ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตราพันธนาการหัวใจ #ป๋อจ้าน #ป๋อตี้จ้านเกอ

    ลำดับตอนที่ #6 : >

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.06K
      46
      13 พ.ค. 65


    << Chapter 5 >>

    Part 1






    “อวี๋ปิน นายต้องพาฉันหนีไปจากที่นี่”

    “คะ..คุณชายตะ..แต่ว่า..”

    “เดี๋ยวนี้!!”


    เพล้ง!!


    หลังจากตั้งสติได้ผมก็รีบใช้ขวดฟาดลงกับขอบโต๊ะก่อนจะหยิบเศษแก้วปลายแหลมขึ้นมาจ่ออยู่บริเวณลำคอ ผมรู้ว่าการจับตัวเองเป็นตัวประกันคือเรื่องสิ้นคิดแต่จะให้ทำยังไงในเมื่อนี่เป็นทางรอดเดียวเท่านั้น ผมไม่มีทักษะการต่อสู้เหมือนจาพนมถึงจะเก่งกล้าสามารถกระโดดเตะก้านคอเพื่อเอาชนะคนตรงหน้าแล้วตีลังกาสามตลบหนีออกไป สิ่งที่ผมถนัดมากที่สุดก็คือการพลิกแพลงสถานการณ์ แม้อวี๋ปินจะเป็นมือขวาของเจ้าพ่อแต่เขาก็มีจิตใจอ่อนโยน เขาไม่มีทางทนเห็นผมได้รับบาดเจ็บแน่นอน


    “ระวังนะครับคุณชาย!!”

    “ถ้านายไม่พาฉันหนีไปตอนนี้ฉันจะกรีดคอตัวเองให้ดู”

    “โธ่..คุณชาย ทำไมต้องพยายามหนีไปจากเหล่าต้าด้วยล่ะครับ คุณชายประทับตราพันธะไปแล้วนั่นเท่ากับว่าคุณชายได้กลายเป็นภรรยาของเหล่าต้าอย่างสมบูรณ์ ถึงหนีไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์”

    “ไม่รู้แหละ ถ้าขืนยังอยู่ฉันต้องตายแน่ ผู้ชายอกสามศอกแมนๆทั้งแท่งอย่างฉันจะให้ทนเป็นเมียของเจ้าพ่อได้ยังไง”

    “คุณชายยังไม่เคยลองใช้ชีวิตกับเหล่าต้าก็รีบปฏิเสธแล้วเหรอครับ ลองให้โอกาสเหล่าต้าได้ทำหน้าที่สามีดูก่อนเผลอๆบางทีคุณชายอาจจะชอบขึ้นมาก็ได้”อวี๋ปินลอบยกยิ้มมุมปากเล็กๆเมื่อนึกถึงความหมายแฝงในประโยค 


    หน้าที่สามีงั้นเหรอ?

    นับรวมถึงช่วงเวลาโจ๊ะพรึมพรึมด้วยหรือเปล่า?

    งั้นสามีก็ต้องเป็นฝ่ายบุกทะลวงน่ะสิ!!

    ไม่นะ!! 

    ประตูเมืองของผมยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องจะยอมให้ข้าศึกยึดไปง่ายๆได้ไง!!

    นี่มันจะบ้าไปกันใหญ่!!

    แค่คิดก็อยากแทงคอตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดซะตอนนี้เลย!!


    “ไม่ต้องมาอมยิ้มเลยนะอวี๋ปิน!! หน้าที่สามีบ้าบออะไรเล่า!! ใครมันจะไปชอบกันฮะ!! แค่นี้ฉันก็เสียศักดิ์ศรีจะแย่อยู่แล้ว นายไม่ต้องพยายามหว่านล้อมเลยนะ ฉันขอสั่งให้นายพาฉันหนีไปจากที่นี่ ถ้านายไม่ช่วยก็เชิญเอาวิญญาณฉันไปเป็นเมียเหล่าต้าของนายแทนแล้วกัน”

    “คุณชาย!!”


    จึก!!


    ผมแกล้งทำใจดีสู้เสือใช้เศษแก้วเฉือนเนื้อตัวเองเข้าให้เบาๆ แม้จะไม่ลึกมากแต่ก็อดรู้สึกแสบไม่ได้ อวี๋ปินเกือบสิ้นสติทันทีหลังจากเห็นหยดเลือดค่อยๆไหลลงมาแปรเปลี่ยนลำคอสีขาวให้กลายเป็นสีแดงก่ำ ไม้ตายขั้นสุดท้ายคือการบีบน้ำตาเพื่อทำให้ดูน่าสงสารขึ้นอีกหน่อย เพียงเท่านี้ก็ฉวยโอกาสรุกฆาตได้เลย


    “อย่านะครับคุณชาย!! ทำไมต้องทำร้ายตัวเองถึงขนาดนี้ด้วย วางเศษแก้วลงเถอะ ผมไม่อยากให้คุณชายบาดเจ็บ”

    “ปินปินอา~ นายไม่สงสารฉันเหรอ อยากให้ฉันแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักหรือไง”

    “อย่าร้องไห้สิครับ น้ำตาของคุณชายพาลจะทำให้ผมใจอ่อน”

    “ถ้าใจอ่อนนายก็ต้องช่วยฉันหนีไปจากที่นี่ นะนะ”เปิดโหมดอ้อนขั้นสุดแล้วนะถ้ายังใจแข็งอีกก็ไม่รู้จะว่าไง

    “เฮ้ออ..ผมไม่เข้าใจคุณชายเลย ทั้งที่การอยู่ข้างกายเหล่าต้าจะทำให้คุณชายปลอดภัยแต่ทำไมคุณชายถึงอยากออกไปเสี่ยงชีวิตข้างนอกด้วย”

    “ถึงจะเสี่ยงหน่อยแต่ก็ยังได้ใช้ชีวิตอิสระไม่ต้องตกไปเป็นเมียใคร นายไม่เข้าใจความเจ็บปวดของฉันหรอก นอกจากถูกหลอกมาที่เมืองนี้จนถูกเจ้าพ่อจับเป็นตัวประกัน ล่าสุดยังถูกหลอกมาเป็นเมียเจ้าพ่ออีก”

    “จะเรียกว่าถูกหลอกก็ไม่ค่อยถูกนักในเมื่อคุณชายไม่ยอมอ่านข้อตกลงก่อนประทับตราเองนี่ครับ”

    “อวี๋ปิน!! นายหาว่าฉันไม่ขยันอ่านหนังสืออย่างงั้นเรอะ!!”นี่คงต้องโทษโควต้าอ่านหนังสือเกินแปดบรรทัดของผมที่ใช้หมดไปกับนิยายรักอีโรติกแบบมีภาพประกอบสีสดทั้งเล่มเมื่อเดือนก่อน ผมถึงได้ไม่เหลือโควต้าเอาไว้ใช้อ่านเอกสารสำคัญอีกเลย..เอเมน

    “แฮะๆ ขอโทษครับคุณชาย ผมแค่จะสื่อว่าเหล่าต้าไม่ได้มีเจตนาจะหลอกลวงคุณชายซะหน่อย ทั้งหมดที่เหล่าต้าทำไปก็มีแต่ความหวังดีทั้งนั้น”

    “ถึงฉันจะมีส่วนผิดที่สะเพร่าไม่ยอมอ่านเอกสารก่อนประทับตราแต่เขาเองก็ผิดเหมือนกัน ทั้งที่มีโอกาสอธิบายต่อหน้าตั้งหลายหนแต่เจ้าตัวกลับเลือกนิ่งเฉย คนหวังดีที่ไหนเขาทำกันแบบนี้ล่ะ เขากลัวหาเมียมาแต่งงานอย่างเป็นทางการไม่ได้ก็เลยหวังจะจับให้ฉันมาอยู่ในฐานะเมียแทน เหตุผลด้านความปลอดภัยอะไรนั่นก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้าง ฉันเสียสละทั้งกายยอมทำตราพันธะ เสียสละทั้งใจยอมเชื่อคำพูดเขา ทั้งหมดฉันทำไปเพื่ออะไรกันแน่”

    “เหล่าต้าอยากปกป้องคุณชายกับครอบครัวจริงๆนะครับไม่งั้นเหล่าต้าก็คงไม่ยอมเสียสละตัวเองเหมือนกัน คุณชายคงไม่รู้ว่าการประทับตราพันธะในครั้งนี้ต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง”

    “ฉันไม่สนใจหรอกว่าเขาต้องแลกด้วยอะไรเพราะยังไงคนที่เสียผลประโยชน์มากที่สุดก็คือฉันอยู่ดี แน่จริงก็ลองเปลี่ยนตำแหน่งให้ฉันมาเป็นสามีเจ้าพ่อแทนสิ เหอะ..ขอพนันเลยว่าลูกพี่นายไม่มีทางยอมหรอกเพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ห่วงแต่ศักดิ์ศรีของตัวเองเท่านั้น”

    “ผมว่าเหล่าต้าไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีหรอกครับ เหล่าต้าคงเลือกตำแหน่งจากความเหมาะสมมากกว่า”

    “งั้นนายกำลังจะบอกว่าคนอย่างฉันเหมาะสมกับตำแหน่งเพศเมียอย่างงั้นเรอะ!!”

    “คุณชายจะโกรธไหมครับถ้าผมบอกว่า..เอ่อ..ใช่”


    โกรธโว้ยยยยยยย!!

    โกรธมากกกกกก!!


    คนอย่างเซียวจ้านเป็นชายชาตรีมาทั้งชีวิตแต่การได้พานพบกับไอ้คุณโรบอทหวังอี้ป๋อเพียงครั้งเดียวก็ถูกจับโยนให้ไปอยู่ในกลุ่มสมาคมแม่บ้านอย่างงั้นเลยเชียว 


    เหอะ!! 

    ผมมีอะไรสู้เขาไม่ได้ตรงไหน!!


    “แฮะๆ ผมขอโทษนะครับคุณชายก็ผมคิดแบบนั้นจริงๆ”

    “นายเป็นคนของเขาต้องเข้าข้างกันอยู่แล้วนี่ แค่นายเห็นอี้ป๋อแข็งแกร่งกว่าก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเหมาะสมจะเป็นสามีฉันนะ เก่งจริงลองวัดจากจำนวนผู้หญิงที่เข้ามาพัวพันสิรับรองฉันเป็นฝ่ายชนะขาดลอยแน่นอน ไม่รู้แหละฉันจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ฉันไม่อยากคุยไร้สาระกับนายแล้ว สรุปว่านายจะช่วยหรือไม่ช่วย”ข้อมือบางหยิกยกเศษแก้วจ่อเข้าเนื้อตัวเองอีกรอบเพื่อกระตุ้นให้ลูกน้องของศัตรูรีบแปรพักตร์

    “อย่านะครับคุณชาย!! โอเคผมยอมแล้ว ผมจะช่วยคุณชายหนีก็ได้”

    “มันต้องอย่างงี้สิ”

    “คุณชายแน่ใจแล้วเหรอครับว่าอยากหนีไปจากเหล่าต้าจริงๆ”

    “แน่ซะยิ่งกว่าแน่ ถ้าฉันต้องเป็นเมียเจ้าพ่ออยู่ที่นี่ฉันยอมตายยังดีกว่าเลย”

    “คุณชายควรรู้ไว้ว่าต่อให้หนีไปจากที่แห่งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณชายจะหนีจากเหล่าต้าพ้น ในเมื่อตราพันธะถูกประทับเรียบร้อยส่งผลผูกพันระหว่างคนทั้งสองนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หากคุณชายไม่เชื่อในผลผูกพันของมันอยากลองดูก็ได้ครับ ผมจะช่วยคุณชายหนีเองแต่ผมคงไม่อาจรับประกันถึงผลที่ตามมา เคยได้ยินที่คนโบราณว่าไว้ไหมครับ ยิ่งหนีก็ยิ่งเจอ..ยิ่งเกลียดก็ยิ่งรัก”

    “.......”

    “ยิ่งพยายามตัดขาดก็ยิ่งผูกมัดพันธนาการให้แน่นกว่าเดิม โชคชะตานำพาคุณชายกับเหล่าต้าให้มาเจอกันเพราะฉะนั้นไม่มีทางหนีไปจากโชคชะตาของตัวเองได้ง่ายๆหรอก จำคำพูดของผมเอาไว้ให้ดี”





    หลังจากเจรจาต่อรอง(แกมบังคับข่มขู่)ลูกน้องของศัตรูสำเร็จ อวี๋ปินก็เป็นฝ่ายนำทางผมออกไปด้านนอก เมื่ออยู่ในองค์กรภาคีผู้มาเยือนไม่สามารถเดินเหินไปมาตามใจนึกจะต้องมีคนคอยนำทางตลอดเวลาเหมือนแม่สาวชุดแดงที่ผมชวดเบอร์ไป เราเรียกคนทำหน้าที่นี้ว่าผู้ส่งสาร คนในตระกูลผู้มีอิทธิพลบางรายเท่านั้นถึงจะได้รับสิทธิ์ใช้พื้นที่ตามใจชอบไม่มีผู้ส่งสารคอยควบคุมแต่ก็ต้องอยู่ในขอบเขตงานที่ได้รับมอบหมายมา อวี๋ปินเป็นมือขวาของตระกูลเจ้าสิงโตจึงมักได้รับมอบหมายงานสำคัญก็เลยถือเป็นข้อยกเว้นด้วย เขาสามารถพาผมหลบหนีออกไปอย่างง่ายดายโดยไม่มีใครนึกสงสัย คิดถูกแล้วล่ะที่ผมไม่ทำใจกล้าสวมวิญญาณนักแสดงหนังบู๊แล้วหลบหนีออกมาเองไม่งั้นป่านนี้ผมคงตายอย่างเขียดไปนานแล้ว


    กึก


    “อ๊ะ!!”


    ขาทั้งสองข้างพลันหยุดชะงักเมื่อคนนำทางไม่ยอมก้าวเดินต่อ ผมมัวแต่ใจลอยไปหน่อยจึงไม่ทันระวังชนหลังอวี๋ปินเข้าให้อย่างจัง แถมยังเผลอทำสำลีที่เอามาแปะแผลรอบคอไว้แบบลวกๆหล่นลงกับพื้น ขณะเตรียมจะเอ่ยปากถามปลายหางตาก็ดันเหลือบไปเห็นสาเหตุที่อวี๋ปินตัดสินใจหยุดเดินพอดี ชายหนุ่มชุดดำท่าทางสุภาพโผล่มายืนขวางทางด้านหน้าแบบเงียบๆก่อนจะเริ่มโค้งคำนับหนึ่งทีเพื่อทักทาย


    ผู้ส่งสารคนนั้นที่ทำหน้าที่พาผมไปยังห้องประทับตรานี่นา

    แถมยังเคยทำผมตกใจมาหนหนึ่ง

    ไม่รู้ทำไมชอบฝึกวิชาเป็นนินจานัก


    แววตาคู่นั้นเพ่งเล็งเขม็งจดจ้องสำรวจเราสองคนด้วยความนึกสงสัย ผมรีบปิดรอยแผลรอบลำคอพร้อมกับแอบซ่อนเศษแก้ว(ที่ใช้ขู่ปาดคอตัวเอง)อย่างรวดเร็วแล้วแสร้งยิ้มหวานกลบเกลื่อนทันที


    “เอาอีกแล้วนะ คุณนั่นเองที่ชอบโผล่มาเงียบๆจนเกือบทำผมหัวใจวาย”

    “ขอโทษด้วยครับ”

    “นี่พี่ชาย เมื่อไหร่จะสำเร็จวิชานินจาสักที คงมีใครสักคนหัวใจวายเพราะคุณเข้าสักวัน”

    “นั่นเพราะคุณอาจจะไม่ชิน ยังไงผมก็ต้องขอโทษอีกที ว่าแต่พวกคุณกำลังจะไปไหนเหรอครับ ผมรู้มาว่าจิตรกรได้ทำการประทับตราพันธะเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณควรจะอยู่ในห้องรับรองเพื่อเตรียมเซ็นเอกสารร่วมกับพยานไม่ใช่เหรอครับ”

    นอกจากจะชอบฝึกวิชานินจายังชอบฝึกวิชาถอดจิตไปดูวิถีชีวิตเพื่อนบ้านอีกเหรอ

    “แหมพี่ชาย รู้มาเยอะจังเลยนะครับ”รู้ดีขนาดนี้ไม่ทำอาชีพหมอดูไปเลยล่ะ

    “คือว่าคุณชายลืมของสำคัญไว้ในรถน่ะครับผมก็เลยจะพาไปเอา”

    “งั้นเหรอครับ”

    “ใช่ๆ อย่างที่อวี๋ปินพูดนั่นแหละ ผมเห็นว่าโรงจอดรถอยู่ไม่ไกลมากก็เลยขอไปด้วยจะได้ถือโอกาสเดินเล่นไปในตัว ขืนอยู่แต่ใต้ดินอึดอัดแย่เลย”


    นัยน์ตาคมจดจ้องอยู่นานพร้อมยกคิ้วขมวดด้วยความฉงนกว่าเดิมหลังจากลอบสังเกตเห็นบาดแผลรอบคอ จะว่าไปพี่ชายคนนี้ชอบทำตัวผลุบๆโผล่ๆเสมือนเป็นผู้ฝึกวิชานินจาแถมยังอาศัยอยู่ใต้ดินคล้ายในหนังนินจาเต่าไม่มีผิด ต่อให้พวกเราอธิบายไปเท่าไหร่พ่อนินจาเต่าคนนี้ก็ไม่คิดจะหลีกทางให้ง่ายๆสินะ 


    “ผมขอทางหน่อยได้ไหม ไม่ทราบว่ายังสงสัยอะไรอีกหรือเปล่าครับ”

    “แผลคุณ..”

    “อ้อ..นี่น่ะเหรอ แฮะๆ ไม่มีอะไรมากหรอกก็แค่..”


    ผมแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนทำสัญญาณมือว่าแท้จริงแล้วผมซุ่มซ่ามกำลังจะสะดุดล้มก็เลยเผลอทำร้ายตัวเองเข้า ไม่รู้ทำไมพอส่งสัญญาณมือนานไปเรื่อยๆกลับกลายเป็นแอบใบ้ว่าตั้งใจปาดคอตัวเองเพื่อบังคับให้อีกคนสงสารจึงพาหลบหนีซะอย่างงั้น


    พ่อนินจาเต่าคงไม่ฉลาดพอที่จะอ่านรหัสมอสของผมออกหรอก


    “เอาเป็นว่าผมไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”

    “อ้อครับ”ผมส่งยิ้มหวานค้างอยู่นานเป็นเชิงไถ่ถามว่าจะปล่อยผมไปได้หรือยัง ถ้าขืนสงสัยไม่เลิกพวกเราคงต้องปูเสื่อนั่งจกข้าวเหนียวเล่าประวัติชีวิตกันตรงนี้แหละนะ

    “ขอตัวก่อนนะครับ ผมอยากรีบไปเอาของจะได้รีบกลับมาเซ็นเอกสารเกี่ยวกับตราพันธะให้เสร็จเรียบร้อย”ผมลองหยั่งเชิงด้วยการพูดถึงประเด็นสำคัญและมันก็ได้ผลเพราะพ่อนินจาเต่ายอมขยับฝีเท้าออกแสดงถึงการเปิดทางทันที

    “งั้นก็เชิญครับ”


    โล่งแฮะ

    หลอกพ่อนินจาเต่าสำเร็จด้วย


    ผมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางก้าวเดินไปเบื้องหน้า ขณะที่กำลังจะจูงแขนอวี๋ปินให้ไปพร้อมกันชายหนุ่มกลับขืนตัวไว้เล็กน้อย ดูเหมือนอีกคนมีเรื่องสำคัญที่ยังไม่ได้จัดการสินะ


    “ทำไมเหรออวี๋ปิน”

    “สักครู่นะครับคุณชาย”

    “.......”

    “ผมเกือบลืมบอกคุณแน่ะ”อวี๋ปินเริ่มหันไปสนทนากับพ่อนินจาเต่าโดยตรง ผมจึงถือโอกาสเงียบเสียงและแอบฟังไปด้วย

    “บอกอะไรเหรอครับ”

    “ฝากบอกเชฟลีด้วยนะครับว่าอาหารมื้อกลางวันอร่อยมาก”


    เชฟลีไหนอีกล่ะ?

    ลีน่าจังหรือเปล่า?


    “ผมติดใจเมนู Salmon Olive Steak จนถอนตัวไม่ขึ้น”

    “นายได้กินของอร่อยด้วยเหรอปินปินอา ทำไมไม่เห็นแบ่งปันกันบ้าง”

    “ได้สิครับ แล้วผมจะบอกเชฟลีให้”

    “ขอบคุณมากครับ”


    ผมกำลังจะอ้าปากถามต่อเพราะเมื่อเอ่ยถึงเจ้าปลาเนื้อส้มในตำนานพลันน้ำย่อยก็ทำงานอัตโนมัติ อวี๋ปินไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ซักถามอะไรเพราะหลังฝากข้อความเสร็จเจ้าตัวก็รีบพาผมหนีออกมาจากสถานที่แห่งนั้นทันที ผมเลยอดเห็นพ่อนินจาเต่าจดจ้องแผ่นหลังของเราสองคนด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป สักพักข้อมือหนาก็หยิบยกเครื่องมือสื่อสารภายในองค์กรและจัดการต่อสายตรงหาบุคคลที่เพิ่งอยู่ในบทสนทนาเมื่อครู่อย่างรวดเร็ว


    “คุณลีอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า”

    “.......”

    “ฝากบอกคุณลีด้วยว่ารหัสลับถูกเปิดใช้งานแล้ว”




















    “คุณชายยังไม่เลิกเอาเศษแก้วจ่อคอตัวเองอีกเหรอครับ เดี๋ยวเผลอได้รับรอยแผลเพิ่มมันจะยุ่งไปกันใหญ่นะครับ”

    “ฉันไม่เลิกง่ายๆหรอก ฉันจะเอาตัวเองเป็นตัวประกันจนกว่าจะหนีพ้น”

    “ผมรับปากช่วยคุณชายแล้ว ทำไมคุณชายยังไม่ไว้ใจผมอีกล่ะ”

    “เพราะนายซื่อสัตย์เกินไปน่ะสิ”

    “มันไม่ดีเหรอครับ”

    “ซื่อสัตย์กับฉันน่ะดีแต่ถ้าซื่อสัตย์กับอี้ป๋อถือว่าไม่”

    “คุณชายจะไม่ลองคิดดูอีกทีเหรอครับ การเป็นภรรยาเจ้าพ่อก็ไม่เลวร้..”

    “ขับรถไปเงียบๆเลยนะนายน่ะ!!”

    “รับทราบครับ!!”


    ไม่รู้ว่าหนที่เท่าไหร่แล้วแต่อวี๋ปินก็ยังคงไม่ละความพยายามในการเกลี้ยกล่อมให้ผมยอมเป็นเมียเจ้าพ่อซ้ำไปซ้ำมา อันที่จริงผมก็พอรู้หรอกว่าอีกคนพยายามหาทางถ่วงเวลาเผื่อจะมีสักวินาทีที่ผมเผลอใจอ่อน หากการเป็นเมียใครสักคนมันง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากผมคงไม่ต้องมัวคิดมากอยู่แบบนี้หรอก 


    บางทีมันอาจจะผิดที่เราดันเกิดมาเป็นผู้ชายทั้งคู่ก็ได้


    ผมครุ่นคิดอะไรมากมายขณะเอนหัวพิงเบาะรถด้านหลัง สายตาเลื่อนลอยจับจ้องวิวข้างนอกหน้าต่างพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า ข้อมือบางคอยใช้สำลีซับเลือดบริเวณลำคอจนอาการดีขึ้นจึงไม่สนใจบาดแผลของตัวเองอีก ชั่วขณะหนึ่งผมก็นึกได้ว่ายังมีร่องรอยบาดแผลที่เพิ่งเกิดขึ้นบนตัวอีกแห่ง ปลายนิ้วเริ่มไล่ระดับเลื่อนลงต่ำยังตำแหน่งอกข้างซ้ายเพื่อสัมผัสถึงการมีอยู่ของร่องรอยนั้น ตราพันธะลายสิงโตสะท้อนแสงสีเงินประกายแลดูสง่าไม่อาจลบเลือนคล้ายกำลังฝังรากลึกลงไปยังตำแหน่งหัวใจ พลันน้ำเสียงอันแสนคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นในหัวคล้ายถูกตั้งเวลากดเล่นอัตโนมัติ น้ำเสียงของใครคนนั้นที่กระซิบบอกถ้อยคำบางคำให้ผมรับรู้



    “นายคือสมบัติของฉัน”

    “.......”

    “นั่นหมายถึง..สมบัติที่ฉันมีสิทธิ์ครอบครองได้คนเดียว”

    “.......”

    “ต่อให้นายอยากวิ่งหนีไปตอนนี้ก็ทำไม่ได้แล้วนะเพราะตราพันธะผูกมัดเราสองคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว นี่มันคือโชคชะตาที่ถูกกำหนดมาเพื่อเรา”



    อี้ป๋อ

    หากนายรู้ว่าคนดื้อดึงกำลังพยายามหลบหนีอีกครั้งนายจะรู้สึกยังไงกันนะ

    นายเชื่อจริงๆน่ะเหรอว่าแค่ประทับตราพันธะก็จะสามารถผูกมัดเราสองคนเอาไว้ด้วยกัน

    คนที่ไม่เคยเชื่อในโชคชะตาอย่างฉันทำใจยอมรับมันไม่ได้หรอก

    แน่จริงก็ใช้โชคชะตาตามหาสมบัติชิ้นนี้ให้เจอสิ

    ถ้าทำไม่ได้ฉันจะถือว่าโชคชะตาระหว่างเราสองคนเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงทั้งเพ



    “เฮ้ออ”


    ผมถอนหายใจเป็นครั้งสุดท้ายพลางสะบัดหัวไล่ภาพของใครคนนั้นให้ออกไปจากความคิด ยังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนับจากวินาทีนี้แต่ในเมื่อผมเลือกแล้วว่าจะวิ่งหนีก็คงต้องยอมรับผลที่ตามมา 


    ลาก่อนหวังอี้ป๋อ


    ผมใช้นิ้วนวดขมับเล็กน้อยเพื่อหวังให้มันช่วยบรรเทาอาการสับสนภายใน ขณะที่อวี๋ปินขับรถแล่นผ่านต้นไม้ใหญ่ผมก็ดันเผลอไปสบตาเข้ากับเจ้าม้าอาชาไนยตัวหนึ่งซึ่งมีลักษณะอันน่าเกรงขาม ลำตัวสีดำสนิทแฝงไว้ด้วยความสง่างามกำลังยกขาหน้าทั้งสองขึ้นชี้ฟ้าแสดงท่าทีโอ้อวดดึงดูดความสนใจของผมไปจนหมดสิ้นตั้งแต่แรกเห็น 


    โอ้โหแฮะ

    เจ้าม้าตัวนี้เล่นหูเล่นตาไม่เบา


    นอกจากนั้นผมยังรู้สึกคล้ายได้ยินเสียงร้องของมันดังกึกก้องเอ่ยชวนให้ผู้พบเห็นเข้าใกล้ เสียงร้องที่เปรียบเสมือนท่วงทำนองเสนาะหูหากแปลงออกมาเป็นภาษามนุษย์ก็คง..


    ฮิย๊า~

     

    “ชอบม้า~~ ชอบม้า~~ 

    รูปร่างหน้าตาแบบนี้ถามหน่อยเถอะพี่..ชอบม้าชอบม้า~~”

    (วุ้นแปลภาษาฉบับเซียวจ้าน)


    ฉับพลันผมก็เริ่มจินตนาการภาพตัวเองกระโดดขึ้นขี่บนหลังเจ้าม้าสีนิลแล้วพากันวิ่งหนีตรงเข้าเมืองเหมือนฉากในหนังเรื่องจอห์นวิค เพียงเท่านั้นเลือดลมในกายพุ่งทะยานสูบฉีดไปทั่วทั้งร่างนึกอยากเล่นบทพระเอกสุดเท่กะทันหัน ผมคิดแผนสำรองเผื่อไว้ตั้งนานแล้วว่าจะหาทางแอบสลัดอวี๋ปินทิ้งระหว่างทาง นั่นก็เพราะว่าอันที่จริงผมยังไม่ไว้ใจอวี๋ปินเต็มร้อยนัก แรงจูงใจที่อีกคนเลือกช่วยผมก็มีแค่กลัวว่าผมจะทำร้ายตัวเองเท่านั้น ในไม่ช้าก็เร็วอวี๋ปินต้องพาผมกลับไปหาเจ้านายเก่าอีกจนได้ นึกไม่ถึงเลยว่าโอกาสสลัดลูกน้องของศัตรูทิ้งจะมาเร็วขนาดนี้


    เอาวะ

    คนบนฟ้าประทานยานพาหนะคันใหม่มาให้แล้ว

    กายพร้อม ใจพร้อม เราทำได้

    ขออัญเชิญจาพนมเข้าสิงร่าง ณ บัดนาว


    ตุบ!!


    ไวเท่าความคิดเมื่อผมตัดสินใจเปิดประตูรถอย่างกะทันหันก่อนจะรีบกระโดดลงพื้นหมายวิ่งหนีไปให้ไกลแสนไกล โชคดีที่ความเร็วในการขับรถของอวี๋ปินจัดอยู่ในระดับต่ำผมจึงไม่ตายคาถนนไปซะก่อน ถึงอย่างนั้นก็ยังแอบมีแผลถลอกเล็กน้อยบริเวณหัวเข่าเพราะเป็นตำแหน่งที่ผมใช้สัมผัสกับพื้นเข้าพอดี


    ชักจะทำตัวใจกล้าบ้าบิ่นเข้าทุกวัน

    ทำไมไม่เห็นเท่เหมือนพระเอกหนังเลยวะ


    “อ๊า..เจ็บชิบ!!”

    “คุณชาย!!”

    “ขับรถโดยสวัสดิภาพนะปินปินอา ส่วนฉันขอตัวก่อนล่ะ”


    ผมกัดฟันข่มความเจ็บพลางยันกายลุกยืนโดยไม่ลืมโบกมือบ๊ายบายไล่หลังอีกคนแถมรอยยิ้มซุกซนเพิ่มไปหนึ่งที กว่าอวี๋ปินจะตั้งสติได้ผมก็พุ่งตัวหนีไปนานแล้ว ดีว่าก่อนกระโดดลงรถมาผมถอดชุดเสื้อคลุมของอี้ป๋อทิ้งไว้ตรงเบาะหลังจึงรู้สึกเบาสบายขึ้นเยอะทำให้การหลบหนีคล่องตัวกว่าเดิม

     

    “ไงเจ้าม้าสีนิล”

     

    ฮิย๊า~

     

    “ไหนดูสิว่าแกจะพาฉันหนีไปได้ไกลเท่าไหร่”

     

    ข้อมือบางยกขึ้นลูบหัวปลอบประโลมเจ้าม้าตัวสูงตรงหน้าเพื่อทำให้มันรู้สึกผ่อนคลายลง ผมเห็นมันกระโดดโลดเต้นไปมาคงรู้สึกดีใจสินะที่ใกล้จะได้รับการปลดปล่อย เห็นอย่างนั้นผมจึงอดยิ้มตามไม่ได้ เราทั้งสองไม่มีโอกาสทำความรู้จักกันมากนักงั้นเอาไว้ไปตีสนิทระหว่างทางก็แล้วกัน ผมเลียนแบบท่าขี่ม้ามาจากในหนังเลยคิดเอาเองว่าการขี่ม้าของจริงคงไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ หน้าตาผมเป็นมิตรขนาดนี้มันคงยอมให้ความร่วมมือด้วยดีตลอดทาง ขณะที่ผมเตรียมจะปลดเชือกให้มันเป็นอิสระก็เพิ่งสังเกตเห็นเจ้าม้าอาชาไนยอีกตัวหนึ่งซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างออกไปนัก เพียงแค่สบสายตากันแวบแรกพลันความรู้สึกไม่ถูกชะตาเริ่มต้นทำงานอัตโนมัติ เจ้าม้าตัวนี้ยืนอาบแสงอาทิตย์เอียงหน้าสี่สิบห้าองศาท่าทีสงบนิ่งแลดูหยิ่งยโสไม่เบาและที่สำคัญลำตัวของมันเป็นสีนวลสว่างราวกับอาบน้ำด้วยนมทุกวัน เจ้าม้าสีนวลใช้ปลายหางตามองผมเล็กน้อยก่อนจะละความสนใจไปทางอื่นเสมือนว่าตัวผมไม่ได้มีความสำคัญใดๆเป็นเพียงอากาศธาตุที่ลอยผ่านมาและกำลังจะลอยผ่านไปเท่านั้น

     

    ใช่เลย

    ดูยังไงเจ้าม้าสีนวลก็ลักษณะเหมือนอี้ป๋อไม่มีผิด

     

    ผมแอบแลบลิ้นใส่เมื่อจินตนาการว่ามันเป็นตัวแทนของใครคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าขนาดกำลังจะหลุดพ้นก็ยังมีใบหน้าของเขาตามมาวนเวียน ยังไงก็ช่างเถอะเพราะนี่คงเป็นการพบกันครั้งแรกและคงเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย

     

    เชิญกินหญ้าให้ท้องแตกตายไปเลย

    แบร่~

     

    “ไปกันเถอะลูกพ่อ แกคงอยากออกวิ่งแล้วสินะ”

     

    ฮิย๊า~

     

    กรุบกรับ!!

     

    ในที่สุดพวกเราหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวก็เริ่มต้นออกเดินทางไปข้างหน้าโดยวิ่งสวนกับชายหนุ่มที่เพิ่งตามมาถึงพอดี อวี๋ปินยืนหอบอยู่นิ่งๆไม่ได้มีท่าทีว่าจะวิ่งตามต่อ เขาทำเพียงแค่เฝ้ามองแผ่นหลังของผู้หลบหนีบนหลังม้าไปจนลับสายตา

     

    “รหัสลับถูกใช้งานแล้ว อีกไม่นานคุณลีก็คงเตรียมแผนการไล่ต้อนนักโทษหลบหนี ขอให้โชคดีนะครับคุณชาย”




















    คำพูดที่กล่าวว่า ‘ระยะทางพิสูจน์ม้า..กาลเวลาพิสูจน์คน’ ดูท่าจะเป็นความจริง หลังจากเจ้าม้าสีนิลพาผมมาได้ครึ่งทางมันก็เริ่มเคลื่อนไหวช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ทีแรกผมนึกว่ามันอาจจะหิวเลยแวะพักให้มันได้กินหญ้าข้างทางแต่เมื่อกินจนอิ่มหนำสำราญก็ไม่เห็นแววว่าเจ้าม้าสีนิลจะคึกคักมากกว่าเดิมตรงไหน


    “นี่”ผมใช้นิ้วสะกิดเรียกมันเพื่อชวนสนทนา

    “.......”

    “ไอ้ตัวขี้เกียจ วิ่งมาแค่นี้แกเหนื่อยแล้วเหรอ”

     

    ฮิย๊า!!

     

    “อย่ามายุ่ง!! ม้ากำลังกิน!!” (วุ้นแปลภาษาฉบับเซียวจ้าน)


    “อย่าเพิ่งเหนื่อยสิลูกพ่อ ฉันต้องพึ่งพาแกนะ ถ้าวิ่งเข้าเมืองไม่ไหวช่วยพาฉันไปส่งที่เขตถนนใหญ่ก็พอจะได้โบกรถต่อ ตกลงไหม”


    ฮิย๊า~

     

    “ไม่ไปหรอก” (วุ้นแปลภาษาฉบับเซียวจ้าน)

     

    “ทำไมล่ะ”


    ฮิย๊า~


    “ไกล..เหนื่อย” (วุ้นแปลภาษาฉบับเซียวจ้าน)


    ผมชักอยากจะดิ้นตายตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไป ดูเหมือนการตัดสินใจเลือกขี่เจ้าม้าสีนิลเพื่อหลบหนีจะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ ป่านนี้อวี๋ปินคงฉวยโอกาสฟ้องเจ้านายเรียบร้อย หากผมยังขืนนิ่งอยู่กับที่อีกไม่ช้าก็ต้องถูกตามเจอตัวจนได้


    มิน่าล่ะ

    เจ้าม้าสีนวลถึงได้ปรายตามองผมคล้ายเยาะเย้ยในที

    ที่แท้ก็รู้แต่แรกว่าสหายของมันไม่ชำนาญฝีเท้าในสนามแข่งนี่เอง

    ถ้าผมรู้ก่อนคงยอมกัดฟันเลือกขี่ม้าผู้เป็นฝาแฝดของอี้ป๋อแทน


    ถึงยังไงซะตอนนี้ผมมาไกลเกินกว่าจะหวนย้อนกลับ ต่อให้เจ้าม้าสีนิลวิ่งช้าแค่ไหนก็ต้องพาผมไปส่งให้ถึงจุดหมาย คิดได้ดังนั้นผมก็รีบกระตุ้นให้มันออกวิ่งต่อด้วยการเขี่ยพุงเบาๆ เจ้านิลคงรู้สึกจั๊กจี้อยู่บ้างถึงได้ใช้ฝีเท้าก้าวทะยานไปเบื้องหน้า ผมบังคับให้มันวิ่งตามทางลัดที่เห็นเมื่อครั้งนั่งรถผ่านตอนขามา จากที่ผมลองคำนวณเส้นทางแล้วหากพ้นทางลัดเล็กๆเส้นนี้ไปจะตรงเข้าสู่ถนนใหญ่ทันที หากเจ้านิลไปไม่ไหวจริงๆผมก็คงต้องอาศัยโบกรถสักคันเข้าเมืองแทน ข้าวของบางส่วนของผมยังคงอยู่ที่นั่น พอไปถึงโรงแรมค่อยจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายกับตั๋วเครื่องบินอีกทีก็แล้วกัน


    กรุบกรับ!!


    ความวัวยังไม่ทันหายความกระบือก็เข้ามาแทรก เจ้าม้าสีนิลหยุดชะงักฝีเท้ากะทันหันหน้ากำแพงลูกกรงซึ่งปล่อยประจุไฟฟ้าออกมาด้วย หากไม่ทันระวังอาจถูกช็อตตายทันที หนทางที่ผมจำได้ว่าเคยเปิดโล่งบัดนี้กลับกลายเป็นเสมือนกรงขัง ไม่ว่าผมจะหันไปทางไหนก็ไม่เห็นช่องว่างให้หลบหนีได้เลย


    “เป็นไปได้ไงวะก็จำได้ว่าทางนี้เปิดโล่งนี่หว่า เซ็งชิบ!!”


    ผมเริ่มสบถกับตัวเองอย่างหัวเสียไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าองค์กรภาคีจะมีลูกเล่นแพรวพราว นี่พวกเขาคงไม่ถึงขั้นฝังระเบิดเอาไว้ในดินเพื่อกันคนหลบหนีหรอกนะ ขณะที่ผมไล่สายตามองหาทางหนีทีไล่อยู่นั้นพลันได้ยินเสียงร้องอันแสนคุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง ผมสัมผัสได้ว่าเสียงนั้นค่อนข้างอยู่ไกลออกไปแต่กำลังเคลื่อนขยับเข้ามาใกล้ในอีกไม่ช้านี้แล้ว


    ฮิย๊า~

     

    เสียงม้าตัวนั้น..หรืออาจจะเป็นเจ้าม้าสีนวล?

    งั้นคนที่ขี่มันเป็นใครกันล่ะ?

     

    ผมค่อยๆหันหลังกลับไปมองยังต้นตอของเสียงด้วยใจสังหรณ์ว่าผู้มาเยือนอาจจะเป็นคนที่ผมต้องการหลบหนีไปให้ไกลแสนไกล แทบไม่ต้องเสียเวลาเฝ้ารอนานจนเกินไปนักผมก็ได้พบเจอคำตอบ

     

    กรุบกรับ!!


    ม้าอาชาไนยประดับด้วยขนสีขาวนวลสว่างกระโดดข้ามเนินเขาพร้อมท่วงท่าองอาจไม่ต่างอะไรจากผู้ควบคุมที่นั่งอยู่บนอาน ชายหนุ่มเพียงแค่ขยับข้อมือเบาๆก็สามารถบังคับให้ม้าเร่งฝีเท้าไปยังทิศทางที่ต้องการได้ ใบหน้าสุขุมผสมกับแววตาเย็นชาอันแสนคุ้นเคยแลดูสง่างามทุกตารางนิ้วไร้รอยตำหนิประกอบรับกับฉากหลังซึ่งกำลังฉายภาพแสงตะวันลับขอบฟ้าเข้าพอดี ขณะที่เขาขี่ม้าผ่านทะเลสาบขนาดย่อมทำให้รู้สึกคล้ายกับมองดูเจ้าชายขี่ม้าขาวในจินตนาการออกมาโลดแล่นมีชีวิตอยู่ ณ โลกแห่งความจริง


    หวังอี้ป๋อ

    หรือว่านี่มันคือโชคชะตาที่ถูกกำหนดมาเพื่อเรา

     

    “เซียวจ้าน!!”

    “นายตามหาฉันเจอจริงๆด้วยสินะ”

     

    เพราะมัวแต่จดจ้องอีกคนนานเกินไปหน่อยเลยทำให้ระยะห่างระหว่างเราลดน้อยลงทุกที เมื่อตั้งสติได้ผมจึงรีบเตรียมบังคับเจ้าม้าสีนิลเพื่อหนีอีกครั้ง ยังไม่ทันไรอี้ป๋อก็สั่งให้ม้าของเขาส่งเสียงร้องขู่ออกมา เพียงครั้งเดียวเท่านั้นเจ้าม้าสีนิลก็เกิดสติกระเจิงสลัดผมหลุดจากหลังหล่นตุบไปกองอยู่บนพื้นทันที

     

    “ลูกพ่อออออออ!!”

     

    ฮิย๊า~

     

    “ใครลูกมึง” (วุ้นแปลภาษาฉบับเซียวจ้าน)

     

    กรุบกรับ!!

     

    ผมจ้องมองเจ้าม้าสีนิลค่อยๆวิ่งหายเข้าไปในป่าด้วยความรู้สึกราวกับถูกแทงข้างหลังแล้วทะลุถึงหัวใจ สรุปว่าผมเจ็บตัวฟรีไปเพื่ออะไรกัน


    เจ็บนี้อีกนาน~

    เจ็บนี้ไม่ลืม~

    แต่คนอย่างเซียวจ้านไม่มีทางจนตรอกหรอกเว้ย!!

     

    ผมตัดสินใจวิ่งหนีในวินาทีสุดท้ายก่อนที่อี้ป๋อจะขี่ม้าเข้าถึงตัวแบบฉิวเฉียด แม้จะไม่มียานพาหนะให้หลบหนีผมก็ยังมีขาทั้งสองข้างให้ก้าวเดิน ต่อให้คนบนฟ้าจงใจสาดฝนเทกระหน่ำลงมาตอนนี้ก็ไม่อาจสั่งให้ผมหยุดได้ 

     

    “เซียวจ้าน นั่นนายจะไปไหน ฉันสั่งให้คนปิดล้อมพื้นที่รอบนอกไว้หมดแล้ว ถึงวิ่งหนีไปก็เปล่าประโยชน์”

    “ห้ามตามมานะ!! ไอ้คนหลอกลวง!!”

    “เฮ้ออ กินอะไรแต่เด็กถึงได้โตมาดื้อแบบนี้”

     

    นัยน์ตาคมเฝ้ามองร่างบางพยายามวิ่งฝ่าพงหญ้าเพื่อปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่ด้วยใจนึกขำ เขาไม่เคยเจอใครดื้อรั้นถึงขนาดหนีมาจนตรอกแล้วก็ยังไม่ยอมหยุดยกธงขาวสักที ข้อมือหนาออกแรงบังคับให้ม้าของตัวเองเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นอีกหน่อยจะได้เฝ้ามองนักโทษหลบหนีให้เต็มตา คงเพราะหกล้มคลุกคลานระหว่างทางจึงเผลอทำกางเกงขาดโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ คิ้วเข้มขมวดเป็นปมอัตโนมัติทันทีหลังจากเห็นแผลสดแต้มด้วยรอยเลือดสีจางบริเวณหัวเข่า อีกทั้งบาดแผลรอบคอที่ลูกน้องรายงานให้ฟังมาก่อนหน้านี้ก็ล้วนน่าเป็นห่วงทั้งสิ้น

     

    แต่ทำไมดูเหมือนเจ้าของร่างไม่นึกห่วงตัวเองบ้างเลย

    นายอยากหนีไปจากฉันมากนักหรือไง

    เซียวจ้าน

     

    “นายจะปีนขึ้นไปถึงไหน สูงเสียดฟ้าเลยไหม”

    “ถ้ามันทำให้หนีพ้นฉันก็จะปีนขึ้นไปจนถึงบ้านของพระอินทร์นั่นแหละ”

    “เลิกดื้อแล้วลงมาคุยกันข้างล่าง”

    “ไม่มีวัน!! นายหลอกฉันเรื่องตราพันธะ!! คนหลอกลวงไว้ใจไม่ได้!!”

     

    ข้อมือบางเกาะรัดกิ่งไม้เอาไว้แน่นแสดงถึงท่าทีไม่ยินยอมแต่ก็ไร้เรี่ยวแรงจะหนีต่อจึงหยุดพักที่กลางลำต้นชั่วคราว อี้ป๋อถอนหายใจด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่ายก่อนจะเริ่มปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงเพื่ออธิบายเรื่องราวทุกอย่าง

     

    “นายจะโทษว่าฉันหลอกลวงไม่ได้นะ ข้อมูลทั้งหมดที่นายควรรู้ก็อยู่ในเอกสารที่ฉันมอบให้ หากนายจริงจังกับมันสักนิดเราสองคนคงเข้าใจกันไปนานแล้ว”

    “นายจะโทษว่าเป็นความผิดของฉันงั้นสิ ข้อมูลในเอกสารออกจะยาวขนาดนั้นแค่อ่านไปสามบรรทัดฉันก็อ้าปากหาวแล้ว กะอีแค่อธิบายออกมาตรงๆให้ฉันเข้าใจมันยากนักหรือไง”

    “นั่นมันความผิดของนายชัดๆที่ไม่ยอมอ่านเอกสารทั้งที่รู้ว่าสำคัญ นายมองเห็นทุกอย่างเป็นแค่เรื่องเล่นๆในชีวิตเหรอ”

    “ก็..ใครจะไปคิดล่ะว่าผลผูกพันของตราพันธะมันเหมารวมถึงเรื่องที่ต้องกลายเป็นเมียเจ้าพ่อ ไม่รู้แหละยังไงนายก็มีเจตนาหลอกลวง ถ้าอยากมีเมียนักก็ไปหาเอาเองสิทำไมต้องมาหลอกให้ฉันประทับตราพันธะเพื่อไปเป็นเมียเจ้าพ่อด้วยเล่า!!”

    “คนอย่างฉันไม่อดอยากถึงขนาดต้องบังคับให้ใครมาเป็นเมีย”

    “งั้นนายให้ฉันประทับตราพันธะบ้าบอนี้ทำไม”

    “เหตุผลเดียวที่ฉันทำไปนายเองก็รู้ดีอยู่แล้ว ผลผูกพันของตราพันธะสามารถปกป้องนายกับครอบครัวให้ปลอดภัยตราบใดที่นายอยู่ตระกูลฉันในฐานะภรรยา เราสองคนจำเป็นต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันจนกว่าธุรกิจมืดของอี้โจวถูกเปิดโปง”

    “ฉันอยากรู้นักว่าไอ้ผลผูกพันของตราพันธะมันมีค่าสักแค่ไหนเชียว”

    “นายเป็นใครมาจากไหนฉันไม่รู้ แต่เมื่ออยู่ที่นี่ ณ เมืองชิรัณย์ตราพันธะเปรียบเสมือนเจ้าชีวิตของทุกคน ตราพันธะมีค่ายิ่งกว่าเงินโดยเฉพาะตราของตระกูลชนชั้นสูง นายไม่เคยรู้จักความตายมากเท่าที่ฉันเคยรู้จัก นายไม่มีทางเข้าใจจนกว่าจะได้เจอความตายเฉียดเข้าใกล้ตัวเอง ผู้กุมอำนาจทั้งหลายต่างต้องการขยายอิทธิพลออกไปเพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ตราพันธะถูกประทับบนร่างพวกเขาจะกลายเป็นเจ้าชีวิตคน สามารถสั่งให้นายอยู่หรือสั่งให้นายตายโดยที่นายไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉันปล่อยนายไปไม่ได้เพราะหากนายตกไปอยู่ในมือของคนอื่น เชื่อเถอะว่าสิ่งที่แย่กว่าการกลายเป็นภรรยาของเจ้าพ่อจะเกิดขึ้นทันที”

    “ถ้านายอยากปกป้องฉันจริงๆมันก็ยังมีอีกตั้งหลายวิธีไม่ใช่เหรอ”

    “การประทับตราพันธะระหว่างเราคือวิธีปกป้องนายที่ดีที่สุด”

    “ฉันปลอดภัยแต่ต้องแลกด้วยการยอมเป็นเมียเจ้าพ่อเนี่ยนะ เหอะ..ดีที่สุดสำหรับนายแต่เลวร้ายที่สุดสำหรับฉันล่ะสิไม่ว่า”

    “คนที่ตกอยู่ในอันตรายก็คือนายนะเซียวจ้าน ถ้าขืนนายยังดื้อดึงความหวังดีของฉันคงเปล่าประโยชน์”

    “ฉันไม่ได้ดื้อดึงฉันก็แค่..”

    “อะไร”

    “ฉันก็แค่ไม่อยากแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก”

    “.......”

    “ก็แค่นั้นเอง ฉันผิดมากเหรอ”

     

    หยดน้ำสีใสเอ่อล้นหลั่งรินออกมาเปรอะเปื้อนสองข้างแก้มอย่างไม่อาจควบคุมได้อยู่ ผมนึกหัวเราะเยาะให้กับโชคชะตาของตัวเองนัก ใครจะไปคิดว่าผู้ชายหวงความโสดแบบผมวันหนึ่งต้องตกกระไดพลอยโจนกลายเป็นเมียเจ้าพ่อและยังสูญเสียอิสรภาพที่พึงมีไปจนหมดสิ้น ผมก็แค่อยากใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยเป็นไอ้เสือเซียวจ้านผู้รักสนุกคนเดิม ผมไม่อยากถูกขังอยู่ในกรอบที่ผู้คนต่างพากันขีดเขียนกำหนดไว้ ทำไมผมต้องพาตัวเองมาพัวพันกับเมืองชิรัณย์ ทำไมนายอี้โจวต้องหลอกล่อให้ผมมาที่นี่เพราะหวังใช้ประโยชน์ในงานวิจัยลับของพ่อด้วย

     

    “ฉัน..”

    “.......”

    “ฉันขอโทษ”

    “.......”

     

    เจ้าของเสียงเอ่ยประโยคนั้นออกมาแผ่วเบาแต่กลับแฝงด้วยความรู้สึกอันมากล้น ผมลอบอ่านความรู้สึกทั้งหมดผ่านทางสายตาที่ส่งมา สัมผัสได้ว่าอี้ป๋อมีแต่ความหวังดีและทุกสิ่งที่เขาทำก็หมายความตามนั้นจริงๆ เพียงแค่ผมพยายามปฏิเสธโชคชะตาของตัวเองก็เลยเอาแต่โทษเขาอยู่ฝ่ายเดียว หากอี้ป๋อไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือผมก็คงตกอยู่ในกำมือของอี้โจวตั้งแต่คืนนั้น คิดดูแล้วผมก็เป็นคนดื้อดึงอย่างที่อี้ป๋อว่าเอาไว้จริงๆนั่นแหละ 

     

    “นายไม่จำเป็นต้องขอโทษด้วยซ้ำ อันที่จริงความเฮงซวยมันเกิดขึ้นกับชีวิตของฉันมาตลอดอยู่แล้ว ฉันน่าจะชินกับมันสักที”

    “เซียวจ้าน หากนายยังคงเป็นกังวลฉันก็จะบอกให้รู้ไว้ แม้เราสองคนจะประทับตราพันธะที่มีความหมายพิเศษแต่พวกเราไม่จำเป็นต้องแต่งงานกันจริงๆ”

    “หมายความว่ายังไง”

    “เราสองคนจะเป็นสามีภรรยาเพียงแค่ในนามเท่านั้น”

    “แน่ใจเหรอ”

    “นายคงไม่คิดว่าฉันอยากได้คนประเภทนี้มาเป็นเมียจริงๆหรอกนะ”เจ้าตัวพูดพร้อมกับชี้นิ้วตรงมาแถมยังทำสีหน้าเอือมระอาจนผมอดสงสัยไม่ได้

    “ทำไมฮะ คนประเภทฉันมันเป็นยังไง”

    “ก็คนประเภทที่กำลังร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่ตรงหน้าฉันนี่ไง แถมยังชอบปีนป่ายต้นไม้เล่นเป็นเด็กอีกต่างหาก อายุสมองของนายนับวันยิ่งลดเอาเรื่อยๆ เมื่อไหร่จะโตเท่าฉันสักทีล่ะ”

    “เด็กอะไรกันเล่าฉันโตกว่านายนะเว้ย!!”

    “เด็กน้อยเซียวจ้านสามขวบชัดๆ ไม่สิ..ตอนนี้เหลือสองขวบก็แล้วกัน”

     

    นิ้วชี้เพิ่มจากหนึ่งเป็นสามแล้วค่อยๆลดลงเหลือแค่สองแทน ไม่เพียงเท่านั้นแต่อี้ป๋อยังยกนิ้วกุมขมับพร้อมทำสีหน้ายียวนกวนประสาทเหมือนเหนื่อยใจกับเด็กคนนี้เกินทน เจ้าม้าสีนวลแสดงท่าทางกระโดดกับพื้นไปมาอยู่ข้างๆดูท่าจะชอบใจไม่เบาที่ได้เห็นผมควันออกหูเพราะอารมณ์เสีย

    “ว่าไงนะ..สะ..สองขวบ เหอะ!! นายพูดกับผู้ใหญ่อายุสามสิบแบบนี้เหรอหวังอี้ป๋อ!!”

    “อ๊ะ!! ทำอะไรของนายน่ะ!!”

    “ไอ้เด็กเมื่อวานซืน!! นายเลยวัยเบญจเพสมากี่วันกันเชียว!! นี่แน่ะ!!”

     

    แกร๊ก!!

     

    ผมหักกิ่งไม้บนต้นมากที่สุดเท่าที่จะหาได้ก่อนทำการปาใส่คนด้านล่าง ข้อมือหนาปัดป้องเพียงเล็กน้อยอย่างไม่คิดถือสาแถมยังหลุดหัวเราะออกมากระตุ้นให้ผมหงุดหงิดมากกว่าเดิม ดูเหมือนยิ่งตอบโต้ก็ยิ่งตอกย้ำให้คำพูดของเขากลายเป็นจริง นานเข้าผมชักรู้สึกว่าการกระทำของตัวเองไร้ประโยชน์จึงพักสงบศึกชั่วคราว ข้อมือบางปาดคราบน้ำตาบนแก้มออกจากนั้นก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นไม่มีอารมณ์สนทนาต่อ อี้ป๋อเห็นว่าผมเอาแต่ยืนนิ่งๆบนขอนไม้ไม่มีทีท่าจะปีนลงมาสักทีก็เริ่มถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย เขาคงไม่เคยต่อสู้กับศัตรูที่แผลงฤทธิ์มากเท่ากับผมมาก่อนสินะ

     

    สมน้ำหน้า

     

    “เรื่องทั้งหมดฉันก็อธิบายให้นายฟังแล้ว ทีนี้จะยอมลงมาได้หรือยัง”

    “เลิกว่าฉันเป็นเด็กก่อนสิแล้วฉันจะยอมลงไป”

    “งั้นนายก็ต้องเลิกทำตัวดื้อแพ่งเหมือนกัน”

    “เออก็ได้”

    “ห้ามแอบไขว้นิ้วด้านหลังด้วย”

    “อ้าว..เห็นมาตลอดเลยเหรอ แฮะๆ”

     

    ว้า~เขินจัง

    นึกว่าหลอกเนียนแล้วซะอีก

     

    “ทะเลาะกับนายทำฉันเหนื่อยใจจริงๆ เซียวจ้าน”

     

    ผมอยากบอกเขาเหลือเกินว่าการไล่ล่าระหว่างเราก็ทำให้ผมเหนื่อยใจเหมือนกัน ครั้งหน้าผมสัญญาว่าจะไม่ทำเท่กระโดดขึ้นขี่หลังม้ามั่วซั่วแล้ว หากมีโอกาสได้หนีอีก(ก็หวังว่าคงมี)ผมจะวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ซ้ำรอยเดิม

     

    “ลงมาสิ ตะวันใกล้ตกดินแล้วนะ”

    “เดี๋ยวก่อน ฉันยังมีอีกเรื่อง”

    “อะไร”

    “การแต่งงานระหว่างเราเป็นเพียงแค่ในนาม ข้อนี้ฉันยอมรับ”

    “.......”

    “แต่ฉันจะยอมเป็นเมียนายแค่สามเดือนเท่านั้น นายต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ตกลงไหม”

    “สามเดือนที่ฉันต้องจัดการกับอี้โจว ไม่คิดว่าเวลาน้อยเกินไปเหรอ”

    “งั้นนายต้องการเวลาเท่าไหร่ล่ะ”

    “หนึ่งปีไม่ได้หรือไง”

    “หนึ่งปีเนี่ยนะ!! ใครจะไปยอมทนเป็นเมียนายนานขนาดนั้นกันถึงจะแค่ในนามก็เถอะ”

    “นายกลัวอะไรนักหนา หรือกลัวจะติดใจการทำหน้าที่เป็นภรรยาฉันกันแน่”

    “หลงตัวเอง!! ฉันยอมเสียทั้งศักดิ์ศรีทั้งความเป็นชายชาตรีมากพอแล้ว หนึ่งปีมันนานเกินไป ถ้าภายในสามเดือนนายยังจัดการทุกอย่างไม่เสร็จเรียบร้อยฉันจะหนีไปจากที่นี่ทันที”

    “งั้นขอหกเดือน”

    “สามเดือน”

    “ห้าก็ได้”

    “ให้ได้แค่สาม”

    “แล้วสี่เดือนล่ะเป็นไง”

    “หวังอี้ป๋อ!!”

    “สามเดือนครึ่งขาดตัว”

    “สามเดือนก็มากเกินพอแล้ว!! ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายว่าฉันยอมเป็นเมียนายแค่สามเดือนเท่านั้น!! ถ้านายไม่พอใจล่ะก็ฉันจะ..”ผมทำท่าเตรียมกระโดดลงจากต้นไม้กะด้วยสายตาความสูงระดับนี้อาจทำให้แข้งขาหักได้อย่างฉับพลัน อี้ป๋อรู้ว่าผมจงใจเอาตัวเองเป็นตัวประกันอีกครั้งถึงได้เอ่ยสวนขึ้นมาซะก่อน

    “ตกลง สามเดือนก็คือสามเดือน อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลยเซียวจ้าน ฉันยอมนายทุกอย่างแล้ว”

    “ก็แค่นั้น ไม่รู้จะเสียเวลาต่อรองทำไมตั้งนาน”

    “ฉันจะพยายามจัดการทุกอย่างภายในเวลาสามเดือนแต่ฉันยังไม่รับประกันว่ามันจะสำเร็จ”

    “ฉันจะช่วยนายเอง เรื่องงานวิจัยของพ่อฉันจะบอกเท่าที่ฉันรู้”

    “ถ้าเป็นงั้นจริงฉันจะขอบคุณมาก”

    “อื้ออ”

    “ส่วนเรื่องตราพันธะไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะคืนอิสระให้นายเมื่อถึงเวลานั้น เมื่อไหร่ที่นายไม่ต้องการมันแล้วฉันจะช่วยลบเลือนให้”

    ผมรู้สึกโหวงในอกอย่างน่าประหลาดเมื่อได้ยินคำว่าลบเลือนที่ออกจากปากของเขา คล้ายกับว่าตราพันธะระหว่างเราสองคนจะไม่มีวันคงอยู่ตลอดไป นัยน์ตาคมฉายแววหม่นลงอย่างเห็นได้ชัดแสดงว่าเขาเองคงรู้สึกไม่ต่างกันเท่าไหร่

     

    พวกเราสองคนมีเหตุจำเป็นให้ต้องมาผูกพันกันชั่วคราว

    อย่าได้ริอาจคาดหวังในความสัมพันธ์ครั้งนี้มากนักเลย

    เพราะถึงยังไงจุดเริ่มต้นก็ไม่ได้เกิดมาจากความรักอยู่แล้วนี่

    รอยยิ้มกระต่ายซุกซนปรากฏขึ้นบนใบหน้าเพื่อสร้างบรรยากาศให้กลับมาสดใสตามเดิม ในเมื่อเราสองคนทำข้อตกลงเป็นสามีภรรยากันแค่ในนามเรียบร้อยตลอดระยะเวลาสามเดือนนับจากนี้ก็ไม่มีอะไรให้ผมต้องเป็นกังวลอีก ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นเมียเจ้าพ่อแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องทำหน้าที่เมียจริงๆสักหน่อย ตราบใดที่ความเป็นชายยังคงถูกรักษาเอาไว้ไม่ถูกอีกคนฉกชิงไปผมก็ยอมรับผลของมันได้ทั้งนั้น

     

    ฟุบ!!

     

    เมื่อบรรยากาศสนามรบสงบคงได้เวลาแยกย้ายกันพักผ่อนสักที ผมค่อยๆปีนลงต้นไม้ด้วยความทุลักทุเลพอสมควร คิดดูแล้วก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำใจกล้าบ้าบิ่นหนีขึ้นต้นไม้ไปได้ยังไงด้วยความสูงถึงขนาดนั้น จังหวะที่ผมคิดฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อยสายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นสิ่งมีชีวิตตัวน้อยกำลังเลื้อยพันกิ่งไม้ก่อนจะเริ่มชูคอมาทักทายกันด้วยระยะห่างเพียงแค่คืบเดียว  

     

    ต๊ะเอ๋~

          งูมันเลื้อยเข้ามาอยู่ที่เอว~

     

    “เหี้ย!! งู!!”

     

    ตุบ!!

     

    ด้วยความตกใจผมจึงเผลอปล่อยมือออกจากต้นไม้ส่งผลให้ทั่วทั้งร่างหล่นลงสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น เข่าข้างเดิมทำหน้าที่รับน้ำหนักจนถลอกเห็นรอยช้ำสีเลือดอีกระลอก ร่างสูงซึ่งกำลังเฝ้าดูเหตุการณ์ก็ตกใจไม่แพ้กันจึงกระโดดลงจากหลังม้ารุดเข้ามาดูอาการทันที ผมร้องโอดโอยเพราะรู้สึกเจ็บปวดในความเคราะห์ซ้ำกรรมซัดของตัวเองไม่มีหยุดหย่อน

     

    ก่อนออกจากบ้านก้าวขาข้างไหนวะไอ้เซียวจ้าน

    ดวงซวยชะมัดเลยวันนี้

     

    “อ๊า..แสบชิบ!! ขาหักหมดแล้วมั้งเนี่ย”

    “นายเจ็บมากหรือเปล่า”

    “เจ็บสิ โคตรเจ็บ เจ็บมากๆเลยด้วย”

    “สรุปว่าเป็นเหี้ยหรืองูที่นายเจอ”

    “ห๊ะ”

    “ก็เห็นนายร้องซะดัง”

    “เหี้ยเป็นแค่คำอุทาน ส่วนตัวที่เจอเป็นงูต่างหากเล่า เวลาแบบนี้ยังจะมาเล่นลิ้นอีกนะ”

     

    อี้ป๋อยกยิ้มมุมปากราวกับสุขใจที่แกล้งยียวนกวนประสาทตัวผมสำเร็จ เขาคุกเข่าลงกับพื้นข้างหนึ่งเพื่อให้เราทั้งคู่อยู่ในระดับเดียวกัน สักพักข้อมือหนาก็จัดแจงถอดเสื้อคลุมเพื่อเอามาพาดบ่าของผมไว้หลวมๆ ผมจำได้ว่านี่คือเสื้อคลุมตัวเดิมที่เขาให้ยืมเมื่อเช้าและเป็นตัวที่ผมถอดทิ้งใส่รถอวี๋ปินก่อนจะหนีมา น้ำเสียงเข้มเอ่ยอธิบายขึ้นคล้ายกับล่วงรู้ว่าผมกำลังนึกสงสัย

     

    “ฉันพานายกลับไปในสภาพนี้ไม่ได้”ผมชะงักเล็กน้อยกับคำว่า ‘สภาพนี้’ ที่อีกคนหมายถึงแต่พอก้มลงมองสภาพตัวเองจึงได้เข้าใจ ปกติเสื้อของผมนั้นบางอยู่แล้วยิ่งผ่านศึกเมื่อครู่ก็ทำให้กระดุมหลุดลุ่ยสภาพไม่น่าดูชมยิ่งกว่าเดิม

    “ทำไมล่ะ หวงหรือไง”พอเห็นท่าทีนิ่งขรึมของคนตรงหน้าผมก็อดแกล้งไม่ได้ ทั้งที่คิดว่าอีกคนคงเลือกไม่ตอบแต่ผลกลายเป็นเขากลับยอมรับออกมาอย่างหน้าตาเฉยซะนี่

    “ใช่ ฉันหวง”

    “อะไรกัน ไหนตอนเช้านายบอกว่าไม่ได้หวงแค่ทำไปเพราะมารยาทไงล่ะ”

    “ก็ตอนนั้นเรายังไม่ได้เป็นอะไรกันฉันถึงไม่มีสิทธิ์ ส่วนตอนนี้เราเป็นอะไรกันแล้วฉันเลยมีสิทธิ์หวงได้”

    “แล้วเราเป็นอะไรกัน”

    “ก็..”นัยน์ตาคมเลื่อนต่ำลงมองทะลุผ่านเนื้อผ้าเข้าไปยังตำแหน่งอกข้างซ้ายของผมซึ่งมีตราพันธะประทับอยู่ ชั่ววินาทีนั้นเองที่ผมรู้สึกตัวว่าช่างโง่เขลาแต่จะให้เรียกคืนคำถามเอาป่านนี้ก็คงสายเกินไป

    “เราสองคนน่ะเหรอ”

    “.......”

    “ก็เป็นสามีภรรยาไง”

     

    ตึกตัก!!

    เสียงหัวใจที่เคยเต้นจังหวะปกติกลับมาเต้นรัวเร็วเป็นจังหวะสามช่าอีกครั้ง อี้ป๋อยิ่งตอกย้ำให้ใจสั่นมากขึ้นด้วยการฉีกปลายเสื้อเชิร์ตของตัวเองออกแล้วนำมันมาใช้เป็นผ้าพันแผลตรงบริเวณหัวเข่าให้กับผม การกระทำของเขาดูคล้ายเป็นห่วงเป็นใยภรรยาแค่ในนามจนเกินหน้าที่ไปหน่อย หากเขาไม่คิดจะหยุดผมอาจต้องตกหลุมพรางเหมือนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เป็นแน่

     

    “.......”

    “.......”

    “อะไร”

    “อะไรล่ะ”

    “ก็นายจ้องฉัน”

    “ฉันแค่สงสัยว่าทำไมนายใจดีผิดปกติ ทั้งที่ฉันเป็นฝ่ายหนีมาและก่อความวุ่นวาย”

    “นายได้รับบาดเจ็บนั่นก็ถือเป็นบทลงโทษแล้ว หรืออยากให้ฉันใจร้ายทำโทษนายซ้ำอีก”

    “ไม่เอา”กำปั้นเล็กทุบอกตรงหน้าไปเบาๆเพราะกลัวเขาจะทำโทษผมซ้ำเข้าจริงๆ

    “เสร็จเรียบร้อย กลับไปเมื่อไหร่ค่อยให้อวี๋ปินทำแผลอีกทีก็แล้วกัน”

    “แล้วนายจะพาฉันกลับยังไง ม้าตัวที่ฉันขี่มาก็ดันพยศหนีไปซะก่อน”

    “ฉันมีวิธีพานายกลับก็แล้วกัน”

    “ฮะ..เฮ้ย!! นายจะทำอะไร!!”

     

    ยังไม่ทันเอ่ยจนจบประโยคดีข้อมือหนาก็ฉวยโอกาสช้อนตัวคนตรงหน้าเข้ามาอยู่ภายใต้อ้อมแขนก่อนจะยกร่างบางขึ้นแนบอกในท่าอุ้มเจ้าสาว เพราะกลัวจะตกหล่นลงบนพื้นอีกคนจึงเกาะเกี่ยวโอบรัดคอไว้แน่นคล้ายพยายามหาที่พึ่งพิง คนทั้งคู่สบสายตากันเล็กน้อยโดยไม่เอ่ยคำใดออกมาปล่อยให้หัวใจได้ทำงานของมันอย่างอิสระ พลันสายลมเอื่อยวูบหนึ่งลอยผ่านยิ่งกระตุ้นให้กายเนื้อทั้งสองขยับหาไออุ่นอิงแอบแนบชิดกว่าเดิม

     

    ตึกตัก!!

     

    ผมได้ยินเสียงหัวใจของเขา

     

    ตึกตัก!!

     

    และได้ยินกระทั่งเสียงหัวใจของผมเอง

     

    “ฉันเดินเองได้”

    “ขานายเจ็บอยู่นะ”

    “แต่..”

    “อย่าเถียงสิ”

    “.......”

    “เด็กดื้อ”

    “.......”

     

    อี้ป๋อโคลงศรีษะเบาๆพร้อมเอ่ยคำสุดท้ายส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดออกมารวบรัดเป็นประโยคเดียว ผมอาจจะเป็นเด็กดื้อที่เขานึกหน่ายใจหรืออาจจะเป็นเด็กดื้อที่เขาอยากเลี้ยงไว้ดูเล่น แทบไม่รู้เลยว่าในสายตาของเขานั้นมองตัวผมเป็นเช่นไร รู้เพียงแค่น้ำเสียงยามที่เขาเอ่ยก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่นักหรอก

     

    เด็กดื้อแล้วไงเป็นเมียเจ้าพ่อได้ก็แล้วกัน

    แบร่~

     

     

     

     

    ฮิย๊า~

     

    กรุบกรับ!!

     

    ผมถูกอีกคนอุ้มขึ้นวางบนหลังม้าจากนั้นร่างสูงก็กระโดดตามมานั่งซ้อนบริเวณทางด้านหลัง ข้อมือหนาสอดผ่านเอวของผมเพื่อจับเชือกบังคับให้เจ้าม้าสีนวลออกวิ่งตรงกลับไปยังสถานที่ที่พวกเราจากมา คงเพราะผมมีอาการบาดเจ็บเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงรู้สึกเพลียง่ายเพียงแค่สัมผัสสายลมอ่อนที่พัดผ่านหนังตาก็เริ่มปรือทันที

     

    ฟุบ

     

    ร่างบางเอนซบคนข้างหลังก่อนจะหลับตาพักผ่อนอยู่ภายใต้อ้อมอกแกร่ง อี้ป๋อกระชับข้อมือทั้งสองข้างโอบร่างบางเอาไว้ในอ้อมกอดแนบแน่นเพื่อป้องกันไม่ให้อีกคนพลัดตกจากหลังม้า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฝีเท้าของเจ้าม้าถึงได้ช้าลงคล้ายเป็นการช่วยเอื้อโอกาสให้คนทั้งสองได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานกว่าที่เคย ความคิดชั่วร้ายวูบหนึ่งปรากฏขึ้นในหัวหลังจากเพิ่งนึกได้ว่าร่างกายส่วนล่างของทั้งคู่เองก็แนบชิดไม่แพ้กัน ยามม้ากระโดดข้ามเนินสูงยิ่งกระตุ้นให้ส่วนนั้นเสียดสีจนแทบหลอมรวมเป็นหนึ่ง อี้ป๋อถึงกับต้องสะบัดหน้าแรงๆไล่ความคิดชั่วร้ายออกไปหลงเหลือไว้เพียงแค่ความคิดด้านดีต่ออีกคนที่นับวันมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นและคงเอ่อล้นหัวใจในไม่ช้า

     

     

     

     

     

     

     

     






     

     

     

     

     

     

    เมื่อเดินทางกลับถึงองค์กรภาคีผมก็แทบอยากเอาหัวมุดดินเพราะวีรกรรมหลบหนีในวันนี้เป็นที่กล่าวขานกันไปทั่ว แม้กระทั่งผู้ส่งสารคนที่ผมตั้งฉายาให้ว่าพ่อนินจาเต่ายังยอมละทิ้งบุคลิกเคร่งขรึมเอ่ยแซวผมตอนที่เราเดินสวนกัน กลุ่มพันธมิตรของอี้ป๋อยิ่งแล้วใหญ่เอาเรื่องราวไปนินทากันสนุกปาก บ้างก็หาว่าอี้ป๋อนอกใจบ้างล่ะเมียเลยตั้งท่าหนี บ้างก็หาว่าผมหนีเพราะไม่ประทับใจในลีลาท่ายากบนเตียงของสามีซะอย่างนั้น ดูเหมือนผมจะสร้างความประทับใจแรกเจอได้ยอดเยี่ยมมาก

     

    “ฮะฮ่า~ ในที่สุดนายก็จะได้มีเมียเป็นตัวเป็นตนสักที ดีใจด้วยนะเพื่อน”

    “.......”

    “เอาไว้ว่างเมื่อไหร่ขอเชิญทั้งนายแล้วก็คุณเซียวจ้านมาร่วมรับประทานอาหารที่บ้านของฉันนะ ถือว่าฉลองต้อนรับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพันธมิตรอย่างเป็นทางการ”

    “ขอบคุณสำหรับคำเชิญครับ”

    “อะไรกันจี้หยาง ใจคอจะชวนแค่คู่รักข้าวใหม่ปลามันเท่านั้นเหรอ”

    “ฉันว่ากว่าอี้ป๋อจะว่างคงอีกนานนั่นแหละ เพิ่งแต่งงานก็งี้ต้องใช้เวลาฮันนีมูนเพื่อกระชับความสัมพันธ์ว่ะ”

    “ดูท่าคืนนี้ไปง้องอนต่อบนเตียงแน่นอน กิ้วๆ~”

    “.......”

    “.......”

    “พูดถูกใจว่ะอวี้เฉิน วันนี้ทั้งม้าของนายแล้วก็ของฉันมีส่วนช่วยให้อี้ป๋อง้อเมียสำเร็จนะเว้ย”

    “ดีนะที่คนขององค์กรภาคีตามจับเจ้านิลกลับมาได้ไม่งั้นฉันคอขาดแน่”

    “พี่ว่าเราเงียบกันสักหน่อยดีกว่า อี้ป๋อกับเซียวจ้านจะได้มีสมาธิในการเซ็นเอกสารสำคัญ”

     

    แกร๊ก

     

    ข้อมือบางจรดปลายปากกาเซ็นเอกสารในขั้นตอนสุดท้ายอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่ หลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็ต้องประทับลายนิ้วมือลงไปเพื่อเป็นเครื่องหมายยืนยันว่าข้อมูลในเอกสารถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ ผมไม่อยากทำผิดพลาดเหมือนครั้งก่อนจึงตั้งใจอ่านตัวอักษรบนหน้ากระดาษซ้ำไปซ้ำมา ขณะที่ผมทบทวนข้อมูลรอบสุดท้ายพี่ไห่ควานก็เดินเข้ามาตบบ่าเบาๆคล้ายกับให้กำลังใจ ในบรรดาเพื่อนของอี้ป๋อผมคิดว่าพี่ไห่ควานนี่แหละดูเป็นมิตรและดูพึ่งพาได้ที่สุดแล้วเพราะเขาเป็นคนเดียวที่ไม่ทำเหมือนพวกเราสองคนกำลังแต่งงานเป็นสามีภรรยากันจริงๆ

     

    ส่วนคนอื่นถ้าเผลอเมื่อไหร่จะสั่งให้เลอาไปกัดคอให้ดู!!

     

    “จากนี้พี่ขอฝากนายช่วยดูแลอี้ป๋อด้วยนะ หนักนิดเบาหน่อยก็จงอภัยให้กัน หากมีเรื่องที่ไม่เข้าใจหันหน้ามาพูดคุยกันดีๆ อย่ากระโดดขึ้นหลังม้าหนีไปแบบวันนี้อีกล่ะ สามีภรรยาต้องหัดรักใคร่กันไว้”

     

    เพล้ง!!

     

    หน้าแตกแบบหมอไม่รับเย็บ!!

    ไอ้คุณพี่ไห่ควานนนนนน!!

    พี่นี่แหละสมควรโดนเลอากัดก่อนใคร!!

     

    แม้ภายในจะรู้สึกจุกอกมากขนาดไหนแต่ผมก็ทำได้แค่พยักหน้ารับเบาๆเพราะไม่อยากเสียมารยาท ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนในกลุ่มพันธมิตรถึงทำเหมือนกับว่าพวกเราสองคนกำลังจะแต่งงานกันจริงๆทั้งที่พวกเขารู้ดีอยู่แล้วว่าสาเหตุในการประทับตราพันธะครั้งนี้มันเป็นเพราะอะไร นายอี้ป๋อก็อีกคนหนึ่งแทนที่จะห้ามปรามเพื่อนๆบ้างแต่เจ้าตัวกลับเลือกนิ่งเฉย ชอบนักหรือไงถูกล้อว่าเป็นสามีของผมน่ะ

     

    “เมื่อคุณทั้งสองรวมถึงพยานร่วมเซ็นเอกสารยืนยันเรียบร้อยแล้ว การประทับตราพันธะในวันนี้ก็ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้น รอแค่ดำเนินเรื่องยื่นเอกสารส่งต่อไปยังสภากลางเท่านั้น หลังจากสภากลางอนุมัติสถานะสามีภรรยาของพวกคุณถึงจะถูกใช้อย่างเป็นทางการ”

    “ขอบคุณมากครับ”

    “ขอบคุณเช่นกันที่เลือกใช้บริการส่งรหัสลับของเรา”

     

    ชายชุดดำโค้งคำนับเล็กน้อยพร้อมกับหยิบเอกสารทั้งหมดแล้วเดินจากไป อี้ป๋อชวนผมร่วมวงสนทนาในกลุ่มพันธมิตรอยู่พักใหญ่ก่อนจะพากันแยกย้ายทางใครทางมันเมื่อถึงเวลาอันสมควร อันที่จริงผมว่าพวกเขาออกจะพูดคุยสนุกด้วยซ้ำไม่รู้สึกอุณหภูมิติดลบเหมือนตอนอยู่กับอี้ป๋อแค่สองคน หากตัดเรื่องที่พวกเขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้เรากลายเป็นสามีภรรยากันอย่างออกนอกหน้าก็ถือว่าเป็นสหายที่ดีกลุ่มหนึ่งเลยล่ะ

     

     

     

     


    “เฮ้ออ~”

     

    ระหว่างนั่งรถขากลับพวกเราเอาแต่นิ่งเงียบมาตลอดทางส่วนหนึ่งคงเพราะผมก่อวีรกรรมเอาไว้ซะเยอะก็เลยค่อนข้างเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ อี้ป๋อสังเกตเห็นว่าผมเผลอถอนหายใจทิ้งอยู่หลายทีเขาจึงหันมาถามไถ่อาการ อวี๋ปินเองที่ยังคงเป็นห่วงเรื่องบาดแผลของผมก็เริ่มร่วมวงสนทนาด้วยเช่นกัน

     

    “อยากแวะโรงพยาบาลก่อนไหม”

    “นั่นสิครับคุณชาย บาดแผลของคุณชายยังน่าเป็นห่วง”

    “ไม่เป็นไรหรอก แผลไม่ได้ลึกมากเท่าไหร่ แค่ยังรู้สึกช้ำนิดหน่อยก็เท่านั้น”

    “ผมขอโทษด้วยนะครับคุณชายสำหรับเรื่องวันนี้”

    “ขอโทษเรื่องที่นายใช้รหัสลับเรียกอี้ป๋อมาล่าตัวฉันน่ะเหรอ”

    “เอ่อ..”

    “เอาเถอะ ฉันมันเป็นฝ่ายดื้อดึง นายไม่ต้องโทษตัวเองหรอกที่ฉันได้รับบาดเจ็บกลับมา”

    “ผมจะช่วยคุณชายทำแผลเองครับเมื่อกลับไปถึงคฤหาสน์ อดทนอีกนิดนะครับ”

    ว่าแล้วอวี๋ปินก็ทำการเร่งเครื่องยนต์เพื่อที่จะได้กลับไปถึงจุดหมายรวดเร็วมากขึ้น เจ้าตัวเอาแต่เพ่งสมาธิอยู่บนท้องถนนไม่ได้หันกลับมาสนใจคู่สามีภรรยา(หลอกๆ)อย่างเราสองคนอีกเลย เมื่อบทสนทนาเริ่มเงียบลงผมจึงนึกถึงเรื่องในวันนี้ขึ้นมาได้ ตอนอวี๋ปินส่งรหัสลับให้คนขององค์กรภาคีผมได้ยินชื่อเมนูอาหารชนิดหนึ่งรวมถึงโค้ดปริศนาซึ่งเกี่ยวพันกับคนที่ชื่อว่าเชฟลี ถ้าเป็นอย่างที่ผมคิดล่ะก็..เชฟลีกับอี้ป๋อต้องเป็นคนเดียวกันไม่ผิดแน่

     

    “นายคือเชฟลีใช่ไหม”

    “นั่นคือนามแฝงของฉัน มันเป็นส่วนหนึ่งของรหัสลับที่คนในองค์กรภาคีใช้กัน”

    “รหัสลับที่ว่ามันคืออะไรเหรอ”

    “องค์กรภาคีทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างผู้คน รหัสลับที่นิยมใช้กันมากที่สุดก็คือการส่งสัญญาณ SOS ไม่ใช่เพียงแค่ขอความช่วยเหลือแต่รวมถึงการส่งข่าวหรือส่งสัญญาณบางอย่างให้เป้าหมายรับรู้โดยต้องระบุชื่อแฝงที่ใช้ภายในองค์กรเท่านั้น”

    “ฟังดูน่าสนุก งั้นทำไมถึงต้องเป็นการฝากบอกเชฟด้วยล่ะ พูดตรงๆไม่ได้เหรอ”

    “เพราะนั่นคือส่วนหนึ่งของการจำลอง หากนำรหัสลับไปใช้ในสถานการณ์อื่นศัตรูที่อยู่นอกเครือข่ายขององค์ภาคีจะได้ไม่ไหวทัน”

    “เหมือนในหนังสายลับเลยแฮะ ฉันขอเดานะว่าเมนู Salmon Olive Steak ที่อวี๋ปินใช้ก็คือสัญญาณ SOS ที่หมายถึง”

    “เริ่มฉลาดแล้วนี่ นายอยากลองคิดชื่อเมนูอื่นก็ได้นะ ตอนนี้นายกลายเป็นคนในตระกูลฉันแล้ว นายควรมีนามแฝงของตัวเองเผื่อสักวันจำเป็นต้องใช้เหมือนกัน”

    “อะแฮ่ม~ ฝากบอกเชฟจ้านจ้านว่า..”

    “ห้ามใช้ชื่อจริง”

    “แค่ชื่อย่อก็ไม่ได้เหรอ”

    “คิดใหม่ซะ”

    “ก็มันคิดไม่ออกนี่ นายได้ชื่อคุณลีมาจากไหนล่ะ”

    “ห้ามเลียนแบบชื่อฉัน นามแฝงซ้ำกันไม่ได้”

    “รู้แล้วน่า ฉันก็แค่ถามเผื่อเป็นแรงบันดาลใจไง”ขี้หวงจริงๆเลยนะนายเนี่ย

    “ฉันเอาคำว่า ‘ลี’ มาจาก ‘ลีอันนา’ มันคือกลุ่มดาวสิงโตในภาษาของเมืองชิรัณย์และก็เป็นกลุ่มดาวประจำวันเกิดของแม่ฉันด้วย”

    “งั้นเหรอ ความหมายดีจัง”

    “หรือนายอยากลองตั้งชื่อด้วยกลุ่มดาวดูบ้าง ฉันจะได้ช่วยหาให้”

    “ไม่ต้องหรอก ฉันว่าฉันคิดออกแล้ว”

    “นายจะใช้นามแฝงว่าอะไร”

    “อันนา”

    “.......”

    “ฉันจะใช้นามแฝงว่าอันนา”

    “ทำไมต้องเป็นอันนา”

    “เพราะอักษรที่ประกอบเป็นความหมายพิเศษไม่ควรขาดคำใดคำหนึ่งไปน่ะสิ ในเมื่อตอนนี้พวกเราสองคนเปรียบเสมือนเป็นคนๆเดียวกัน”

    “.......”

    “เมื่อไหร่ที่มี ‘ลี’ ก็ต้องมี ‘อันนา’ เมื่อไหร่ที่มี ‘นาย’ ก็ต้องมี ‘ฉัน’ ไง”

    “.......”

    “เมื่อไหร่ที่เราสองคนอยู่ด้วยกัน..เมื่อนั้นความหมายที่ขาดหายไปจะถูกเติมเต็มจนสมบูรณ์”

     

    ชายหนุ่มจ้องมองผู้เป็นเจ้าของรอยยิ้มกระต่ายอันแสนซุกซนด้วยดวงตาประกายเมื่อได้ฟังคำตอบ ขณะที่อีกคนเมื่อพูดจบก็เอาแต่เหม่อออกไปนอกหน้าต่างรับชมแสงจันทร์ยามราตรี ไม่ทันรู้ตัวเลยว่าแค่ประโยคสั้นๆไม่กี่คำได้ก่อให้เกิดอิทธิพลต่อใครคนหนึ่งมากมายเพียงใด 

     

    ตึกตัก!!

     

    และในครานั้นกลุ่มดาวสิงโตก็เริ่มส่องแสงประกายงดงามยิ่งกว่าคืนไหนๆ





    << จบ Part1 >>

    #ตราพันธนาการหัวใจ





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×