[TAOKACHA] ถ้ารู้ก็คงไม่บอก... - [TAOKACHA] ถ้ารู้ก็คงไม่บอก... นิยาย [TAOKACHA] ถ้ารู้ก็คงไม่บอก... : Dek-D.com - Writer

    [TAOKACHA] ถ้ารู้ก็คงไม่บอก...

    ถ้าผมบอกเขาไป แล้วเขาจะเป็นแบบนี้... ผมเก็บไว้คนเดียวยังดีเสียกว่า

    ผู้เข้าชมรวม

    547

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    547

    ความคิดเห็น


    8

    คนติดตาม


    7
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  30 พ.ย. 57 / 23:52 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ดีก๊ะ! :3 แวะมาลงเรื่องสั้นโน้ะ ไม่มีไรมาก อยากแต่งมานานแล้ว อยากแต่งเรื่องนี้แล้วมีภาคต่อเป็นเพลงพี่เต๋า แต่แต่งคนเดียวแล้วไม่โอ ตอนนี้หาแนวร่วมได้ เลยแต่งแล้วเอามาลงเลย ภาคต่อรอก่อนน้า กำลังแต่งอยู่ อิ___อิ

    เรื่องนี้มีพี่ เตี้ยน้อย หรือไรท์เตอร์เรื่อง รักร้ายของนายตัวแสบ ช่วยปรู๊ฟด้วย แล้วพี่เขาก็จะแต่งพาร์ทพี่เต๋าต่อ รอนะรอออออ อิอิ ไปอ่านโล้ดดดดดด

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

        

       

       

      กูชอบผู้หญิง

       

       

       

      เสียงทุ้มที่พูดประโยคนั้นยังสะท้อนอยู่ในหัวผมไม่ยอมหายไปสักที สามวันมาแล้วที่ผมไม่ได้เจอเจ้าของเสียงนั่น สามวันมาแล้วที่ผมเอาแต่คิดถึงเขา...

      “เฮ้ยคชา กูจะลงไปซื้อไรกิน เอาไรเปล่า”

      “หึ ไม่อ่ะ” ผมส่ายหน้าตอบเพื่อนร่วมห้องชั่วคราว จริงๆ ต้องเรียกว่าเพื่อนที่ผมมาขออยู่ร่วมห้องชั่วคราวต่างหาก ผมก้มมองตัวหนังสือที่เรียงกันเป็นตับอีกครั้ง ใกล้จะสอบปลายภาคแล้วครับ ต้องอ่านหนังสือซะหน่อย

      แต่แปลกนะครับ อ่านมาเกือบชั่วโมงแล้ว แต่สมองผมกลับไม่มีความรู้อะไรเลย นอกจากภาพเหตุการณ์วันนั้น

       

      กู... ชอบมึงว่ะ

      แต่กูชอบผู้หญิง

       

      แหมะ

      “ฮะ เฮ้ย!!” ผมรีบหากระดาษทิชชู่มาเช็ดหยดน้ำที่ตกลงมาเลอะปากกาหมึกสีที่ผมเพิ่งเขียนลงไปเมื่อกี้พอดีเป๊ะก่อนที่มันจะซึมและเลือนไปมากกว่านี้ และก่อนที่จะสงสัยว่าน้ำนี่มาจากไหน ผมก็รู้สึกได้ถึงความชื้นตรงผิวแก้ม...

      ผมร้องไห้?

      บ้าน่า ผมจะร้องทำไมกัน

       

      กริ๊ง กริ๊ง

      “คชาพูดครับ” ผมปาดน้ำที่ไหลออกจากตาลวกๆ กระแอมไอเล็กน้อยเพื่อเช็คว่าเสียงไม่ติดสะอื้น แล้วค่อยยกโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมากดรับ

      (เป็นไงบ้างลูก อ่านหนังสือถึงไหนแล้ว)

      “เรื่อยๆ ครับ นี่ชาก็อ่านอยู่ แม่มีไรเปล่า”

      (แม่โทรมาบอกเรื่องรีสอร์ทของเพื่อนแม่ที่ลูกเคยถามไว้ไง)

      “อ๋อครับ ว่าไงบ้าง”

      (น้าเขาโอเคนะถ้าลูกจะไปทำงาน จะไปรึเปล่า)

      “คงไปครับ”

      (จะไม่กลับบ้านจริงๆ หรอแม่กับพี่คิดถึงนะ)

      “ยังดีกว่าแม่ เดี๋ยวปิดเทอมใหญ่ชาไปอยู่ด้วยเลย3เดือนเต็มๆ”

      (โอเคครับลูกชาย แล้วจะให้แม่จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้มั้ย)

      “ไม่เป็นไรครับ ชาอยากไปรถไฟมากกว่า”

      (งั้นชาบอกแม่ละกันว่าจะไปถึงที่นู่นกี่โมง วันที่เท่าไหร่ จะไปอยู่กี่วัน แม่จะบอกให้น้าเขาเตรียมที่พักไว้ให้)

      “ได้ครับ เดี๋ยวชาเมสเสจไปบอกแม่นะ”

      (จ้า แม่ไม่กวนเวลาอ่านหนังสือละ สู้ๆ นะคนเก่งของแม่)

      “ครับ รักแม่นะ”

       

      “แหม ไม่มีไอ้เต๋าให้อ้อนก็โทรไปอ้อนแม่นะมึงเนี่ย ไอ้ขี้อ้อน!” เฟรมที่เดินเข้ามาตั้งแต่ผมบอกว่าจะส่งข้อความไปหาแม่ส่งเสียงล้อทันทีที่ผมกดวางสายโทรศัพท์ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้สักสองสามวันผมคงกระโดดถีบไม่ก็ส่งนิ้วโป้งเท้าไปจูบปากมันแล้วครับ แต่ตอนนี้... แค่ได้ยินชื่อ... ก็ไม่มีอารมณ์จะทำอะไรแม้แต่กระดิกนิ้ว

      ตอนนี้จะทำอะไรอยู่นะ? กินอะไรรึยัง? ได้อ่านหนังสือบ้างรึเปล่า?

      “อ้าวเป็นไรวะ ทำไมเงียบ” มันนั่งลงบนพื้นข้างๆ ผม พลางกดเปิดทีวีช่องมวยปล้ำรายการโปรดของมัน อ่า... ผมลืมบอกไปสิ่นะว่าห้องไอ้เพื่อนแสนกวนคนนี้ไม่มีโต๊ะเลย นอกจากโต๊ะเตี้ยๆ ตัวนี้หน้าทีวีนี่ ผมก็เคยถามนะ มันบอกว่าจะมีทำไมเยอะแยะ โต๊ะเดียวก็พอ -_- มันจะกิน ทำงาน หรือนั่งเล่น ก็โต๊ะตัวนี้แหละครับ

      “เปล่าๆ เมื่อไหร่มึงจะเริ่มอ่านหนังสือวะเฟรม” ผมถาม จริงๆ จะอ่านหรือไม่อ่านก็ไม่เกี่ยวกับผมหรือว่าผมเป็นห่วงมันหรอกครับ เพียงแต่ถ้ามันอ่านหนังสือห้องนี้จะได้เงียบสงบบ้าง

      “มึงก็รู้ว่ากูไม่เคยอ่านหนังสือ” เออ ไม่น่าถามเลย =__=

      “มึงก็ควรเงียบๆ บ้าง สงสารคนโง่ๆ แบบกูหน่อย คิดว่ากูอ่านรู้เรื่องไหม” เฟรมมันฉลาดครับ แค่เรียนในห้อง ไม่ต้องมาอ่านทบทวน มันก็ทำข้อสอบได้ทุกวิชาแถมคะแนนดีด้วย ต่างกับผมที่ทั้งอ่านทั้งให้เพื่อนช่วยติว คะแนนถึงจะพอสู้มันได้

      “ถ้าอยากได้ความสงบมึงก็กลับไปห้องหอของมึงกับเต๋าเหอะ” จึก... ไปต่อไม่ถูกเลยครับ เลยนั่งนิ่งๆ ขีดๆ เขียนๆ ลงหนังสือทำเป็นว่าสนใจวิชาที่จะสอบไป เฟรมมันคงเห็นว่าผมไม่ตอบอะไรเลยหันไปดูนักมวยปล้ำนัวเนียกันในทีวีกับกินขนมในถุงในมือมันต่อ แต่สักพักมันก็พูดขึ้นมาอีก

      “เออ มึงกับเต๋าทะเลาะอะไรกันเปล่าวะ เมื่อกี้ตอนกูไปซื้อขนมก็เจอมันนะ กูอุตส่าห์ชวนให้ขึ้นมานั่งเล่นที่ห้องกู  ตอนแรกมันก็ทำท่าจะมานะเว้ย แต่พอกูบอกว่ามึงก็อยู่ มันก็เงียบแล้วบอกว่าติดธุระเฉยเลย ละเมื่อกี้กูพูดถึงเต๋ามึงก็เงียบใส่กู”

      “...”

      “กูไม่อยากรู้ก็ได้วะ”

      ไม่มีใครรู้เหตุผลแท้จริงเรื่องที่ผมขอมาอยู่กับเฟรมจนกว่าจะสอบเสร็จนอกจากตัวผมกับเต๋า  วันแรกที่มาผมบอกเฟรมว่าเต๋ามันจะไปติวที่บ้านเพื่อนอีกคนและจะค้างที่นั่นเลย เพราะนิสัยผมที่ไม่ชอบอยู่คนเดียวเฟรมมันเลยไม่เอะใจอะไร พอวันต่อมามันเจอเต๋าที่หน้าตึกหอพักมันเลยมาบอกให้ผมกลับไปนอนกับเต๋า แต่ผมกลับบอกมันว่าขี้เกียจย้ายเสื้อผ้าไปมาเดี๋ยวสอบเสร็จก็กลับบ้านแล้ว มันก็ไม่ได้ถามอะไรอีก... และที่เฟรมหรือเพื่อนคนอื่นไม่ซักถามก็คงเป็นเพราะเต๋าเป็นเพื่อนคนละกลุ่มกับพวกเรา เลยไม่อยากจะใส่ใจมากนัก ผมสนิทกับเต๋าได้เพราะว่าเราอยู่หอห้องเดียวกัน แต่เรียนคนละคณะนะครับ เต๋ามีกลุ่มเพื่อนของเต๋า ผมก็มีเพื่อนกลุ่มเพื่อนของผม

      แต่คงเพราะท่าทางอาการของผมกับเต๋าที่เปลี่ยนไปจากแม่เหล็กคนละขั้วที่ดึงดูดกันตลอดเวลากลายเป็นแม่เหล็กขั้วเดียวกันที่ต่างคนต่างผลักไส เฟรมมันเลยสงสัยขึ้นมามั้งครับ เมื่อก่อนผมกับเต๋าตัวติดกันแทบตลอดถึงแม้ว่าจะอยู่คนละกลุ่มก็เหอะ มีเต๋าต้องมีคชา มีคชาต้องมีเต๋า จนเพื่อนพากันล้อว่าเราคบกันอยู่ เหมือนที่เฟรมล้อผมก่อนหน้านี้แหละครับ เพราะเราสนิทกันมาก... มากจน...

       

       

      เต๋า กูถามไรหน่อยดิ่

      ว่า?

      มึงชอบใครอยู่ป่ะ... ตอนนี้

      อืม... ก็ไม่ได้ชอบใครนะ

       

       

       

      “เฮ้ออออออออ” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะฟุบหน้าลงกับหนังสือ รู้สึกว่าขอบตามันร้อนผ่าวๆ เหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง แต่คราวนี้ผมจะไม่ยอมให้น้ำตามันไหลออกมาได้หรอก ไม่งั้นไอ้เพื่อนตัวแสบข้างๆ ต้องถามจนกว่าจะได้คำตอบแน่ๆ ว่าผมเป็นอะไร

      “ง่วงหรอมึง” เฟรมครับ มันเอาเท้าเขี่ยๆ ผมแทนใช้มือสะกิด ผมเงยหน้าขึ้นมามองก็พบว่ามันขยับตูดไปนั่งบนโซฟาแล้วตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

      “อ่านไม่รู้เรื่อง เพราะมึงอ่ะ” พูดจบผมก็รวบหนังสือ ปากกาทั้งหมดไปเก็บใส่กล่องของผมเอง โดยไม่สนใจหน้าเหวอๆ ของเฟรมที่กำลังงงว่ามันทำอะไรผิด

      “กูออกไปเดินเล่นนะ” เฟรมมันยังคงมองผมงงๆ อยู่ แต่ผมไม่ได้สนใจเดินออกจากห้องมาเลย สามวันที่ผ่านมาผมไม่ได้ออกไปไหนเลย อยู่แต่ในห้อง มีเพื่อนเฟรมสุดน่ารักคอยส่งข้าวส่งน้ำให้ทุกวันวันละสามมื้อ เพราะผมกลัวว่าถ้าผมออกมา ผมจะเจอเต๋า...

      จริงๆ ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลบหน้าเพื่อนสนิทคนนั้นหรอกครับ แต่พอผมพูดคำนั้นไป เขาก็หายหน้าไปเลยวันนึงเต็มๆ ด้วยการกระทำและคำพูดแบบนั้นของเต๋า ผมก็พอจะรู้ว่าเขาคงไม่อยากอยู่ใกล้ๆ ผม คงไม่อยากจะคุยกับผมแล้ว ผมก็โง่นะครับ ทั้งๆ ที่รู้ว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบนี้อยู่แล้วแท้ๆ ยังจะดึงดันพูดออกไปอีก...

       

      ผมเดินตามฟุตบาทมาเรื่อยๆ เงยหน้ามาอีกทีก็เจอร้านกาแฟที่แบ่งส่วนหนึ่งเป็นห้องสมุดขนาดย่อม ร้านนี้เมื่อตอนปีหนึ่งผมมาบ่อยมากๆ พอขึ้นปีสองเวลาว่างก็น้อยลง เลยไม่ค่อยได้มาเท่าไหร่ ผมตัดสินใจผลักประตูเข้าไปในตัวร้าน กลิ่นกาแฟอ่อนๆ ลอยเตะจมูก ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย อดไม่ได้ที่จะควักแบงค์ร้อยใบเดียวในกระเป๋ากางเกงออกมาเป็นค่ากาแฟหนึ่งแก้ว

      “เอามอคค่าแก้วนึงฮะ” ยืนรอไม่ถึงสิบนาที กาแฟกลิ่นหอมราคาไม่แพงก็อยู่ในมือผมเป็นที่เรียบร้อย ผมเดินลัดเลาะไปตามซอยที่ถูกแบ่งด้วยชั้นหนังสือหวังจะหาที่นั่งสงบๆ สักที่นึง เพราะช่วงนี้คือช่วงสอบ ไม่แปลกที่ร้านน่ารักๆ ใกล้มหาวิทยาลัยจะเต็มแน่นไปด้วยนักศึกษา

      ผมหยุดแวะเลือกหนังสือที่โซนเรื่องสั้น ไล่นิ้วไปตามสันหนังสือจนหยุดอยู่ที่เรื่องๆ นึง “Me and Sometings about You” ผมหยิบมันออกมา เปิดดูสองสามหน้าก่อนจะตัดสินใจเลือกหนังสือเล่มนี้ให้เป็นเพื่อนตลอดระยะเวลาที่ผมนั่งอยู่ที่ร้าน

      “คชา!! คชาป่ะ?!” ผมหันไปตามเสียงเรียกตามสัญชาตญาณ เห็นผู้ชายคนนึงยืนโบกมือหย็อยๆ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล และตอนนี้ผมว่าหน้าผมต้องซีดลงมากแน่ๆ เมื่อเห็นว่าผู้ชายคนนั้นเป็นเพื่อนของเต๋า... แน่นอนว่าเต๋าเป็นหนึ่งในคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะนั่น

      “หวะ หวัดดี” ผมยกมือข้างที่ถือหนังสือโบกกลับไปพร้อมกับยิ้มแห้งๆ ก่อนจะก้าวเดินช้าๆ ไปที่โต๊ะ “มาอ่านหนังสือกันเหรอ?”

      “อื้ม มานั่งด้วยกันเปล่า? นั่งได้นะ... เชี่ยเต๋า เพื่อนมึงไม่ใช่อ่อ?” คนเดิมตอบคำถามผมแถมชวนให้ผมนั่งร่วมโต๊ะด้วย ก่อนจะหันไปใช้ศอกกระทุ้งท้องคนข้างๆ เต๋าค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองผมแวบเดียว... แค่แวบเดียวจริงๆ

      “กูไม่รู้จัก” ผมมองใบหน้าหล่อของมันอย่างไม่เข้าใจเหมือนกับเพื่อนร่วมโต๊ะคนอื่นๆ ผมวางหนังสือที่พึ่งหยิบมาเมื่อกี้ตรงหน้ามันแล้วเดินออกมาทันที

      ผมไม่รู้ว่าเนื้อหาของหนังสือเป็นยังไง คนเขียนเขียนถึงเรื่องอะไรบ้าง แต่ที่ผมหยิบหนังสือเล่นนี้มาเพราะผมเปิดไปเจอหน้าสุดท้าย และผมอยากให้เต๋าเห็น...

       

      ผมเดินกลับหอพักพร้อมกับแก้วกาแฟที่ตอนนี้น้ำแข็งละลายจนกาแฟจืดและน้ำตาเค็มๆ ที่ไหลเข้าปากจนรู้สึกอิ่ม ทำไมตอนเดินมาไม่เห็นจะไกลเท่าขากลับเลย... ผมโยนแก้วมอคค่ามูลค่า 70 บาทลงถังขยะหน้าลิฟท์ของหอ เป็นเวลาเดียวกับที่ลิฟท์จอดและเปิดพอดี ขาเรียวของผมก้าวเข้าไปก่อนที่ผมจะยกนิ้วกดเลข 3

      ไม่ใช่ชั้นของห้องเฟรม แต่เป็นชั้นของห้องผมกับเต๋า...

       

      ติ๊ง

      เสียงลิฟท์ดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าถึงชั้นจุดหมายแล้ว ผมเดินตามทางไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความเงียบแล้วมาหยุดที่ห้องหมายเลข 323 กุญแจห้องที่พกติดตัวอยู่ตลอดถูกหยิบขึ้นมาใช้ไขประตูตรงหน้าหลังจากเก็บไว้นานถึงสามวัน

      “โห... โคตรเน่า” ผมบ่นอุบเมื่อเห็นสภาพห้องที่แย่มาระดับวิกฤต เสื้อผ้ากองเต็มเตียงจนไม่มีที่ให้นอน จานชามถ้วยช้อนที่ใช้แล้วแทบจะล้นอ่างล้างจาน ไหนจะคราบเศษอาหารบนเตาแก๊สและในไมโครเวฟ เศษผมที่ร่วงเต็มพื้นห้องน้ำ และกลิ่นเหม็นอับฟุ้งไปทั่วห้อง... เต๋ามันอยู่ไปได้ยังไง?!

      ไม่แปลกใจเลยครับที่เป็นสภาพห้องแบบนี้ภายในเวลาแค่สามวัน เพราะปกติผมจะคอยเก็บเช็ดเก็บล้างให้คุณชายตลอด(มันไม่เคยทำเชี่ยไรเลย) แต่ที่แปลกใจคือมันอยู่ไปได้ยังไง สภาพแบบนี้ไม่ปวยก็โคตรถึกเป็นควายบันไซแล้วครับ

      ผมก้มมองนาฬิกาที่บอกว่าตอนนี้จะสองทุ่มแล้ว... เอาวะ! มันคงยังไม่กลับมาเร็วๆ นี้หรอก

      เริ่มจากการเก็บเสื้อผ้าที่กองมั่วซั่วลงตะกร้าให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นก็จัดการกับจานกองยักษ์ ลามไปเช็ดคราบมันจากเศษอาหารต่างๆ ในครัว ทำความสะอาดไปก็กลัวไปครับ ระแวงว่าจะมีหนูหรือแมงสาปวิ่งออกมามั้ย บอกตามตรงว่าคชาไม่ซี้เลยจริง

      พอเปลี่ยนโฉมครัวเน่าๆ ให้สะอาดเอี่ยมเสร็จแล้ว ผมก็มาดูดฝุ่น เช็ดของ ถูห้องจนห้องทั้งห้องเหมือนถูกเนรมิตขึ้นมาใหม่ภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง เหงื่อท่วมตัวกันเลยทีเดียว แต่ก็รู้สึกดีนะ... มีอะไรทำฆ่าเวลา ดีกว่าไปนอนคิดมากเรื่องเดิมๆ ผมมองไปรอบๆ ห้องด้วยความภูมิใจก่อนจะรีบเก็บอุปกรณ์ต่างๆ เข้าที่เตรียมพาตัวเองออกจากห้องนี้... เดี๋ยวเจ้าของห้องอีกคนกลับมา... ผมไม่อยากเจอ

      แต่ก่อนที่จะได้ย้ายตัวเองออกจากห้องนี้ สายตาก็พลันไปเห็นสิ่งๆ หนึ่งที่ถูกวางคว่ำเอาไว้ข้างทีวีจอใหญ่...

      รูปถ่ายของผมกับเต๋า... ที่ทะเล...

      ผมเดินไปหยิบมันขึ้นมา มองรอยยิ้มของผมและมันก่อนจะยิ้มออกมา เมื่อกี้ที่ทำความสะอาดห้องผมไม่ได้เข้ามาเฉียดแถวโต๊ะทีวีนี่เลย เพราะเห็นมันยังปกติดีอยู่ และขณะที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะวางกรอบรูปคว่ำไว้แบบเดิม(ซึ่งคาดว่าเต๋าเป็นคนทำ) หรือจะวางตั้งไว้อย่างที่มันควรจะเป็น หรือจะเก็บกลับไปด้วยเลยเพราะเต๋าคงไม่ต้องการมันแล้ว ยังไม่ทันจะตัดสินใจอะไรได้ ก็มีเสียง...

      แกร็ก

      ผมสะดุ้งเฮือก หูไม่ได้ฝาดแน่ๆ เมื่อกี้มันเป็นเสียงเปิดประตูชัดๆ ผมค่อยๆ หันไปทางประตูก็พบกับร่างสูงที่เพิ่งนึกถึงไปเมื่อกี้สดๆ ร้อนๆ และดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่ทันสังเกตเห็นผมเพราะกำลังงุ่นอยู่กับการถอดรองเท้าอยู่ ผมวางกรอบรูปสีครีมนั่นไว้อย่างลวกๆ จนลืมมองว่ามันหมิ่นเหม่ใกล้จะตกไม่ตกแหล่ แล้วรีบเดินไปประชันหน้ากับเต๋า แต่ผิดคาด... พอเต๋าวางรองเท้าไว้ตรงชั้น เขาก็เดินผ่านผมไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงเสียอย่างนั้น ทำเหมือนว่าผมไม่ได้ยืนอยู่ในห้องนี้ ทั้งๆ ที่เมื่อกี้เดินเฉียดไหล่ผมนิดๆ ด้วยซ้ำ...

      เต๋าไม่ได้ไม่เห็นผม... แต่ตั้งใจทำเป็นไม่เห็นต่างหาก...

       

      เพล้ง!

      และน้ำตาลูกผู้ชายของผมก็ไหลลงมาอีกครั้ง พร้อมกับกรอบรูปที่แตกเละไม่สามารถต่อให้เหมือนเดิมได้...

       

       

       

       

       

       

       

      “เฮ้ย มึงเป็นไรวะ” เฟรมที่นั่งอยู่ที่เดิมวิ่งโร่มาหาผมหลังจากที่ผมพึ่งปิดประตูห้องไปแหมบๆ ผมอยู่ในสภาพตาบวมตุ่ย จมูกแดงแจ๋ แถมตัวช่วงบนยังเปียกนิดๆ อีกด้วย เฟรมมันจับตัวผมหมุนเหมือนจะเช็คสภาพร่างกายว่ายังดีอยู่มั้ย แต่มันหมุนจนผมเริ่มเวียนหัวแล้วเนี่ย “รอยช้ำก็ไม่มี ไม่ได้โดนต่อยหรือข่มขืน แล้วมึงร้องไห้ทำไมวะ”

      ...เกือบจะซึ้งละ นี่ผมเป็นผู้ชายนะโว้ย ใครจะมาข่มขืนไอ้บ้านี่!

      “ข่มขืนพ่อมึงสิ่...” ผมตอบเสียงสะอื้น คว้าตัวมันมากอดแน่นแล้วปล่อยโฮอีกรอบ เฟรมไม่พูดอะไรแต่ยกมือขึ้นมาลูบหัว ลูบหลังสลับกันไป แม้มันจะดูเก้ๆ กังๆ ปลอบคนไม่เป็นก็เหอะแต่มันก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นเหมือนกัน เราสองคนยืนกอดกันเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม ก่อนมันจะพาผมมานั่งที่โซฟาพร้อมเสิร์ฟโอวัลตินอุ่นๆ ให้ถึงที่

      “ให้กูเดานะ เรื่องเต๋าใช่ป่ะ” ผมส่ายหน้า เม้มปากแน่นกลัวเสียงสะอื้นจะเล็ดลอดออกมา “โกหก กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปีละคชา บอกกูมาเดี๋ยวนี้ ทะเลาะอะไรกัน มันทำอะไรมึงกูจะไปจัดการให้!” ผมกำแก้วโอวัลตินแน่น รู้สึกเหมือนเด็กประถมที่แอบขโมยเงินแม่ไปซื้อลูกอมแล้วถูกจับได้ยังไงก็ไม่รู้... ผมวางแก้วในมือลงบนโต๊ะตัวเตี้ยตัวเดิมแล้วค่อยๆ ลุกขึ้น

      “ไม่มีไรหรอก กูเหนื่อย ขอไปพักก่อนนะ” ผมก้มหน้ามองเท้าตัวเองขณะที่พูดกับมันเบาๆ ก่อนจะเดินช้าๆ ไปหลังฉากที่เป็นตัวแบ่งห้องนั่งเล่นกับห้องนอน

      “กูไม่รู้ว่ามึงกับเต๋าทะเลาะอะไรกัน และกูจะไม่อยากรู้หรือเซ้าซี้ถ้ามึงไม่อยากบอก แต่กูว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่ๆ คชา... มึงจำไว้นะว่ากูอยู่ข้างมึงเสมอไม่ว่าเรื่องมันจะแย่แค่ไหน” เสียงเฟรมตะโกนมาในจังหวะเดียวกันกับที่ผมยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างกายพอดี นอนทั้งๆ ที่ผมยังเปียกอยู่นี่แหละ ดันทะลึ่งอยากเล่นเอ็มวีไปยืนอยู่ใกล้ๆ น้ำพุในสวนของหอพักให้ละอองน้ำมันกระเด็นใส่... ถ้าป่วยขึ้นมาจะสมน้ำหน้าตัวเองให้!

      แต่ประโยคของเฟรมเมื่อกี้ มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากเลยนะ... จริงๆ

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

      พฤษภาคม 2555  สวัสดี, เพื่อนใหม่

       

      “ไอ้เฟรมนะไอ้เฟรม ไอ้เพื่อนชั่ว!” ร่างบางบ่นอุบอิบขณะที่กำลังแบกกล่องที่เต็มไปด้วยของใช้ของตัวเขาเอง มุ่งหน้าไปยังห้องหมายเลข 803 รอบที่สามแล้วที่เขาต้องแบกสัมภาระขึ้นลงบันได้แปดชั้น... ถามว่าทำไม่ไม่ใช้ลิฟท์? ตอนแรกก็คิดอยู่ว่ามันเป็นเรื่องที่สบายมากๆ ที่จะแบกของขึ้นห้องโดยไม่เหนื่อยเพราะมีลิฟท์ แต่แหม... วันนี้คนขนของเข้าหอกันเป็นว่าเล่น ถ้าหากใช้ลิฟท์กว่าจะขนของมาไว้บนห้องเสร็จก็คงสามทุ่มโน่นแหละ...

      “ถ้าเจอนะพ่อจะเตะให้คอเคล็ดไปเลย!” แบกของไปไป บ่นไป ปาดเหงื่อไป หากเพื่อนตัวดีที่เพิ่งโดนบ่นไปมาช่วยกันก็คงไม่ต้องเสียแรงกับเรื่องไม่จำเป็นแบบนี้มากนัก และคงไม่ต้องมาคอยพ่นคำด่าให้บั่นทอนพลังที่เหลืออยู่น้อยนิดนี่ด้วย!

      ฮึบ!

      ขาเรียวยกขึ้นเตะประตูห้องเบาๆ ก่อนจะกระแทกกล่องกระดาษที่หนักโคตรๆ เพราะหนังสือหนาหลายเล่มลงกับพื้น พลางเอื้อมกำปั้นไปทุบแผ่นหลังบางเบาๆ เพื่อบรรเทาอาการปวด และคชาก็ต้องช็อคเมื่อเห็นกองสัมภาระวางระเกะระกะเต็มห้องไปหมด!!

      “อะไรวะ กูเก็บของเข้าที่หมดแล้วนะเว้ย!” อารมณ์ที่ไม่ดีอยู่แล้วยิ่งไม่ดีขึ้นไปอีก คชาใช้เท้าเขี่ยกล่องสามสี่กล่องที่วางอยู่บนพื้นดูรกหูรกตาออกก่อนจะลากกล่องหนังสือของตัวเองไปใกล้ชั้นหนังสือ

      ลงไปแค่แปบเดียวเอง แต่ของกลับรกแบบนี้...

      “ของกูเอง”

      คนตัวเล็กหันไปตามเสียงที่ได้ยิน คิ้วเรียวขมวดจนจะผูกเป็นโบว์ ไอ้ผู้ชายหน้าตาน่าเกลียดที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำนี่มันเป็นใคร? จำได้ว่าตอนลงไปไม่มีใครอยู่นอกจากเขา และอาจารย์ประจำหอก็บอกว่าเพื่อนร่วมห้องของเขาจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ แล้วนี่...

      “ใครวะ”

      “เต๋า รูมเมทมึง” ชายผิวขาวยิ้มกว้างปิดท้ายประโยคก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงชั้นล่างของเตียงสองชั้นที่วางอยู่มุมห้อง

      “ไหนอาจารย์บอกมาพรุ่งนี้ไงวะ แล้วไม่คิดจะเก็บของเหรอ?!” คชาลุกจากชั้นหนังสือไปยืนปลายเตียงพร้อมกับดึงข้อเท้าของคนที่นอแผ่อยู่ “มาเก็บเร็ว กูไม่ชอบห้องรกๆ”

      “ไม่ชอบก็เก็บเองดิ่ เหนื่อย ขอนอนก่อน” เต๋าไม่สนใจในสิ่งที่คนตัวเล็กพูด เขาเหนื่อยจริงๆ ที่ต้องยกกล่องเกือบห้ากล่องขึ้นมารวดเดียวเพราะขี้เกียจจะเดินขึ้นลงหลายรอบ เต๋าหลับตาลงอย่างสบายๆ เหมือนจะกวนประสาทคชาเล่น

      “อ้าวไอ้นี่! นี่แหนะ!!” ใช่ว่าคชาจะยอม คชาปีนขึ้นเตียงก่อนจะนอนทับร่างหนาแล้วออกแรงกดทับพร้อมกับกลิ้งตัวไปมาหวังว่าจะกวนเวลานอนของเต๋าได้ไม่มากก็น้อย “แล้วกูจะนอนข้างล่างด้วย มึงไปนอนข้างบน!

      ไม่เพียงเท่านั้น คชายังเบียดตัวไปนอนข้างๆ เต๋าด้านริมในที่ชิดกับกำแพงและออกแรงดันให้อีคนกลิ้งตกเตียงไป แต่เกมดันพลิก เมื่อเต๋าลุกขึ้นมาใช้ลำตัวของตัวเองคร่อมคชาเอาไว้

      “มานอนนัวเนียกับกูแบบนี้... อยากเหรอมึง?”

      “อยากพ่อง! มึงเป็นเกย์เหรอวะ!!

      “เปล่า แต่กูก็ลองได้หมด” ไม่พูดเปล่า เต๋าโน้มหน้าลงมาใกล้คชาจนห่างกันแค่คืบเดียว...

      “โรคจิต!” คชากัดเข้าไปที่จมูกโด่งของเต๋าเต็มคำ ตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของร่างสูง และเสียงยิ่งดังขึ้นไปอีกเมื่อเจ้าตัวยันตัวขึ้นแล้วหัวไปกระแทกกับใต้เตียงชั้นสอง...

      “ก๊ากกกกก!! ฮ่าๆๆๆๆๆ” คชาถึงกับกุมท้องขำเสียงดังและใช้จังหวะนี้เขยิบย้ายตัวเองออกจากพันธนาการ

      “ขำมากมั้ยมึง” เต๋ามองค้อน มือก็ลูบหัวไปพลาง ลูบจมูกไปพลาง แค่เจ็บไม่เท่าไหร่ แต่กลิ่นน้ำลายนี่... เศรษฐพงศ์ยอมไม่ได้จริงๆ

      “มากเลยว่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ คืนนี้2ทุ่มมาเล่นเกมกับกูนะ ใครชนะได้นอนข้างล่าง! ใครแพ้ก็ไปนอนดมฝุ่นจากเพดานที่ชั้นบนนู่น แล้วถ้ากูกลับมาของมึงยังรกอยู่ กูจะถือว่ามึงแพ้ไปเลยนะ” คชายื่นข้อเสนอ... ไม่สิ่ เหมือนจะเป็นข้อบังคับมากกว่า ก่อนเอ่ยแซว

      “อุ้ยๆ อะไรปูดขึ้นมาบนหัว ฮ่าๆๆๆๆ อย่าลืมเอาน้ำอุ่นมาประคบนะมึง แบร่!” แลบลิ้นปลิ้นตาแล้วก็วิ่งหายจากห้องไป ทิ้งไว้เพียงรอยแค้นฝังหัว(โน)ให้เต๋า...

      “ไอ้แสบ!!!

       

       

       

       

      “กูเจอรูมเมทกูละ แม่งกวนตีนชิบหาย เหม็นขี้หน้ามัน! เพราะมึงอ่ะแหละ ไม่ยอมมานอนกับกู” ร่างบางบ่นให้เพื่อนคนสนิทฟังขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินหาอะไรยัดใส่ท้องที่ตลาดหน้ามหาวิทยาลัย

      “เอ้า ก็หอในมันแคบนี่หว่า แถมแยกชายหญิงอีก กูไม่โอเคอ่ะ แล้วไมมึงไม่มาแชร์ค่าห้องกับกูเล่า!

      “กูเคยบอกไปแล้วไงว่าแม่กูกลัวกูหนีเที่ยวกลางคืน ให้นอนหอในเพราะมันกำหนดเวลาปิดหอ” เป็นอย่างที่คชาว่า เพราะคุณแม่ที่สุดแสนจะหวงห่วงลูกชายคนเล็กของบ้านกำชับนักกำชับหนาว่ายังไงก็ไม่ให้ไปนอนหอนอกเด็ดขาด! ถึงแม้ว่าคชาจะแอบเถียงในใจว่าเขาอายุ 18 ปีแล้ว แยกแยะได้ว่าอะไรดีไม่ดี ควรไม่ควรก็เถอะ แต่ก็ต้องยอมทำตามคำสั่งคุณแม่อยู่ดี... และก็จริงอย่างที่เฟรม เพื่อนซี้ของคชาตั้งแต่ป.3บอกว่าหอในมันแคบไปหน่อย มีแค่พื้นที่พอสำหรับวางเตียง โต๊ะ และห้องน้ำ แถมยังแยกเป็นหอชาย หอหญิง ซึ่งคนขี้หลีแบบเฟรมไม่ยอมแน่ๆ เพราะเขาเชื่อในพรหมลิขิตตามแบบฉบับนิยายน้ำเน่าที่นางเอกกับพระเอกพักอยู่ห้องตรงข้ามกันอะไรแบบนี้ แต่ก็ต้องหงายหลังเมื่อจริงๆ แล้วห้องตรงข้ามของเฟรมนั้นเป็นกะเทยตัวบึก...

      หากเฟรมยอมอยู่หอในกับคชา มันก็พอจะยื่นเรื่องขอให้อยู่ห้องเดียวกันได้ แต่พอเพื่อนสนิทไม่เอาด้วย คชาจึงให้อาจารย์จัดห้องให้ไปเลย เขาก็ไม่คิดว่าจะเจอกับเพื่อนร่วมห้องที่ไม่ถูกชะตากันแบบนี้ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ที่สนิทกันตอนมอปลายก็แยกย้ายไปอยู่คนละมหาวิทยาลัยกันหมด

      “โอ๋~ นุ้งชา~” เฟรมทำท่าล้อเลียนคชาเหมือนเด็กน้อยที่ห่างไกลแม่ไม่ได้ คชาอดหมั่นไส้ไม่ได้ อยากจะจับลูกชิ้นในมือยัดปากให้หยุดพูดไปสักพัก! แต่ติดตรงที่ว่า... ลูกชิ้นมันอร่อย เสียดายของ!!

      “กวนตีน” คชาพูดเบาๆ

      “รึไม่จริง เวลามึงคุยกับแม่ทีไรนะ กูนึกว่าเด็กสามขวบ อ้อนชิบหาย” มาถึงตรงนี้คชาถึงกับเถียงไม่ออก คชาเป็นคนที่ขี้อ้อน กับคนที่คชารักเป็นพิเศษ

      “เรื่องของกู แดกๆ เข้าไปเหอะ” มือเรียวจับมือเพื่อนซี้ข้างที่มีข้าวเหนียวจิ้มไปตรงปาก หวังให้เพื่อนกินจะได้ไม่ต้องมากวนประสาทเขาอีก ก่อนจะแอบเอามือเข้าไปล้วงไก่ทอดในมืออีกข้างของเฟรมมากินชิ้นนึง

      เรื่องของกินน่ะ คชาถนัด!

      “อีกสองวันรับน้องแล้วว่ะ ตื่นเต้น” คชาพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น เมื่อสิ่งที่เขาเฝ้ามาตลอดของการเข้ามหาลัยกำลังใกล้เข้ามาทุกที จะได้รู้จักเพื่อนใหม่ รู้จักรุ่นพี่ ได้เจอสาวๆ นี่แหละชีวิตมหาวิทยาลัยที่คชาต้องการ!

      “เขาว่าคณะเราโหดนะมึง ตัวบางๆ แบบมึงนี่สลบไปหลายราย” เฟรมขู่

      “มึงรู้ได้ไง พูดยังกับเคยรับน้องงี้”

      “เอ้า ลืมแล้วหรอว่าพี่กูก็เรียนวิศวะ พี่ฟิล์มมันเล่าให้ฟังว่าเพื่อนมันอ่ะ หุ่นแบบมึงเลย ผอมๆ บางๆ งี้ เป็นลมตั้งแต่ฐานที่ 2 ละ”

      “มันอยู่ที่ใจ ไม่ใช่ร่างกายเว้ย! คชานี่สู้ตาย” คนตัวเล็กยืดอกพร้อมทุบกำปั้นลงไปเบาๆ ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมสองสามที ให้คนข้างๆ รู้ว่าเขาเนี่ยใจสู้!

      “กูจะคอยดู!” จบประโยคของเฟรมก็มีเถียงกันต่อเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะหันไปสนใจของกินนานาชนิดตรงหน้าต่อ แค่ข้าวเหนียวไก่ทอดที่เฟรมเป็นคนซื้อกับลูกชิ้นหมูปิ้งห้าไม้ที่ผมควักตังค์จ่ายไปมันไม่พอสำหรับกระเพาะของสองคนนี้เลย

       

       

       

       

      และแล้ว... เวลาแห่งการแข่งขันก็มาถึง ทันทีที่เข็มสั้นชี้เลขแปด เข็มยาวชี้เลขสิบสอง ศึกครั้งใหญ่ก็ได้เริ่มต้นขึ้น! ขอแนะนำ ศึกมวยคู่อาฆาต... คชา มดเขียว เกี่ยวใจสาว และ เต๋า กลูต้า สบตาแล้วระทวย!!

      “เป่า ยิงงงงง ฉุบ!” สองเสียงประสานกันลั่นห้องไม่เกรงใจห้องข้างๆ เลยแม้แต่น้อย ตามด้วยเสียงโหยหวนของเต๋า ผู้ออกกระดาษมาให้กรรไกรของคชาตัดฉับๆ กติกาของเกมที่คชาคิดไว้ก็คือ... ใครทนไม่ไหวก่อนแพ้!

      “เบาๆ นะเบาๆ” ผู้แพ้ส่งเสียงเบาร้องขอความเห็นใจ คชายกยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะ...

      เพี้ยะ!!

      ฝ่ามือเล็กนุ่มนิ่มฟาดลงไปสุดแรงบนมือของอีกฝ่ายที่จับกับมืออีกข้างของเขา เต๋าซี้ดปากกลั้นเสียงของความเจ็บปวด สะสมเป็นความแค้นก่อนจะลงมือเป่ายิงฉุบกันต่อไปเรื่อยๆ... ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่มีใครยอมใคร เต๋าที่มีผิวขาววิ๊งเกินคนทั่วไปยิ่งเห็นรอยแดงที่มือชัดเจนมากกว่าคชา และบวกกับที่เต๋าเป็นฝ่ายแพ้เสียส่วนใหญ่ ทำให้คชาโดนตีมือไปแค่สี่ห้าทีเท่านั้น

      “ยังไหวหรอวะ เส้นเลือดแตกกูไม่รู้นะ” คชาพูดก่อนจะง้างมือเตรียมจะตีมือเต๋าเป็นรอบที่สิบ... “แค่ขึ้นไปนอนข้างบนเอง กูไม่อยากเสี่ยงกับความปลอดภัยของมือมึงนะ”

      “ถึงมันจะเป็นแค่เรื่องแค่นี้ กูก็ไม่ยอมแพ้หรอก ศักดิ์ศรีมันจุกอยู่ลิ้นไก่กูเนี่ย!” เต๋าทำหน้ามั่นใจทั้งๆ ที่เพิ่งแอบกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่เมื่อกี้ พร้อมกับยกมือข้างที่ว่างปาดเม็ดเหงื่อที่ซึมออกมา

      “เอาละนะ... 1 2..”

      “3 ซักทีดิ่วะ!” เมื่อคชาทิ้งช่วงนานเกินไป เต๋าที่หลับตารอรับความความเจ็บเลยท้วงขึ้นมา

      “3!!

      เพี้ยะ!!!!

      “อ๊ากกกกกกกกกก” และนี่ก็คงเป็นการเป่ายิงฉุบตีมือครั้งสุดท้ายของคืนนี้และอาจจะตลอดไป เกมช่วงชิงเตียงนอนชั้นล่างเป็นอันว่าจบลงในที่สุด ผลที่ได้คือ... คชา มดเขียว เกี่ยวใจสาว เป็นฝ่ายชนะไป!!! (ซาวน์เสียงระฆังเป๊งๆ)

      “เย้ๆๆๆๆ” คนชนะกระโดดไปทั่วห้องด้วยความดีใจที่ตัวเองได้นอนเตียงชั้นล่าง ไม่ต้องปีนขึ้นๆ ลงๆ ให้ลำบาก... แต่ความจริงแล้วคือคชากลัวความสูงมากกว่าสิ่งอื่นใด แม้จะเป็นความสูงเพียงเมตรกว่าๆ เกือบสองเมตรจากพื้นถึงเตียงชั้นบนก็เถอะ เวลานอนแล้วมองลงมามันก็สยองได้เหมือนกัน

      “ดีใจมากมั้ย? มือนี่ชาแล้วเนี่ย”

      “ก็บอกให้ยอมแพ้ตั้งแต่แรกๆ ก็ไม่เชื่อ แบร่!” คชาแลบลิ้นใส่เต๋าเป็นรอบที่สองของวันก่อนจะพาตัวเองไปนอนเกลือกกลิ้งบนเตียงอย่างสบายใจ โดยมีเต๋าคอยมองๆ ยิ้มๆ อยู่พักใหญ่

      “แล้วจะไม่นอนไง? เออว่าแต่มึงเรียนคณะไรอ่ะ?” คนตัวเล็กกว่าถาม

      “เกษตร แล้วมึงอ่ะ” เต๋าตอบพลางปีนบันไดขึ้นไปนอนบ้าง

      “วิศวะ”

      “รูปร่างหน้าตาไม่ให้เลยว่ะ จะไหวหรอ?”

      “อีกละ มีแต่คนบอก คอยดูเหอะ จะจบพร้อมกับเกียรตินิยมอันดับ1เลย”

      “อ๋อเหรอ เอาที่สบายใจนะ”

      ปึก!

      “เฮ้ย! เตะไมเนี่ย” ร่างสูงชะโงกหน้าลงมามอง อยู่ๆ ดีคนข้างล่างก็ยกเท้าขึ้นมาเตะไม้ใต้เตียงเฉย

      “ก็มึงกวนตีน! นอนละ เซ็ง” คชาพลิกตัวหันหน้าเข้าหาฝั่งกำแพงแล้วคลุมโปง บ่งบอกว่าไม่อยากคุยแล้ว

      “นอนเร็วจังวะ ยังไม่สามทุ่มดีเลย” เต๋าพูดเบาๆ กับตัวเอง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไฟห้องยังส่องแสงสว่างจ้าอยู่เลย เขาค่อยๆ ไต่บันไดลงมากลัวว่าจะทำให้เกิดเสียงดังจนอีกคนตื่น แล้วเดินไปปิดสวิทซ์ไฟพร้อมกับเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือเพื่อให้มีแสงพอให้เห็นทางเดินบ้าง

      “หน้าที่ก็ไม่ใช่ ลำบากก็ลำบาก โว๊ะ!” บ่นไปอย่างนั้นแต่ก็ปิดไฟเสร็จสรรพ เต๋าปีนขึ้นเตียงไปเหมือนเดิม ดึงผ้าห่มคลุมร่างกายแล้วนอนเล่นโทรศัพท์ต่ออีกสักพักก็หลับไป

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

      พฤษภาคม 2556  ใกล้ชิด... อีกนิดนึง

      “เร็วดิ่เต๋า!” ร่างเล็กบอกเพื่อนร่วมห้องให้รีบยกของใช้ต่างๆ เดินขึ้นบันไดตามเขามาให้ทัน ตอนนี้ทั้งเต๋าและคชากำลังย้ายข้าวของทั้งหมดจากหอของมหาวิทยาลัย ห้อง 803 มาอยู่หอเดียวกับที่เฟรมอยู่ ห้อง 323 แทน

      “ทำไมไม่ช่วยกูเลยวะ มึงนี่ลากกระเป๋าเสื้อผ้าแค่สองใบ ออกแรงสักนิดก็ไม่”

      “เอ้า พ่อนักกล้ามมมมม! กูเห็นมึงอยากได้กล้ามไม่ใช่เหรอวะ นี่ไง แบกของหนักๆ ไปดิ่” คชาว่าอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินตัวปลิวลากกระเป๋าเดินทางสองใบที่บรรจุเสื้อผ้าของคนสองคนไว้ มุ่งหน้าไปยังห้องหมายเลข 323

      “นี่ไงถึงแล้ว!” ร่างบางล้วงกุญแจใจกระเป๋าที่เพิ่งได้รับจากพนักงานข้างล่างมาหมาดๆ แล้วไขประตูเปิดไปเจอห้องขนาดกว้างพร้อมไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ “โคตรใหญ่เลยว่ะ นี่ทนอยู่หอในขนาดรูหนูแบบนั้นได้ไงปีนึงเต็มๆ เนี่ย”

      “ไม่ต้องเวอร์ได้ป่ะ ไปช่วยกูขนของเร็ว ยังมีอีกตั้งเยอะ ของมึงทั้งนั้น” เต๋าหอบน้อยๆ เม็ดเหงื่อผุดเต็มใบหน้าขาว แตกต่างจากคชาสิ้นดี เข้าตัวกำลังเพลิดเพลินกับการเดินไปทั่วห้องพักห้องใหม่ ตัวนี่หอมกลิ่มสบู่ไม่มีแม้แต่กลิ่นเหงื่อ

      “ไรวะ มึงอ่ะขนไป เดี๋ยวกูทยอยจัดของเก็บเข้าที่เอง ตัวกูผอมบางขนาดนี้มึงจะให้ไปแบกของหนักๆ เหรอ สู้ๆ นะพ่อนักกล้าม” คชาตบบ่าเต๋าปุๆ พร้อมกับส่งยิ้มหวานน่ามองให้ แต่สำหรับเต๋ามันกลายเป็นน่าหมั่นไส้และน่าต่อยเสียมากกว่า “เอ้า เร็วดิ่ ยืนนิ่งอยู่ได้ เดี๋ยววันนี้ก็จัดของไม่เสร็จกันพอดี”

      เต๋ามีท่าทีฮึดฮัดไม่พอใจที่อีกคนโยนงานให้ตัวเองคนเดียว แต่ก็ยอมเดินออกจากห้องเพื่อไปขนของขึ้นมาให้ครบตามคำสั่งของคชา

       

      เมื่อปิดเทอมใหญ่ที่ผ่านมา คชาได้หิ้วเพื่อนสนิทสองคนใส่กระเป๋ากลับบ้านไปด้วย เพราะอยากให้เต๋าและเฟรมไปช่วยพูดกับคุณแม่คนดีให้อนุญาตให้คชาย้ายออกมาอยู่หอนอกด้วยกัน ตอนแรกท่านก็ไม่ยอมท่าเดียวแต่สุดท้ายก็มาใจอ่อนกับประโยคของเต๋าที่ว่า ผมจะดูแลคชาอย่างดีเลยครับ คุณแม่ไม่ต้องห่วง

      เกือบสองอาทิตย์เต็มๆ ที่ทั้งเฟรมและเต๋าไปนั่งกินนอนกินอยู่กับคชาและครอบครัว สำหรับเฟรมกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เขามาที่นี่บ่อยเหมือนเป็นบ้านพักตากอากาศส่วนตัวของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น อาการเกร็งและไม่คุ้นชินจึงไม่ปรากฏให้เห็นเลย แต่กับเต๋าคือตรงข้าม นี่เป็นครั้งแรกที่อยู่บ้านคนอื่นนานเกินสองคืน ไม่ใช่ว่าไม่เคยไปนอนบ้านเพื่อน แต่ไม่เคยต้องมานอนในระยะเวลาที่ยาวนานและระยะทางไกลขนาดนี้

      บ้านคชาอยู่ที่เกาะสมุย เป็นบ้านหลังเล็กๆ ติดทะเล ถึงแม้ตอนกลางวันแดดจะแรงเปรี้ยงปร้างสักแค่ไหน ก็ยังมีลมทะเลคอยพัดอาการหงุดหงิดออกไป ให้เหลือเพียงแค่รอยยิ้ม ยิ่งตกเย็นหน่อยบรรยากาศยิ่งดีขึ้นไปอีก ซึ่งการมาบ้านรูมเมทครั้งนี้ทำให้เต๋าได้เห็นอีกมุมนึงของคชาที่เขาไม่เคยได้เห็น คชาน่ารักกว่าที่คิด ตั้งแต่อยู่หอด้วยกันมาหนึ่งปีการศึกษา เต๋าเจอแต่คชาในโหมดเกรียน กวน จนบางครั้งเขารู้สึกหงุดหงิดและอยากจะอัดเพื่อนคนนี้ไปซักที แต่พออยู่กับแม่แล้วคชาเปลี่ยนไปเลย กลายเป็นขี้อ้อน แถมยังชอบทำเสียงและหน้าตาน่ารักอีก เต๋าไม่คิดอยากจะให้คชาทำแบบนั้นกับเขาแน่ๆ คงพิลึกน่าดู แต่หากคชาไม่กวนอวัยวะที่ใช้เดินสักวันก็คงจะดีขึ้นมาก

      “ครบละ!!” ร่างสูงบ่นปนหอบแล้วก็ถอนหายจออกมาเฮือกใหญ่ เต๋าทิ้งตัวลงนอนกับพื้น ไม่สนว่ามันสะอาดหรือสกปรก แต่ตอนนี้เขาไม่มีแรงเหลือแม้แต่จะนั่ง

      “เก่งมาก! เดี๋ยวกูเลี้ยงติม” คชาลากกล่องใบสุดท้ายที่เต๋ายกขึ้นมาจากชั้น1ไป เตรียมจะรื้อมันออกมาก่อนจะเก็บมันเข้าชั้นต่างๆ

      “เฮ้ยมึง! เอารูปนี้ไว้ตรงไหนดี” คชาชูกรอบรูปสีครีมละมุนตาขึ้นมา หวังให้บุคคลที่อยู่ในภาพร่วมกับเขาช่วยตัดสินใจว่าควรจะเอามันไปไว้ที่ไหน “ข้างทีวีหรือข้างหัวเตียง”

      “ทีวีมั้ยมึง หัวเตียงนี่จะเหมือนคู่รักไปว่ะ ฮ่าๆ” เต๋าพูดติดตลก แต่มันกลับทำให้คนฟังรู้สึกจั๊กกะจี้หัวใจแปลกๆ คชาทำตามที่เต๋าบอกอย่างว่าง่าย เขาวางกรอบสี่เหลี่ยมที่บรรจุรูปภาพไว้หนึ่งรูปถ้วนอย่างบรรจง และยิ้มตอบกลับคนในภาพอย่างอารมณ์ดี

      มันเป็นภาพที่คชาชอบที่สุดตั้งแต่เกิดมา ตอนนั้นเขายิ้มอย่างมีความสุขจริงๆ และคิดว่าคนอีกคนในภาพก็เช่นกัน และที่สำคัญทั้งเต๋าและคชาต่างยิ้มให้กันในรูปนี้...

      “มึงเป็นเพื่อนกูตลอดไปนะเว้ยคชา ขนาดเพื่อนที่คณะกูยังไม่รู้สึกสนิทใจเท่ามึงเลย” เต๋าที่เดินมายืนข้างๆ จ้องมองรูปใบนั้นเช่นเดียวกับคชาพูดขึ้น

      “ถ้ามึงเลิกทำตัวซกมก กูก็จะรับคำขอของมึงมาพิจารณานะ” ตบบ่าเพื่อนไปสองสามทีแล้วเดินหัวเราะร่วนไปนั่งแก้เหนื่อยบนโซฟา

      ถ้าไม่กวนก็คงไม่ใช่คชาสิ่นะ!!

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

      “สอบเสร็จแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยย!!!” ผมมองเฟรมที่เกาะขอบระเบียงหน้าห้องสอบพร้อมกับแหกปากเสียงดังไม่เกรงใจอาจารย์หรือเพื่อนนักศึกษาคนอื่นอย่างปลงๆ ผมรู้ว่ามันดีใจ ผมเองก็ดีใจที่ไม่ต้องติดแหงก จมปลักอยู่กับกองหนังสือมหาศาล แต่สิ่งที่ไอ้เฟรมทำน่ะ ไม่เกินไปหน่อยหรอ

      “บ้าเหรอมึง” ผมตบหัวมันไปหนึ่งที โทษฐานที่ทำให้คนนับร้อยจับจ้องมาที่ผมและมัน

      “ก็กูดีใจอ่ะ จะได้ไปเที่ยว จะได้ไปทะเลบ้านมึงไง!” มันยังคงส่งเสียงดังอยู่ แม้จะเบากว่าเมื่อกี้แต่ก็ถือว่าดังกว่าปกติ

      “เสียใจ ปิดเทอมนี้กูไม่กลับบ้าน!” ผมยิ้มเยาะเย้ย

      “อ้าวเฮ้ย! ปีใหม่ทั้งทีมึงไม่กลับบ้านเหรอวะ” มันหน้าเหวอไปนิดๆ เป็นเพราะปีนี้มหาวิทยาลัยเลื่อนเปิดเทอมมาเป็นเดือนสิงหาคมเพื่อปรับระบบการศึกษาให้ตรงกับสมาคมอาเซียนที่จะมาถึงในปี 2558 ช่วงปิดเทอมกลางหรือปิดเทอมระหว่างเทอมหนึ่งและเทอมสองจึงเป็นช่วงปีใหม่พอดิบพอดี ผมก็แอบเสียดายอยู่เหมือนกันที่จะไม่ได้เคาท์ดาวน์ปีใหม่กับพี่ชายและแม่ แต่ถ้าผมเลือกที่จะลืม ผมก็ห้ามกลับไปที่นั่นในช่วงเร็วๆ นี้

      “ไม่ว่ะ กูคุยกับแม่ละว่าจะไปทำงาน”

      “ทำงาน?!!” เฟรมดูอึ้งไปเลยแหะ คงเป็นเพราะปกติผมค่อนข้างเป็นลูกแหง่ติดแม่อะไรแบบนั้นมั้ง

      “อืม ที่รีสอร์ทเพื่อนแม่ แต่กูไม่บอกมึงหรอกว่าที่ไหน เดี๋ยวก็ตามกูอีก” ผมพูดไปเพราะกลัวมันตามผมจริงๆ เฟรมมันไม่มีใครนอกจากพี่ฟิล์ม พี่ชายมัน พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่อยู่ประถม ซึ่งช่วงนั้นมันก็อยู่กับแม่มันอยู่หรอก แต่พอขึ้นมอปลายเท่านั้นแหละ แม่มันดันไปแต่งงานใหม่ เฟรมกับพี่ฟิล์มก็ไม่ถูกกับพ่อเลี้ยง ประจวบเหมาะพอดีที่ฟิล์มเข้ามหาลัย เฟรมกับพี่มันเลยขอปลีกตัวออกมาอยู่กันสองคนพี่น้อง โดยมีเงินจากพ่อและแม่ส่งมาให้ใช้จ่ายทุกๆ เดือน ผมก็เคยถามมันว่าทำไมไม่ไปอยู่กับพ่อซะละ แต่คำตอบของมันก็ทำผมอึ้งไปเหมือนกัน พ่อกูก็แต่งงานใหม่ไปแล้วไงผมก็เข้าใจมันอยู่นะ คงอึดอัดอยู่ไม่น้อยที่ต้องอยู่กับคนแปลกหน้าแบบนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่ได้เจอพ่อแม่เลยซะทีเดียว พวกเขาก็มีนัดทานข้าวกันบ้างตามประสา

      “กูไม่อยากอยู่กับพี่ฟิล์มนะเว้ย! เบื่อตายชัก!” เฟรมหน้าหงิก

      “ก็อยู่หอไปดิ้ มึงก็อยู่หอคนเดียวอยู่ละ”

      “คือมันไม่ใช่เว้ยชา กูอยู่หอคนเดียวก็จริง แต่มันก็แค่ช่วงกลางคืน ตอนกลางวันกูก็มาอยู่กับมึงไง”

      “งั้นมึงไปบ้านกูก็ได้ ไปเล่นกับไอ้คิณ” ผมพูดถึงพี่ชายแท้ๆ แต่ที่ผมไม่เรียกพี่ก็เพราะมันทำตัวไม่เป็นพี่ แถมยังห่างกันแค่ปีเดียวด้วย ผมไม่ถือสาหรอก(?)

      “มีพี่คิณแต่ไม่มีมึงก็ไม่สนุกนะเว้ย”

      “เรื่องมากชิบหาย!” ผมพูดตัดบทแล้วเดินออกจากบริเวณหน้าห้องสอบมุ่งหน้าไปยังโรงอาหารของคณะ ดีที่วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายของนักศึกษาปี 3 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ทำให้คนไม่ค่อยเยอะมากเท่าไหร่นัก เพราะส่วนใหญ่ปี 1 กับปี 2 ก็สอบเสร็จไปแล้วด้วย โรงอาหารจึงมีที่ว่างเหลือเฟือให้คนหน้าตาดีแต่ไม่มีใครเอาอย่างผมนั่งกินข้าวได้สบายๆ

      “มึงจะไม่กลับบ้านจริงๆ หรอวะ” เฟรมถามย้ำอีกครั้งตอนที่เรากำลังนั่งกินข้าวกันอยู่

      “เออ แล้วอย่าบอกใครละ ไม่ว่าใครจะถามก็ตาม เข้าใจมั้ย” ผมย้ำ

      “ไม่ว่ะ ทำไมห้ามบอกอ่ะ”

      “ไม่ต้องสงสัยได้มะ แดกไป”

       

       

       

      เวลาอาหารกลางวันล่วงเลยไปอย่างไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเกิดขึ้น ผมกลับมาที่ห้องของเฟรมพร้อมกับเจ้าตัว ก่อนจะรีบเปิดโน๊ตบุ๊คคู่ใจเพื่อหาตารางการวิ่งของรถไฟจากกรุงเทพไปเชียงใหม่... ใช่แล้วครับ ที่ที่ผมจะไปทำงานหรือรีสอร์ทของเพื่อนแม่นั้นอยู่ที่เชียงใหม่ แถมยังอยู่บนดอยอีกด้วย! แค่คิดก็น่าตื่นเต้นแล้วใช่มั้ยครับ อากาศคงจะเย็นสบายน่าดู แถมวิวก็คงดีกว่าภาพในโปสเตอร์เป็นไหนๆ การที่ต้องกลับไปเจอลมทะเลบ่อยๆ ผมก็แอบเบื่อเหมือนกัน ถึงแม้ทะเลมันจะสวยมากแค่ไหนก็เถอะ คชาคนนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง!

      ผมจดรายละเอียดของเที่ยวรถไฟในสมุดโน้ตเล่มเล็กที่เพิ่งซื้อมาหน้ามหาลัยสองสามวันก่อน ตั้งใจว่าจะใช้เจ้าสมุดนี่จดทุกความทรงจำในการผจญภัยครั้งนี้ อีกอย่างมันก็ถือเป็นการหาอะไรทำตอนว่างๆ ด้วย แทนที่จะคิดถึงคนๆ นั้น ก็มาจดเรื่องราวดีๆ ลงสมุดนี่แทน และเมื่อดูเวลาไปถึงที่หมายและคาดการณ์เวลาเดินทางจากสถานีรถไฟไปยังรีสอร์ทเสร็จแล้วผมก็กดโทรออกหาคุณแม่ทันที เพื่อบอกกำหนดการต่างๆ เพื่อให้แม่ไปบอกคุณน้าอีกที

      “เฟรม กูไปพรุ่งนี้เลยนะ” ผมหันไปบอกเพื่อนคนเดิมและคนเดียวที่นั่งอยู่ข้างๆ บนโซฟา

      “ห้ะ?!! เร็วไปป่ะวะ” เฟรมตกใจ

      “ไม่หรอก ถ้าไม่ไปพรุ่งนี้มันก็ช้าไปแล้ว”

      “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้กูไปส่ง”

      “ไม่เป็นไรเว้ย กูไปเก็บของก่อนนะ” ผมเดินผ่านหลังฉากกั้นเพื่อเข้าสู่โซนห้องนอนก่อนจะดึงกระเป๋าลากใต้เตียงออกมา ผมค่อยๆ พับเสื้อผ้าที่ซักแล้วใส่ลงกระเป๋า และคงจะฝากชุดนักศึกษาไว้กับเฟรมไปก่อน ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเปิดเทอม 2 มาผมจะอยู่กับเฟรมต่อหรือจะย้ายไปที่ไหน และผมก็ชะงักไปชั่วขณะเมื่อมุมของกล่องกระดาษสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลอ่อนมันโผล่พ้นเสื้อผ้าออกมา

      อุตส่าห์แอบเอาไว้แล้วเชียว...

      ผมตัดสินใจหยิบมันออกมาดูอีกครั้งและตั้งใจว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ภายในกล่องขนาดพอดีมือเป็นกระดาษสีขาวชิ้นเล็กถูกม้วนอยู่เต็มไปหมด มองเผินๆ คงคิดว่ามันเป็นฉลากที่เตรียมไว้จับของขวัญหรือผู้โชคดี แต่จริงแล้วๆ บนกระดาษชิ้นเล็กๆ เหล่านั้นคือ วันที่ และสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นๆ ซึ่งถูกเขียนโดยผมเอง... ผมเลือกเขียนวันดีๆ ที่ผมรู้สึกดีลงไปและเก็บเอาไว้ตั้งแต่ต้นปี กะว่าสิ้นปีจะเอามาอ่านว่าในปีนี้เกิดเรื่องอะไรที่ทำให้ยิ้มได้บ้าง แน่นอนว่ากระดาษมากกว่าครึ่งในกล่องนี้... เป็นเรื่องของเต๋า...

      ผมสุ่มหยิบม้วนกระดาษจิ๋วขึ้นมาหนึ่งอัน...

      06/12/14 พรุ่งนี้จะบอกเต๋าดีมั้ย

      ข้อความสั้นๆ แต่มันกลับทำน้ำตาผมรื้น ตั้งแต่วันที่กลับไปทำความสะอาดห้องวันนั้น ก็ผ่านมาสี่วันแล้ว แล้วผมก็ไม่ได้ร้องไห้อีก แต่ตอนนี้ผมกำลังสะอื้น เพียงเพราะประโยคประโยคเดียว

       

       

       

      7 ธันวาคม 2557

      “เต๋า กูถามไรหน่อยดิ่” หน้าเนียนของคชาหันไปมองหน้าเต๋าที่นุ่งดูทีวีอยู่ข้างๆ กันในห้องพักของพวกเขา ในวันหยุดไม่มีเรียนอย่างวันนี้

      “ว่า?” ร่างสูงตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะกำลังดูละครตอนบ่ายของทีวีสักช่องอย่างได้อรรถรส

      “มึงชอบใครอยู่ป่ะ... ตอนนี้” แต่พอได้ยินคำถามจากเพื่อนร่วมห้อง ก็รีบหันไปสนใจทันที

      “อืม... ก็ไม่ได้ชอบใครนะ ถ้ากูมีคนที่ชอบจะบอกมึงคนแรกเลย เคป่ะ?” เต๋าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดคชาถึงได้มาถามแบบนี้ แต่ที่เขาตอบก็เพราะว่ามันไม่มีอะไรเสียหายตรงไหน ตอนนี้เขาก็ไม่ได้ชอบใครจริงๆ คณะเกษตรเรียนหนักกว่าที่คิด แถมส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชายเสียด้วย เขาไม่มีเวลาไปมองหาสาวๆ ที่ไหนหรอก

      “แล้วถ้าตอนนี้กูชอบคนๆ นึง กูต้องบอกมึงป่ะ” คชายังคงต่อบทสนทนาด้วยคำถามเหมือนเคย ใบหน้าหวานดูประหม่าเล็กน้อย เหมือนกำลังจะสารภาพรักกับใครอย่างไงอย่างงั้น

      “บอกดิ่ เราคือเพื่อนซี้กันนะเว้ย ไหนมึงชอบใคร บอกๆๆๆ” เต๋าทำเสียงล้อเลียนพร้อมกับใช้ไหล่แซะไปเบาๆ ที่ไหล่ของคชา แถมสีหน้ายังกรุ้มกริ้มพร้อมจะแซวทันทีที่เสียงใสนั่นเอ่ยชื่อคนที่ชอบออกมา

      “จะดีเหรอวะ” คชายังคงลังเลอยู่ คิ้วสวยขมวดเป็นปม

      “ดีมาก บอกมาเร็วๆๆ จะเครียดไรนักหนาวะ” จากตอนแรกที่นั่งห้องขาพิงโซฟาอย่างปกติ ตอนนี้เต๋าเปลี่ยนมาเป็นนั่งขัดสมาธิบนโซฟาแล้วเปลี่ยนทิศจากหน้าจอทีวีเป็นหน้าคนตัวเล็กแทน

      “กูชอบ...”

      “ชอบ...?”

      “...”

      “...”

      “กู... ชอบมึงว่ะ”

      “...” เต๋านิ่งอึ้งไปทันทีที่ได้ยินคำตอบ ไม่รู้ว่าควรจะตกใจกับอะไรก่อนดีระหว่างเรื่องที่ถูกเพื่อนสนิทแอบชอบ หรือ เรื่องที่เพื่อนสนิทที่แอบชอบนั้นเป็นผู้ชาย... ผู้ชาย!!! เศรษฐพงศ์ก็เป็นผู้ชาย!! จะชอบกันได้ยังไง!!

      “...” เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับของอีกฝ่าย คชาก็รู้ทันทีว่าคำตอบที่ได้คืออะไร จริงๆ เขาก็พอเดาได้ว่ามันต้องจบแบบนี้ แต่เขาก็เลือกที่จะบอกความรู้สึกในใจออกไป...

       

      ห้องทั้งห้องเงียบสงัดไปพักใหญ่... จนกระทั่ง...

       

      “แต่กูชอบผู้หญิง”

       

      และเมื่อประโยคนั้นสิ้นสุดลง ร่างของคนพูดก็หายวับไปจากห้อง เวลาผ่านไปจนค่ำมืดก็ไม่มีทีท่าว่าเต๋าจะกลับมาที่ห้องเลย... คชาเลยยอมรับความจริงและผลที่ได้รับ เขาเก็บเสื้อผ้าออกจากตู้จนเกือบหมดแล้วแปะโน้ตสั้นๆ เอาไว้ที่หน้าประตูก่อนจะเคลื่อนย้ายตัวเองไปยังห้องของเพื่อนสนิทอีกคน...

       

      ขอโทษนะมึง...

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

      “ครับแม่ ชาอยู่ที่สถานีรถไฟแล้ว ครับ เรียบร้อยหมดแล้วฮะ อ๊ะ รถไฟมาแล้ว แค่นี้ก่อนนะแม่ เดี๋ยวถึงแล้วชาโทรไป” ผมกดวางสายจากผู้เป็นแม่เมื่อได้ยินเสียงรถไฟแว่วๆ ตอนนี้เป็นเวลาประมาณเที่ยงนิดๆ แดดแรงกำลังดีเลยละ ผมยกมือขึ้นป้องใบหน้าไม่ให้แสงแดดแยงตาก่อนจะชะโงกหน้าออกไปขบวนรถไฟแวบนึง ไม่ถึงสิบนาที ผมก็ได้ขึ้นมานั่งสบายๆ บนรถยาวๆ นี่แล้ว คนไม่ได้เยอะมาก แต่ก็ไม่ได้น้อยจนโหวง ผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงรถไฟก็ออกตัวเพราะผู้โดยสารขึ้นมากันครบแล้ว ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง... มองไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้... หวังเพียงจะเห็นตึกหอที่ผมเพิ่งจากมา... รู้สึกอยากจะบอกลา...

       

      สายลมเอื่อยๆ ปะทะใบหน้าผมแทบตลอดเวลา ผมเลือกที่นั่งติดริมหน้าต่างเพราะมันสามารถถ่ายรูปได้และอากาศถ่ายเท ทำให้รู้สึกสดชื่น ผมยกกล้องตัวเล็กที่ขอยืมเฟรมขึ้นมาถ่ายภาพวิวเป็นระยะๆ ที่หูก็มีหูฟังเสียบอยู่ เพลงฟังสบายๆ ถูกเปิดอย่างต่อเนื่องมากว่าสามชั่วโมงได้แล้ว... จะว่าเบื่อก็ได้นะ... แรกๆ ก็รู้สึกสนุกอยู่หรอกที่ได้ขึ้นรถไฟเป็นครั้งแรก แต่พอผ่านไปหลายชั่วโมงมันก็เริ่มเซ็ง นี่ระยะทางยังไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ ผมต้องนั่งหงอยๆ แบบนี้ไปอีกสิบกว่าชั่วโมงแหน่ะ

      ผ่านไปอีกสามสี่ชั่วโมง ผมเริ่มเดินไปหาอะไรมาใส่ท้องเพราะรอให้คุณป้าหาบของมาขายถึงที่ไม่ไหว อีกอย่างก็เริ่มจะเมื่อยก้นมานิดๆ แล้วเลยลุกเดินเสียหน่อย เดินไปแป๊บเดียวก็เจอกับร้านขายของของทางรถไฟ ผมเลือกซื้อมาม่ามาคัพนึงกับขนมขบเคี้ยวอีกสองสามอย่างก่อนจะเดินกลับมานั่งที่เดิม... พอกินอิ่ม ตาก็จะปิด ผมเลยตัดสินใจงีบหลับไป กะว่าคงตื่นตอนประมาณเที่ยงคืน แต่ที่ไหนได้...

      “น้องครับๆ ถึงสถานีเชียงใหม่แล้วนะ” ผมสะดุ้งตื่นเพราะแรงเขย่าของพี่พนักงานรถไฟ มองออกไปนอกหน้าต่างก็พบกับชานชาลาที่ค่อนข้างสลัว คงเพราะตอนนี้เป็นเวลาเช้ามืด ผมบอกขอบคุณพี่คนที่มาปลุกไปแล้วเก็บของพร้อมลากกระเป๋าตัวเองลงจากตัวรถไฟ...

      ถึงแล้วสิ่นะ

      เชียงใหม่จ๋าาาาาาาาาาาาาาา

       

      ผมพาร่างกายที่ยังคงไม่ตื่นดีของตัวเองเดินไปด้านหน้าของชานชาลาที่เต็มไปด้วยรถสองแถวสีแดงหรือรถแดงที่คนเชียงใหม่เรียกกัน เดินถามหาคันที่จะขึ้นดอยที่ผมจะไป ไม่มีใครบอกว่าจะขับผ่านสักคน จนมาถึงคันเกือบสุดท้าย ผมเห็นคุณลุงคุณคนขับกำลังคุยกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอย่างงูๆ ปลาๆ ผมเลยเสนอหน้าเข้าไปช่วยเสียเลย

      Excuse me, where do you want to go? (ขอโทษนะครับ ต้องการจะไปที่ไหนกันหรอ?)สำเนียงกึ่งไทยกึ่งอังกฤษของผมเปล่งออกไป เรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยวคู่รักนั่นได้ทันที

      Oh! We want to go to this resort. (ผมต้องการจะไปที่รีสอร์ทนี้)” หนุ่มต่างชาติยื่นแผนที่ของรีสอร์ทนั่นให้ผมดูทันที “But seem like he doesn’t understand what I am saying. (แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด)

      Thank god! I have to go there too! Let’s me talk to him. (ขอบคุณพระเจ้า! ผมก็ต้องไปที่นั่นเหมือนกัน ผมคุยกับเขาให้นะ)” ผมตอบกลับ ก่อนที่จะหันไปคุยกับคุณลุงคนขับ “พวกเราจะไปที่ดอยนี้น่ะฮะ คุณลุงไปได้มั้ย?”

      “อืม...” คนถูกถามทำท่าคิด “ไหนๆ ก็ไปกันตั้งสามคน งั้นขึ้นรถเลย แต่รอคนอื่นๆ ให้เต็มรถก่อนนะ” ผมยิ้มหวานทันทีที่คุณลุงตอบตกลง พลางหันไปบอกชาวต่างชาติทั้งสองให้ขึ้นรถได้เลย เท่าที่อ่านรีวิวต่างๆ ตามเว็บบอร์ดมา เขาบอกว่าประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะไปถึงดอยที่ผมต้องการจะไป...

       

      กว่ารถแดงจะออกเดินทางและมาถึงยังตีนดอยก็เป็นเวลาหกโมงเช้าเกือบจะเจ็ดโมง ซึ่งอากาศดีมากจนไม่อยากจะให้ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้ามามากกว่านี้ แล้วยิ่งทางขึ้นดอยเต็มไปด้วยต้นไม้ ยิ่งทำให้สดชื่นยิ่งขึ้นไปอีก ผมสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด... ที่นี่แหละที่ที่ผมต้องการจะผ่อนคลาย... ที่นี่แหละที่ผมจะทิ้งความรู้สึกที่มันล้ำเส้นเพื่อนเอาไว้...

      คิดถึงเต๋านะ คิดถึงมาก ตั้งแต่อ่านหนังสือสอบก็ไม่ได้เจอกันเลย ตั้งแต่ครั้งนั้นที่มันทำเหมือนไม่เห็นผม ตั้งแต่วันนั้นที่น้ำตาของผมไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย อยากมีโอกาสได้บอกมันบ้างว่าผมเป็นห่วงมันมากขนาดไหน ไม่อยากให้มันอยู่ในห้องรกๆ ไม่อยากให้มันไม่สบาย ไม่อยากให้มันต้องมาเจ็บป่วยตอนที่ไม่มีผม

      แต่ก็นั่นแหละ... บางทีการไม่มีผมมันก็คงดีมากกว่า เต๋าเองก็จะได้ไม่อึดอัดใจด้วย ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตามองตรงไปด้านหน้าด้วยสายตาที่หวั่นไหว อยากเจอ อยากมีโอกาสได้กอดมันแบบเนียนๆ เหมือนที่ผ่านมา บางทีก็คิดนะว่าถ้ามันต้องเป็นแบบนี้... ผมไม่บอกดีกว่า

      ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตัดสินใจกับหัวใจตัวเองอย่างเด็ดขาด ครั้งสุดท้ายเถอะ ให้ผมได้บอกมันอีกสักครั้ง...

       

      ไม่มีกูคอยกวนตีนแล้วสบายเลยสิมึง 55555555 ดูแลตัวเองด้วยนะ... เพื่อนรักของกู...

       

      “ลาก่อนความรู้สึกแย่ๆ ลาก่อนเต๋า...”

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×