Once upon a time รักนายแล้วจริงๆนะคนดี - นิยาย Once upon a time รักนายแล้วจริงๆนะคนดี : Dek-D.com - Writer
×

    Once upon a time รักนายแล้วจริงๆนะคนดี

    เมื่อเธอต้องหลุดเข้าไปในโลกที่ไม่เคยมีใครรู้จักเพียงเพราะความเข้าใจผิดของพระเจ้าแล้ว'เขา'จะช่วยเธอได้อย่างไร?

    ผู้เข้าชมรวม

    55

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    55

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  1 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  21 มี.ค. 57 / 12:20 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    If color is representative of the feelings . I Love You Is not Love colorless But a lot of color on the world.

    " I Love It " is like a ruler on both sides , and he stood there, we do not try to walk toward each other , it was just " a face " only.

    Nobody on earth can give definition to the meaning of love , but the love of the "self " is .

    Last love, not what is beautiful or not beautiful, not something good or bad, not the flowers , not the mountains, not the sky and not the wind and storm, not someone who is not a book , not a CD, not the words or actions , not life, not substance, and not the world. but it is just ..

     

    Feeling .. For your loved ones .. only . "

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    บทนำ

     

                    “ตุบๆๆ”  ฉันวิ่งกระหืดกระหอบไปข้างหน้าโดยที่ยังไม่รู้ทิศทาง  ความมืดมิดปกคลุมทั่วทุกหนแห่ง ความน่ากลัวกำลังคืบคลานเข้ามา สมองฉันไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น นอกจากสั่งการว่า “เธอต้องวิ่ง”...

    “แกรกๆๆ”  มัน..มาแล้ว  เสียงแหวกพุ่มไม้และเสียงเหยียบใบไม้แห้งกรอบแกรบดังขึ้นข้างหลังฉัน เป็นสัญญาณเตือนว่ามันเข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีๆ  ฉันจึงต้องซอยเท้าให้ถี่ขึ้นเพื่อเพิ่มความเร็ว

    “พึ่บพั่บๆๆๆ”  ไม่ทันแล้วสิ่งมีชีวิตข้างหลังกระพือปีกใหญ่ยักษ์ของมันบินโฉบข้ามหัวฉันแล้วลงสู่พื้น มาดักอยู่ตรงหน้า

    “แกว๊กกก” เสียงร้องข่มขู่น่ากลัวจากสัตว์ประหลาดตัวเขื่องนั้น ดังกึกก้องไปทั่วทั้งพื้นที่   ฉันได้แต่ยืนหลับตานิ่งแล้วพยายามนึกถึงเรื่องที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตทั้งหมด ทั้งเรื่องดีๆและเรื่องร้ายๆ  เพราะถ้าจะหนีก็คงไม่ทันแล้ว ฉันคงได้แต่ยืนรอความตายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น...

     

    ปากใหญ่อ้ากรามขึ้นกว้าง มันกว้างมากพอที่จะกลืนคนหนึ่งคนเข้าไปได้อย่างสบายๆ  เขี้ยวแหลมคมของมันเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมที่จะบดขยี้ร่างอันบอบบางของเธอให้แหลกเละ ดวงตาสีแดงก่ำของมันบ่งบอกถึงความกระหายเหยื่อ  กลิ่นสาบคาวเลือดที่ติดอยู่ตามตัวของมันลอยโชยผ่านเข้ามาในระบบการหายใจของหญิงสาวทำให้รู้สึกคลื่นไส้ เหมือนของเหลวจากกระเพาะจะมาจุกอยู่ที่อก  หยดน้ำอุ่นๆเริ่มไหลรินออกมาจากดวงตากลมโต  เธอได้แต่ยืนนิ่งงัน สะกดความกลัวไว้ข้างในเท่านั้น  สายลมหนาวเย็นโชยผ่านปะทะตัวของเธอ ร่างกายของหญิงสาวสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาวและความกลัวผสมปนเปกันไปหมด  พระอาทิตย์เริ่มขึ้นจากขอบฟ้าทำให้เธอเริ่มเห็นสิ่งแวดล้อมรอบๆกายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ท้องฟ้ายามเช้ามืดเป็นสีทไวน์ไลฟ์  รอบๆเป็นป่ารก มืดมนเหมือนปกคลุมไปด้วยมนตร์ดำ มันเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ พุ่มไม้หนาม และเถาวัลย์

                    “แกว๊กกก”  สัตว์ประหลาดตรงหน้าร้องขึ้นอีกครั้งแล้วพุ่งตัวเข้ามาจู่โจมหญิงสาว   “กรี๊ดดด”หญิงสาวหลับตาปี๋แล้วกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด  เลือดมากมายไหลอาบไปทั่วทั้งเรือนร่างขาวบอบบาง จนกลายเป็นสีแดงฉาน จากใบหน้าที่เคยเป็นสีชมพูระเรื่อสวยหวานกลับกลายเป็นซีดเผือดไร้สีเลือด ทุกอย่างดับวูบอยู่เพียงแค่นั้น พร้อมกับร่างไร้สติของสาวน้อยที่ที่ถูกกลืนกินโดยสัตว์หน้าตาอัปลักษณ์  “การ์กอยส์*

     

                    “กรี๊ดดด”  ฉันกระเด้งตัวขึ้นจากหมอนและที่นอนแสนนุ่มนิ่ม เหงื่อเม็ดโตผุดอยู่ตามร่างกายและไรผม ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ น้ำตามากมายไหลออกมาจนรู้สึกปวดตา พร้อมกับเสียงกรีดร้องเสียงดังเก้าร้อยแปดสิบเดซิเบลของฉัน  เสียงนั้นดังพอที่จะทำให้พ่อกับแม่ตกใจ แล้วรีบไต่บันไดขึ้นมาหาฉันบนห้องทันที

    ปังๆๆๆ!  “เอพริล  ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า  เปิดประตูให้พ่อกับแม่เข้าไปหน่อยสิลูก”  เสียงทุบประตูปังๆที่หน้าห้องของฉันที่คาดว่าน่าจะเป็นพ่อที่ยืนทุบมันอยู่ พร้อมกับเสียงของแม่ที่ตะโกนเข้ามาด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเป็นห่วงมากมาย

    “...”

    “เปิดประตูให้พ่อหน่อยสิลูก”  เสียงทุบประตูเริ่มเงียบไปพร้อมด้วยเสียงของพ่อที่บอกให้ฉันมาเปิดประตูให้อีกรอบ

    “ค่ะพ่อ”...  ฉันเดินไปปลดล็อกกลอนที่หน้าประตูห้อง เพื่อให้ท่านทั้งสองคนเข้ามา

    U-U”...

    เอพริลเมื่อกี้นี้ลูกเป็นอะไร บอกพ่อกับแม่มาซิ” แม่ถามฉันพร้อมกับจับตัวฉันบิดไปบิดมาด้วยความเป็นห่วง

    “ลูกนอนตกเตียงหรือเปล่า หรือว่า มีใครแอบเข้าห้องมาเอาผ้าห่มอุดปากลูก?”  พ่อถามฉันด้วยน้ำเสียงปนตลก

    “นี่คุณ...ลูกกำลังตกใจอยู่นะ” แม่หันไปดุพ่อแล้วก็ตีที่แขนของท่านเบาๆ

    T^T แม่อ่ะ”  พ่อพูดพร้อมกับทำหน้างอนๆใส่แม่

    “แล้วนี่ลูกเป็นอะไร  ร้องเสียงดังไปถึงในครัวแน่ะ”  แม่ไม่สนใจพ่อ  แต่หันมาถามฉันแทน

     


    * ”การ์กอยส์” เป็นสัตว์ในตำนาน มีหน้าตาอัปลักษณ์ รูปร่างคล้ายคน มังกร และค้างคาวผสมกัน  มีนิสัยดุร้าย

    U-U...”  ฉันไม่ได้ตอบอะไรออกไป  แต่เหมือนแม่จะดูออกว่าฉันเป็นอะไร

    “นี่ลูก...ฝันแบบนั้นอีกแล้วใช่มั้ย”

    “ค่ะ... (._.)”

    “...”  

    “...”

    พ่อกับแม่ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่หันไปมองหน้ากันเท่านั้น...

    “งั้น...เดี๋ยวพ่อกับแม่ลงไปรอข้างล่างนะ  แม่ทำข้าวต้มปลา กับนมอุ่นๆไว้ให้ รีบอาบน้ำแล้วก็ลงไปกินซะนะลูก เดี๋ยวมันจะเย็นหมด”  แม่บอกพร้อมกับฉุดพ่อให้ลุกไปกับแม่อย่างเข้าอกเข้าใจ ว่าไม่ควรจะถามอะไรให้ฉันรู้สึกอึดใจไปมากกว่านี้

    ...พวกท่านน่ารักกับฉันแบบนี้เสมอนั่นแหละ...

     

    “ซ่าาา”  หยดน้ำจากฝักบัวไหลชำระเม็ดเหงื่อที่เกาะอยู่ตามร่างกายของฉัน ซึ่งเกิดจากความฝันอันโหดร้ายเมื่อสักครู่นี้ออกไป  ทำให้ฉันรู้สึกสบายตัวขึ้นมากกว่าเก่า แต่จิตใจของฉันไม่ได้รับการชำระล้างให้รู้สึกดีจากความขุ่นมัวเมื่อสักครู่นี้เลยแม้แต่สักเสี้ยวเดียว 

    เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ฉันก็ค่อยๆเดินลงบันไดไปที่ในครัวเพื่อที่จะลงไปกินข้าวต้มตามที่แม่บอก  แต่ฉันคงจะลงไปถึงแล้วถ้าฉันไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างพ่อกับแม่เข้าซะก่อน...

    “นี่พ่อ...แม่ว่าบางทีเราน่าจะพาเอพริลไปหาหมอนะ”

    “ชู่ว์..แม่น่ะ  พูดซะเสียงดังเลย เดี๋ยวเอพริลมาได้ยินเข้าก็เสียใจหรอก”

    “ลูกไม่ได้ยินหรอกน่า  แม่ว่าบางทีลูกอาจจะจิตหลอนก็ได้นะพ่อ”

    “แต่พ่อว่าไม่น่าใช่นะ  พ่อว่ามันต้องมีเงื่อนงำอะไรเชื่อมโยงกับเรื่องนี้แน่ๆเลย อย่างเช่น ผี หรือเจ้ากรรมเก่า อะไรทำนองนี้”

    “อะไรทำให้พ่อคิดแบบนั้นล่ะ”  ฉันที่แอบฟังอยู่คิดว่าแม่จะว่าพ่อว่าบ้าซะอีก เพราะว่าแม่เป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องอะไรพวกนี้อยู่แล้ว แล้วทำไม จู่ๆถึงได้...

    “ก็ลูกของเราน่ะ ฝันแบบนี้เฉพาะคืนก่อนถึงวันเกิดนี่  แล้ววันนี้ลูกเราก็สิบแปดขวบแล้วด้วย”  พ่อพูดด้วยคำน่ารักๆที่ฉันกับแม่มักจะได้ยินจนชินแล้ว  อืม..นั่นสินะวันนี้มันวันเกิดฉันนี่นา นี่ฉันลืมไปได้ยังไงเนี่ย 

     

    “งั้นแม่ว่า  เราน่าจะพาลูกไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ หรือไม่ก็ไปไล่ผี ไปดูดวง ไปดำน้ำดูปะการัง บลาๆๆ”  แม่พูดโดยที่ไม่เว้นช่องว่างหายใจ ซึ่งถ้าเป็นปกติฉันคงจะรู้สึกว่ามันตลก แล้วก็สุมหัวกันหัวเราะคิกคักกับพ่อสองคน แต่นี่ฉันกลับขำไม่ลงกับท่าทีแบบนี้ของแม่ เพราะเรื่องที่ท่านกำลังร่ายอยู่นี้ เป็นเรื่องความเป็นความตายของฉัน   บางที...ฉันก็คิดว่าฉันไม่ควรจะมาอยู่ให้พ่อกับแม่เป็นทุกข์เพราะฉัน  ท่านคงเป็นห่วงที่ฉันเอาแต่ฝันแบบนี้มาตลอดสิบสองปี  ใช่...ฉันต้องร้องไห้โยเยกับฝันนี้มาตั้งแต่หกขวบแล้ว

     

                    ฉันกลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้ในอก แล้วปั้นหน้ายิ้มเดินลงบันไดไปหาพ่อกับแม่ที่นั่งรออยู่ด้านล่าง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “คุณพ่อคุณแม่คุยเรื่องอะไรกันอยู่คะ^^” ฉันถามพร้อมกับปั้นรอยยิ้มสดใสให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เพื่อให้ท่านทั้งสองคนรู้สึกสบายใจที่ฉันยังมีความสุขดี (ถึงแม้ความจริงมันจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นอะนะ U-U)

    “อะ..เอ่ออ” คุณแม่ดูอึกอักเล็กน้อย ส่วนคุณพ่อก็รีบหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้ามาทำเป็นอ่าน ปิดหน้าหนีจากฉันทันที

    “เอพริล แม่ว่าลูกไปกินข้าวต้มเถอะจ้ะ เดี๋ยวจะเย็นหมด ไม่อร่อยนะ” แม่พูดกับฉันด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูใจดี พร้อมกับยิ้มน้อยๆมาให้

    “ค่ะ” ฉันตอบไปตามปรกติ เพราะไม่อยากให้แม่จับได้ว่าฉันไปได้ยินสิ่งที่ท่านสองคนพูดกันเมื่อสักครู่นี้

                    ฉันเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะอาหารในตำแหน่งที่ฉันมักจะนั่งอยู่ประจำ โดยมีข้าวต้มและนมอุ่นวางอยู่ที่ตำแหน่งที่นั่งของฉันแล้ว ส่วนของพ่อกับแม่เป็นข้าวต้มปลาเหมือนๆกันกับฉัน แต่ต่างกันเพียงที่ว่าในแก้วของแม่เป็นกาแฟ และแก้วของคุณพ่อเป็นน้ำส้ม 

    เมื่อนั่งกันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว พวกเราก็ท่องบทสวดขอบคุณอาหารที่เรามักจะสวดกันอยู่ทุกวันก่อนที่จะกินอาหารแต่ละมื้อ ฉันค่อยๆละเลียดข้าวต้มจากขอบถ้วยก่อนเพราะว่ามันจะเย็นกว่าตรงกลางถ้วย ที่มันร้อนจนสามารถทำให้ลิ้นพองได้  ข้าวต้มฝีมือแม่ยังอร่อยไม่เคยเปลี่ยนเลย...

                    หลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ฉันเป็นคนอาสารับเก็บโต๊ะล้างจานเอง พ่อกับแม่จึงออกไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นแล้ว

    เมื่อฉันล้างจานเสร็จ ฉันก็รีบสาวเท้าออกจากห้องครัวทันที เพราะฉันรับปากพ่อกับแม่ว่าจะไปดูซีรีย์เกาหลีเรื่องใหม่ ที่โซฟาชุดในห้องนั่งเล่น กับพวกท่าน

                    แต่เมื่อฉันออกมาจากห้องครัว ทุกอย่างกลับมืดมิด ฉันพยายามคลำหาสวิตช์ไฟ ที่ผนังบ้าน แต่ก็หาไม่เจอ

    “พ่อคะ แม่คะ” 

    “...”

    ฉันตะโกนหาพ่อกับแม่ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบเพียงเท่านั้น...

                    ใจฉันเริ่มหาย  แต่ทันใดทั้นก็มีแสงริบหรี่จากทางข้างหน้าตรงเข้ามาหาฉัน  พร้อมกับใบหน้าที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดีของใครบางคน

    “แฮบปี้เบิร์ท เดย์ ทู๊ยู้วว”  พ่อพยายามดัดเสียงให้สูงๆ ทำให้ฉันหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

    “แฮบปี้เบิร์ท เดย์ ทู ยู”  เสียงของแม่แม้ว่าจะดูแก่ไปนิด แต่รอยยิ้มและความตั้งใจที่จะทำเรื่องแบบนี้ให้ฉัน ยังไงฉันก็รู้สึกว่ามันเพราะอยู่ดี

    “แฮบปี้เบิร์ท เดย์ ทู ยู” และเสียงนุ่มทุ้ม ที่ฟังดูอบอุ่นนั้นจะเป็นของใครไม่ได้นอกซะจาก...แดเนียล แฟนของฉันเอง ><

    (นี่แดเนียล แอบไปร่วมมือกับคุณพ่อคุณแม่ตอนไหนนะ?...)

     “แฮบปี้เบิร์ทเดย์ แฮบปี้เบิร์ทเดย์ แฮบปี้เบิร์ท  เดย์ ทู ยู...” สามเสียงร้องประสานกันในตอนสุดท้าย มันทำให้ฉันซาบซึ้ง จนอยากจะร้องไห้ออกมา

                    ฉันค่อยๆหลับตาแล้วอธิฐานขอพรไปสามข้อ  ข้อที่หนึ่ง ขอให้พ่อกับแม่ของฉันมีความสุข   ข้อที่สอง ขอให้ฉันกับแดเนียลรักกันไปนานๆ   และข้อสุดท้าย...ขอให้ฉันหายจากความฝันอันโหดร้ายนี้

    ฉันค่อยๆลืมตาขึ้น แล้วเป่าเทียนทั้งสิบแปดเล่มบนเค้กนมสดหน้าเนียนจนดับหมด  ไฟในห้องจึงสว่างขึ้นมา

    “ขอให้ลูกร่างกายแข็งแรง แล้วก็สวยเหมือนพ่อตลอดไป” พ่อพูดพร้อมกับยื่นมือมาตบบ่าฉันเบาๆ

    “สวยเหมือนฉันต่างหากคุณ”คุณแม่ทักท้วง

    “ขอให้เธอมีความสุข แล้วก็รักกับฉันนานๆนะ^^

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น