คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : >
<< Chapter 1 >>
พรึบ!!
แสงไฟจากหน้ารถยนต์สาดเข้ามาท่ามกลางความมืดมิดส่งผลให้ทั่วทั้งบริเวณเริ่มส่องสว่าง ผมรู้สึกตัวตื่นทันทีเมื่อโดนความเจิดจ้าของมันเล่นงานเข้า
“อ๊าา..”
เมื่อยชิบ
เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่วะ
ขณะที่สมองทำการประมวลผลผมก็ลองขยับแขนขาไปพร้อมกันแต่กลับพบว่าตัวเองถูกจับมัดนั่งอยู่บนเก้าอี้ราวกับนักโทษรอคำสั่งประหาร สายตาที่เพิ่งถูกเปิดใช้งานค่อยๆปรับโฟกัสเพื่อมองภาพตรงหน้าให้ชัดเจนขึ้น ชายหนุ่มหนวดเฟิ้มประมาณห้าถึงหกคนเห็นจะได้ยืนรวมพลไม่ห่างออกไปนักอีกทั้งอาวุธในมือก็ครบครัน ผมลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เพราะรู้สึกคุ้นเคยกับเหตุการณ์พวกนี้ดี
คราวนี้ไปกระตุกหนวดใครเข้าอีกวะ
จำได้ว่าเมื่อคืนก็ไม่ได้หิ้วสาวคนไหนกลับห้องนี่หว่า
หรือจะเป็นแม่สาวผมทองที่ผมเผลอขยิบตาเข้าให้หนึ่งที
ตั้งแต่แตกเนื้อเป็นหนุ่มเต็มกายชีวิตของเซียวจ้านต้องพัวพันอยู่กับลูกกระสุนปืนนับครั้งไม่ถ้วน บ้างก็เกิดจากการรนหาเรื่องเดือดร้อนเข้าตัวเอง บ้างก็เกิดจากการอยู่เฉยๆแต่ดันมีเรื่องวิ่งเข้ามาหา ช่วยไม่ได้นี่หว่าก็คนมันเกิดมาคารมดี รูปหล่อ พ่อรวย สาวๆคนไหนได้เห็นเป็นต้องตกหลุมพรางของไอ้เสือนักท่องราตรีตัวนี้กันทุกราย แม้กระทั่งเด็กเสี่ยหรือเด็กเจ้าพ่อถึงจะมีปลอกคอล่ามแสดงความเป็นเจ้าของอยู่แล้วก็ไม่เว้น
ฉายาจ้องตาสิบสามวิเสร็จโจ๋ไม่ได้ถูกขนานนามมาเล่นๆนะคร้าบ
ผลพวงจากความเสน่ห์แรงเกินห้ามใจของผมมักนำพาเอาลูกกระสุนปืนตามติดมาด้วยแทบทุกครั้งไป อ๊ะๆแต่อย่าเพิ่งมองผมในแง่ร้าย ผมไม่ใช่ไอ้เสือประเภทที่ว่ากินเหยื่อไม่เลือกหน้าเหมือนนักท่องราตรีคนอื่นๆ ถึงผมจะรักสนุกแค่ไหนแต่ก็รู้ขอบเขตของตัวเองดีน่า ก่อนปรายตามองใครผมต้องแน่ใจว่าคนๆนั้นไม่ขึ้นสถานะถูกจับจองถึงจะเริ่มทำการล่าอย่างเป็นทางการ
เฮ้อออ
แต่ดูเหมือนเรดาร์เรื่องนี้ของผมยังอ่อนหัดนัก
แค่เจอคุณเธอออดอ้อนเสียงหวานปากร้องปาวๆว่าโสด
คำว่าโสดไม่ได้เหมารวมว่าเธอไม่ใช่เด็กเสี่ยซะหน่อย
ตื่นเช้าเจอปืนจ่อหัวนับสิบกระบอกก็เคยมาแล้ว
ดีที่ว่าโลกนี้มีอำนาจของเงินอยู่ผมถึงยังมีชีวิตรอด(เพื่อมาโดนจับอีกรอบจนได้)
หลังจากเจอเหตุการณ์เสี่ยงอันตรายบ่อยเข้าช่วงหลังผมจึงงดออกล่าถือว่าเป็นการพักผ่อนทั้งกายทั้งใจ ยิ่งตอนนี้ผมมาท่องเที่ยวอยู่ในประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นถิ่นมาเฟียเก่า พอจะรู้ข้อมูลคร่าวๆถึงองค์กรลับซึ่งมีการจัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ให้เหล่าเจ้าพ่อมาเฟียแก๊งต่างๆแบ่งเขตปกครองอย่างเป็นระเบียบไม่ก้าวก่ายกัน ไม่ว่าจะเป็นแก๊งเล็กแก๊งน้อยต่างก็แฝงตัวอยู่แทบทุกตารางเมตรของประเทศนี้ ผมตั้งใจมาเที่ยวแบบไม่มีเจตนาแอบแฝง(จริงๆนะ) ใครจะกล้าเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงถึงถิ่นมาเฟียด้วยการไปนอนกับสาวที่ไหนก็ไม่รู้ เกิดถูกหวยดันไปเจอคนที่มีเจ้าของอยู่แล้วหรือเป็นเด็กเสี่ยหรือไม่แน่หนักถึงขั้นเป็นเด็กในความปกครองของเจ้าพ่อ
ไม่อยากจะนึกถึงบทลงโทษซึ่งรออยู่ปลายก้นเหว
หลุมศพระบุชื่อเซียวจ้านพ่วงด้วยวันที่ชาตะ-มรณะ
แค่คิดก็ขนลุกชูชัน(ไอ้นั่นก็ชัน)ไปทั้งตัว
“เอ๊ะ..นั่นน่ะสิ”
“ก็ในเมื่อผมค่อนข้างแน่ใจว่าไม่ได้ไปยุ่งกับใครแล้วทำไมอยู่ดีๆเรื่องมันถึงลอยเข้าตัวได้วะ”
ภาพจำสุดท้ายคือช่วงเวลาตีหนึ่งของเมื่อคืนผมกำลังร่วมปาร์ตี้อยู่ในคลับอย่างเมามัน หลังจากกระดกเหล้าเข้าปากไปได้สักพักก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา คนที่คุ้นเคยกับน้ำเมาและสถานที่อโคจรย่อมรู้อยู่แล้วว่าอาการเมาแอลกอฮอล์กับเมาเพราะถูกวางยามันต่างกันชัดเจน
ซึ่งผมถูกจัดให้อยู่ในประเภทหลัง
ตอนนั้นผมตั้งสติไม่ค่อยอยู่ ขาทั้งสองข้างพยายามพาร่างกายกลับที่พักแต่สุดท้ายภาพก็ตัดไปที่ผนังสีขาวพร้อมกับสติที่ดับเลือน ตื่นมาอีกทีก็เจอหน้าพี่เบิ้มรอต้อนรับแถมอาวุธครบมืออีกต่างหาก คนอะไรจะซวยซ้ำซวยซ้อนได้ขนาดนี้ ผมเพิ่งวางเขี้ยวเล็บได้ไม่นานเรื่องก็ดันลอยเข้าหาตัว ไม่ว่าจะลองคิดจนหัวระเบิดสักกี่ครั้งก็หาเหตุผลที่ตัวเองถูกจับมาอยู่ที่นี่ไม่ได้จริงๆ
เอาวะ
ถ้าเผลอทำอะไรผิดไปคงต้องใช้เงินเจรจาอีกรอบ
ทุกครั้งมักได้ผลเสมอและครั้งนี้คงไม่ต่างกันนักหรอก
“นี่พี่ชาย”คำแรกที่หลุดออกจากปากก็ต้องใช้น้ำเสียงออดอ้อนกันหน่อย
“.......”
“พี่ชายคนนั้นนั่นแหละ”ผมลองเรียกซ้ำอีกทีเพื่อดูปฏิกิริยาตอบรับ พี่เบิ้มหันมามองเพียงเล็กน้อยก่อนจะส่งสัญญาณให้พี่เบิ้มอีกคนไปรายงานนายของตัวเอง ผมไม่ชอบการถูกเมินนักแต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์เป็นรองคงต้องแสร้งทำเสียงออดอ้อนต่อไป
“.......”
“เฮ้พี่ชาย..แก้มัดกันก่อนดีกว่าไหม เราจะได้เจรจากันดีๆ”
“หุบปาก”
เสียงเข้มขนาดนี้ไม่น่าเรียกพี่เบิ้มแต่คงต้องเป็นลุงเบิ้มแทนแล้วมั้ง
“น่านะพี่ชาย ผมไม่คิดหนีไปไหนหรอก”
“.......”
“อย่างน้อยก็ต้องให้เกียรติคนที่ตัวเองจับมาหน่อยสิ นายใหญ่ไม่ได้สอนมารยาทหรือไง ถูกจับมัดท่านี้มันเมื่อยจะตาย”
“หึ”
แน่ะ..ยังจะมาหงมาหึ
ถ้าหลุดไปได้เมื่อไหร่นะจะจับถอนหนวดให้เกลี้ยงเลยคอยดู
ขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากอีกครั้งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ ‘นายใหญ่’ ของพวกมันก้าวลงจากรถพอดี แค่ลำพังไอ้คันเก่าที่ส่องไฟใส่หน้าผมก็แสบตามากพออยู่แล้วนี่ยังจะมีรถคันใหม่มาเพิ่มอีกเหรอ ดึกดื่นขนาดนี้ไม่หลับไม่นอนกันหรือไงวะ
ฟึบ
“นายคือเซียวจ้าน”
“.......”
ร่างสูงเขวี้ยงแผ่นกระดาษเอกสารใส่ตัวอีกคนก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบเริ่มชวนสนทนา ผมดึงคิ้วเข้าหากันด้วยความแปลกใจหลังจากเห็นข้อมูลกองอยู่บนตัก ข้อมูลในนั้นระบุตัวตนของผมรวมถึงครอบครัวอย่างชัดเจน
นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องผิดใจกันธรรมดา
ไอ้หมอนี่ดันสืบหาข้อมูลครอบครัวของผมด้วยงั้นเหรอ
“คุณเป็นใคร ต้องการอะไรจากผม”
“นายคือเซียวจ้านใช่ไหม”น้ำเสียงเข้มเอ่ยย้ำประโยคเดิมไม่ยอมตอบคำถามของผมแม้แต่คำเดียว
“ในเมื่อคุณรู้อยู่แล้วจะถามทำไม”
“ฉันแค่ต้องการความแน่ใจเท่านั้น”
“ใช่ ผมคือเซียวจ้าน”
“งั้นเราคงต้องแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการ”
“ผมไม่แนะนำตัวกับศัตรู”
“ยกให้ฉันอยู่ในฐานะศัตรูเลยเหรอ..ว่าที่ลูกเขย”
เดี๋ยวครับคุณ
ยังไม่ทันเข้าอินโทรก็เริ่มเข้าท่อนฮุคแล้วเหรอ
“ละ..ลูกเขย..นี่คุณหมายถึงอะไร!!”
“ฉันคืออี้โจว เป็นหัวหน้าผู้ดูแลเขตหนึ่งสาม ตอนนายมาเที่ยวที่นี่ครั้งแรกนายอาจจะไม่รู้จักฉันแต่มีอยู่ชื่อหนึ่งที่นายต้องรู้จักอย่างแน่นอน”
“.......”
“จื่ออี้”
(*อี้โจวคือประมุขเนี่ยในปมจ*)
(*จื่ออี้คือแม่นางเวินฉิงในปมจ*)
ชิบ-หาย!!
“คะ..คุณเป็นอะไรกับจื่ออี้”
“เธอเป็นลูกสาวของฉัน”
ชิบ-หาย คูณ ชิบ-หาย!!
ย้อนกลับไปตอนที่ผมมาเที่ยวที่นี่เป็นครั้งแรก อันที่จริงก็ต้องเรียกว่ามาทำงานถึงจะถูก จื่ออี้คือผู้หญิงที่ผมพบเข้าโดยบังเอิญ เธอเป็นคนใจดี ยิ้มหวาน และที่สำคัญคือเธอช่วยเป็นไกด์นำเที่ยวให้กับผมในช่วงเวลาพักผ่อนหลังเสร็จงาน ความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวต่างเมืองก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ผมกับเธอได้เริ่มคบหาดูใจกันตลอดระยะเวลาสามอาทิตย์ คงไม่ต้องบอกว่าเรื่องราวต่อจากนั้นเป็นยังไง ไอ้เสืออย่างผมก็ยังคงเป็นไอ้เสืออยู่วันยังค่ำ สามอาทิตย์เป็นเวลามากพอให้ผมเชยชมเหยื่อจนหนำใจ เมื่อครบสามอาทิตย์แล้วผมจำเป็นต้องกลับไปยังรังเดิมของตัวเอง ผมได้ทำการบอกเลิกเธอและจบความสัมพันธ์ระหว่างเราอย่างไร้เยื่อใย (รู้ว่าเลวครับไม่ต้องย้ำ) หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกจนผมแทบลืมชื่อเธอไปแล้วด้วยซ้ำ นึกไม่ถึงว่าการกลับมาเยือนประเทศนี้อีกครั้งจะดันเจอแจ็กพอตเข้าอย่างจัง ใครจะไปรู้ว่าจื่ออี้ดันเป็นถึงลูกสาวของหัวหน้าแก๊งผู้ดูแลเขตหนึ่งสาม
แค่เห็นเลข13ลอยขึ้นในหัวก็รู้สึกชะตาใกล้ขาดแล้วไอ้เซียวจ้านเอ้ยยย
“เมื่อสามเดือนก่อนนายเคยคบกับจื่ออี้ใช่ไหม”
“ผมยอมรับว่าเคยคบกับจื่ออี้ก็จริงแต่นั่นเป็นเรื่องที่นานมากแล้ว คุณคงไม่ได้จับตัวผมมาเพื่อถามเรื่องแค่นี้หรอกนะ”
“แต่ไหนแต่ไรฉันไม่เคยยุ่งกับความสัมพันธ์ส่วนตัวของลูกสาวอยู่แล้ว เธอจะคบใครหรือเลิกคบใครฉันไม่สนใจ ตราบใดที่มันไม่ทำให้ลูกของฉันต้องเจ็บปวดถึงขั้นเลือดตกยางออก”
“งั้นคุณก็มั่นใจได้ว่าผมไม่เคยทำร้ายลูกสาวคุณแม้แต่ปลายเล็บ”
“ฉันรู้”
“เรื่องอะไรที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันแล้วไปเถอะนะ เอาเป็นว่าผมขอโทษสำหรับทุกอย่าง ทีนี้คุณปล่อยตัวผมได้แล้วใช่ไหม”
“ก็คงได้”
“ดีเลย แฮะๆ”รอยยิ้มหวานผุดขึ้นบนใบหน้าคล้ายเห็นหนทางสว่างรอดพ้นเอื้อมมือเจ้าพ่ออยู่ไม่ไกล ยังไม่ทันจะวิ่งถึงปลายทางก็ต้องสะดุดล้มลงซะก่อนเมื่อได้ยินประโยคถัดมา
“แต่เพราะเป็นนาย..เซียวจ้าน ก็เลยถือเป็นข้อยกเว้น”
“ว่าไงนะ!!”
“นายเป็นความบังเอิญที่ดันโผล่เข้ามาอยู่ในแผนการของฉัน ยิ่งได้อ่านประวัตินายแล้วก็ยิ่งทำให้ฉันตัดสินใจปล่อยนายไปไม่ได้จริงๆ”
“อ๋อ ผมรู้แล้ว หลังจากอ่านประวัติของผมคงทำให้คุณแทบตาลุกวาว ใครๆที่ได้รู้จักผมก็อาการไม่ต่างจากคุณนักหรอก คุณคงอยากได้สมบัติของพ่อผมสินะ ผมขอบอกไว้ก่อนว่าคุณอย่าเพิ่งคิดไกล ผมก็ส่วนผม พ่อก็ส่วนพ่อ เราสองคนเกี่ยวพันกันแค่ทางสายเลือดเท่านั้น คนอย่างเขาไม่มีทางยกมรดกให้ผมง่ายๆ ผมขอแนะนำให้คุณหาลูกเขยคนใหม่จะดีกว่า ผมไม่เหมาะกับลูกสาวคุณ ขนาดเกิดมาเป็นลูกของพ่อ..ผมก็ยังทำได้ไม่ดีพอด้วยซ้ำ”ผมหลุบตาต่ำลงเมื่อนึกย้อนไปถึงใบหน้าของใครอีกคน คำพูดหวานๆเสมือนครอบครัวจริงๆที่พูดใส่กันเกิดขึ้นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ผมก็จำไม่ได้แล้ว
“ฉันไม่ได้ต้องการสมบัติแต่ฉันต้องการอะไรที่มากกว่านั้น”
“ถ้าคุณต้องการลูกเขยก็ช่วยเลือกคนที่ประวัติสะอาดกว่าผมก็แล้วกัน”
“สิ่งที่ฉันต้องการอยู่ในตัวนาย..เซียวจ้าน ต้องเป็นนายแค่คนเดียว”
“คุณพูดอะไรผมไม่เข้าใจ”
“นายคือสมบัติอันล้ำค่า ดูท่านายคงไม่รู้ตัวเลยสินะ”
“ถ้าคุณหมายถึงหน้าตาล่ะก็..ผมยอมรับก็ได้ พระเจ้าต้องทำงานหนักขนาดไหนกันนะกว่าจะสร้างสรรค์ผลงานล้ำค่าได้ถึงขนาดนี้”
ในวันที่ไม่มีอะไรดีเลยแต่อย่างน้อยต้องจำไว้เสมอว่ายังมีหน้าตาของเราที่ยังดีอยู่
“หึ..วาจาของนายนี่สมกับเป็นพ่อหนุ่มนักรัก มิน่าล่ะจื่ออี้ถึงได้หลงคารมของนาย เรื่องนั้นฉันไม่เถียง แต่สิ่งที่พูดไปทุกคำฉันหมายความตามนั้นจริงๆ”
“.......”
“ฉันกำลังยื่นข้อเสนอให้นาย..เซียวจ้าน นายจะยอมแต่งงานกับจื่ออี้หรือเปล่า นายจะยอมทำตราพันธะเพื่อเข้ามาเป็นคนในตระกูลของฉันไหม ถ้านายให้ความร่วมมือฉันสัญญาว่านายจะไม่เจ็บตัวแม้แต่นิด”
“ตราพันธะงั้นเหรอ นี่มันไม่ต่างอะไรจากการจับคลุมถุงชนกับคนที่ไม่ได้รัก ทำไมผมต้องยอมเข้าไปเป็นคนในตระกูลของคุณด้วย เหอะ..ไม่มีวันซะล่ะ”
“นั่นถือเป็นคำปฏิเสธ”
ก็เออสิวะ
“ในเมื่อฉันยื่นข้อเสนอแล้วนายไม่ยอมรับก็ช่วยไม่ได้..เพราะสิ่งที่ฉันต้องการไหลพล่านอยู่ในตัวนาย มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่ฉันจะได้ครอบครองมันและตอนนี้ฉันก็กระหายซะเหลือเกิน”
“คะ..คุณจะทำอะไร เฮ้ย!! อย่านะเว้ย!!”
“ประทับตราพันธะให้เรียบร้อย พวกมึงลงมือได้!!”
“ครับนาย!!”
เมื่อสิ้นสุดการสนทนาผมก็ถูกพี่เบิ้มคนที่หนึ่งและพี่เบิ้มคนที่สองล็อคตัวเข้าให้ ส่วนพี่เบิ้มอีกคนทำท่าเตรียมอุปกรณ์บางอย่างซึ่งผมเดาเอาว่ามันคงเกี่ยวพันกับไอ้ตราพันธงพันธะอะไรนั่น ผมพยายามดิ้นหนีทั้งใช้ลูกถีบลูกเตะแต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผลต่อร่างกายพี่เบิ้มแม้แต่นิด ในใจภาวนาถึงคุณงามความดีที่เคยทำไว้ให้ช่วยผมจนรอดพ้นจากสถานการณ์นี้สักที
สาธุคุณที่อยู่บนฟ้า
ช่วยเสกอะไรถล่มลงมาก็ได้
ช่วยลูกเสือตาดำๆคนนี้ด้วยเถอะ
ถ้าผมรอดจากเหตุการณ์นี้ขอสัญญาว่าจะงดชานมไข่มุกเป็นเวลาสามเดือน
เพี้ยงๆๆ
ปัง!!
ดูเหมือนคนบนฟ้าจะส่งความช่วยเหลือมารวดเร็วปานส่งพัสดุอีเอ็มเอส อยู่ดีๆก็เกิดเสียงวุ่นวายขึ้นด้านนอกโกดังพร้อมกับเกิดระเบิดควันทางด้านในบดบังวิสัยทัศน์ไปจนหมด ผมใช้จังหวะนี้ในการเอาหัวพี่เบิ้มสองคนเขกกันและรีบวิ่งหนีฝ่าความมืดทันที
เอ่อ..ถือว่าสัญญางดชานมไข่มุกที่พูดไปเมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้นละกัน
“เฮ้ยอย่าหนีนะเว้ย!!”
แน่จริงก็ตามมาให้ทันสิไอ้พี่เบิ้มหัวเกรียน
แบร่~~
“เกิดอะไรขึ้นวะ!!”
“นายครับ คือ..”
“พูดมา!!”
“คนของเขตแปดห้ายกพวกมาบุกรังเราแล้วครับนาย”
“ว่าไงนะ!!”
“จะให้ผมทำไงดีครับ หากสภากลางรู้ว่าเราทำผิดกฎแอบจับตัว..”
“ช่างหัวสภากลางสิวะ!! ไปจับตัวเซียวจ้านมาให้ได้!! ถ้าใครเข้ามาขวางฆ่าทิ้งอย่าให้เหลือ!!”
“ตะ..แต่..”
“อะไรอีกวะ!!”
“มันพา ‘ลูกๆ’ มาด้วยนะครับนาย”
“หึ..ถ้าพวกมึงไม่มีปัญญาจัดการมันงั้นกูเองนี่แหละที่จะเป็นคนลงมือ ไปซะ!!”
“คะ..ครับนาย”
“ไอ้เขตแปดห้า ไอ้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม”
“.......”
“อยู่ดีไม่ว่าดีรนหาที่ตายเองนะ หวังอี้ป๋อ”
“........”
ผมใช้ความนิ่งสยบทุกความเคลื่อนไหวขนาดปวดตดยังต้องอดกลั้นเอาไว้ก่อน พี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งสองสามสี่กรูกันเข้ามาในห้องที่ผมใช้เป็นฐานลับชั่วคราว คนมันจะซวยช่วยไม่ได้มีห้องเป็นร้อยดันตามมาถูกอีกแน่ะ พวกมันเริ่มแบ่งกำลังกันค้นหายังที่ซ่อนต่างๆซึ่งคาดว่าผมจะหลบอยู่ในนั้น ยิ่งพวกมันเข้าใกล้มากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งพยายามขดตัวเองอยู่ในซอกลังไม้ขนของให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากวิ่งหาทางออกอยู่นานผมก็ค้นพบว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะยังไม่ใช่ฐานที่ตั้งของเขตหนึ่งสามที่แท้จริง เหมือนเป็นเพียงแค่โกดังเก็บของทั่วไปซะมากกว่า พวกมันจงใจจับตัวผมมายังโกดังร้างห่างไกลผู้คนด้วยเหตุผลบางอย่างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ผมรู้มาก่อนหน้านี้
“ในเมื่อฉันยื่นข้อเสนอแล้วนายไม่ยอมรับก็ช่วยไม่ได้..เพราะสิ่งที่ฉันต้องการไหลพล่านอยู่ในตัวนาย มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่ฉันจะได้ครอบครองมันและตอนนี้ฉันก็กระหายซะเหลือเกิน”
สิ่งที่ฉันต้องการไหลพล่านอยู่ในตัวนาย
อะไรคือสิ่งที่ฉันต้องการ?
หะ..ไหลพล่าน
แถมยังมีวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้มันไหลออกมาเพื่อครอบครองมัน
บ้าน่า..
หรือว่าสิ่งที่มันต้องการจริงๆคือน้ำกะทิของผมอย่างงั้นเรอะ!!
“เฮ้ย!! เจอตัวมันแล้ว จัดการเลย!!”
ยังไม่ทันคิดฟุ้งซ่านได้นานนักในที่สุดผมก็ถูกพี่เบิ้มตามหาจนเจอเข้าซะก่อน ข้อมือบางเลือกหยิบสิ่งของต่างๆในห้องขึ้นมาเป็นอาวุธ รู้ทั้งรู้ว่าพลังทางกายผมไม่อาจสู้อีกคนได้แต่อย่างน้อยยอมต่อสู้จนตัวตายก็ดีกว่าถูกจับไปประทับตราพันธะบ้าบออะไรนั่น
“อย่าคิดหนีเลยดีกว่าน่า”
“พี่เบิ้ม ระหว่างไข่กับไก่อะไรเกิดก่อนกัน”
“ถามอะไรของมันวะ”
“รู้ไหมว่าจริงๆแล้วไก่เกิดก่อนไข่อีกนะ”
“.......”กินจุดกันไปตามระเบียบ
“เพราะว่าถ้าไม่มีไข่ก็จะออกไก่เป็นตัวไม่ได้ เอ้ยไม่ใช่ๆๆ เพราะถ้าไม่มีไก่ก็จะฟักไข่ไม่ได้ แต่เอาจริงๆไม่ว่าจะไข่หรือไก่เกิดก่อนก็ไม่ใช่ว่าไก่จะเลือกเกิดก่อนหรือเกิดหลังแต่ไข่ต่างหากที่เลือกเกิดก่อนหรือเกิดหลัง อันที่จริงไก่นั่นแหละเกิดหลังแล้วไข่ก็ดันเกิดก่อน”
“พวกมึงเข้าใจที่มันพูดไหม”
“กูว่า..”
“เสร็จโจ๋แล้วโว้ย!!”
“โอ๊ยยย!!”
“แสบชิบหาย จัดการมันเร็วๆสิ!!”
ผมฉวยโอกาสตอนที่เหล่าพี่เบิ้มทำหน้างุนงงปัดเศษฝุ่นบนลังไม้ให้ฟุ้งกระจายจนเข้าตาคนตรงหน้าส่งผลให้พวกมันร้องโอดโอยเสียการมองเห็นไปพักใหญ่ ผมไม่ถนัดใช้กำลังก็จริงแต่อย่างน้อยสมองอันปราดเปรื่องของผมก็ยังทำงานดีอยู่ ด้วยสกิลพูดจาหลอกล่อเบี่ยงเบนความสนใจศัตรูถึงทำให้ผมหนีรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้
“อะฮ่า..ทีนี้รู้ยังว่าไข่กับไก่อะไรเกิดก่อน แบร่~~”
“แสบนักนะมึง!!”
ไหนๆก็กำลังจะหนีพ้นแล้วขอหันไปแลบลิ้นเยาะเย้ยด้วยความสะใจสักหนึ่งทีก็แล้วกัน จังหวะที่ผมหัวเราะอย่างเริงร่าใส่เหล่าพี่เบิ้มทั้งหลายอยู่ดีๆพวกพี่เบิ้มก็เริ่มหยุดชะงักฝีเท้าลงอย่างกะทันหันทำให้ผมต้องพลอยหยุดตามไปด้วย สีหน้าซีดเผือดราวกับเห็นตัวประหลาดส่งผลให้ผมเอ่ยคำถามขึ้นมา
“อะไร เป็นอะไรกัน ไม่อยากเล่นวิ่งไล่จับแล้วเหรอพี่เบิ้ม”
“ขะ..ข้างหลัง”
“หืมม”
“ข้างหลังนะ..นั่นมัน..”
แม้จะไม่เห็นในสิ่งที่พวกพี่เบิ้มเห็นแต่ผมก็เริ่มทำหน้าซีดเผือดไม่ต่างกัน สิ่งที่อยู่ข้างหลังผมตอนนี้ทำให้พี่เบิ้มหวาดกลัวมากซะจนหัวแทบหด
อย่าบอกนะว่าเป็นลาสบอส
ด้วยความสงสัยปนอยากรู้จึงทำให้ผมตัดสินใจค่อยๆหันหลังกลับไปมองเจ้าสิ่งนั้นทันที วินาทีแรกที่เราสบตากันพลันเกิดความรู้สึกมวนท้องคล้ายจะอาเจียนอย่างห้ามไม่อยู่ ขาทั้งสองข้างชะงักงันตัวแข็งทื่อแน่นิ่งกับที่ไม่อาจก้าวเท้าขยับหนีไปไหน ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึงเพราะสิ่งที่ปรากฏ ณ เบื้องหน้าเป็นยิ่งกว่าลาสบอสซะอีก
“โรบอท..มะ..มือสังหาร”
“นะ..หนีเร็ว!!”
วี้ด..
เสียงผิวปากดังแทรกออกมาจากในความมืดเป็นดั่งคำสั่งเริ่มต้นการสังหารทันที สิงโตนักล่าตัวใหญ่ทั้งสองวิ่งกระโจนข้ามผมไปเพื่อจัดการเหล่าพี่เบิ้มที่กำลังวิ่งหนีกันอลหม่าน คนพวกนั้นช้าไปเพียงก้าวเดียวก็ถูกคมเขี้ยวของเจ้าป่าขย้ำเนื้อไม่เหลือชิ้นดี ผมไม่จำเป็นต้องมองภาพก็พอเดาได้จากเสียงร้อยโหยหวนขอชีวิตทางด้านหลัง จากหนึ่งเป็นสองจากสองเป็นสามจากสามเป็นสี่และจากสี่ก็ค่อยๆลดเสียงลงเจือจางสลายหายไป ไม่หลงเหลือแม้กระทั่งลมหายใจที่แสดงถึงการมีตัวตนอยู่
“.......”
“.......”
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเซียวจ้าน
ตอนนี้ผมควรได้นอนพักอยู่ในห้องโรงแรมหรือไม่ก็แช่น้ำอุ่นสบายตัว
ทำไมพอลืมตาตื่นก็ดันพบว่าถูกจับโดยฝีมือเจ้าพ่อ
แถมยังถูกบังคับให้ต้องแต่งงานกับลูกสาวเจ้าพ่ออีกต่างหาก
ยังไม่ทันหนีไปไหนพ้นก็ต้องเจอสิงโตนักล่าก่อเหตุฆาตกรรมในระยะประชิดตัว
นี่เป็นผลพวงจากการยกเลิกสัญญางดกินชานมไข่มุกหรือไงนะ
หลังจากยืนครุ่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อยในหัวอยู่นานผมก็เริ่มตั้งสติได้ เจ้าสิงโตนักล่าไม่ได้มุ่งหมายทำร้ายตัวผมอย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่ามันค่อนข้างเป็นมิตร(?)ในระดับหนึ่ง ดูจากท่าทีของพวกพี่เบิ้มคงสรุปได้อย่างเดียวว่าเจ้าของสิงโตรวมถึงคนที่บุกเข้ามาทลายหัวหน้าแก๊งเขตหนึ่งสามต้องเป็นฝ่ายศัตรูอย่างแน่นอน นายอี้โจวคงเดินไปเหยียบหางแก๊งไหนสักแก๊งก็เลยถูกเอาคืน แท้จริงเขาไม่ได้ตั้งใจมาช่วยผมหรอกแค่มีหนี้ต้องสะสางกับหัวหน้าแก๊งเท่านั้น หากผมจะเดินออกไปจากสมรภูมิรบแห่งนี้ก็ย่อมทำได้สินะเพราะผมไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตั้งแต่แรกซะหน่อย
“.......”
เว้นแต่ว่าผู้ชายที่ยืนซ่อนตัวอยู่หลังความมืดจะไม่ยอมให้ผมจากไปง่ายดายน่ะสิ
วี้ด..
พลันเสียงผิวปากดังขึ้นอีกครั้งสิงโตเจ้าป่าทั้งสองตัวก็เดินกลับไปหาผู้เป็นนายด้วยความเชื่องช่างดูไม่เหมือนสัตว์ที่เพิ่งทำการล่าเหยื่อมาหมาดๆ ผมเฝ้ารอให้ใครอีกคนเริ่มต้นบทสนทนาก่อนเพราะไม่รู้ว่าควรทักทายกันในสถานการณ์นี้อย่างไรดี
เฮ้..เป็นไง
สิงโตของนายขย้ำเก่งดีนะ
หรือไม่ก็..
สวัสดี
ผมชื่อเซียวจ้าน
สัตว์เลี้ยงของคุณน่ารักจัง
มันเพิ่งช่วยชีวิตผมเอาไว้
แลกเบอร์ติดต่อกันหน่อยดีไหม
เผื่อวันไหนผมเดือดร้อนอีกจะได้รบกวนสิงโตของคุณช่วยมาจัดการให้ที
“กลับ”น้ำเสียงเข้มเอ่ยขึ้นมาเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดขาดดึงให้ผมหลุดออกจากห้วงภวังค์
“หะ..ห๊ะ”และแน่นอนว่าสิ่งที่เขาได้รับกลับไปจากผมมีเพียงคิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปมเท่านั้น
“ฉันบอกว่า..กลับ”
“ผมไม่เข้าใจที่คุณพูดเลยสักนิด”
ผมได้แต่ทำท่าทีงุนงงพลางจ้องมองร่างสูงขยับกายเดินออกจากความมืดราวกับถูกตรึงไว้ เขาใช้เพียงสามก้าวก็มาปรากฏตัวท่ามกลางแสงจันทร์ที่ฉายส่องจากด้านนอกหน้าต่าง ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าถือว่าหล่อเหลาเอาการ อีกทั้งยังดูสง่า ท่าทางสุขุม แววตาสงบนิ่งดั่งทะเลสาบน้ำแข็ง ริมฝีปากเย็นชาเรียบตรงไร้ซึ่งความรู้สึก เขาปล่อยปอยผมให้ตกลงปรกหน้าเล็กน้อยและรวบผมด้านบนมัดเก็บไว้ข้างหลัง ชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มดูเข้ากันดีกับผมสีเทาอ่อน มันช่วยส่งให้เขาดูน่าเกรงขามเหมาะสมกับตำแหน่งที่พี่เบิ้มว่าเอาไว้เมื่อครู่
โรบอทมือสังหาร
นักฆ่าผู้เย็นชาไร้ความปราณีอีกทั้งยังใช้สิงโตเป็นอาวุธคู่กาย
โอ้โหแฮะ
เท่ชิบหายไปเลย
“ฉันบอกว่า..กลับ”
“กลับไปไหน”
“กลับไปกับฉัน”
“แฮะๆ วันนี้ผมเล่นสนุกมากพอแล้ว ตอนนี้ปวดตัวอยากกลับไปอาบน้ำนอนจะแย่ ไอ้แก๊งที่คุมเขตหนึ่งสามไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผมเลย ผมแค่ตกเป็นเหยื่อคนหนึ่งเท่านั้น”
“.......”
“คุณอยากจะแก้แค้นคู่อริก็ทำเลย ผมจะลืมเรื่องคืนนี้ให้หมด ไม่เอาไปฟ้องตำรวจแน่นอน งั้น..ทางใครทางมันก็แล้วกันนะ ราตรีสวัสดิ์”
ฟุบ!!
“อ๊ะ!!”
ขณะที่ผมเตรียมชิ่งหนีออกมาก็ดันถูกล็อคคอจากทางด้านหลังเข้าซะก่อน ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้ผมใช้ขาขวากระทืบลงแรงไปที่อีกคนทันที ไอ้คุณโรบอทไม่ยอมปล่อยผมไปง่ายๆแต่กลับรีบจับผมทุ่มลงกับพื้นด้วยความโมโห เขากดตัวผมล็อคไว้ไร้หนทางใดให้ต่อสู้ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังพยายามดิ้นสุดแรงแม้จะสู้ไม่ได้ก็ใช้ฝีปากตะโกนดังลั่นให้เขาหนวกหูเล่นแทนแล้วกัน
ไม่ใช่ว่าไอ้หมอนี่ก็อยากทำตราพันธะบนร่างผมด้วยอีกคนหรอกเหรอ
“ปล่อยโว้ยยยยยยยย ปล่อยยยยยย!!”
“อย่าดิ้นได้ไหม”
“อ๊าาา ตัวคุณ..ตัวนายหนักชะมัด!!”ตอนแรกก็อยากเคารพอยู่หรอกพอเจอแบบนี้เข้าอย่าเรียกมันเลยสรรพนามคำว่าคุณน่ะ
“ถ้านายไม่คิดหนีฉันถึงจะปล่อย”
“นายต้องการอะไรอีกล่ะ”
“ตัวนาย”
อีกแล้วเหรอ
เดี๋ยวนี้เซียวจ้านหัดเนื้อหอมกับเพศเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่
“จะอะไรกันนักกันหนา ปล่อยฉันไปเถอะนะ ฉันไม่มีสิ่งที่พวกคุณ..มึง..นายต้องการหรอก”
“ปล่อยไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้”
“นายกำลังตกอยู่ในอันตราย”
“ห๊ะ”สิ่งเดียวที่ผมเห็นคือตัวเขานี่แหละอันตรายมากที่สุดเลย
“เพราะฉะนั้นนายถึงจำเป็นต้องกลับไปกับฉัน”
“จะมีอะไรอันตรายไปกว่าไอ้สิงโตสองตัวนั้นอีก”
“จะกลับไม่กลับ”
“อ๊ะๆ ตรงนั้นเจ็บ!! นายช่วยพูดแบบที่เข้าใจง่ายๆหน่อยได้ไหม”
“เรื่องมันยาวเอาไว้จะเล่าให้ฟัง”
“ถ้าไม่เล่าตอนนี้แล้วจะให้ฉันไว้ใจนายได้ยังไง”
“นายไม่มีสิทธิ์เลือกนอกจากไว้ใจฉัน”
“เหอะ ตลกสิ้นดี เราสองคนรู้จักกันสักนิดไหม เจอกันครั้งแรกก็มาถึงเนื้อถึงตัวแถมชวนกลับบ้านอีกต่างหาก คิดไม่ซื่อหรือเปล่าเนี่ย”
“ตอนนี้ยังไม่รู้จักแต่อีกหน่อยได้รู้แน่”
“ฮะ..เฮ้ยย!! ปล่อยนะเว้ยยยยยย!! ปล่อยยยยยยย!!”
อยู่ดีๆผมก็ถูกอีกคนอุ้มขึ้นพาดบ่าอย่างรวดเร็วทั้งที่ยังไม่ทันตัดสินใจอะไรด้วยซ้ำ เมื่อเห็นผมดิ้นมากๆเข้าไอ้คุณโรบอทก็ลงมือทำให้ผมสลบแบบไม่ถงไม่ถามสุขภาพกันสักคำ คืนนี้ผมจึงหลับตานอนอีกครั้งบนเตียงใหม่และหวังว่าเมื่อลืมตาตื่นอีกทีจะไม่ถูกจับมัดนั่งยางอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้
อาเมน
“ได้ตัวเป้าหมายแล้ว”
“พาคุณชายกลับคฤหาสน์เลยไหมครับ”
“ไม่ ยังไม่ใช่ตอนนี้”
“แล้วจะให้ผม..”
“พาฉันไปที่ฐานลับของกลุ่มพันธมิตร”
“รับทราบครับ เหล่าต้า!!”
(*เหล่าต้า=ลูกพี่*)
“เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด อี้โจวต้องการสิ่งนั้นจริงๆด้วย”
“พวกเราจะทำยังไงกันดี ถ้าแผนการของพวกมันสำเร็จต้องมีคนเดือดร้อนแน่”
“สภากลางยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น”
“เราควรรีบรายงานสภากลางให้เร็วที่สุดนะ”
“ไม่มีประโยชน์ พวกเราตามสืบเรื่องนี้มาพักใหญ่แล้วแต่หลักฐานยังไม่มากพอถึงเอาผิดมันไม่ได้สักที”
“ปล่อยให้เขตหนึ่งสามลอยนวลแบบนี้ไม่ดีแน่ เราไม่รู้เลยว่ามันวางแผนจะทำอะไรอีก”
“นายคิดว่ายังไงอี้ป๋อ”
“…….”
ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าของชายผู้หนึ่งซึ่งปรากฏอยู่บนจอมอนิเตอร์มีตัวอักษรด้านข้างระบุข้อมูลชัดเจนว่า ‘เซียวจ้าน’ เขากำลังรับฟังกลุ่มพันธมิตรร่วมประชุมหารือหัวข้อสำคัญด้วยความนิ่งสงบอยู่นานราวกับพยายามใช้ความคิด
เขตหนึ่งสาม
องค์กรใต้ดิน
กระบวนการค้ามนุษย์
ทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงกัน
มาจนถึงวันนี้ดันมีชื่อชายปริศนาเพิ่มมาอีกหนึ่ง
‘เซียวจ้าน’
ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทุกอย่าง ‘อี้โจว’ เจ้าพ่อมาเฟียชื่อดังผู้เป็นหัวหน้าดูแลเขตหนึ่งสาม ชายผู้นั้นกับพ่อของเขาเคยเป็นคู่ค้าทางธุรกิจกันมาก่อน หลังจากที่พ่อเขาเสียไปและได้ยกตำแหน่งให้เขาขึ้นมาดูแลเขตแปดห้า ความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งสองตระกูลก็สั่นคลอนเพราะเขาค้นพบถึงความผิดปกติบางอย่างซึ่งเกี่ยวพันกับธุรกิจมืด
เมืองชิรัณย์
ประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นถิ่นมาเฟียเก่าเพราะในสมัยก่อนผู้คนนับถือตนเป็นใหญ่ เกิดการก่อตั้งตระกูลต่างๆมากมายกลายเป็นประเทศแห่งศูนย์รวมของเหล่าเจ้าพ่อทั้งหลาย ในยุคมืดนั้นธุรกิจผิดกฏหมายมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ต่อมาจึงได้มีองค์กรหนึ่งที่เรียกกันว่าสภากลางทำการกวาดล้างปฏิรูปประเทศให้กลับมาขาวสะอาดดังเดิม สภากลางเป็นดั่งผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศโดยมีหน้าที่คอยแบ่งเขตการปกครองให้กับกลุ่มคนรุ่นหลังรวมถึงผู้สืบทอดสายเลือดประจำตระกูลอันเก่าแก่ หลังจากแบ่งการปกครองแล้วผู้ดูแลเขตจะต้องเคารพกฎซึ่งกันและกัน ไม่ก้าวก่ายอำนาจที่อยู่นอกเหนือพื้นที่ของตัวเองเป็นอันขาดเพื่อความสงบและเป็นระเบียบเรียบร้อย นอกจากนั้นก็ยังมีกฎอีกข้อหนึ่งที่สำคัญซึ่งระบุไว้อย่างชัดเจนว่าห้ามไม่ให้ตระกูลใดก็ตามไปเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจมืดหรือพัวพันถึงธุรกิจผิดกฎหมาย แต่ดูเหมือนว่าอี้โจวกำลังคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อสภากลาง แผนการบางอย่างที่เขาค้นพบนำมาซึ่งการประชุมใหญ่ระหว่างกลุ่มพันธมิตรในวันนี้
แน่นอนว่าแผนการนั้นเกี่ยวพันกับผู้ชายที่ชื่อเซียวจ้านด้วยเช่นกัน
“ว่ายังไงอี้ป๋อ ทุกคนรอการตัดสินใจของนายอยู่”เจ้าของชื่อถอนหายใจไล่ความคิดที่ไหลวนในหัวพลางจ้องมองไห่ควานผู้เป็นเจ้าของคำถาม ไห่ควานถือเป็นรุ่นพี่และคู่ค้าคนสำคัญที่เขามักปรึกษาปัญหาชีวิตบ่อยที่สุดเวลามีเรื่องไม่สบายใจ
“ตอนนี้เราทำได้แค่ปกป้องเป้าหมาย ส่วนการสืบหาหลักฐานเพิ่มเติมคงต้องรอเวลาที่พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง สภากลางจะไม่มีทางเชื่อข้อมูลที่ไม่มีน้ำหนักมากพอ”
“เรื่องเก็บรวบรวมหลักฐานรายงานต่อสภากลางปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉัน”
“ฉันจะช่วยประสานงานเรื่องนี้เอง”
“ขอบใจมากจี้หยาง จั๋วเฉิง”ชายหนุ่มเอ่ยกับคนทั้งสองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จั๋วเฉิงมีสายสืบแองแฝงตัวอยู่ในทุกพื้นที่ ส่วนจี้หยางมีความสัมพันธ์อันดีกับหลายตระกูลคงพอช่วยเป็นหูเป็นตาแทนกันได้
“อวี้เฉิน นายช่วยส่งคนไปดูแลชายคนนั้นได้ไหม ฉันหมายถึงพ่อของเซียวจ้าน”
“พี่ไห่ควาน พี่คิดว่าพวกมันจะกล้าไปยุ่งกับพ่อของเซียวจ้านด้วยเหรอ”
“กันไว้ก็ดีกว่าแก้ จริงไหมอี้ป๋อ”
“.......”
“อวี้เฉินคนนี้ขอรับประกันว่าจะทำสุดความสามารถ สบายใจหายห่วงได้เลย”เจ้าตัวยักคิ้วอย่างอารมณ์ดีพลางเก็บแฟ้มเอกสารต่างๆเตรียมไปทำหน้าที่ของตน จะมีก็เพียงแค่ชายหนุ่มผู้นั่งตำแหน่งเก้าอี้หัวโต๊ะที่ยังคงเป็นกังวลอยู่
ยิ่งมีบุคคลนอกเข้ามาเกี่ยวพันมากเท่าไหร่แผนการเปิดโปงธุรกิจมืดของอี้โจวก็ยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้น
(*อวี้เฉินคือพ่อขนมเข่งในปมจ*)
(*จี้หยางคือคนงามเมืองอี้ในปมจ*)
(*จั๋วเฉิงคืออาเฉิงคนซึนในปมจ*)
(*ไห่ควานคือศิษย์พี่มือชงอันดับหนึ่งในปมจ*)
ไม่นานนักทุกคนก็ทยอยแยกย้ายกันออกไปหลังจากประชุมหารือเสร็จเรียบร้อย เดิมทีมีแค่เขากับไห่ควานที่อยู่ในกลุ่มพันธมิตรแต่ต่อมาไห่ควานเป็นผู้ชักชวนให้อวี้เฉิน จี้หยาง และจั๋วเฉิงเข้ามาร่วมในกลุ่มเดียวกันโดยมีเป้าหมายหลักคือการกวาดล้างผู้ใช้อิทธิพลมืด หลังจากสภากลางเห็นชอบทำเรื่องอนุมัตินั่นหมายถึงสมาชิกในกลุ่มพันธมิตรทุกคนจะต้องถือตนเป็นพี่น้องกัน หากมีใครคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อตระกูลใดตระกูลหนึ่งก็ให้ถือว่ามีศัตรูร่วมกันทั้งหมด ทั้งที่อี้โจวก็รู้ความจริงข้อนี้ดีและรู้ด้วยว่าเขาไม่คิดจะปล่อยให้ลอยนวลไปง่ายๆ ทำไมอีกคนถึงไม่ยอมหยุดแต่กลับลากบุคคลนอกเข้ามามีส่วนร่วมในแผนการเพิ่มมากขึ้นไปอีก
มังกรหัวเดียวริอาจจะสู้กับมังกรห้าหัว
หรือว่าอี้โจวมีแผนการอะไรลอบวางเอาไว้
นี่มันคิดจะทำชั่วอะไรอีกนะ
“อี้ป๋อ”ไห่ควานส่งเสียงเรียกดึงสติเขากลับมา ข้อมือหนาจัดการปิดประตูเพื่อกันไม่ให้ลูกน้องตนได้ยินเรื่องที่จะคุยกันต่อจากนี้
“พี่ไห่ควาน”
“นายยังไม่หยุดคิดอีกเหรอ”
“ข้อมูลที่ผมรู้มาผมจะยังไม่บอกกลุ่มพันธมิตรจนกว่าผมจะแน่ใจจริงๆ ผมรู้ว่าอี้โจวต้องการบางสิ่งและเรื่องนี้เกี่ยวพันกับเซียวจ้านโดยตรง มันถึงได้วางแผนหลอกล่อให้เซียวจ้านมาที่เมืองชิรัณย์”
“ผู้ชายคนนั้น..โชคร้ายที่ต้องตกมาเป็นเครื่องมือของคนชั่ว”
“โครงการลับที่พ่อของเขาเคยสร้างไว้เมื่อหลายปีก่อน”
“อี้ป๋อ นายคิดว่ากุญแจสำคัญในโครงการลับนั้นคืออะไร”
“ผมคิดว่า..”
“.......”
“กุญแจสำคัญที่พ่อของเขาเก็บซ่อนไว้ในโครงการลับก็คือเซียวจ้าน”
“.......”
“คือเลือดของเขา นั่นแหละคือกุญแจสำคัญ”
“นายแน่ใจเหรอ”
“ผมค่อนข้างแน่ใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ อี้โจวตั้งใจจะใช้ตราพันธะผูกมัดให้เซียวจ้านกลายเป็นคนในตระกูล ถ้ามันทำสำเร็จมันจะมีสิทธิ์ในตัวของเซียวจ้านทุกอย่าง”
“ตราพันธะมีผลผูกพันทั้งกายและใจหากแต่การประทับตราต้องเกิดจากความยินยอมทั้งสองฝ่าย”
“แล้วพี่คิดว่าคนกระหายอำนาจอย่างอี้โจวจำเป็นต้องรอความยินยอมด้วยเหรอ”
“ก็ไม่น่ะสิ”
“อี้โจวต้องการใช้เลือดของเซียวจ้านเพื่อทำบางอย่าง เจ้าตัวน่าจะยังไม่รู้ถึงความจริงข้อนี้และควรปล่อยให้เขาไม่รับรู้ต่อไปเพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเอง”
“อี้ป๋อ..พี่เป็นห่วงนายนะ ยิ่งเราสืบใกล้ความจริงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเสี่ยงอันตรายมากเท่านั้น เมื่อคืนนี้นายบุกไปที่โกดังและทำร้ายคนของอี้โจว มันคงไม่กล้ารายงานสภากลางแต่มันไม่มีทางปล่อยนายเอาไว้แน่ ตอนนี้นายเก็บสิ่งที่มันต้องการเอาไว้ใกล้ตัว ไม่ช้าก็เร็วมันจะต้องมาทวงสิ่งที่มันต้องการกลับคืนไป”
“เซียวจ้านไม่ใช่สิ่งของ ผมจะดูแลให้เขาอยู่ในความปกครองของผมเอง”
“นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้วนะ พี่กลัวว่านายจะรับมือพวกมันไม่ไหว อี้โจวไม่สนใจกฎระเบียบหรือสภากลางด้วยซ้ำ มันสามารถเล่นสกปรกกับนายได้ทุกเมื่อ”
“งั้นเหรอ”ร่างสูงแค่นเสียงเย็นชาพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาคมฉายแววดั่งนัยน์ตาปีศาจที่พร้อมสังหารศัตรูให้ตายคามือ
“อี้ป๋อ..”
“ก็ให้มันลองดูสิ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าระหว่างมันกับผม..มือของใครจะเปื้อนเลือดสกปรกมากกว่า ดูท่าลูกๆของผมคงกระหายอยากออกล่าเหยื่อจะแย่แล้ว”ไห่ควานหัวเราะเบาๆเมื่อนึกถึงใบหน้าลูกๆที่อีกคนหมายถึง
“นายนี่สมกับฉายาโรบอทมือสังหารจริงๆ แต่ถึงยังไงนายก็ปกป้องเซียวจ้านในสภาพที่เป็นอยู่ตลอดไปไม่ได้หรอก”
“พี่จำเรื่องที่ผมเคยพูดเอาไว้ได้ไหม เกี่ยวกับตราพันธะ”
“นายคงไม่ได้คิดที่จะ..”
“ครับ ผมกำลังคิด”
“นายรู้ดีว่าผลที่ตามมาคืออะไร นายยอมที่จะเสียสละส่วนตัวงั้นเหรอ”
“ถ้าเพื่อปกป้องส่วนรวมแล้วทำไมผมต้องลังเล”
“อี้ป๋อ นายลองคิดให้ดีๆนะ”
“ผมคิดมาดีแล้ว”
เพราะมันคือวิธีเดียวที่สามารถปกป้องผู้ชายคนนั้นให้อยู่ข้างกายได้
“การทำตราพันธะมีสิ่งที่ต้องแลก มันมีผลผูกพันทั้งกายและใจหากแต่การประทับตราต้องเกิดจากความยินยอมทั้งสองฝ่าย”
“ผมยินยอม ส่วนที่เหลือก็แค่..”
หาวิธีทำให้อีกฝ่ายยินยอมประทับตราพันธะก็เท่านั้นเอง
“โอ๊ยยย..ปวดชิบ”
น้ำเสียงโอดโอยมาพร้อมกับสติที่หลุดออกจากห้วงความฝัน ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมองเพดานพยายามครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดกับตัวเอง จะว่าดูคล้ายความฝันก็ไม่เชิงแต่ดูคล้ายความจริงก็เหลือเชื่อเกินไปหน่อย
เปิดระบบทวนความทรงจำแบบเร่งด่วน
เมื่อคืนผมถูกช่วยโดยฝีมือคู่อริที่ตั้งใจมาถล่มรังเจ้าพ่อแต่เขากลับได้ของฝากติดมือกลับบ้านซึ่งก็คือเซียวจ้านผู้ทรงเสน่ห์คนนี้
จบการรายงานความทรงจำ
“โรบอทมือสังหาร!!”
พอเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวก่อนที่ผมสลบไปก็ต้องเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ผมยังคงจำน้ำเสียงสุดท้ายของพี่เบิ้มได้ดีว่าโหยหวนแค่ไหนยามถูกสิงโตขย้ำเนื้อและคนที่สั่งการก็ยังคงลอยนวลอยู่
ต้องรีบหนี!!
หนีให้ไกลไอ้คุณโรบอทหน้านิ่งมากที่สุดเท่าที่จะทำได้!!
ไวเท่าความคิดผมรีบลุกออกจากเตียงและตรงไปยังบานประตูทันที แทบไม่มีเวลาสังเกตด้วยซ้ำว่าตอนนี้ถูกจับตัวมาอยู่ที่รังของใครกันแน่ ไม่ว่าจะเป็นรังของใครก็ตามผมไม่พร้อมทำตราพันธะอะไรทั้งนั้น ผมจะไม่มีวันยอมจบชีวิตโสดของตัวเองในเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นถิ่นมาเฟียเก่าอย่างชิรัณย์เป็นอันขาด
“.......”
มือทั้งสองข้างกำลูกบิดประตูแน่นก่อนจะค่อยๆลองขยับเพื่อเปิดมันออก ผลปรากฏว่าห้องนี้ไม่ได้ถูกล็อคอย่างที่คิดเอาไว้ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงระวังตัวเองอยู่เสมอ คนอย่างเขาไม่น่าหละหลวมถึงขั้นปล่อยให้นักโทษหนีไปง่ายๆ ถ้าหากที่คุมขังไม่ถูกปิดตายนั่นก็หมายความว่า..
“แฮะๆ หวัดดี”
หมายความว่ามีผู้คุมคอยเฝ้านักโทษอยู่น่ะสิ
ผมแอบตกใจเล็กน้อยเมื่อเจอกับชายคนหนึ่งที่ยืนเฝ้าประตูอยู่ไม่ห่างจึงทำทีโบกมือทักทาย ดูจากท่าทางแล้วคนนี้น่าจะใจดีกว่าพวกพี่เบิ้มที่พบเมื่อคืนเป็นร้อยเท่า
“คุณชายฟื้นแล้วเหรอครับ”นอกจากจะส่งยิ้มคืนกลับมาก็ยังพูดจาโต้ตอบด้วยเสียงไพเราะอีกแน่ะ ช่างต่างจากเจ้านายผู้สั่งให้สิงโตขย้ำคนมาหมาดๆราวฟ้ากับเหว
“อ้อใช่ๆ เพิ่งฟื้นเมื่อกี้ก็เลยออกมาสำรวจสถานที่(หลบหนี)น่ะ ว่าแต่นายคือ..”
“ผมชื่ออวี๋ปินแต่คุณชายเรียกปินปินก็ได้ครับ”เจ้าตัวพูดพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างไปถึงใบหู แบบนี้ค่อยน่าสนทนาด้วยหน่อย
“นายเป็นคนของโรบอทเหรอ”
“โรบอท..เอ่อ..”
“ก็คนที่หน้านิ่งๆเหมือนโรบอทไง คนที่จับตัวฉันมาแล้วสั่งให้นายเฝ้าไว้น่ะ”
“อ๋อ..คุณชายคงหมายถึงเจ้าของฉายาโรบอทมือสังหาร”
“เออนั่นแหละ”
“ทำไมคุณชายถึงเรียกว่าโรบอทล่ะครับ”
“ก็ใครใช้ให้เขาทำหน้านิ่งสมฉายาล่ะ ฉันไม่รู้จักชื่อก็เลยต้องเรียกแทนว่าโรบอทไปก่อน”
“หวังอี้ป๋อครับคุณชาย”
“หืมม”
“ชื่อของเหล่าต้าคือหวังอี้ป๋อ”
“เรียกยากกว่าโรบอทเยอะเลยแฮะ”
“ว่าแต่คุณชายต้องการอะไรเพิ่มเติม ให้ผม..”
“ไม่ต้องหรอกปินปินอา~ ฉันแค่อยากถามอะไรนิดหน่อย”ได้เวลาตีซี้แล้วสิ
“ได้ครับคุณชาย”
“ทำงานที่นี่นายได้เงินเดือนดีไหม”
“เอ่อ..คุณชายถามทำไมเหรอครับ”
“ถ้าฉันบอกว่าฉันจะเสนอเงินให้นายเป็นสองเท่ามากกว่าเงินเดือนที่นายได้รับ นายจะตกลงหรือเปล่า”
“คะ..คุณชาย..จะเสนอเงินให้ผมทำไมครับ”
“ง่ายมากเลยปินปินอา~”
“.......”
“ฉันก็อยากให้นายพาหนีไปจากที่นี่น่ะสิ ถามได้”
(*อวี๋ปินคือน้องเวินหนิงขุนพลผีในปมจ*)
“ปล่อยโว้ยยยยย!! ปล่อยยยยย!!”
“อยู่นิ่งๆได้ไหม”
“อ๊ากกก!! ช่วยด้วย!! ผมกำลังถูกลักพาตัว!! ปล่อยยยยย!!”
ตุบ!!
ผลจากความพยายามติดสินบนลูกน้องของศัตรูผู้ซื่อสัตย์ผลลัพธ์ลงเอยด้วยการที่ผมถูกนายโรบอทอุ้มขึ้นพาดบ่าทันที อวี๋ปินส่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจที่เอาเรื่องลับระหว่างเราสองคนไปฟ้องนายตัวเองได้สำเร็จ
จำไว้เลยนะปินปิน!!
“ออกรถได้”
ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะถูกพาไปที่ไหนเพราะอีกคนไม่ยอมอธิบายเรื่องราวให้ผมฟังสักอย่าง ร่างสูงนั่งนิ่งตลอดทางพลางเสมองออกไปยังบริเวณนอกหน้าต่างไม่คิดสบตากันสักวินาที ผมเห็นว่าไร้ประโยชน์ที่จะขัดขืนจึงเริ่มชวนสนทนาทั้งที่รู้ว่าอาจกลายเป็นการชวนคุยฝ่ายเดียวก็ตาม
“นี่..”
“.......”
“อี้ป๋อ”
“.......”
สมกับเป็นโรบอทจริงๆด้วยแฮะ
“ฉันมีสิทธิ์รู้อะไรสักอย่างไหม ปกติในละครพวกผู้ร้ายจะบอกแผนการให้ตัวเอกฟังหมดเลยนะ นายเล่นจับฉันมาแบบนี้ไม่คิดจะพูดสักคำหรือไง”
“ไว้ค่อยเล่าให้ฟัง”
“แต่ฉันอยากรู้ตอนนี้นี่ หัวหน้าเขตหนึ่งสามอะไรนั่นต้องการให้ฉันแต่งงานกับจื่ออี้ พอฉันไม่ยอมก็ทำท่าจะประทับตราพันธะบ้าอะไรก็ไม่รู้ แล้วอยู่ๆนายก็มาทำลายรังของมันจนไม่เหลือซากแถมยังจับตัวฉันมาอีกต่างหาก”
“.......”
“นายมีความแค้นอะไรกับอี้โจวเหรอ”
“.......”
“หรือแท้จริงแล้วนายแอบชอบจื่ออี้ ดูท่าอี้โจวคงไม่ชอบลูกเขยที่มีกลิ่นสาปสิงโตใช่ไหมล่ะ ฮะฮ่า~”
“.......”
“อ้อ..ต้องใช่แน่ๆ นายไม่อยากให้ฉันแต่งงานกับจื่ออี้ก็เลยจับตัวฉันมา ถ้าเป็นเพราะเรื่องนี้เราคุยกันได้นะ”
“เมื่อไหร่นายจะหยุดพูดสักที”
“ก็จนกว่านายจะยอมบอกเหตุผลนั่นแหละ”
“ช่วยนั่งเงียบๆจนกว่าจะกลับถึงคฤหาสน์ได้ไหม”
“แล้วไอ้เมื่อกี้มันยังไม่ใช่คฤหาสน์หรือไง บ้านนายมีกี่หลังกันแน่เนี่ย เป็นเจ้าพ่อมาเฟียแยกร่างได้เหรอนายน่ะ ทำไมถึงนอนหลายเตียงนัก”
“เอ่อ..คุณชาย สถานที่เมื่อกี้คือฐานลับของกลุ่มพันธมิตรครับ ที่ที่เรากำลังจะไปต่างหากคือบ้านของเหล่าต้า”
“อวี๋ปิน”
“.......”
“ขับรถไป”
“คะ..ครับ”
คนถูกดุทำเสียงตะกุกตะกักไม่กล้าเอ่ยปากขัดขึ้นมาอีกแสดงถึงความเคารพต่อคำสั่งผู้เป็นนาย ไอ้คุณโรบอทคงจะปกครองลูกน้องด้วยความกลัวล่ะสิ มิน่าล่ะตอนที่ผมเสนอเงินให้นอกจากอวี๋ปินจะไม่รับยังคาบเอาเรื่องนี้ไปรายงานอีกต่างหาก
“ส่วนนาย..”
“หืมม”
“ฉันจะเล่าทุกอย่างให้ฟังเมื่อกลับไปถึงคฤหาสน์”
“แต่..”
“ถ้าไม่เงียบก็ลงจากรถไปซะ”
ผมอดเบ้ปากใส่คนที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่ได้ เขาคงคิดสินะว่าโลกใบนี้ต้องหมุนรอบตัวเขาตลอดเวลา ถ้าหากผมอยู่ในสถานะลูกน้องก็คงต้องยอมทำตามคำสั่งโดยดีแต่ขอโทษทีที่ผมดันเป็นเซียวจ้านและมีสิ่งหนึ่งที่เขาควรรู้ไว้
ผมไม่ใช่ลูกน้องของใครหน้าไหนทั้งนั้น
เขาคิดว่าผมไม่กล้าทำในสิ่งที่เขาพูดงั้นเหรอ
ผมจะแสดงให้ดูว่าผมกล้ามากกว่าที่เขาคิดเอาไว้
ฟึบ!!
“นายจะทำอะไร!!”
“ก็ลงจากรถไงเล่า!!”
ข้อมือบางกดเปิดประตูรถกะทันหันพัดพาเอาสายลมด้านนอกให้ลอยเข้ามา ผมตั้งใจว่าจะแอบกระโดดลงจากรถในช่วงที่อวี๋ปินตีโค้งเพราะช่วงนั้นรถจะชะลอตัวลงถึงแม้กระแทกพื้นก็คงไม่เจ็บเท่าไหร่นัก
เอาวะ
ลองเล่นหนังบู๊ดูสักครั้ง
อย่างมากก็คงแค่เจ็บตัวไม่ถึงตายหรอก
หมับ!!
“ใครใช้ให้นายทำจริง เซียวจ้าน!!”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้เริ่มทำตามแผนการข้อมือหนาก็เอื้อมมาดึงประตูเอาไว้ซะก่อน พวกเรายื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่นานแต่ไม่ว่าผมพยายามดิ้นรนขัดขืนแค่ไหนก็ดูเหมือนเขาจะไวกว่าผมหนึ่งก้าวเสมอ ทันทีที่ประตูปิดลงอี้ป๋อก็กดเสียงต่ำสั่งให้อวี๋ปินล็อครถสกัดหนทางหลบหนีพร้อมส่งสายตาอาฆาตชนิดที่ว่าดุดันยิ่งกว่าสิงโตตอนออกล่าเหยื่อซะอีก
“ตัวแสบ!!”
“อ๊ะ!! ปะ..ปล่อยยยย!!”
เมื่อความอดทนถึงขีดสุดอี้ป๋อก็จัดการกระชากเสื้อเชิร์ตที่ปกคลุมร่างคนตรงหน้าออกก่อนจะใช้มันทำเป็นเชือกมัดแขนคนคิดหนีเอาไว้ ผมอยู่ในสภาพท่อนบนเปลือยเปล่าพร้อมกับถูกจับมัดแขนทั้งสองข้างชูไว้เหนือหัวและไม่นานนักเขาก็กดผมให้เอนลงไปนอนกับเบาะ ไม่เพียงเท่านั้นแต่ร่างสูงยังโถมทั้งตัวลงมาเป็นเชือกพันธนาการไม่ให้ผมดิ้นรนขัดขืนอีก แม้พยายามจะก่นด่าออกไปแต่ก็ถูกอุ้งมือหนาของเขาปิดปากซะก่อน
“อ่อยอะเอ้ยไอ้อนอั่ว!!”
“นายกำลังทำให้ฉันหมดความอดทน”
“อนไอ้อ้ายอ้อไอ้อ้องอน อ่อยยยยยย!!”
“หึ ในเมื่อดื้อนักก็อยู่ท่านี้จนกว่าจะถึงที่หมายก็แล้วกัน”
“ไอ้อนอ้า!! อ่อยยยย!! อื้อออออ!!”
อวี๋ปินอดที่จะสงสารแขกของเจ้านายตัวเองไม่ได้หลังจากเห็นภาพการต่อสู้ขนาดย่อมผ่านทางกระจกหลัง คนทั้งคู่คงไม่รู้ตัวเลยว่าจากสายตาบุคคลที่สามร่างกึ่งเปลือยเปล่าทาบทับบดเบียดกันอยู่บนเบาะชวนให้จินตนาการไปไกลเพียงใด
เหล่าต้าไม่เคยถึงเนื้อถึงตัวใครมากเท่านี้มาก่อน
แถมยังไม่เคยแสดงอาการฉุนเฉียวราวกับคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่
ใกล้จะอดใจไม่ไหวแล้วหรือเปล่านะ
ก็ไม่แปลก
ผู้ชายที่ชื่อเซียวจ้านมีรอยยิ้มหวานแถมยังมีลูกเล่นแพรวพราว
คนแบบนี้แหละเหมาะสมจะมากระเทาะก้อนน้ำ ‘แข็ง’ เหล่าต้าของเขาเป็นที่สุด
แต่ยังไงก็น่าสงสารอยู่ดี
เอวบางแค่นั้นเองจะรับแรงของเหล่าต้าพ้นถึงรุ่งเช้าได้ยังไง
อืมมม
จะว่าไป..รุกแรงตั้งแต่ยังไม่ทันถึงคฤหาสน์
สมกับเป็นทั่นจริงๆ
เรื่องนี้ต้องขยายซะหน่อยแล้ว
นิ้วเรียวแอบหยิบมือถือขึ้นมารายงานสถานการณ์ลงไปในกลุ่มลับที่เอาไว้คุยสัพเพเหระระหว่างเพื่อนร่วมงานด้วยกัน อวี๋ปินยิ้มร่าหลังจากกดส่งข้อความลงไปในกลุ่ม ‘ตั้งมาสักชื่อมันจะตายหรือไง’ สำเร็จ
‘ทุกคน..เตรียมตั้งรับข่าวใหญ่เอาไว้ให้ดี’
‘.......’
‘ดูท่าว่าพวกเรากำลังจะได้ต้อนรับต้าซ้ออย่างเป็นทางการอีกไม่นานแล้วล่ะ’
..อ่านแล้ว 85 คน..
‘OMG!!’
(*ต้าซ้อ=พี่สะใภ้ ในบริบทหมายถึงเมีย..แค่กๆ แฟนของลูกพี่*)
<< To Be Continued >>
#ตราพันธนาการหัวใจ
ได้ฤกษ์เปิดเรื่องใหม่อีกแล้ว(ทั้งที่เรื่องเก่ายังไม่จบ555)
ช่วงนี้เดินวนในกูซูเพราะหลงป๋อตี้จ้านเกอมากๆ ><
ถ้ามีตัวละครใหม่จะพยายามใส่ชื่อนักแสดงเอาไว้ด้านล่างนะคะเวลาอ่านจะได้นึกภาพออก
เดี๋ยวอีพีหน้าจะพาน้องสิงโตมาทำความรู้จัก น้องไม่ดุอย่างที่คิดน้า
ในส่วนของช่วงแรกจะใส่ข้อมูลมาเยอะหน่อยหวังว่าจะไม่งงกันนะคะ
เจอกันใหม่อีพีหน้าถ้าได้รับผลตอบรับดีจะขยันมาอัพบ่อยๆไปเล้ยย
รักนักอ่านและนักอ่านเงาทุกท่าน *ปาหัวใจชุบแป้งทอดใส่บ้าน*
ปล.ทั่นป๋อในเรื่องทำผมลักษณะประมาณนี้นะคะ ไม่รู้จะอธิบายยังไงขอแปะภาพละกัน
ความคิดเห็น