต้นไม้เล่นเป็นเด็กอีกต่างหาก อายุสมองของนายนับวันยิ่งลดเอาเรื่อยๆ เมื่อไหร่จะโตเท่าฉันสักทีล่ะ”
“เด็กอะไรกันเล่าฉันโตกว่านายนะเว้ย!!”
“เด็กน้อยเซียวจ้านสามขวบชัดๆ ไม่สิ..ตอนนี้เหลือสองขวบก็แล้วกัน”
นิ้วชี้เพิ่มจากหนึ่งเป็นสามแล้วค่อยๆลดลงเหลือแค่สองแทน ไม่เพียงเท่านั้นแต่อี้ป๋อยังยกนิ้วกุมขมับพร้อมทำสีหน้ายียวนกวนประสาทเหมือนเหนื่อยใจกับเด็กคนนี้เกินทน เจ้าม้าสีนวลแสดงท่าทางกระโดดกับพื้นไปมาอยู่ข้างๆดูท่าจะชอบใจไม่เบาที่ได้เห็นผมควันออกหูเพราะอารมณ์เสีย
“ว่าไงนะ..สะ..สองขวบ เหอะ!! นายพูดกับผู้ใหญ่อายุสามสิบแบบนี้เหรอหวังอี้ป๋อ!!”
“อ๊ะ!! ทำอะไรของนายน่ะ!!”
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน!! นายเลยวัยเบญจเพสมากี่วันกันเชียว!! นี่แน่ะ!!”
แกร๊ก!!
ผมหักกิ่งไม้บนต้นมากที่สุดเท่าที่จะหาได้ก่อนทำการปาใส่คนด้านล่าง ข้อมือหนาปัดป้องเพียงเล็กน้อยอย่างไม่คิดถือสาแถมยังหลุดหัวเราะออกมากระตุ้นให้ผมหงุดหงิดมากกว่าเดิม ดูเหมือนยิ่งตอบโต้ก็ยิ่งตอกย้ำให้คำพูดของเขากลายเป็นจริง นานเข้าผมชักรู้สึกว่าการกระทำของตัวเองไร้ประโยชน์จึงพักสงบศึกชั่วคราว ข้อมือบางปาดคราบน้ำตาบนแก้มออกจากนั้นก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นไม่มีอารมณ์สนทนาต่อ อี้ป๋อเห็นว่าผมเอาแต่ยืนนิ่งๆบนขอนไม้ไม่มีทีท่าจะปีนลงมาสักทีก็เริ่มถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย เขาคงไม่เคยต่อสู้กับศัตรูที่แผลงฤทธิ์มากเท่ากับผมมาก่อนสินะ
สมน้ำหน้า
“เรื่องทั้งหมดฉันก็อธิบายให้นายฟังแล้ว ทีนี้จะยอมลงมาได้หรือยัง”
“เลิกว่าฉันเป็นเด็กก่อนสิแล้วฉันจะยอมลงไป”
“งั้นนายก็ต้องเลิกทำตัวดื้อแพ่งเหมือนกัน”
“เออก็ได้”
“ห้ามแอบไขว้นิ้วด้านหลังด้วย”
“อ้าว..เห็นมาตลอดเลยเหรอ แฮะๆ”
ว้า~เขินจัง
นึกว่าหลอกเนียนแล้วซะอีก
“ทะเลาะกับนายทำฉันเหนื่อยใจจริงๆ เซียวจ้าน”
ผมอยากบอกเขาเหลือเกินว่าการไล่ล่าระหว่างเราก็ทำให้ผมเหนื่อยใจเหมือนกัน ครั้งหน้าผมสัญญาว่าจะไม่ทำเท่กระโดดขึ้นขี่หลังม้ามั่วซั่วแล้ว หากมีโอกาสได้หนีอีก(ก็หวังว่าคงมี)ผมจะวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ซ้ำรอยเดิม
“ลงมาสิ ตะวันใกล้ตกดินแล้วนะ”
“เดี๋ยวก่อน ฉันยังมีอีกเรื่อง”
“อะไร”
“การแต่งงานระหว่างเราเป็นเพียงแค่ในนาม ข้อนี้ฉันยอมรับ”
“.......”
“แต่ฉันจะยอมเป็นเมียนายแค่สามเดือนเท่านั้น นายต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ตกลงไหม”
“สามเดือนที่ฉันต้องจัดการกับอี้โจว ไม่คิดว่าเวลาน้อยเกินไปเหรอ”
“งั้นนายต้องการเวลาเท่าไหร่ล่ะ”
“หนึ่งปีไม่ได้หรือไง”
“หนึ่งปีเนี่ยนะ!! ใครจะไปยอมทนเป็นเมียนายนานขนาดนั้นกันถึงจะแค่ในนามก็เถอะ”
“นายกลัวอะไรนักหนา หรือกลัวจะติดใจการทำหน้าที่เป็นภรรยาฉันกันแน่”
“หลงตัวเอง!! ฉันยอมเสียทั้งศักดิ์ศรีทั้งความเป็นชายชาตรีมากพอแล้ว หนึ่งปีมันนานเกินไป ถ้าภายในสามเดือนนายยังจัดการทุกอย่างไม่เสร็จเรียบร้อยฉันจะหนีไปจากที่นี่ทันที”
“งั้นขอหกเดือน”
“สามเดือน”
“ห้าก็ได้”
“ให้ได้แค่สาม”
“แล้วสี่เดือนล่ะเป็นไง”
“หวังอี้ป๋อ!!”
“สามเดือนครึ่งขาดตัว”
“สามเดือนก็มากเกินพอแล้ว!! ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายว่าฉันยอมเป็นเมียนายแค่สามเดือนเท่านั้น!! ถ้านายไม่พอใจล่ะก็ฉันจะ..”ผมทำท่าเตรียมกระโดดลงจากต้นไม้กะด้วยสายตาความสูงระดับนี้อาจทำให้แข้งขาหักได้อย่างฉับพลัน อี้ป๋อรู้ว่าผมจงใจเอาตัวเองเป็นตัวประกันอีกครั้งถึงได้เอ่ยสวนขึ้นมาซะก่อน
“ตกลง สามเดือนก็คือสามเดือน อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลยเซียวจ้าน ฉันยอมนายทุกอย่างแล้ว”
“ก็แค่นั้น ไม่รู้จะเสียเวลาต่อรองทำไมตั้งนาน”
“ฉันจะพยายามจัดการทุกอย่างภายในเวลาสามเดือนแต่ฉันยังไม่รับประกันว่ามันจะสำเร็จ”
“ฉันจะช่วยนายเอง เรื่องงานวิจัยของพ่อฉันจะบอกเท่าที่ฉันรู้”
“ถ้าเป็นงั้นจริงฉันจะขอบคุณมาก”
“อื้ออ”
“ส่วนเรื่องตราพันธะไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะคืนอิสระให้นายเมื่อถึงเวลานั้น เมื่อไหร่ที่นายไม่ต้องการมันแล้วฉันจะช่วยลบเลือนให้”
ผมรู้สึกโหวงในอกอย่างน่าประหลาดเมื่อได้ยินคำว่าลบเลือนที่ออกจากปากของเขา คล้ายกับว่าตราพันธะระหว่างเราสองคนจะไม่มีวันคงอยู่ตลอดไป นัยน์ตาคมฉายแววหม่นลงอย่างเห็นได้ชัดแสดงว่าเขาเองคงรู้สึกไม่ต่างกันเท่าไหร่
พวกเราสองคนมีเหตุจำเป็นให้ต้องมาผูกพันกันชั่วคราว
อย่าได้ริอาจคาดหวังในความสัมพันธ์ครั้งนี้มากนักเลย
เพราะถึงยังไงจุดเริ่มต้นก็ไม่ได้เกิดมาจากความรักอยู่แล้วนี่
รอยยิ้มกระต่ายซุกซนปรากฏขึ้นบนใบหน้าเพื่อสร้างบรรยากาศให้กลับมาสดใสตามเดิม ในเมื่อเราสองคนทำข้อตกลงเป็นสามีภรรยากันแค่ในนามเรียบร้อยตลอดระยะเวลาสามเดือนนับจากนี้ก็ไม่มีอะไรให้ผมต้องเป็นกังวลอีก ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นเมียเจ้าพ่อแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องทำหน้าที่เมียจริงๆสักหน่อย ตราบใดที่ความเป็นชายยังคงถูกรักษาเอาไว้ไม่ถูกอีกคนฉกชิงไปผมก็ยอมรับผลของมันได้ทั้งนั้น
ฟุบ!!
เมื่อบรรยากาศสนามรบสงบคงได้เวลาแยกย้ายกันพักผ่อนสักที ผมค่อยๆปีนลงต้นไม้ด้วยความทุลักทุเลพอสมควร คิดดูแล้วก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำใจกล้าบ้าบิ่นหนีขึ้นต้นไม้ไปได้ยังไงด้วยความสูงถึงขนาดนั้น จังหวะที่ผมคิดฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อยสายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นสิ่งมีชีวิตตัวน้อยกำลังเลื้อยพันกิ่งไม้ก่อนจะเริ่มชูคอมาทักทายกันด้วยระยะห่างเพียงแค่คืบเดียว
ต๊ะเอ๋~
งูมันเลื้อยเข้ามาอยู่ที่เอว~
“เหี้ย!! งู!!”
ตุบ!!
ด้วยความตกใจผมจึงเผลอปล่อยมือออกจากต้นไม้ส่งผลให้ทั่วทั้งร่างหล่นลงสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น เข่าข้างเดิมทำหน้าที่รับน้ำหนักจนถลอกเห็นรอยช้ำสีเลือดอีกระลอก ร่างสูงซึ่งกำลังเฝ้าดูเหตุการณ์ก็ตกใจไม่แพ้กันจึงกระโดดลงจากหลังม้ารุดเข้ามาดูอาการทันที ผมร้องโอดโอยเพราะรู้สึกเจ็บปวดในความเคราะห์ซ้ำกรรมซัดของตัวเองไม่มีหยุดหย่อน
ก่อนออกจากบ้านก้าวขาข้างไหนวะไอ้เซียวจ้าน
ดวงซวยชะมัดเลยวันนี้
“อ๊า..แสบชิบ!! ขาหักหมดแล้วมั้งเนี่ย”
“นายเจ็บมากหรือเปล่า”
“เจ็บสิ โคตรเจ็บ เจ็บมากๆเลยด้วย”
“สรุปว่าเป็นเหี้ยหรืองูที่นายเจอ”
“ห๊ะ”
“ก็เห็นนายร้องซะดัง”
“เหี้ยเป็นแค่คำอุทาน ส่วนตัวที่เจอเป็นงูต่างหากเล่า เวลาแบบนี้ยังจะมาเล่นลิ้นอีกนะ”
อี้ป๋อยกยิ้มมุมปากราวกับสุขใจที่แกล้งยียวนกวนประสาทตัวผมสำเร็จ เขาคุกเข่าลงกับพื้นข้างหนึ่งเพื่อให้เราทั้งคู่อยู่ในระดับเดียวกัน สักพักข้อมือหนาก็จัดแจงถอดเสื้อคลุมเพื่อเอามาพาดบ่าของผมไว้หลวมๆ ผมจำได้ว่านี่คือเสื้อคลุมตัวเดิมที่เขาให้ยืมเมื่อเช้าและเป็นตัวที่ผมถอดทิ้งใส่รถอวี๋ปินก่อนจะหนีมา น้ำเสียงเข้มเอ่ยอธิบายขึ้นคล้ายกับล่วงรู้ว่าผมกำลังนึกสงสัย
“ฉันพานายกลับไปในสภาพนี้ไม่ได้”ผมชะงักเล็กน้อยกับคำว่า ‘สภาพนี้’ ที่อีกคนหมายถึงแต่พอก้มลงมองสภาพตัวเองจึงได้เข้าใจ ปกติเสื้อของผมนั้นบางอยู่แล้วยิ่งผ่านศึกเมื่อครู่ก็ทำให้กระดุมหลุดลุ่ยสภาพไม่น่าดูชมยิ่งกว่าเดิม
“ทำไมล่ะ หวงหรือไง”พอเห็นท่าทีนิ่งขรึมของคนตรงหน้าผมก็อดแกล้งไม่ได้ ทั้งที่คิดว่าอีกคนคงเลือกไม่ตอบแต่ผลกลายเป็นเขากลับยอมรับออกมาอย่างหน้าตาเฉยซะนี่
“ใช่ ฉันหวง”
“อะไรกัน ไหนตอนเช้านายบอกว่าไม่ได้หวงแค่ทำไปเพราะมารยาทไงล่ะ”
“ก็ตอนนั้นเรายังไม่ได้เป็นอะไรกันฉันถึงไม่มีสิทธิ์ ส่วนตอนนี้เราเป็นอะไรกันแล้วฉันเลยมีสิทธิ์หวงได้”
“แล้วเราเป็นอะไรกัน”
“ก็..”นัยน์ตาคมเลื่อนต่ำลงมองทะลุผ่านเนื้อผ้าเข้าไปยังตำแหน่งอกข้างซ้ายของผมซึ่งมีตราพันธะประทับอยู่ ชั่ววินาทีนั้นเองที่ผมรู้สึกตัวว่าช่างโง่เขลาแต่จะให้เรียกคืนคำถามเอาป่านนี้ก็คงสายเกินไป
“เราสองคนน่ะเหรอ”
“.......”
“ก็เป็นสามีภรรยาไง”
ตึกตัก!!
เสียงหัวใจที่เคยเต้นจังหวะปกติกลับมาเต้นรัวเร็วเป็นจังหวะสามช่าอีกครั้ง อี้ป๋อยิ่งตอกย้ำให้ใจสั่นมากขึ้นด้วยการฉีกปลายเสื้อเชิร์ตของตัวเองออกแล้วนำมันมาใช้เป็นผ้าพันแผลตรงบริเวณหัวเข่าให้กับผม การกระทำของเขาดูคล้ายเป็นห่วงเป็นใยภรรยาแค่ในนามจนเกินหน้าที่ไปหน่อย หากเขาไม่คิดจะหยุดผมอาจต้องตกหลุมพรางเหมือนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เป็นแน่
“.......”
“.......”
“อะไร”
“อะไรล่ะ”
“ก็นายจ้องฉัน”
“ฉันแค่สงสัยว่าทำไมนายใจดีผิดปกติ ทั้งที่ฉันเป็นฝ่ายหนีมาและก่อความวุ่นวาย”
“นายได้รับบาดเจ็บนั่นก็ถือเป็นบทลงโทษแล้ว หรืออยากให้ฉันใจร้ายทำโทษนายซ้ำอีก”
“ไม่เอา”กำปั้นเล็กทุบอกตรงหน้าไปเบาๆเพราะกลัวเขาจะทำโทษผมซ้ำเข้าจริงๆ
“เสร็จเรียบร้อย กลับไปเมื่อไหร่ค่อยให้อวี๋ปินทำแผลอีกทีก็แล้วกัน”
“แล้วนายจะพาฉันกลับยังไง ม้าตัวที่ฉันขี่มาก็ดันพยศหนีไปซะก่อน”
“ฉันมีวิธีพานายกลับก็แล้วกัน”
“ฮะ..เฮ้ย!! นายจะทำอะไร!!”
ยังไม่ทันเอ่ยจนจบประโยคดีข้อมือหนาก็ฉวยโอกาสช้อนตัวคนตรงหน้าเข้ามาอยู่ภายใต้อ้อมแขนก่อนจะยกร่างบางขึ้นแนบอกในท่าอุ้มเจ้าสาว เพราะกลัวจะตกหล่นลงบนพื้นอีกคนจึงเกาะเกี่ยวโอบรัดคอไว้แน่นคล้ายพยายามหาที่พึ่งพิง คนทั้งคู่สบสายตากันเล็กน้อยโดยไม่เอ่ยคำใดออกมาปล่อยให้หัวใจได้ทำงานของมันอย่างอิสระ พลันสายลมเอื่อยวูบหนึ่งลอยผ่านยิ่งกระตุ้นให้กายเนื้อทั้งสองขยับหาไออุ่นอิงแอบแนบชิดกว่าเดิม
ตึกตัก!!
ผมได้ยินเสียงหัวใจของเขา
ตึกตัก!!
และได้ยินกระทั่งเสียงหัวใจของผมเอง
“ฉันเดินเองได้”
“ขานายเจ็บอยู่นะ”
“แต่..”
“อย่าเถียงสิ”
“.......”
“เด็กดื้อ”
“.......”
อี้ป๋อโคลงศรีษะเบาๆพร้อมเอ่ยคำสุดท้ายส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดออกมารวบรัดเป็นประโยคเดียว ผมอาจจะเป็นเด็กดื้อที่เขานึกหน่ายใจหรืออาจจะเป็นเด็กดื้อที่เขาอยากเลี้ยงไว้ดูเล่น แทบไม่รู้เลยว่าในสายตาของเขานั้นมองตัวผมเป็นเช่นไร รู้เพียงแค่น้ำเสียงยามที่เขาเอ่ยก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่นักหรอก
เด็กดื้อแล้วไงเป็นเมียเจ้าพ่อได้ก็แล้วกัน
แบร่~
ฮิย๊า~
กรุบกรับ!!
ผมถูกอีกคนอุ้มขึ้นวางบนหลังม้าจากนั้นร่างสูงก็กระโดดตามมานั่งซ้อนบริเวณทางด้านหลัง ข้อมือหนาสอดผ่านเอวของผมเพื่อจับเชือกบังคับให้เจ้าม้าสีนวลออกวิ่งตรงกลับไปยังสถานที่ที่พวกเราจากมา คงเพราะผมมีอาการบาดเจ็บเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงรู้สึกเพลียง่ายเพียงแค่สัมผัสสายลมอ่อนที่พัดผ่านหนังตาก็เริ่มปรือทันที
ฟุบ
ร่างบางเอนซบคนข้างหลังก่อนจะหลับตาพักผ่อนอยู่ภายใต้อ้อมอกแกร่ง อี้ป๋อกระชับข้อมือทั้งสองข้างโอบร่างบางเอาไว้ในอ้อมกอดแนบแน่นเพื่อป้องกันไม่ให้อีกคนพลัดตกจากหลังม้า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฝีเท้าของเจ้าม้าถึงได้ช้าลงคล้ายเป็นการช่วยเอื้อโอกาสให้คนทั้งสองได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานกว่าที่เคย ความคิดชั่วร้ายวูบหนึ่งปรากฏขึ้นในหัวหลังจากเพิ่งนึกได้ว่าร่างกายส่วนล่างของทั้งคู่เองก็แนบชิดไม่แพ้กัน ยามม้ากระโดดข้ามเนินสูงยิ่งกระตุ้นให้ส่วนนั้นเสียดสีจนแทบหลอมรวมเป็นหนึ่ง อี้ป๋อถึงกับต้องสะบัดหน้าแรงๆไล่ความคิดชั่วร้ายออกไปหลงเหลือไว้เพียงแค่ความคิดด้านดีต่ออีกคนที่นับวันมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นและคงเอ่อล้นหัวใจในไม่ช้า
เมื่อเดินทางกลับถึงองค์กรภาคีผมก็แทบอยากเอาหัวมุดดินเพราะวีรกรรมหลบหนีในวันนี้เป็นที่กล่าวขานกันไปทั่ว แม้กระทั่งผู้ส่งสารคนที่ผมตั้งฉายาให้ว่าพ่อนินจาเต่ายังยอมละทิ้งบุคลิกเคร่งขรึมเอ่ยแซวผมตอนที่เราเดินสวนกัน กลุ่มพันธมิตรของอี้ป๋อยิ่งแล้วใหญ่เอาเรื่องราวไปนินทากันสนุกปาก บ้างก็หาว่าอี้ป๋อนอกใจบ้างล่ะเมียเลยตั้งท่าหนี บ้างก็หาว่าผมหนีเพราะไม่ประทับใจในลีลาท่ายากบนเตียงของสามีซะอย่างนั้น ดูเหมือนผมจะสร้างความประทับใจแรกเจอได้ยอดเยี่ยมมาก
“ฮะฮ่า~ ในที่สุดนายก็จะได้มีเมียเป็นตัวเป็นตนสักที ดีใจด้วยนะเพื่อน”
“.......”
“เอาไว้ว่างเมื่อไหร่ขอเชิญทั้งนายแล้วก็คุณเซียวจ้านมาร่วมรับประทานอาหารที่บ้านของฉันนะ ถือว่าฉลองต้อนรับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพันธมิตรอย่างเป็นทางการ”
“ขอบคุณสำหรับคำเชิญครับ”
“อะไรกันจี้หยาง ใจคอจะชวนแค่คู่รักข้าวใหม่ปลามันเท่านั้นเหรอ”
“ฉันว่ากว่าอี้ป๋อจะว่างคงอีกนานนั่นแหละ เพิ่งแต่งงานก็งี้ต้องใช้เวลาฮันนีมูนเพื่อกระชับความสัมพันธ์ว่ะ”
“ดูท่าคืนนี้ไปง้องอนต่อบนเตียงแน่นอน กิ้วๆ~”
“.......”
“.......”
“พูดถูกใจว่ะอวี้เฉิน วันนี้ทั้งม้าของนายแล้วก็ของฉันมีส่วนช่วยให้อี้ป๋อง้อเมียสำเร็จนะเว้ย”
“ดีนะที่คนขององค์กรภาคีตามจับเจ้านิลกลับมาได้ไม่งั้นฉันคอขาดแน่”
“พี่ว่าเราเงียบกันสักหน่อยดีกว่า อี้ป๋อกับเซียวจ้านจะได้มีสมาธิในการเซ็นเอกสารสำคัญ”
แกร๊ก
ข้อมือบางจรดปลายปากกาเซ็นเอกสารในขั้นตอนสุดท้ายอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่ หลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็ต้องประทับลายนิ้วมือลงไปเพื่อเป็นเครื่องหมายยืนยันว่าข้อมูลในเอกสารถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ ผมไม่อยากทำผิดพลาดเหมือนครั้งก่อนจึงตั้งใจอ่านตัวอักษรบนหน้ากระดาษซ้ำไปซ้ำมา ขณะที่ผมทบทวนข้อมูลรอบสุดท้ายพี่ไห่ควานก็เดินเข้ามาตบบ่าเบาๆคล้ายกับให้กำลังใจ ในบรรดาเพื่อนของอี้ป๋อผมคิดว่าพี่ไห่ควานนี่แหละดูเป็นมิตรและดูพึ่งพาได้ที่สุดแล้วเพราะเขาเป็นคนเดียวที่ไม่ทำเหมือนพวกเราสองคนกำลังแต่งงานเป็นสามีภรรยากันจริงๆ
ส่วนคนอื่นถ้าเผลอเมื่อไหร่จะสั่งให้เลอาไปกัดคอให้ดู!!
“จากนี้พี่ขอฝากนายช่วยดูแลอี้ป๋อด้วยนะ หนักนิดเบาหน่อยก็จงอภัยให้กัน หากมีเรื่องที่ไม่เข้าใจหันหน้ามาพูดคุยกันดีๆ อย่ากระโดดขึ้นหลังม้าหนีไปแบบวันนี้อีกล่ะ สามีภรรยาต้องหัดรักใคร่กันไว้”
เพล้ง!!
หน้าแตกแบบหมอไม่รับเย็บ!!
ไอ้คุณพี่ไห่ควานนนนนน!!
พี่นี่แหละสมควรโดนเลอากัดก่อนใคร!!
แม้ภายในจะรู้สึกจุกอกมากขนาดไหนแต่ผมก็ทำได้แค่พยักหน้ารับเบาๆเพราะไม่อยากเสียมารยาท ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนในกลุ่มพันธมิตรถึงทำเหมือนกับว่าพวกเราสองคนกำลังจะแต่งงานกันจริงๆทั้งที่พวกเขารู้ดีอยู่แล้วว่าสาเหตุในการประทับตราพันธะครั้งนี้มันเป็นเพราะอะไร นายอี้ป๋อก็อีกคนหนึ่งแทนที่จะห้ามปรามเพื่อนๆบ้างแต่เจ้าตัวกลับเลือกนิ่งเฉย ชอบนักหรือไงถูกล้อว่าเป็นสามีของผมน่ะ
“เมื่อคุณทั้งสองรวมถึงพยานร่วมเซ็นเอกสารยืนยันเรียบร้อยแล้ว การประทับตราพันธะในวันนี้ก็ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้น รอแค่ดำเนินเรื่องยื่นเอกสารส่งต่อไปยังสภากลางเท่านั้น หลังจากสภากลางอนุมัติสถานะสามีภรรยาของพวกคุณถึงจะถูกใช้อย่างเป็นทางการ”
“ขอบคุณมากครับ”
“ขอบคุณเช่นกันที่เลือกใช้บริการส่งรหัสลับของเรา”
ชายชุดดำโค้งคำนับเล็กน้อยพร้อมกับหยิบเอกสารทั้งหมดแล้วเดินจากไป อี้ป๋อชวนผมร่วมวงสนทนาในกลุ่มพันธมิตรอยู่พักใหญ่ก่อนจะพากันแยกย้ายทางใครทางมันเมื่อถึงเวลาอันสมควร อันที่จริงผมว่าพวกเขาออกจะพูดคุยสนุกด้วยซ้ำไม่รู้สึกอุณหภูมิติดลบเหมือนตอนอยู่กับอี้ป๋อแค่สองคน หากตัดเรื่องที่พวกเขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้เรากลายเป็นสามีภรรยากันอย่างออกนอกหน้าก็ถือว่าเป็นสหายที่ดีกลุ่มหนึ่งเลยล่ะ
“เฮ้ออ~”
ระหว่างนั่งรถขากลับพวกเราเอาแต่นิ่งเงียบมาตลอดทางส่วนหนึ่งคงเพราะผมก่อวีรกรรมเอาไว้ซะเยอะก็เลยค่อนข้างเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ อี้ป๋อสังเกตเห็นว่าผมเผลอถอนหายใจทิ้งอยู่หลายทีเขาจึงหันมาถามไถ่อาการ อวี๋ปินเองที่ยังคงเป็นห่วงเรื่องบาดแผลของผมก็เริ่มร่วมวงสนทนาด้วยเช่นกัน
“อยากแวะโรงพยาบาลก่อนไหม”
“นั่นสิครับคุณชาย บาดแผลของคุณชายยังน่าเป็นห่วง”
“ไม่เป็นไรหรอก แผลไม่ได้ลึกมากเท่าไหร่ แค่ยังรู้สึกช้ำนิดหน่อยก็เท่านั้น”
“ผมขอโทษด้วยนะครับคุณชายสำหรับเรื่องวันนี้”
“ขอโทษเรื่องที่นายใช้รหัสลับเรียกอี้ป๋อมาล่าตัวฉันน่ะเหรอ”
“เอ่อ..”
“เอาเถอะ ฉันมันเป็นฝ่ายดื้อดึง นายไม่ต้องโทษตัวเองหรอกที่ฉันได้รับบาดเจ็บกลับมา”
“ผมจะช่วยคุณชายทำแผลเองครับเมื่อกลับไปถึงคฤหาสน์ อดทนอีกนิดนะครับ”
ว่าแล้วอวี๋ปินก็ทำการเร่งเครื่องยนต์เพื่อที่จะได้กลับไปถึงจุดหมายรวดเร็วมากขึ้น เจ้าตัวเอาแต่เพ่งสมาธิอยู่บนท้องถนนไม่ได้หันกลับมาสนใจคู่สามีภรรยา(หลอกๆ)อย่างเราสองคนอีกเลย เมื่อบทสนทนาเริ่มเงียบลงผมจึงนึกถึงเรื่องในวันนี้ขึ้นมาได้ ตอนอวี๋ปินส่งรหัสลับให้คนขององค์กรภาคีผมได้ยินชื่อเมนูอาหารชนิดหนึ่งรวมถึงโค้ดปริศนาซึ่งเกี่ยวพันกับคนที่ชื่อว่าเชฟลี ถ้าเป็นอย่างที่ผมคิดล่ะก็..เชฟลีกับอี้ป๋อต้องเป็นคนเดียวกันไม่ผิดแน่
“นายคือเชฟลีใช่ไหม”
“นั่นคือนามแฝงของฉัน มันเป็นส่วนหนึ่งของรหัสลับที่คนในองค์กรภาคีใช้กัน”
“รหัสลับที่ว่ามันคืออะไรเหรอ”
“องค์กรภาคีทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างผู้คน รหัสลับที่นิยมใช้กันมากที่สุดก็คือการส่งสัญญาณ SOS ไม่ใช่เพียงแค่ขอความช่วยเหลือแต่รวมถึงการส่งข่าวหรือส่งสัญญาณบางอย่างให้เป้าหมายรับรู้โดยต้องระบุชื่อแฝงที่ใช้ภายในองค์กรเท่านั้น”
“ฟังดูน่าสนุก งั้นทำไมถึงต้องเป็นการฝากบอกเชฟด้วยล่ะ พูดตรงๆไม่ได้เหรอ”
“เพราะนั่นคือส่วนหนึ่งของการจำลอง หากนำรหัสลับไปใช้ในสถานการณ์อื่นศัตรูที่อยู่นอกเครือข่ายขององค์ภาคีจะได้ไม่ไหวทัน”
“เหมือนในหนังสายลับเลยแฮะ ฉันขอเดานะว่าเมนู Salmon Olive Steak ที่อวี๋ปินใช้ก็คือสัญญาณ SOS ที่หมายถึง”
“เริ่มฉลาดแล้วนี่ นายอยากลองคิดชื่อเมนูอื่นก็ได้นะ ตอนนี้นายกลายเป็นคนในตระกูลฉันแล้ว นายควรมีนามแฝงของตัวเองเผื่อสักวันจำเป็นต้องใช้เหมือนกัน”
“อะแฮ่ม~ ฝากบอกเชฟจ้านจ้านว่า..”
“ห้ามใช้ชื่อจริง”
“แค่ชื่อย่อก็ไม่ได้เหรอ”
“คิดใหม่ซะ”
“ก็มันคิดไม่ออกนี่ นายได้ชื่อคุณลีมาจากไหนล่ะ”
“ห้ามเลียนแบบชื่อฉัน นามแฝงซ้ำกันไม่ได้”
“รู้แล้วน่า ฉันก็แค่ถามเผื่อเป็นแรงบันดาลใจไง”ขี้หวงจริงๆเลยนะนายเนี่ย
“ฉันเอาคำว่า ‘ลี’ มาจาก ‘ลีอันนา’ มันคือกลุ่มดาวสิงโตในภาษาของเมืองชิรัณย์และก็เป็นกลุ่มดาวประจำวันเกิดของแม่ฉันด้วย”
“งั้นเหรอ ความหมายดีจัง”
“หรือนายอยากลองตั้งชื่อด้วยกลุ่มดาวดูบ้าง ฉันจะได้ช่วยหาให้”
“ไม่ต้องหรอก ฉันว่าฉันคิดออกแล้ว”
“นายจะใช้นามแฝงว่าอะไร”
“อันนา”
“.......”
“ฉันจะใช้นามแฝงว่าอันนา”
“ทำไมต้องเป็นอันนา”
“เพราะอักษรที่ประกอบเป็นความหมายพิเศษไม่ควรขาดคำใดคำหนึ่งไปน่ะสิ ในเมื่อตอนนี้พวกเราสองคนเปรียบเสมือนเป็นคนๆเดียวกัน”
“.......”
“เมื่อไหร่ที่มี ‘ลี’ ก็ต้องมี ‘อันนา’ เมื่อไหร่ที่มี ‘นาย’ ก็ต้องมี ‘ฉัน’ ไง”
“.......”
“เมื่อไหร่ที่เราสองคนอยู่ด้วยกัน..เมื่อนั้นความหมายที่ขาดหายไปจะถูกเติมเต็มจนสมบูรณ์”
ชายหนุ่มจ้องมองผู้เป็นเจ้าของรอยยิ้มกระต่ายอันแสนซุกซนด้วยดวงตาประกายเมื่อได้ฟังคำตอบ ขณะที่อีกคนเมื่อพูดจบก็เอาแต่เหม่อออกไปนอกหน้าต่างรับชมแสงจันทร์ยามราตรี ไม่ทันรู้ตัวเลยว่าแค่ประโยคสั้นๆไม่กี่คำได้ก่อให้เกิดอิทธิพลต่อใครคนหนึ่งมากมายเพียงใด
ตึกตัก!!
และในครานั้นกลุ่มดาวสิงโตก็เริ่มส่องแสงประกายงดงามยิ่งกว่าคืนไหนๆ
<< จบ Part1 >>
#ตราพันธนาการหัวใจ
ความคิดเห็น