[SF Jonghyun - Yoona]
In the past
Dear diary….
เมื่อวานแม่ต่อโทรศัพท์สายตรงจากเกาหลีมาหาฉันพร้อมกับข่าวที่ทำเอาฉันช็อกจนตาตั้ง จองชินไอ้เด็กโย่งน้องชายของฉันกำลังจะแต่งงาน ให้ตายเถอะ ไอ้น้องบ้า! ในที่สุดแกก็ทิ้งให้ฉันนั่งเดียวดายเฝ้าคานทองอยู่คนเดียวเหมือนคนอื่นๆสินะ! ล้อเล่น! ความจริงแล้วฉันดีใจมากๆเลยล่ะที่น้องชายหัวแก้วหัวแหวนจะได้เป็นฝั่งเป็นฝากับเขาซักที แต่ในข่าวดีก็ยังอุตส่าห์มีข่าวร้ายแฝงมาด้วย ฉันต้องกลับเกาหลีและต้องกลับไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อร่วมงานแต่งงานของจองชิน เธอคงจะงงล่ะสิไดอารี่ของฉันว่าการได้กลับประเทศบ้านเกิดของตัวเองหลังจาก จากมาสิบปีเต็มมันเป็นข่าวร้ายตรงไหน การได้กลับไปเจอครอบครัว ได้กลับไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คิดถึงเป็นเรื่องแสนวิเศษสำหรับคนไกลบ้านอย่างฉัน เรื่องแย่ๆมีอยู่แค่อย่างเดียวคือฉันอาจต้องเจอกับ “ใครบางคน” ที่เปรียบเสมือนกับฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนฉันมาตลอดสิบปีไงล่ะ! ใครบางคนที่มักจะโผล่มาทุกครั้งที่ฉันคิดถึงเรื่องราวเก่าๆสมัยอยู่เกาหลีและทำให้อดีตที่น่าจดจำกลายเป็นเรื่องเจ็บปวดที่อยากลืม อีกสามวันฉันจะต้องเดินทางกลับเกาหลีแล้ว ลาก่อนกรุงปารีสที่รัก และสวัสดีอดีตห่วยๆของฉัน!....
ลมหนาวในช่วงปลายเดือนธันวาคมทำให้เจ้าของร่างบางที่พึ่งก้าวลงจากรถโดยสารประจำทางต้องกระชับเสื้อไหมพรมสีเทาตัวหนาให้แนบลำตัวมากขึ้นเพื่อรักษาความอบอุ่นให้กับร่างกาย ดวงตากลมโตกวาดมองผู้คนในสถานีขนส่งเพื่อมองหาคนที่จะมารับตนกลับบ้านก่อนจะต้องถอนหายใจดังเฮือกเมื่อพบว่าไร้วี่แววของคนที่ตนรู้จัก.......เยี่ยมไปเลย! ลูกสาวไม่ได้กลับบ้านมาสิบปีเต็ม แทนที่จะมารับดันให้นั่งรถออกมาจากสนามบินเองแถมกว่าจะมาถึงเมืองบ้านเกิดยังต้องนั่งรถประจำทางออกมาจากกรุงโซลอีกหลายชั่วโมงจนก้นชาไปหมด แล้วนี่ยังจะใจร้ายปล่อยให้เธอโบกแท็กซี่กลับบ้านเองอีกงั้นเหรอ ให้ตายเถอะ! เป็นครอบครัวที่น่ารักะอะไรแบบนี้นะ!
“ติ๊ด......ตี๊ด.....”
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นอย่างถูกจังหวะราวกับคนโทรรู้ว่าตัวเองกำลังเป็นสาเหตุทำให้เธออารมณ์เสียอย่างรุนแรง ใบหน้าสวยงอง้ำเมื่อพบว่าชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอเป็นใครก่อนจะยกอุปกรณ์สื่อสารเครื่องบางเฉียบขึ้นแนบหูและเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายคนที่ปลายสายก่อนอย่างแสนคิดถึง.....
“ไอ้น้องเวน!”
“แว๊กกก ทำไมถึงใช้ถ้อยคำรุนแรงกับน้องชายตัวเองแบบนี้ล่ะ”
“อ๋อ ยังจำได้อีกเหรอว่ามีพี่ ฉันนึกว่าแกลืมไปแล้วซะอีกว่ามีพี่สาวอย่างฉัน แกไม่ไปรับฉันที่สนามบิน แถมตอนนี้ยังจะปล่อยให้ฉันโบกรถกลับบ้านเองอีก!”
“ยุนอา พี่ก็รู้นิว่าผมกำลังยุ่งเรื่องเตรียมงานแต่ง”
อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยอย่างรู้สึกผิด แต่คนเป็นพี่สาวอย่างเธอมีหรือจะไม่รู้ว่านี่เป็นเพียงหนึ่งในมารยาร้อยเล่มเกวียนของน้องชายตัวเอง.....
“ถ้ายุ่งมากแล้วโทรมาหาฉันทำไมไม่ทราบ ฉันโบกรถกลับบ้านเองได้ไม่จำเป็นต้องให้ว่าที่เจ้าบ่าวงานรัดตัวอย่างแกมารับหรอก ก็แค่ไม่ได้กลับบ้านมาสิบปีไม่รู้ว่าจะจำทางได้รึเปล่าก็เท่านั้นเอง”
ยุนอาประชด แอบหวังลึกๆในใจว่าน้องชายสุดที่รักจะรู้สึกผิดขึ้นมาบ้างและอาสาขับรถมารับเธอที่สถานีขนส่ง
“ตอนนี้พี่อยู่ในตัวเมืองใช่มั้ย วันนี้ผมต้องไปเจอกับครอบครัวของจุนฮีแฟนผมน่ะ แต่ยังไม่มีอะไรไปฝากบ้านนั้นเลย พี่ช่วยซื้อผลไม้หรือไม่ก็พวกเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพมาให้หน่อยสิ”
“ฮะ!”
“ถ้าเป็นผลไม้เอาอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่องุ่นนะ เพราะที่บ้านจุนฮีเขาปลูกองุ่น ฝากด้วยนะพี่สาวคนสวย แล้วเจอกันที่บ้าน........ติ๊ด”
“เฮ้ย! เดี๋ยวสิอย่าพึ่งวาง จองชิน จองชิน!”
ยุนอาตะโกนใส่สมาร์ทโฟนในมือ แต่มันเปล่าประโยชน์เมื่ออีกฝ่ายตัดสายทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว
.....อุตส่าห์โทรมาหาพี่สาวที่ยังไม่รู้ว่าจะหาทางกลับบ้านได้ยังไงเพื่อฝากซื้อของ ให้ตายเถอะซึ้งจนน้ำตาแทบไหลเลย!
หญิงสาวลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงจากรถแท็กซี่เข้าไปในตลาดสดอย่างทุลักทุเล ยุนอาตัดสินใจจะซื้อผลไม้แทนเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพด้วยเหตุผลที่ว่าเมืองบ้านเกิดของเธอเป็นเขตภูเขาสูงที่อากาศเย็นจัดเกือบตลอดทั้งปี ชาวบ้านแถวนี้ส่วนใหญ่จึงมักยึดอาชีพเกษตรกรเพาะปลูกผลไม้หรือไม่ก็ดอกไม้เมืองหนาว ดังนั้นผลไม้ทุกชนิดที่วางขายจึงมักเป็นของสดส่งตรงจากไร่ที่ราคาย่อมเยาว์
“สตอเบอรี่ขายยังไงคะ”
เธอเอ่ยถามด้วยภาษาเกาหลีชัดถ้อยชัดคำแม้จะไปอาศัยอยู่ต่างประเทศมาถึงสิบปีเต็มก็ตาม เจ้าของร้านซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนส่งยิ้มหวานมาให้ก่อนจะตอบคำถามของเธอ ยุนอาพบว่าสตอเบอรี่สีแดงสดลูกโตตรงหน้าราคาถูกว่าที่เธอคาดเอาไว้เสียอีก
“ของดีราคาถูกก็มีด้วยแฮะ”
หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ตั้งใจว่าจะซื้อสตอเบอรี่ส่วนหนึ่งสำหรับฝากครอบครัวแฟนสาวของจองชินส่วนอีกส่วนจะซื้อไปให้คนในครอบครัวของเธอเอง แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากสั่งจำนวนสตอเบอรี่ที่ต้องการเจ้าของร้านกลับพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“แม่หนู เลือกผลไม้ไปก่อนนะ เดี๋ยวป้าไปจัดการหลังร้ายก่อนพอดีมีคนเอาผลไม้มาส่ง”
หญิงวัยกลางคนพูดก่อนจะพาร่างอุ้ยอ้ายเดินหายไปทางหลังร้าน ยุนอาที่ไม่ได้เร่งรีบอะไรอยู่แล้วจึงหันไปเลือกผลไม้อย่างอื่นที่ดูสดใหม่ไม่แพ้สตอเบอรี่บ้าง
“แหมวันนี้เจ้าของไร่มาส่งองุ่นถึงที่เองเชียว”
“พอดีลูกน้องไม่สบายน่ะครับ”
ยุนอาไม่ได้ให้ความสนใจกับบทสนทนาของเจ้าของร้านกับคนแปลกหน้ามากนักจนกระทั่งหญิงวัยกลางคนเอ่ยชื่อของคนที้เธอไม่คิดว่าจะได้ยินมันอีกออกมา
“ขยันทำงานแบบนี้เมื่อไหร่จะมีข่าวดีกับเขาบ้างล่ะคะคุณจงฮยอน”
ยุนอาเงยหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ ดวงตากลมโตมองผ่านประตูเล็กๆที่หญิงวัยกลางคนเปิดทิ้งไว้ไปยังส่วนด้านหลังร้านก่อนจะรู้สึกเหมือนมีเข็มนับพันพุ่งเข้ามาทิ่มแทงก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายจนทำให้รู้สึกปวดร้าวไปหมดเมื่อพบว่าคู่สนทนาของเจ้าของร้านผลไม้คือชายหนุ่มเจ้าของผิวขาวจัดตัดกับเรือนผมสีเข้มที่ถูกปล่อยปะละเลยจนยาวรุงรัง รอบริมฝีปากสีแดงจัดมีไรหนวดขึ้นบางๆบ่งบอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้สนใจดูแลตัวเองนัก แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นมันก็ยังไม่อาจบดบังความหล่อเหลาบนใบหน้าคมได้แม้แต่น้อย ดวงตาคมสีเดียวกับเส้นผมที่มองไปยังหญิงวัยกลางคนยังคงดูอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนในวันวาน ริมฝีปากหนาคลี่ยิ้มกว้างจนทำให้เกิดรอยบุ๋มลึกที่แก้มข้างขวา
.........งดงามราวกับเทพบุตรแต่ใจร้ายยิ่งกว่าปีศาจ!
ตุบ!
ยุนอานึกกร่นด่าตัวเองในใจที่แค่ได้เจอกับ “คนใจร้าย” อีกครั้งก็มือไม้อ่อนจนเผลอทำผลกีวี่ในมือร่วงลงพื้น และเหมือนเคราะห์ซ้ำกำซัดที่กีวี่เจ้ากรรมดันร่วงลงไปในถังสแตเลทที่ไม่รู้ว่าใครเอามาตั้งไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่จนเกิดเสียงดังสนั่นลั่นร้าน เรียกให้เจ้าของร้านกับ “คนใจร้าย” หันมามองทางเธออย่างช่วยไม่ได้
“ฉัน......ฉันไม่ซื้อแล้วค่ะ”
เธอพูดเสียงตะกุกตะกักพร้อมกับรีบเดินจ้ำอ้าวออกมาจากร้านผลไม้ แต่แล้วร่างบางกลับต้องหยุดยืนอยู่กับที่เมื่อข้อมือเรียวถูกคนที่วิ่งตามมาติดๆรั้งเอาไว้..........แทบไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
เสียงนุ่มเอ่ยถาม สำหรับคนอื่นมันคงฟังดูอบอุ่นและอ่อนโยนจนทำให้แทบละลายลงไปกองกับพื้น แต่สำหรับคนที่เคยถูกเขากรีดแผลลึกเอาไว้ในหัวใจอย่างเธอมันกลับเหมือนใบมีดคมกริบที่กรีดซ้ำลงบนแผลเก่าใกล้หายดีให้กลับมาอักเสบอีกครั้ง
“ไม่ใช่กงการอะไรของนาย”
“ยุนอาฉัน........”
เพี๊ยะ!
แทนคำพูดใดๆยุนอาเหวี่ยงมือเรียวใส่ใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มแรง จนเกิดรอยแดงรูปฝ่ามือขึ้นบนใบหน้าของเขา
“สิบปีก่อนฉันเคยบอกนายว่าถ้าเราเจอกันอีกฉันจะฆ่านาย”
“....”
“แต่ตอนนี้ฉันยังไม่อยากติดคุกเพราะงั้นไสหัวไปซะ!”
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะรีบหันหลังและเดินจากมาก่อนที่หยดน้ำใสๆจะไหลออกมาจากดวงตากลมโตและประกาศให้อีกฝ่ายรู้ว่าสิบปีที่ผ่านมามันไม่เคยมีความหมาย เธอไม่เคยลืมเขา ไม่เคยเลยซักวันที่จะลบภาพของผู้ชายที่ชื่อ “ลีจงฮยอน” ออกไปจากหัวใจ.....
10ปีก่อน
เจ้าของร่างบางในชุดนักเรียนม.ปลายของโรงเรียนรัฐบาลที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหอบหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนพลางใช้มือข้างหนึ่งปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้าหลังจากผ่านการวิ่งขึ้นบันไดอาคารเรียนกว่ายี่สิบชั้นอย่างทรหดอดทนเพื่อตรงมายังชั้นดาดฟ้าอันเป็นที่นัดหมายกับ “ใครบางคน”
“ทำไมถึงต้องนัดให้มาที่ลำบากๆแบบนี้ด้วยฮะ อาคารเรียนบ้านี่ก็เหมือนกันสูงจะตายชักเมื่อไหร่จะสร้างลิฟท์ซักทีก็ไม่รู้”
หญิงสาวบ่นกระปอดกระแปดใส่คนตัวสูงที่คงมายืนรอตนนานแล้วอย่างทั้งเหนื่อยและหัวเสีย แต่พออีกฝ่ายหันกลับมามองพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนบนริมฝีปากหนาอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านจนใกล้ระเบิดก็พลันมะลายหายไปหมดทันที
“บ่นเป็นยายแก่ไปได้หน่าอิมยุนอา”
คิ้วเรียวยาวขมวดมุ่นจนผูกเป็นปมเข้าหากันทันทีเมื่อได้ยินสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เรียกตน ก็ปกติหมอนี่เคยเรียกเธอด้วยชื่อจริงแบบนี้ซะเมื่อไหร่ เหม่งน้อยบ้างล่ะ ยัยลูกกวางบ้างล่ะ สารพัสชื่อที่เขาตั้งให้โดยไม่ถามความเห็นเธอซักคำว่าอยากได้หรือเปล่า แต่คราวนี้ดันมาครบทั้งชื่อทั้งนามสกุล
“มีอะไรรึเปล่าจงฮยอน”
ความอ่อนโยนค่อยๆจางหายไปจากใบหน้าหล่อเหลาของจงฮยอน แม้บนริมฝีปากหนาจะยังคงปรากฏรอยยิ้มแต่เธอสัมผัสได้ถึงความจริงจังในดวงตาคู่คมที่กำลังมองมา
“ฉันได้ยินมาว่าเธอสอบชิงทุนไปเรียนต่อที่ปารีสได้”
“แหม.....ข่าวเร็วเหมือนกันนะเนี่ย มันก็แค่ฟลุกน่ะ ความจริงฉันก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่หรอก ก็เลยคิดว่าจะสละส..........”
“เราเลิกกันเถอะ”
ถ้อยคำที่เหลือราวกับสูญหายไปในอากาศ ยุนอาเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มด้วยความตกใจก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
“กำลังล้อเล่นอะไรอยู่เนี่ย มุกนี้ใช้ได้เลยนะฉันตกใจแทบแย่”
“ฉันพูดจริง เราเลิกกันเถอะ”
“จงฮยอน.....”
“อีกไม่นานเราสองคนก็จะจบมัธยมแล้ว เธอต้องมีทางของเธอส่วนฉันก็มีทางของฉันปล่อยให้เรื่องของเรามันกลายเป็นแค่อดีตเถอะ”
หยดน้ำใสๆค่อยๆไหลรินออกมาจากดวงตากลมโตพร้อมกับหัวใจที่บีบรัดเข้าหากันจนเจ็บ ทำไมเขาถึงได้พูดมันออกมาง่ายดายนักทั้งๆที่แค่ฟังก็ทำให้เธอเจ็บมากมายขนาดนี้.....
“ฉันทำอะไรผิด......อย่างน้อยก็ช่วยบอกหน่อยว่าทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้”
“ไม่มีเหตุผล.....ฉันเบื่อเธอแล้วก็แค่นั้น”
“เบื่อ......เฮอะ เป็นเหตุผลที่ข้าใจง่ายดีนิ!”
“หวังว่าเธอจะเข้าใจ”
จงฮยอนพูดเสียงเย็นชาราวกับไร้หัวใจ ภาพลักษณ์ชายหนุ่มแสนอบุอุ่นถูกกระชากออกและกระทืบทิ้งจนไม่เหลือชิ้นดี ก่อนร่างสูงที่กำลังจะเดินลงบันไดไปต้องหยุดยืนอยู่กับที่เพราะน้ำเสียงแข็งกร้าวของยุนอา
“อย่าโผล่มาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
“...”
“เพราะถ้าฉันเจอนายอีกฉันอาจอดทนไม่ไหวจนต้องฆ่านายซะ!!”
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่เธอตะโกนใส่หน้าเขาเมื่อสิบปีก่อน แข็งกร้าว เด็ดเดี่ยว และดูเป็นพวกผู้หญิงหัวรุนแรง แต่ความจริงแล้วมันก็เป็นแค่ข้ออ้างของผู้หญิงที่เจ็บปวดเพราะการถูกทิ้งจนไม่อาจทนมองหน้าแฟนเก่าตัวเองได้อีกก็เท่านั้น เพราะเจ็บถึงได้พูดออกไปแบบนั้น เพราะคิดว่าถ้าไม่ได้เจอกันเวลาจะค่อยๆทำให้เธอลืมเขาไปเอง ยุนอาบินไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสด้านภาษาและวรรณกรรมทันทีที่เรียนจบมัธยมและเลือกทำงานอยู่ที่นั่นหลังจากเรียนจบ เวลาผ่านไปสิบปี อิมยุนอาคนเดิมค่อยๆเติบโตเป็นอิมยุนอาที่เข็มแข็งกว่าเดิม พร้อมกับการค้นพบว่าความพยายามของเธอมันไม่เคยมีประโยชน์ จงฮยอนไม่เคยหายไปไหน เขายังคงนั่งอยู่ในหัวใจของเธอเรื่อยมาไม่ว่าใช้วิธีไหนขุดหลุมฝังเรื่องของเขาเอาไว้แล้วก็ตาม
........เขามันฝันร้ายชัดๆ ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเธอมาตลอดสิบปี!
“ทำอาหารชุดใหญ่ขนาดนี้จะมีแขกมาบ้านเราเหรอครับ”
เสียงนุ่มเอ่ยถามมารดาตนที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารอยู่ในครัว แต่คนที่ตอบกลับเป็นหญิงสาวตัวเล็กเจ้าของดวงตากลมโตและแก้มป่องๆที่กำลังจะกลายเป็นเจ้าสาวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
“จองชินจะมาทานข้าวเย็นกับเราค่ะ”
“อ๋อ ไอ้โย่งนั่นน่ะเหรอ”
“พี่จงฮยอน! เขาชื่อจองชินไม่ใช่ไอ้โย่ง เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยชอบตั้งชื่อแปลกๆให้คนอื่นซะที”
จงฮยอนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเรียกค้อนวงใหญ่จากคนเป็นน้องสาวก่อนจะเดินตรงเข้าไปหามารดาและสวมกอดหญิงชราอย่างเอาใจ
“มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ”
“ลูกพึ่งกลับมาเหนื่อยๆ ขึ้นไปพักเถอะจ๊ะ ทางนี้เดี๋ยวแม่กับจุนฮีจัดการเอง”
“ตามใจครับ”
ชายหนุ่มพูดพร้อมกับหอมแก้มหญิงชราฟอดใหญ่ แต่ยังไม่ทันก้าวพ้นประตูห้องครัวร่างสูงกลับต้องหยุดยืนอยู่กับที่เพราะประโยคที่คล้ายกับการพูดลอยๆของผู้เป็นแม่
“แม่หมดห่วงเรื่องจุนฮีไปแล้วคนหนึ่ง แล้วเมื่อไหร่พี่ชายอย่างเราจะเป็นฝั่งเป็นฝากับเขาซักทีล่ะ มองๆใครไว้บ้างนะลูก ระวังจะมีหลานให้แม่อุ้มไม่ทันน้องนะ”
“ผมยังไม่คิดเรื่องนั้นหรอกครับ”
.......ไม่ใช่ไม่เคยคิดเรื่องแต่งงาน แต่เพราะมัวคิดถึงใครบางคนจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นต่างหาก.....
จงฮยอนก้าวเข้าไปในห้องนอนของตนซึ่งตั้งอยู่บนชั่นสองข้างบ้าน ไม่ลืมปิดประตูและลงกลอนก่อนจะเดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้าที่ตั้งอยู่มุมห้อง กล่องเหล็กเก่าโทรมที่ถูกเก็บไว้ในนั้นมาตลอดสิบปีถูกหยิบออกมาจากตู้เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งทศวรรษ ร่างสูงหย่อนตัวลงนั่งนเตียงก่อนจะลงมือแกะฝากล่องเหล็กที่เริ่มฝืดเพราะไม่ได้เปิดมานาน แล้วของที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้ด้านในก็ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“เธอคงจนะเกลียดฉันแล้วล่ะสิท่า”
จงฮยอนพึมพำเบาๆกับรูปถ่ายของหญิงสาวในชุดมัธยมปลายที่กำลังยืนฉีกยิ้มกว้างให้กล้อง .....ผู้หญิงที่พึ่งฝากรอยฝ่ามือเอาไว้บนหน้าของเขาเมื่อเช้า....
ว่ากันว่าความรักก็เหมือนกับการที่คนสองคนจับยางเส้นหนึ่งเอาไว้คนล่ะฝั่งและออกแรงดึง เมื่อยางตึงจนดึงต่อไม่ได้สุดท้ายก็ต้องปล่อยมัน คนที่ปล่อยก่อนจะเป็นฝ่ายเจ็บน้อยกว่า แล้วไอ้ที่เขากำลังเป็นอยู่นี่ล่ะมันเรียกว่าอะไร เก็บรูปแฟนเก่าใส่กล่องแล้วซ่อนเอาไว้สิบปีเต็ม ทำตัวเหมือนเด็กวัยรุ่นอกหักทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนบอกเลิกเขาก่อนแท้ๆ.....
ก็อกๆ
“พี่จงฮยอน แม่ให้มาเรียกลงไปข้างล่าง จองชินกับพี่สาวมาถึงแล้ว”
เสียงเคาะประตูและเสียงเรียกของจุนฮีทำให้ชายหนุ่มหลุดออกจากภวังความคิดของตน จงฮยอนรับยัดรูปถ่ายในมือกลับลงไปในกล่องก่อนจะโยนมันขึ้นไปไว้บนเตียง และยันตัวลุกขึ้นยืน
...........ยังไงซะนั่นมันก็แค่เรื่องในอดีต ต่อให้เสียใจแค่ไหนก็กลับไปแก้ไขมันไม่ได้อยู่ดี สิบปีอาจเป็นเวลาที่น้อยไปสำหรับการลืมใครซักคน บางทีเขาอาจต้องใช้เวลาอีกซักยี่สิบปี สามสิบปี สี่สิบปี หรือไม่.....ก็ต้องใช้เวลาทั้งชีวิต
ยุนอาจ้องมองบ้านไม้สีขาวโพลนบนเนินหญ้าเตี้ยๆที่ด้านหลังเป็นไร่องุ่นความกว้างไม่ต่ำกว่าห้าร้อยไร่ตรงหน้าพร้อมกับมือเรียวที่เผลอกำเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ต่อให้ผ่านไปอีกชาติหนึ่งเธอก็ไม่มีวันลืมว่าที่นี่เป็นบ้านของใคร.....
“แน่ใจเหรอว่าที่นี่เป็นบ้านแฟนแก”
ยุนอาหันไปถามน้องชายตัวสูงที่พึ่งก้าวลงมาจากรถพร้อมกับตะกร้าเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพตะกร้าใหญ่อย่างคาดหวังว่าจองชินจะตอบว่า “อ๋อไม่ใช่หรอก ผมแต่แวะมาทำธุระที่นี่เฉยๆ”
“ก็ใช่น่ะสิ พี่นี่ถามแปลก”
จองชินตอบขำๆ ก่อนจะต้องขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อพี่สาวคนสวยทำท่าเหมือนจะวิ่งกลับขึ้นไปบนรถ
“เป็นอะไรของพี่”
“ฉันจะกลับบ้าน!”
“จะบ้าเหรอ ผมไม่ขับรถพาพี่กลับไปหรอกนะ”
“ถ้างั้นแกก็เข้าไปคนเดียวแล้วกัน ฉันจะรออยู่บนรถ”
“ตลกแล้ว ทำแบบนั้นก็เสียมารยาทแย่ แม่ให้พี่มาคุยกับพ่อแม่ของจุนฮีเป็นตัวแทนแม่นะ ถ้าพี่ไม่เข้าไปกับผม ผมจะฟ้องแม่จริงๆด้วย!”
ยุนอาถึงกับอ้าปากพะงาบๆเถียงอะไรไม่ออกเมื่อเจอน้องชายตัวแสบยกบุพการีขึ้นมาอ้าง
.........ทำไมถึงโง่แบบนี้นะอิมยุนอา เธอควรจะเอะใจตั้งแต่ได้ยินว่าบ้านของแฟนน้องชายทำไร่องุ่นแล้วสิ! ในเมื่อไร่องุ่นที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้คือไร่องุ่นของครอบครัวลีจงฮยอน!
“บ้า! บ้าที่สุดเลย!”
หญิงสาวกร่นด่าความโชคร้ายของตัวเองพร้อมกับโขกหน้าผ่ามนกับรถมินิคูเปอร์ของน้องชายอย่างหัวเสีย จนจองชินต้องรีบเข้ามาห้ามเพราะกลัวรถเป็นรอย
“แม่ให้มาตามนายเข้าบ้าน”
เสียงเข้มๆของร่างสูงที่พึ่งก้าวออกมาจากบ้านทำให้ยุนอาหยุดการกระทำที่เกิดจาดความฟุ้งซ่านของตนลงโดยอัตโนมัติ แขนขาเย็นเฉียบราวกับกำลังยืนอยู่ที่ขั้วโลกเหนือไม่ใช่เกาหลีใต้ ไอ้เสียงเข้มๆแบบนั้นมีหรือเธอจะจำไม่ได้ว่ามันเป็นเสียงของใคร แค่เรื่องมื่อสิบปีก่อนก็แย่พออยู่แล้ว แต่นี่เมื่อเช้าเธอพึ่งจะตบเขาจนหน้าหันไปหยกๆ แถมยังขู่เอาไว้เสร็จสรรพว่าถ้าเจอกันอีกจะฆ่าให้ตายคามือ แล้วจะให้หันไปเผชิญหน้ากับเขาได้ยังไง!
“ครับพี่ เดี๋ยวผมตามเข้าไป”
จองชินตอบว่าที่พี่ภรรยาของตนอย่างนอบน้อมเป็นพิเศษ ก่อนจะหันกลับมาเขย่าตัวยุนอาที่ยังไม่ยอมหันหน้าไปเจอเจ้าของบ้าน
“พี่ยุนอา นี่พี่จงฮยอนพี่ชายของจุนฮีเลิกทำตัวบ้าๆแล้วรีบทักทายเขาไวๆเลย”
จองชินกระซิบ ยุนอาสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ นึกกร่นด่าน้องชายตัวสูงของตนในใจก่อนจะทำใจดีสู้เสือหันไปฉีกยิ้มกว้างให้เจ้าของบ้านที่ดูช็อกไม่แพ้กันเมื่อเห็นหน้าเธอ
“สวัสดี เราเจอกันอีกแล้วนะ!”
เกือบสิบนาทีที่จงฮยอนนั่งจ้องมองเจ้าของร่างบางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยไม่แตะต้องอาหารในจานของตนเลยแม้แต่น้อย วันนี้ยุนอาอยู่ในชุดแซกยาวคลุมเข่าสีโอรสลายดอกไม้เล็กๆสไตล์วินเทจ ผมยาวสีดำขลับถูกรวบไว้กลางศรีษะเป็นหางม้าและผูกด้วยโบว์ลูกไม้สีเดียวกันกับชุด ใบหน้าสวยแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางค์เพียงบางเบาเพื่อไม่ให้ดูจืดชืดจนเกินไป
........สวย นั่นเป็นเพียงคำๆเดียวที่จงฮยอนนึกออกทันทีที่เห็นเธออยู่ที่หน้าบ้านกับแฟนของน้องสาว จองชินกลายเป็นว่าที่น้องเขยคนโปรดสำหรับเขาไปทันทีเมื่อหมอนั่นพายุนอากลับมาหาเขา ใครจะไปคิดว่าแฟนน้องสาวที่เขาไม่ค่อยชอบขี้หน้าจะเป็นน้องชายของผู้หญิงที่อยู่ในความทรงจำของเขามาตลอดสิบปี.....
.........หรือเส้นขนานที่แยกจากกันไปนานแสนนานจะถึงเวลากลับมาบรรจบกันอีกครั้งแล้ว
“อาหารไม่อร่อยเหรอจงฮยอน”
พ่อของเขาหันมาถาม พลางบุ้ยใบ้ปากไปทางยุนอาและคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างรู้ทัน
“เมื่อเช้าพึ่งโดนขู่ฆ่ามาน่ะครับ ก็เลยกินอะไรไม่ค่อยลง”
เคร้ง!
คำตอบของเขาทำเอาเจ้าของร่างบางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเผลอปล่อยช้อนหลุดออกจากมือทันที ยุนอายกน้ำขึ้นดื่มก่อนจะส่งค้อนวงใหญ่มาทางเขา
“หนูยุนอาพึ่งกลับมาจากต่างประเทศเหรอจ๊ะ”
มารดาผู้ใจดีหันไปถามพี่สาวของว่าที่ลูกเขยที่ดูไม่ค่อยเจริญอาหารนัก
“ค่ะ พอเรียนจบฉันก็ทำงานอยู่ที่นั่นเลย”
“แล้วไม่คิดถึงบ้านบ้างเหรอ”
จงฮยอนเอ่ยถามขึ้นบ้าง ก่อนจะได้รับคำตอบแสบๆคันๆจากอีกฝ่ายกลับคืนมา
“คิดถึงสิ แต่เพราะที่นี่มีเรื่องแย่ๆไม่น่าจดจำอยู่ก็เลยไม่อยากกลับมา”
........ไอ้เรื่องแย่ๆที่ว่ามันคงหมายถึงเขาสินะ
มื้อเย็นผ่านไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ยุนอาไม่ได้ปริปากพูดกับเขาอีกเลย จงฮยอนเดินกลับขึ้นไปยังห้องนอนของตน ปล่อยให้หน้าที่ส่งแขกเป็นของจุนฮีที่กำลังกระดี๊กระด๊าเป็นพิเศษที่แฟนหนุ่มมาที่บ้าน จงฮยอนเดินไปหยุดริมหน้าต่างบานใหญ่ที่ทำให้มองเห็นสวนเล็กๆที่ชั้นล่างของบ้านอย่างชัดเจน จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อชมสวนแต่เพราะได้ยินเสียงคนคุยกันมาจากข้างล่างและดูเหมือนในบทสนทนาจะมีชื่อของเขาถูกเอ่ยออกมาด้วย
“พี่ยุนอารู้จักกับพี่ชายของฉันมาก่อนเหรอคะ”
เป็นจุนฮีที่กำลังควงแขนกับจองชินที่เป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้น
“ถามทำไมเหรอจ๊ะ”
“ก็พี่กับพี่จงฮยอนไม่ได้ใช้ภาษาแบบเป็นทางการกันเลยนี่คะ แถมพวกพี่ยังดูสนิทกันมากๆด้วย”
.......การโดนขู่ฆ่า แถมยังโดนส่งสายตาอาฆาตมาให้ตลอดระยะเวลาที่นั่งทานข้าวด้วยกันมันเรียกว่า “ดูสนิทสนมกันมากๆ” หรอกเหรอเนี่ย ไม่เคยรู้มาก่อนเลยแฮะ!
“เคยเรียนโรงเรียนเดียวกันสมัย ม. ปลายน่ะ”
.........แถมยังเคยคบกันมาก่อนด้วย! จงฮยอนเติมประโยคของหญิงสาวเองในใจ น้องสาวผู้แสนซื่อของเขาพยักหน้าเข้ามใจก่อนจะหันไปคุยบางอย่างที่เขาไม่ได้สนใจฟังกับจองชินเพราะมัวแต่หันไปมองยุนอา ดูเหมือนเธอจะถูกคู่รักที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าลืมไปชั่วขณะ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ในหน้าหนาวที่เต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพราวก่อนจะต้องทำหน้ายู่เมื่อพบว่ากำลังถูกใครบางคนแอบมองลงมาจากชั้นสอง จงฮยอนฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับโบกมือให้เธอตามปกติ แต่ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะคิดว่าเขากำลังกวนประสาทเพราะทันทีที่เห็นว่าเขาทำแบบนั้นยุนอาก็สะบัดหน้าหนีและเดินขึ้นรถไปทันที ชายหนุ่มได้แต่ฉีกยิ้มแห้งๆให้กับความว่างเปล่า.....จะโทษใครได้ ในเมื่อคนที่เลือกให้ทุกอย่างมันลงเอยแบบนี้ก็คือตัวเขาเอง.....
10 ปีก่อน
ร่างสูงทิ้งตัวลงนอนแผ่หราบนสนามบาสเก็ตบอล พร้อมกับลูกกลมๆสีส้มที่กลิ้งมาหยุดอยู่ข้างๆตัวราวกับรู้หน้าที่ เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลาหลังจากเขาผ่านการเล่นบาสอย่างบ้าระห่ำมาเกือบสามหั่วโมงเต็ม
“ช้ำรักแล้วมาเล่นบาส เป็นตัวอย่างที่ดีของสังคมน่าเอาเป็นตัวอย่างนะเนี่ย”
เสียงปรบมือพร้อมกับประโยคทักทายแสนกวนประสาทดังมาจากเพื่อสนิทผิวเกรียมแดดที่รู้สาเหตุของการหักโหมเล่นกีฬาของเขาในครั้งนี้ดี หมอนั่นหย่อนตัวลงนั่งข้างๆเขาพร้อมกับหยิบลูกบาสที่กลิ้งอยู่ใกล้ๆวางบนปลายนิ้วและจับมันหมุนอย่างไม่มีอะไรทำ
“ถ้ามันเจ็บมากนักแล้วบอกเลิกเขาหาพระแสงอะไรวะ”
มันถามเสียงเศร้าแต่กลับยังไม่ยอมหยุดยิ้มจนเขาชักเริ่มไม่แน่ใจว่าหมอนี่ตั้งใจมาปลอบหรือมาสมน้ำหน้ากันแน่
“ถ้ายังคบกันยุนอาอาจจะไม่ยอมไปเรียนต่อ”
“เขาจะไปเรียนต่อหรือไม่ไปนั่นมันก็เรื่องของเขาไม่ใช่เหรอวะ”
“ยุนอาอยากไปเรียนวรรณกรรมที่นั่นมาตั้งนานแล้ว ฉันไม่อยากเป็นสาเหตุให้เธอต้องทิ้งความฝัน”
“อ๋อก็เลยหาเรื่องให้เขาเกลียดขี้หน้าด้วยการบอกเลิกเขาว่างั้นเถอะ”
เพื่อนรักพูดด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้อย่างไม่คิดปิดบัง
“แกไม่เข้าใจหรอก”
“เออ ลืมไปว่าแกมันพระเอก หล่อ แสนดี เสียสละ แถมยังโง่ ครบสูตรตามตำราเป๊ะๆ ตัวโกงอย่างฉันจะไปเข้าใจอะไร”
“....”
“ตัวโกงจะบอกอะไรให้รู้เอาไว้นะไอ้พระเอกแฟนใหม่น่ะหล่อๆอย่างแกจะหาเมื่อไหร่ก็หาได้ แต่ถ้าให้หาคนที่ถูกใจเท่าคนนี้ ทั้งชาติก็อาจจะหาไม่ได้แล้วนะโว๊ย”
คำพูดของเพื่อนสนิทในวันนั้นทำให้จงฮยอนต้องหัวเราะออกมาอย่างสมน้ำหน้าตัวเอง ถ้าหมอนั่นได้มาเห็นสภาพของเขาตอนนี้ เขาคงถูกมันหัวเราะจนฟันร่วงที่คำพูดของมันเมื่อสิบปีที่แล้วดันกลายเป็นความจริงหมดทุกอย่าง
.......คนใหม่น่ะหาได้ง่ายๆ แต่แค่ไม่เคยหาใครถูกใจได้เท่าคนเดิมก็เท่านั้นเอง
“สรุปว่านี่ฉันเป็นพี่สาวเจ้าบ่าวหรือกำลังจะแต่งงานเองกันแน่วะเนี่ย!”
ยุนอาตะคอกใส่โทรศัพท์เสียงดังจนคนที่ปลายสายต้องยกโทรศัพท์ออกห่างจากหู
“แค่ให้ไปลองชุดแทนจุนฮีหน่อยทำเป็นบ่นเป็นคนแก่ไปได้”
“นิดหน่อยบ้านแกสิไอ้น้องบ้า!”
“ผมกับจุนฮีต้องไปดูเรื่องสถานที่ เวลามันก็กระชั้นชิดเข้ามาแล้ว พี่ก็หุ่นใกล้กับจุนฮีช่วยไปลองชุดให้หน่อยแค่นี้ทำเพื่อน้องไม่ได้ใช่ปะ!”
…..หนอยแน่! ยังมีหน้ามาตีบทโศก
“เออๆ รู้แล้วหน่าไม่ต้องมาดราม่าใส่ฉันเลย”
“แบบนี้สิเขาถึงจะเรียกว่าพี่น้องกันจริง ที่อยู่ร้านก็ตามที่ผมเขียนให้นั่นแหละ”
ยุนอาละความสนใจจากจองชินเมื่อรถแท็กซี่ขับมาถึงร้านชุดแต่งงานที่จองชินระบุไว้ในแผนที่ ก่อนดวงตากลมโตจะเบิกกว้างจนแทบถลนเมื่อพบว่าใครกำลังยืนอยู่หน้าร้าน
“แกให้ฉันมาลองชุดเจาสาวแทนจุนฮี แล้วใครเป็นคนลองชุดเจ้าบ่าวอย่าบอกนะว่าเป็น....”
“เอ๊า! ถามได้ก็พี่จงฮยอนพี่ของจุนฮีไงพี่”
“แล้วทำไมแกไม่บอกฉันก่อน!”
“แล้วทำไมต้องบอกก่อนด้วยล่ะ มีปัญหาอะไรโทรมาแล้วกัน แค่นี้นะ”
“เดี๋ยวสิจองชิน จองชิน! ทำไมถึงชอบว่าหูใส่ฉันนักเนี่ย!”
หญิงสาวตะโกนใส่โทรศัพท์เสียงดังอย่างลืมตัว นึกอยากหักคอน้องชายตัวแสบให้ตายคามือขึ้นมาตะหงิดๆ โทษฐานที่ชอบชักนำความซวยมาให้เธอดีนัก
“เอ่อ.......จะลงมั้ยครับ”
คำถามของลุงคนขับแท็กซี่ช่วยเรียกให้สติที่ใกล้หลุดออกจากร่างเต็มทีของยุนอาหลับเข้าที่ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อทำใจก่อนจะรีบจ่ายเงินและก้าวลงจากรถด้วยใบหน้าเรียบเฉยที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เราเจอกันอีกแล้วนะ”
นั่นคือประโยคแรกที่จงฮยอนพูดเมื่อหันมาเห็นหน้าเธอ วันนี้ผมยาวๆที่เธอเคยเห็นตอนครั้งแรกที่เจอกันถูกซอยจนสั้น เคราบางๆที่เคยมีก็ถูกโกนออกหมด
“ฉันยอมมาลองชุดเจ้าสาวแทนจุนฮีเพราะไม่รู้ว่านายก็จะมาด้วย”
“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนิ”
“ก็แค่บอกเอาไว้ก่อน เผื่อคนแถวนี้จะเข้าใจผิดคิดว่าฉันมาเพราะอยากเจอ”
จงฮยอนหลุดขำออกมาเบาๆเพราะประโยคจิกกัดของอีกฝ่ายก่อนจะเดินตามหญิงสาวเข้าไปด้านในร้าน ส่วนของชุดเจ้าบ่าวที่เขามาลองแทนเป็นสูทสีดำผูกหูกระต่ายสีเดียวกันและกางเกงสแล็กผ้าเนื้อดี ไม่มีปัญหาอะไรนอกจากขากางเกงที่ต้องพับขึ้นมาสองสามทบเพราะความสูงที่ค่อนข้างต่างกันระหว่างเขากับจองชิน
“เจ้าสาวมาแล้วค๊า”
เสียงแหลมๆของเจ้าของร้านสาวประเภทสองเรียกให้จงฮยอนละสายตาจากเงาสะท้อนของตนในกระจกหันไปมองทางต้นเสียง และพบว่ายุนอาอยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ ด้านหน้าถูกตัดเย็บเรียบๆด้วยลูกไม้และผ้าฝ้ายสีขาวที่ปิดมิดชิดไปจนเกือบถึงลำคอ กระโปรงลูกไม้ฟูฟ่องยาวจรดพื้นมีลายกลีบกุหลายสีชมพูเล็กๆน่ารักประดับอยู่ที่ชาย จงฮยอนรู้สึกราวกับหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อเจ้าของร่างบางตรงหน้าหมุนตัวและทำให้พบว่าด้านหลังของชุดเป็นแบบผ่ากลางที่เผยให้เห็นแผ่นหลังขาวเนียนของคนใส่
“มองตาค้างแบบนี้สวยใช่มั้ยละค๊า”
เจ้าของร้านหันมาถามด้วยน้ำเสียงเล็กแหลมเช่นเคย
“สวยดีครับ....แค่ชุดน่ะนะไม่รวมคนใส่”
ยุนอาถลึงตาใส่คนพูดอย่างของขึ้นก่อนจะรู้สึกใบหน้าร้อนวูบวาบเพราะประโยคต่อมาของเขา
“เพราะคนใส่ไม่ได้แค่สวย แต่สวยมาก”
“ว๊าย! อย่ามาหวานโชว์คนไร้คู่แบบเจ้แบบนี้สิคะ อิจฉา!”
เจ้าของร้านพูดด้วยท่าทางมีจริตจนแม้แต่ผู้หญิงแท้ๆก็ยังอาย
“ฉัน......ฉันขอไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ”
ยุนอาพูดเสียงตะกุกตะกัก เธอรีบเดินกลับเข้าไปในห้องแต่งตัว ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่ออยู่พ้นจากสายตาคนอื่น มือเรียวสองข้างถูกยกขึ้นกุมพวงแก้มขาวที่มีเลือดสูบฉีดขึ้นมาหล่อเลี้ยงจนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำและร้อนผ่าวราวกับกำลังจับไข้
......แย่แล้วอิมยุนอา! เธอถูกผู้ชายคนนั้นกลับมาทำให้หวั่นไหวอีกครั้งจนได้!!
ยุนอาออกมาจากร้านหลังจากเปลี่ยนกลับมาสวชุดลำลองของตนเช่นเดิม หญิงสาวตั้งใจจะหาร้านอาหารแถวนี้ซักร้านเพื่อหาอะไรใส่ท้องมที่กำลังร้องครวญครางประท้วงอย่างหนักเพราะยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้วค่อยหาทางกลับบ้าน ก่อนร่างบางจะต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกมือปริศนาเอื้อมมาคว้าท่อนแขนเรียวเอาไว้ ขณะกำลังคิดเรื่องอาหารอร่อยๆเพลินๆ
“เฮ้!”
หญิงสาวอุทานก่อนใบหน้าสวยจะเปลี่ยนเป็นงอง้ำทันทีเมื่อพบว่าใครกำลังยืนฉีกยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้า......ทำคนอื่นเกือบหัวใจวายตายยังมีหน้ามายิ้มอีกเหรอหมอนี่!
“มีธุระอะไรอีกไม่ทราบ!”
“ไม่ได้เอารถมาใช่มั้ย ฉันไปส่ง”
“ไม่ต้อง!”
ยุนอาพูดก่อนจะสะบัดข้อมือเรียวออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายที่ทำท่าจะลากให้เธอเดินไปที่รถของเขาให้ได้
“ถ้างั้นไปกินข้าวเที่ยงกันเดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”
จงฮยอนยังคงตื้ออย่างไม่ลดละ
“ไม่!”
“ต็อกบกกี้ก็ได้ เจ้าที่เธอชอบพาฉันไปกินสมัยเรียนก็อยู่แถวๆนี้พอดีเลย”
“ม......”
จ๊อก.......
ยังไม่ทันปฏิเสธได้เต็มคำน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมันก็ส่งเสียงประท้วงขึ้นมาอีกครั้งเสียงดังลั่น เกิดความเงียบขึ้นระหว่างทั้งคู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนจงฮยอนจะเป็นฝ่ายหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่
“น่าขำมากนักรึไง!”
ยุนอาตะวาดพลางถลึงตาใส่อีกฝ่าย ชายหนุ่มได้แต่โบกไม้โบกมือขอโทษ และพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ
“ข้อเสนอของฉันดูน่าสนใจขึ้นมาแล้วใช่มั้ยล่ะ”
“เฮอะ!”
“.....”
“ต็อกบกกี้ก็ต็อกบกกี้!”
ต็อกบกกี้สีขาวอวบราดด้วยซอสรสจัดสีส้มเข้มส่งกลิ่นหอมฉุยทำให้ยุนอาเผลอกลืนน้ำลายลงคืออึกใหญ่ก่อนจะรับจานกระดาษใส่อาหารโปรดมาจากเจ้าของรถเข็นขายต็อกบกกี้ที่เคยแวะมาอุดหนุนบ่อยๆในอดีต ใบหน้ามีความสุขของหญิงสาวยามเมื่อส่งก้อนแป้งเคลือบซอสสีส้มเข้าปากทำให้จงฮยอนเผลอยิ้มตามไปโดยไม่รู้ตัว
“ที่ฝรั่งเศสไม่มีต็อกบกกี้ให้กินแบบนี้ใช่มั้ยล่ะ”
“มีสิ แต่ไม่อร่อยเท่าของต้นตำรับหรอก ที่นั่นเราต้องประยุกสูตรเอาตามวัตถุดิบที่พอหาได้น่ะ”
ยุนอาพูดพลางจิ้มต็อกบกกี้เข้าปากอีกคำ ดวงตากลมโตสอดส่ายมองแผงขายของข้างทางอย่างสนใจ ก่อนจะไปหยุดยืนหน้าร้านกิ๊ฟช็อปเล็กๆที่ขายพวกเครื่องประดับและของใช้จุกจิกของผู้หญิง
“กิ๊ฟนั่นน่ารักดีเนอะ”
จงฮยอนมองตามดวงตากลมโตไปจนพบว่าเธอกำลังพูดถึงกิ๊ฟเสียบผมรูปดอกกุหลาบสีขาวเล็กๆน่าเอ็นดูคู่หนึ่ง
“ซื้อสิดูเข้ากับเธอดีออก”
“ไม่เอาหรอก จะสามสิบอยู่แล้วขืนใช้ของพวกนี้มีหวังโดนหาว่าไม่เจียมสังขารพอดี”
“ถ้าเป็นเธอใส่อะไรก็ดูดีหมดนั่นแหละ”
.....ตึก......ตึก.....ตึก......หัวใจเต้นแรง หน้าแดง แถมมือยังเย็นเฉียบ เอาอีกแล้วอาการแบบนี้มันกลับมาเล่นงานเธออีกครั้งจนได้ ยุนอาสะบัดหน้าแรงๆเพื่อไล่อาการประหลาดที่เกิดขึ้นกับตนก่อนจะรีบสาวเท้าเดินออกมาจากร้านกิฟช็อปทันทีเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตน
บรรยากาศที่ไม่ได้เจอมานานตลอดสิบปีที่จากบ้านเกิดไปทำให้จากเดิมที่ตั้งใจว่าจะหาอะไรใส่ท้องแล้วกลับบ้านเลยกลายเป็นว่าเธอใช้เวลาไปเกือบชั่วโมงกับการเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อย่างเพลิดเพลินไปโดยปริยาย ยุนอาย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ริมทางเท้าหลังจากเดินมากเสียจนเริ่มรู้สึกปวดเท้า ก่อนคนตัวสูงที่กลายเป็นคนถือของจำเป็นจะหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ
“ไม่ได้ช็อปปิ้งแบบนี้มาตั้งนาน”
“เหมือนเมื่อก่อนเลยนะ ตอนนั้นหลังเลิกเรียนเธอชอบชวนฉันมาเดินซื้อของแบบนี้อยู่เรื่อย”
คำพูดของชายหนุ่มทำให้รอยยิ้มบนริมฝีปากบางสลายหายไปแทบจะทันที ยุนอาหันกลับไปมองคนตัวสูงด้วยดวงตากลมโตสั่นระริก
“ไม่เหมือนหรอก อย่างน้อยเราสองคนก็ไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว”
จงฮยอนนิ่งไปชั่วขณะ อยากจะบอกเธอแทบตายว่าถ้าอยากให้เหมือนงั้นก็เลิกทิฏฐิใส่เขาแล้วกลับมาคบกันสิ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรเสียงเอะอะโวยวายที่เหมือนดังมาจากลุ่มคนใกล้ๆก็เรียกความสนใจไปเสียก่อน
“อะไรน่ะ”
ยุนอาถามอย่างงุนงงไม่แพ้กัน ก่อนความสงสัยทั้งหมดจะถูกลบทิ้งไปทันทีเพราะเสียงปืนนัดหนึ่งที่ถูกยิงใส่ใครซักคน
“นักเรียนตีกันน่ะ ไปเร็ว!”
จงฮยอนพูดก่อนจะรีบฉวยมือบางให้วิ่งหนีตามสัญชาตญาณ เพราะไม่เคยชินกับการออกกำลังกายหนักๆเหมือนชายหนุ่มวิ่งได้ไม่ไกลยุนอาก็หอบหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะร้องเสียงหลงเมื่อเผลอสะดุดก้อนหินจนล้มลงไปกองกับพื้น มือเรียวหลุดออกจากการเกาะกุมของคนตัวสูงที่เป็นเหมือนที่พึ่งเดียวในขณะนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ความแสบร้อนบริเวณหัวเข่าที่แล่นขึ้นมาเล่นงานบอกให้รู้ว่าการล้มเมื่อครู่ทำให้เธอได้แผลเล็กๆน้อยๆมาเป็นของฝาก หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวอย่างหวาดวิตกเมื่อเสียงเอะอะโวยวายของกลุ่มนักเรียนนักเลงเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ภาพข่าวที่เคยเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกกับผู้เคราะห์ร้ายที่โดนลูกหลงจากการทะเลาะวิวาทของนักเรียนคู่อริต่างสถาบันเริ่มผุดขึ้นมาในหัว มันคงไม่สนุกแน่ถ้าชื่อของอิมยุนอากลายเป็นหนึ่งในนั้น
“มัวทำอะไรอยู่ ลุกขึ้นเร็ว!”
เสียงนุ่มคุ้นหูดังขึ้นท่ามกลางความสิ้นหวังพร้อมกับมือหนาที่เอื้อมมาฉุนรั้งร่างบางให้ลุกขึ้นยืน จงฮยอนพาเธอวิ่งเข้าไปหลบในมุมอับของตึกที่พอจะหลบเลี่ยงจากกลุ่มนักเรียนพวกนั้นได้ ก่อนจะเริ่มสำรวจร่างบางที่ดูมอมแมมเพราะเหงื่อและฝุ่น
“เธอเจ็บตัวนิ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูเป็นเดือดเป็นร้อนกว่าเธอที่เป็นคนเจ็บเสียอีก
“ฉันนึกว่าตัวเองจะไม่รอดซะแล้ว”
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ พร้อมกับดวงตากลมโตที่ร้อนผ่าวและเริ่มชื้นแฉะ
“ห้ามพูดแบบนี้อีกนะยัยโง่ ฉันจะปล่อยให้เธอเป็นอะไรไปได้ยังไง”
“ฉัน.......ฉันคิดว่านายทิ้งฉันไปแล้ว”
“ใครเขาจะไปใจร้ายทิ้งยัยลูกกวางขี้แยอย่างเธอลง อย่างน้อยก็ไม่ทำอีกเป็นครั้งที่สองแน่”
ชื่อที่เคยใช้เรียนสมัยเรียนที่ถูกเขานำกลับมาใช้อีกครั้ง พร้อมกับมือหนาที่ลูบเส้นผมสีเข้มยุ่งเหยิงอย่างอ่อนโยนเรียกให้หยดน้ำร้อนๆไหลเอ่อออกมาจากดวงตากลมโตในที่สุด จงฮยอนดูอึ้งไปทันทีที่เห็นว่าเธอร้องไห้ ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือเมื่อสิบปีก่อนมีไม่กี่ครั้งนักหรอกที่อิมยุนอาจะร้องไห้ให้คนอื่นเห็น และนั่นมันหมายความว่าเรื่องที่เธอกำลังเผชิญมันหนักหนาสาหัสมากจริงๆ
“ตอนล้มแล้วมองไม่เห็นนายฉันกลัวแทบแย่....กลัวว่าพวกนั้นจะตามมาทัน กลัวว่าจะโดนลูกหลง กลัว....ฮึก....กลัวว่านายจะเป็นอะไรไป”
“ฉันอยู่ตรงนี้แล้วไง เลิกร้องนะยัยลูกกวางของฉัน”
ร่างบางถูกรั้งเข้าหาแผ่นอกกว้างและสวมกอดเอาไว้หลวมๆ จงฮยอนก้มลงมองใบหน้าหวานของคนในอ้อมแขนก่อนจะบรรจงประทับริมฝีปากอุ่นลงบนเปลือกตากลมโตที่มีหยดน้ำร้อนๆกำลังไหลซึมออกมาไม่หยุดอย่างปลอบประโลม จากดวงตาไล่ลงมาที่พงแก้มทั้งสองข้างก่อนจะหยุดอยู่ที่กลีบปากบางสั่นระริก พร้อมกับอวัยวะในอกข้างซ้ายที่เริ่มเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง
“ขอโทษ”
จงฮยอนพูดทันทีที่ถอนจูบออก แต่ไม่ได้รู้สึกผิดกับการกระทำของตนเลยซักนิด ตรงกันข้ามเขากลับเสียดายมากว่าที่จูบเมื่อครู่มันไม่เนิ่นนานอย่างที่ต้องการ ยุนอาช้อนดวงตากลมโตขึ้นมองคนตัวสูง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าหัวใจอยู่เหนือการควบคุมของสมอง หญิงสาวเขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อให้ความสูงใกล้เคียงกับอีกฝ่ายก่อนจะใช้แขนเรียวโอบรอบลำคอดึงให้ใบหน้าคมโน้มลงมาใกล้และบรรจงประทับริมฝีปากบางลงบนริมฝีปากหนาของชายหนุ่ม จงฮยอนนิ่งไปในตอนแรกก่อนจะค่อยๆตอบรับสัมผัสของเธออย่างว่าง่าย ริมฝีปากที่บดเบียดแนบชิดไม่ต่างจากหัวใจสองดวงที่ค่อยๆเคลื่อนคล้อยกลับมาหากันอีกครั้งอย่างเชื่องช้า...
........นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้มีกันและกันอยู่ในอ้อมแขน ความอบอุ่น สัมผัสอ่อนโยน ทุกอย่างยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน ราวกับรูเล็กๆกลวงโบ๋ในหัวใจที่หล่นหายไปในอดีตกำลังค่อยๆถูกเติมเต็มอีกครั้ง......
งานแต่งงานของจองชินและจุนฮีถูกจัดขึ้นที่โบสถ์เก่าแก่ประจำเมือง บรรยากาศที่อบอุ่นไปด้วยความรักจากสมาชิกในครอบครัวที่มาร่วมงาน และภาพของเจ้าบ่าวตัวสูงชะลูดในชุดสูทสีเข้มที่จับมือกับเจ้าสาวตัวเล็กแก้มป่องในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ไม่ยอมปล่อยตั้งแต่เจ้าสาวถูกผู้เป็นพ่อพาเข้ามาในโบสถ์ราวกับกลัวเจ้าสาวหายคือภาพที่ใครๆเห็นก็ต้องอมยิ้ม เพราะยังไม่ทันทำพิธีเสร็จเจ้าบ่าวก็เริ่มออกอาการติดภรรยาเสียแล้ว พิธีสาบานตนต่อหน้าบาทหลวงเป็นไปอย่างราบลื่น แล้วก็มาถึงช่วงเวลาที่เหล่าสาวน้อยสาวใหญ่ต่างรอคอย จุนฮีเดินควงแขนจองชินออกมาจากโบสถ์พร้อมกับช่อดอกกุหลาบขาวในมือ หญิงสาวนับสิบคนกรูกันมายืนล้อมรอบเจ้าบ่าวและเจ้าสาวด้วยความเชื่อที่ว่าถ้าใครได้รับช่อดอกไม้จากเจ้าสาวจะได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไปและแน่นอน หนึ่งในนั้นมีพี่สาวของเจ้าบ่าวรวมอยู่ด้วย ยุนอาเดินเบียดคนอื่นๆเพื่อมายืนอยู่ด้านหน้าสุด.......ก็ไม่ได้จริงจังอะไรนักหรอกแต่ไอ้ดอกไม้ช่อนั้นมันต้องมาอยู่ในมือเธอก็เท่านั้นเอง!
“จะโยนแล้วนะคะ”
จุนฮีตะโกนก่อนจะเริ่มนับถอยหลังให้สัญญาณพอนับถึงสามช่อดอกไม้ก็ถูกโยนจนลอยสูงขึ้นบนฟ้าและตกลงมาในกลุ่มหญิงสาวที่กำลังจ้องมองมันตาเป็นประกาย เกิดการยื้อแย่งกันอยู่ซักพักแล้วในที่สุดคนที่ได้รับช่อดอกไม้ไปก็เป็น.......หญิงสาวผิวคล้ำร่างท้วมเจ้าของใบหน้าอ้วนฉุที่พกความมั่นใจมาเต็มกระเป๋าด้วยการสวมเดรสสั้นกุดสีแดงสดที่ตัดกับสีผิวแบบสุดขั้ว ยุนอาทำหน้าเบ้เมื่อพบว่าคนที่ได้รับช่อดอกไม้คือคู่อริเก่าสมัยเรียนมัธยม ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปทักทายตามภาษาคนเคยรู้จักที่ไม่ได้เจอกันมานานมือเรียวก็ถูกจงฮยอนที่ไม่รู้ว่าโผล่มายืนข้างๆตอนไหนคว้าไปกุมและดึงกึ่งลากให้เธอเดินตามไปโดยไม่อธิบายอะไรซักคำ
“อะไรของนายเนี่ยฉัน.......”
ยุนอาตั้งท่าจะโวยวายใส่อีกฝ่ายแต่คำพูดทั้งหมดก็ได้แค่ค้างอยู่ในลำคอเมื่อพบว่าที่ๆจงฮยอนพามาคือสวนหย่อมเล็กๆหลังโบสถ์ที่รายล้อมไปด้วยกุหลาบหลากสีดอกโตที่กำลังบานสะพรั่งเต็มสวนในหน้าหนาว ให้ความรู้สึกราวกับหลุดเขาไปอยู่ในเทพนิยายซักเรื่อง จงฮยอนเดินจูงมือพาเธอไปหยุดหน้าพุ่มกุหลาบต้นหนึ่งก่อนจะก้มลงไปเก็บดอกกุหลาบและยื่นมันมาให้เธอ
“เด็ดดอกไม้ในโบสถ์ไม่บาปเหรอ”
“ถือไว้เงียบๆเถอะหน่า”
จงฮยอนพูดก่อนจะพาเธอเดินไปที่กุหลาบอีกหลายพุ่มและทำแบบเดิมซ้ำอีก ไม่นานในมือของหญิงสาวก็มีกุหลาบอยู่มากจนแทบถือไม่ไหว
“สรุปว่าที่ลากฉันออกมานี่ก็เพื่อให้ช่วยถือดอกไม้ให้นายใช่มั้ยเนี่ย”
ยุนอาถามเสียงขึ้นจมูกอย่างชักจะเริ่มมีน้ำโห
“ก็เธออยากได้ดอกไม้ไม่ใช่เหรอ เห็นเข้าไปแย่งกับคนอื่นตั้งนาน ฉันเลยหาดอกไม้ให้นี่ไง”
จงฮยอนพูดพลางชี้ช่อกุลหลาบหลากสีในมือของหญิงสาว
“มันเหมือนกันซะที่ไหนเล่า!”
“ถึงจะไม่ทำให้ได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไปแต่เขาว่ากันว่าดอกไม้ที่เก็บจากโบสถ์จะทำให้ได้คืนดีกับคนรักนะ”
“เขาไหนไม่เห็นจะเคยได้ยินเลย”
“ก็เค้านี่ไงตัวเอง!”
จงฮยอนแกล้งพูดเสียงสูงอย่างแต๋วแตกพลางชี้มาที่ตัวเอง เรียกเสียงหัวเราะจากเจ้าของร่างบางตรงหน้า ชายหนุ่มจ้องมองอีกฝ่ายที่กำลังฉีกยิ้มกว้างจนแทบมองเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ก่อนจะเผลอยิ้มตามออกมาโดยไม่รู้ตัว ยุนอาเป็นคนสวยและยิ่งสวยมากเข้าไปใหญ่เวลาที่ยิ้ม นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้ของเธอ อาจจะเป็นตั้งแต่ตอนที่เขาตัดสินใจทำเรื่องโง่ๆกับเธอเมื่อสิบปีก่อนล่ะมั้ง สิบปีเต็มที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของผู้หญิงคนนี้ หรืออาจจะเห็นแต่ยิ้มนั่นก็ไม่เคยเป็นของเขา........
.........คนเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีตได้เหมือนโนบิตะที่มีเพื่อนเป็นโดเรม่อน(ทามแมชชีน) แต่เราสามารถสร้างอนาคตที่ดีได้ด้วยการเริ่มจากปัจจุบัน และมันคงจะดูโง่หนักกว่าเก่าถ้าเขาไม่ทำสิ่งที่ควรทำมาตั้งนานเสียที....
“กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย”
ยุนอาละสายตาจากช่อกุหลาบในมือและเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่า ดวงตากลมโตเบิกกว้างพร้อมกับอัตตราการเต้นของหัวใจที่ค่อยๆถีบตัวสูงขึ้นทีละนิด
“ฉันรู้ว่ามันสายไปที่จะพูดว่าขอโทษ ฉันเสียใจที่พูดจาร้ายกาจกับเธอแบบนั้น ฉันจะไม่แก้ตัวหรอก แต่รู้อะไรมั้ยว่าทุกอย่างที่พูดกับเธอวันนั้นมันเป็นเรื่องโกหก ตลอดเวลาที่เราคบกันไม่เคยมีซักวันที่ฉันเบื่อเธอ”
“....”
“และตลอดสิบปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีซักวันที่ฉันลืมเธอได้จริงๆ”
“เขาว่ากันว่าการกลับไปคบกับคนเก่าก็เหมือนกลับไปอ่านหนังสือเล่มเดิมนะ ไม่ว่าอ่านกี่ครั้งสุดท้ายตอนจบมันก็เหมือนเดิมอยู่ดี”
“ก็ช่างหัวมันสิ คนอื่นว่าไงใครจะสน สุดท้ายคนที่เขียนตอนจบมันคือเธอกับฉันต่างหาก”
รอยยิ้มค่อยๆผุดขึ้นบนริมฝีปากบางของหญิงสาวและค่อยๆยิ้มกว้างมากขึ้นเรื่อยๆโดยไม่รู้ตัว ภายนอกดูแสนดี อ่อนโยน แต่ความจริงแล้วกลับทั้งหัวแข็ง และดื้ออย่างร้ายกาจ นี่แหละลีจงฮยอนตัวจริง.....
ยุนอายื่นมือเรียวไปตรงหน้าชายหนุ่มก่อนจะตีหน้าเคร่งและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ห้ามมองผู้หญิงคนอื่น ห้ามทำให้ฉันเสียใจ และที่สำคัญห้ามทิ้งฉันไปอีกเด็ดขาด”
จงฮยอนเอื้อมมือไปจับกับอีกฝ่ายและเขย่ามันเบาๆราวกับกำลังตกลงธุรกิจสำคัญ
“ตกลง”
.........สวัสดีบันทึกของผม
ไม่ต้องแปลกใจถ้าลายมือในบันทึกหน้านี้แย่กว่าปกติ เพราะการเขียนบันทึกโดยมีผู้หญิงขี้เซาซบอยู่บนไหล่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยซักนิด ลมหนาวในช่วงปลายเดือนธันวาคมหอบเอากลิ่นหอมหวานขององุ่นในไร่ที่เริ่มสุกคาต้นลอยมาแตะจมูกบอกให้รู้ว่าใกล้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวองุ่นพวกนี้แล้ว อ่อ! ลืมบอกไปว่าในขณะที่กำลังเขียนบันทึกหน้านี้ผมกำลังนั่งอยู่บนรถม้าที่ปกติจะใช้ขนองุ่นที่เก็บเกี่ยวไปไว้ในโรงเก็บองุ่นเพื่อรอการคัดขนาดและคุณภาพ(เพราะการใช้รถยนต์จะทำให้องุ่นดูดเอาควันพิษจากท่อไอเสียซึ่งอาจทำให้องุ่นเสียรสชาติ) นั่งอยู่กลางไร่องุ่นตอนกลางคืนกับแฟนขี้เซาที่บ่นว่าอยากออกมาดูดาวแต่พอพาออกมาดูจริงๆก็เอาแต่หลับลูกเดียว......เป็นบรรยากาศที่โรแมนติกดีพิลึกแฮะ ว่ามั้ย
ผมหันไปมองยุนอาที่กำลังหลับตาพริ้มก่อนจะปัดเส้นผมสีเข้มออกจากใบหน้าสวยและใช้กิ๊ฟเสียบผมรูปดอกกุหลาบสีขาวดอกเล็กๆที่ผมแอบซื้อมาหลังจากได้ยินว่าเธอชอบตั้งแต่วันที่เราไปลองชุดแต่งงานแทนจุนฮีกับจองชินวันนั้น แต่ยังไม่มีโอกาศได้ให้เธอติดลงบนกลุ่มผมสีเข้มเพื่อป้องกันไม่ใช่มันร่วงลงมาทำให้คนขี้เซารำคาญ........ทั้งหมดนี่มันเหมือนกับที่ผมเคยจินตนาการเอาไว้มาตลอดสิบปีเป๊ะ ผมกับเธอเราได้ปรับความเข้าใจกัน กลับมาคบกัน นั่งดูดาวด้วยกัน ได้ใช้ช่วงเวลาดีๆด้วยกันเหมือนกับคู่รักคู่อื่นๆ จะพูดว่ายังไงดีล่ะ คงต้องบอกว่าผมโชคดีล่ะมั้ง โชคดีที่น้องชายกับน้องสาวของเรากำลังจะแต่งงานกัน และโชคดีที่เราต่างไม่มีใครลืมกันได้ทั้งคู่ เลยทำให้เรื่องราวที่เหมือนจะจบแบบดราม่าน้ำตาเล็ดไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนได้กลับมาสานต่ออีกครั้ง ไม่ว่าในอดีตเราเคยผิดใจกันเพราะอะไรผมไม่สนใจหรอก และคิดว่ายุนอาก็คงคิดแบบเดียวกัน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การยึดติดอยู่กับอดีตแต่มันคือการทำปัจจุบันของเราให้เป็นเรื่องน่าจดจำต่างหาก
.................ขอบคุณนะอดีตที่ทำให้รู้ว่าปัจจุบันสำคัญแค่ไหน.............
The end
********************
จบแล้วจ๊ะ ใครรออ่าน Got a boy ตอนใหม่อยู่อดใจรออีกนิดนะ ^^
ต่างคนต่างรอเพื่อกลับมาเจอรักที่รอคอย
เดียร์เบริ์นนิ่ง ชอบคู่นี้มากกค่าา
จงปากแข็ง กับยุนขี้น้อยใจ โอ๊ยยยยยยยน่ารักกกกก ชอบเรื่องนี้อ่าาาาา
สุดท้ายก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมจนได้ อรั้ย
ชอบคำพูดเพื่อนของจง
ติดตามค่ะสู้ๆ
"ขอบคุณนะอดีตที่ทำให้รู้ว่าปัจจุบันสำคัญแค่ไหน"
คมฝุดๆๆ
สุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็ได้กลับมาคืนดีกัน อยู่ด้วยกัน ต้องขอบคุณจุนฮีกับจองชินนะนี่ ที่ให้ทั้งคู่มาลองชุดแต่งงานแทน หรือว่าจะเป็นแผนของทั้งคู่ อันนี้ก็ไม่รู้สินะ 555
happy ending
ปล.รอ got a boy นะค่ะ
คือจิกกัดกันไม่พอ ยังหวาน หัวดื้อ ตลก ครบรสมากเลย555555555
ขอบคุณผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ
บรรยากาศ จองชิน จุนฮี แกงค์เด็กสิ้นคิดที่ตีกัน -________- องุ่น กิ๊ฟ ต็อกโบกกี ทุกอย่าง 5555555
ตอนจบหวานมากกกก ชอบๆๆๆ ><
ว่างๆแต่งอีกน้าาา เค้าจะรอ 555555555555
สู้ๆนะแกรรจงงี่
จงยุน เจอกันใหม่ ก็ตบหน้าดังเพี๊ยะ !!!!
จองชินนี่ก็เหลือเกินนะ -__________- ใจคอนี่จะไม่รับพี่ตัวเอง แถมใช้อีก 55555555555
เค้าว่าจงไม่ได้ตั้งใจหรอกกก อาจจะอยากให้ยุนไปเจออนาคตที่ดีก็ได้ ยุนฟังจงหน่อยน้าาา
แต่ก็เข้าใจยุนหว่ะ จงก็พูดซะเย็นชาขนาดนั้น........ สงสารยุนจังเลยย T^T
เรื่องกะลังดำเนินเข้มข้นเลยยย
รอค่าาาาาาาาาาาาา
ชอบคู่นี้มากๆ
ยุนมาเเนวคนเคยมีแผลใจ และจงคนที่เคยทำร้ายกลับได้มาเจอกันอีก
รอติดตามนะคะ
น่ารักก><
ติดตาามมค่ะ สู้ๆๆ :))