ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~The kingdom of magic~

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 โรงเรียนแชงกรีร่า

    • อัปเดตล่าสุด 17 เม.ย. 49


    เบื้องหน้าของพวกเขาคือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่   อาคารหินอ่อนที่อยู่ตรงกลางมันดูจะเด่นและงดงามที่สุดและมันคล้ายปราสาทเสียมากกว่าจะเรียกว่าโรงเรียน   ถูกรายล้อมไปด้วยตึกอีกสามตึกเป็นครึ่งวงกลม   แต่ละตึกมีจุดเด่นต่างกัน   ตึกแรกเป็นอาคารสีขาวสูงสะอาดตาเน้นแบบโรมันนิดๆมีธงสีขาวโบกไสวเป็นสัญลักษณ์      ต่อมาสร้างด้วยหินแกร่งสีออกน้ำตาลที่เด่นสะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นยอดแหลมของหอคอยที่ตั้งสง่าเทียมฟ้าอยู่ตรงกลางของตึกและธงสีเหลืองอยู่บนยอดหอคอย   สุดท้ายตึกสีเทาที่โบกด้วยปูนจะมีหินแซมอยู่บ้างเล็กน้อย   และมีหอคอยที่ต่างจากตึกหลังที่สองอยู่ขนาบทั้งสองด้านขาดไม่ได้เห็นจะเป็นธงสีที่ตึกนี้เป็นสีแดง   เด่นไม่แพ้ตึกใดๆ   โรงเรียนนี้ใหญ่โตมโหฬารจริงๆ   ถ้าพวกเขาเผลอเข้าไปคงจะต้องหลงหาทางออกไม่เจอเป็นแน่   บรรยากาศรอบๆดูร่มรื่นต้นไม้ใหญ่น้อยถูกตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

     

    ซาเดีร์ย   มาทอร่า   เด็กสาวอายุ   15   ปี   ที่จริงน่าจะเรียกว่าเจ้าหญิงเสียมากกว่า   เธอมีเรือนร่างสูงโปร่งแลดูบอบบางแต่ก็แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ   ผมยาวสลวยสีน้ำตาลอ่อนถูกรวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง   นัยน์ตาสีฟ้ามีแววรั้นจ้องมองไปยังเบื้องหน้า   เธอเป็นคนที่สวยคนหนึ่งในสายตาผู้คนรอบข้าง   จะติดก็แค่นิสัยห้าวของเธอที่แก้ยังไงก็ไม่หายและเด็กหนุ่มหน้าหวาน   หรือจะเรียกว่าสวยซะจนเกือบงดงาม   หากไม่สังเกตดีๆอาจคิดไปได้ว่าเป็นเด็กผู้หญิง   กำลังยืนข้างๆเธอจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก   มินชาโร   มาทอร่าหรือที่เรียกสั้นๆว่ามินท์   ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องชายแต่จริงแล้วอายุเท่ากัน   กำลังยืนทึ่งอยู่กับภาพเบื้องหน้าดวงตาสีเขียวมรกตจ้องอย่างไม่กระพริบ   ใบหน้าขาวได้รูปสวยริมฝีปากบางใสเหมือนเยลลี่ที่เพิ่งทำเสร็จ   เขามีผมสีดำขลับเป็นเงาบอกถึงการดูแลเป็นอย่างดี

     

    พื้นที่โดยรอบเนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา   ที่เดินทางมาจากทุกสารทิศของอาณาจักร   เด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขาไม่น้อยมาที่นี่เพื่อเข้ารับการสอบ   โรงเรียนแชงกรีร่าจัดได้ว่าเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียง   คนที่จะไปเรียนนั้นต้องมีความสามารถสูงทั้งด้านการเรียนการสอนที่ยอดเยี่ยมและความเพียบพร้อมทางด้านฐานะ   เนื่องจากเป็นโรงเรียนชื่อดังในแต่ละปีจึงมีผู้เข้ารับการสอบหลายร้อยคนและอาจรวมไปถึงพวกเจ้าหญิงเจ้าชายของแต่ละเมืองที่ยกทัพมาเพื่อนเรียนที่นี่แต่ผู้ที่จะได้เข้าเรียนจริงๆนั้นมีน้อยมากถึงขั้นน้อยที่สุด   แม้จะรู้ว่ามีความเป็นไปได้ต่ำแต่ผู้คนส่วนใหญ่กลับคิดว่าคุ้มถ้าหากได้เรียน

     

    คนเยอะแบบนี้เห็นแล้วสยองพิลึกแฮะ ซาเดีร์ยบ่นพึมพำตามประสา...นิสัย

     

    แล้วเราต้องทำยังไงต่อล่ะมินท์เอ่ยถามอย่างคนใคร่รู้   ในขณะที่สายตายังกวาดมองรอบข้างราวกับกำลังหาอะไรสักอย่าง

     

    อ้าว   มาถามพี่แล้วพี่จะไปถามใครล่ะ ซาเดีร์ยตอบน้อง

     

    เออนั่นสิเนอะเขาพูดแล้วยิ้มแห้งๆ

     

    ลองไปตรงโน้นก่อนดีไหมเธอชี้ไปทางที่คิดว่าน่าจะใช่ที่สุด   อันที่จริงจะเรียกว่าเดินตามคนส่วนมากไปก็ไม่แปลก

     

    พวกเขาหอบสัมภาระที่เตรียมมาแล้วไปต่อแถว   ซาเดีร์ยมองผู้คนที่แบกของมาพะรุงพะรังบางคนยิ่งกว่าบ้าหอบฟางอีกไม่รู้ขนอะไรมานักหนาก็แค่สอบ   ก่อนคิดเสียดายที่ต้องแบกของมาฟรี   ถ้าหากไม่ได้รับการคัดเลือก   มินท์เดินไปต่อแถวก่อนตามด้วยซาเดีร์ย   เมื่อลงชื่อเสร็จมีเวลาให้สิบห้านาทีเพื่อทำธุระและเตรียมตัว   จากนั้นให้ไปรวมกันที่ห้องโถงใหญ่ซึ่งพวกเขาได้รับแผนที่เรียบร้อยแล้ว

     

    พี่   เราไปกัน...ตุบ มินท์ทักพี่สาวเลยไม่ทันมองข้างหน้าจนไปชนกับใครคนหนึ่งเข้า   หนังสือหลายเล่มตกจากมือผู้ถูกชนกระจัดกระจายเต็มพื้น

     

    ขะ...ขอโทษค่ะ   เอ่อ...คือฉันไม่ระวังเอง เขาพูดแล้วรีบเก็บหนังสืออย่างรีบเร่ง

     

    อะ...เออไม่ต้องขอโทษหรอก...เอ่อ...ฉันไม่ทันมองเองต่างหากมินท์พูดแล้วรีบช่วยเก็บทันที  

     

    เด็กสาวคนนั้นตัวไม่ใหญ่นัก   อายุก็คงประมาณเท่าพวกเขา   เธอใส่แว่นตาหนาเตอะแต่ก็จัดว่าหน้าตาดี   ผมของเขาเป็นสีดำมันวาวถูกมัดไว้สองข้างพาดบ่ามันดูยุ่งนิดๆ  นัยน์ตาสีดำนั้นบอกชัดถึงความเฉลียวฉลาดรอบรู้ที่เจ้าตัวมีอยู่แต่เธอดูไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองนัก

     

    โห   หอบหนังสือมาซะเยอะเชียวซาเดีร์ยทัก   แล้วจ้องมองไปยังกองหนังสือกองโตในมือหล่อนพลางคิดว่าชาตินี้เธอจะมีโอกาสสนใจหนังสือได้สักครึ่งของหล่อนรึเปล่า

     

    เอ่อ   ฉันจำเป็นต้องอ่านมันน่ะค่ะ หล่อนยังคงใช้คำสุภาพอยู่   ก่อนก้มลงมองนาฬิกาฉันต้องไปแล้วขอตัวก่อนนะคะเธอรีบพูดแล้วเดินจากไป

     

    จะรีบอะไรกันนักหนานะ เธอบ่น ช้านิดช้าหน่อยไม่เห็นเป็นไรเลยเหลือเวลาอีกตั้งเยอะปากเธอก็พูดไปแบบนั้นแต่จริงๆแล้วเธอตื่นเต้นมาก   เธอเกลียดการสอบเป็นที่สุด   ถ้าหากเป็นไปได้ขอเดินเข้าไปสมัครเรียนเลยคงจะดี   แต่ถึงเธอจะตื่นเต้นหรืออยากหนีแค่ไหนเธอก็ต้องพบกับมันอยู่ดีในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้

    …………………………………………

    ขณะนี้ที่ห้องโถงเต็มไปด้วยผู้คนที่จะมาเข้ารับการสอบ   ทำให้พื้นที่กว้างๆดูแคบไปถนัดตา   เสียงพูดคุยดังก้องไปทั่วห้องจนฟังไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร   แต่ที่รู้ๆก็คือหลายเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น   ตื่นตาและตื่นใจ   ถึงแม้ทุกคนจะมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส   หัวเราะเฮฮาครื้นเครง   แต่บรรยากาศก็ดูกดดันอย่างบอกไม่ถูก

     

    ภายในห้องสี่เหลี่ยมนี้จะเน้นโทนสีแดงเป็นหลัก   ทั้งประตู  เวที  ย่อมตกแต่งไปด้วยม่านสีแดง   หรือแม้หระทั่งเก้าอี้ที่นุ่มสบายนี้ยังเป็นสีแดง   ยิ่งสร้างบรรยากาศให้กดดันยิ่งขึ้น   เวทีใหญ่ตรงหน้าสูงจากพื้นประมาณเกือบเมตรทำจากไม้ชั้นดีขัดจนเป็นเงา   ข้างหลังเวทีมีประตูบานเล็กอยู่บานหนึ่ง   ซึ่งเป็นที่จับตามองของเหล่าผู้เข้าสอบเป็นอันมาก

     

    สักครู่ก่อนที่ชายชราคนหนึ่งจะเดินออกมาจากหลังประตู   เสียงคุยก็เงียบหายไปเหลือเพียงความกดดันที่ยิ่งทวีขึ้น   ใบหน้าที่เหนื่อยอ่อนของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยบ่งชัดถึงอายุ   ผมยาวสีขาวหงอกทั้งหัว   นัยน์ตาสีน้ำเงินคมกริบที่เยือกเย็นแต่ก็แฝงความอ่อนโยนไว้ลึกๆกับแว่นตาที่จะอยู่ห่างจากตัวไม่ได้   ยิ่งทำให้เขาดูน่านับถือที่สุดสมกับเป็นมหาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาเดเนต

     

    ขอบคุณที่กรุณาช่วยเงียบ   เป็นเกียตอย่างสูงที่ทุกคนให้ความไว้วางใจในโรงเรียนแชงกรีร่านี้   หลายคนคงรู้จักฉันดีใช่ไหม   ฉันชื่อ   รูสเทล   พาเซนต้า   หรือที่รู้จักกันในนาม   มหาปราชญ์   ไฮท์   เซราธี   ที่   14   เป็นครูใหญ่ผู้ดูแลที่นี่   โรงเรียนของเราถูกตั้งขึ้นเมื่อพันกว่าปีก่อน   เปลี่ยนผู้ดูแลมาก็มากแล้ว   เราจะแบ่งหอนอนออกเป็น   3   หลังด้วยกันคือ   ปราการขาว   ศิลาจันทรา   และหอคอยนักรบ   ส่วนใครจะได้อยู่บ้านไหนนั้นก็คงสุดแล้วแต่ผลการสอบ   โดยประตูแต่ละบ้านจะเป็นคนเลือกพวกเธอเอง  สุดท้ายนี้ฉันก็ขอให้พวกเธอทุกคนโชคดีกับการสอบ   ตอนนี้ขอให้พวกเธอทำตัวให้สบาย   รอจนกว่าศาสตราจารย์แซนลิด้า   เจฟฟรี   จะออกมาอธิบายกติการสอบต่อนะ

     

    ร่างของเขาเดินหายเข้าไปในประตูบานนั้นพร้อมกับความโล่งใจของนักเรียนหลายคน   เสียงคุยเริ่มดังจิ๊ก  จั๊กขึ้นอีกครั้ง   ซาเดีร์ยหันไปคุยกับมินท์ที่กำลังนั่งชื่นชมบรรยากาศของสวนหญ้าข้างนอกหน้าต่างบานโตให้หายเซ็งแต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยปากเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลัง   เธอจึงตัดสินใจหันไปดู   เด็กผู้หญิงสี่ห้าคนนั่งจับกลุ่มคุยกันตามประสา

     

    ศิลาจันทราหรอ   ชื่อแปลกชะมัด เด็กสาวคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้น   เธอจัดได้ว่าเข้าขั้นหน้าตาดี   ผิวขาวเนียนละเอียดนั้นออกสีชมพูระเรื่อ  

     

    อืม   ฉันได้ยินมาว่า   ที่บนยอดหอคอยนั่นน่ะมีศิลาจันทราอยู่      เค้าเล่ากันว่าทุกครั้งที่เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงแท่นศิลาที่อยู่บนหอคอยนั่นจะส่องแสงรับกับแสงจันทร์สวยมากเลยล่ะ เด็กสาวอีกคนกล่าว    เรียกความสนใจของซาเดีร์ยให้หันไปร่วมวงด้วย   เจ้าตัวเลยตัดสินใจมุดเข้าแทรกหน้าตาเฉย   แต่รู้สึกจะไม่มีใครสนใจนัก   บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆก่อนจะมีคนรอบข้างแห่กันเข้ามาตั้งวงใหญ่  

     

    ฉันว่าฉันต้องได้อยู่ปราการขาวแน่เลย   ถ้าสอบผ่านนะ เสียงฮาดังขึ้นจากผู้ร่วมวงคนอื่นๆยกเว้นซาเดีร์ยที่ไม่เข้าใจความหมาย   เลยบากหน้าลองกระซิบถามคนข้างๆ   ซึ่งดูจะพูดด้วยได้ง่ายที่สุด   และจะหน้าแตกน้อยที่สุด

     

    เออ...หวัดดี   ปราการขาวนี่มันทำไมหรอ นัยน์ตาสีฟ้าในเบื่อนมาสบอย่างงงๆ   ผมสีทองยาวสลวยที่ปกอยู่รอบใบหน้ารูปไข่นั้นช่างดึงดูดสายตาให้ชวนมอง   ริมฝีปากสีกุหลาบแย้มรอยยิ้มให้เธอก่อนขยับพูด

     

    หวัดดีจ้ะ...ปราการขาวก็เป็นหอนอนหนึ่งนั่นแหละที่ส่วนใหญ่คนที่อยู่จะเป็นพวกเก่งๆฉลาดๆรอบรู้โดยเฉพาะความสามารถด้านเวทมนตร์   มหาปราชญ์เองก็จบจากบ้านนี้แหละจ้ะ รอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร   และกริยาท่าทางเรียบร้อยน่าคบหาเสมือนผ้ายับ...เอ๊ย...ผ้าขาวบางที่รีดไว้   สำหรับผ้ายับที่ไม่สามารถพับได้นั่นคงจะเป็นเธอเสียมากกว่า

     

    อาฮะ...แล้วหอคอยนักรบล่ะ ได้โอกาสจึงถามต่อ   ผู้ถูกถามมองหน้าซาเดีร์ยงงๆระคนสงสัย   ว่าเธอไปขุดหลุมรี้ภัยยู่ที่ไหนถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย   เหมือนเจ้าคนถามจะรู้ตัวจึงได้ยิ้มแหยๆแก้เก้อ

     

    ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกที่กล้าหาญ   มุ่งมั่นน่ะจ้ะ   มีคนเคยบอกว่าบ้านนี้มีแต่พวกซาดิสม์ ป่าเถื่อน   แต่ฉันว่าคงไม่หรอก การอธิบายที่เข้าใจง่ายทำให้ซาเดีร์ยอยากจะซักต่อ   แต่ยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากถามอะไร   ผู้ชี้แจงก็ตัดหน้าซะก่อนอย่างรู้ทัน ส่วนศิลาจันทรา   เค้าว่าเป็นพวกที่ใจดี   อ่อยโยน   น่าคบหาเป็นกันเอง   แต่ก็แข็งแกร่งมากๆเลยล่ะ   เหมือนดาบซ่อนคมนั่นล่ะมั้งจ๊ะ คำอธิบายยิ้มๆจากผู้รู้ดี   หรือจะเรียกว่าเธอโง่เกินไปก็ไม่ผิด     

     

    พี่พูดอะไรกันอยู่น่ะ เด็กหนุ่มหน้าหวานที่นั่งข้างๆเธอทิ้งความสนใจจากสวนกว้างเข้ามาพูดด้วย   นัยน์ตาสีเขียวมรกตมองเด็กสาวทั้งสองสลับกันไปมา   อย่างจะถามว่า   ผู้หญิงคนนี้ใคร

     

    อะ...อ๋อ   ฉันไมรอน   คิมโทรอสจ๊ะ   มาจากคาเรส   ยินดีที่ได้รู้จัก   แล้วพวกเธอล่ะ

     

    ซาเดีร์ย   มาทอร่า   แล้วนี่   มินชาโร   มาทอร่า   น้องชายของฉัน   เออ...อันที่จริงก็เพื่อนกันนั่นแหละนะ   พวกเรามาจาก   โรบาเลีย ซาเดีร์ยแนะนำตัวพลางหยิบปลาหมึกทอดกรอบชนิดถุงที่ซ่อนไว้ในกระเป๋าออกมาแกะเข้าปาก   แล้วยื่นออกไปข้างหน้า เอ้า   เอามาจากที่เค้าแจกหน้าโรงเรียน   กินไหม   รสชาติแหม่งๆแฮะ ประโยคหลังเรียกว่าบ่นขึ้นมาลอยๆมากกว่า   มินท์มองหน้าวาเดีร์ยอย่างสงสัยว่าทันไปเอามาตั้งแต่เมื่อไหร่   แต่ก็ไม่วายหยิบมาเข้าปากเคี้ยวตุ่ยๆ

     

    อร่อยดีออก พูดเสร็จก็พยักพเยิดให้ไมรอนกินด้วย

     

    เสียงคุยดังเซ็งแซ่ของเหล่านักเรียนที่จับกลุ่มคุยกันเป็นจุดๆ   แรงกดดันที่กระหน่ำมาเป็นครั้งเป็นคราได้เริ่มกลับมาอีก   ทำให้ทั้งห้องชวนอึดอัดเป็นอย่างยิ่งจนซาเดีร์ยเริ่มไม่อยากจะอยู่ต่อ   ได้แต่ภาวนาให้ศาสตราจารย์อะไรสักอย่างนั่นเพราะเธอจำชื่อไม่ได้รีบๆมา   อย่างน้อยก็ก่อนที่ปลาหมึกทอดถุงสุดท้ายจะหมดและเธอจะไม่มีกิจกรรมทำข้ามเวลา

     

    เขาจะสอบกันยังไงหรอพี่ น้องชายสุดที่รักส่งคำถามชวนปวดกะบาลมาอีกแล้ว   นี่ก็อยู่ด้วยกันตลอดถ้าเขาไม่รู้แล้วเธอจะรู้ไหมเนี่ย  

     

    คงเหมือนทุกปีล่ะมั้ง คำตอบง่ายๆที่คนโง่แค่ไหนก็คงตอบได้ถูกส่งไปไขความให้กระจ่าง   แต่มันจะมีประโยชน์สักเท่าไหร่กันนั่น   ช่วยได้มากจริงๆพี่เรา   คำที่ผู้เป็นน้องได้แต่คิดพะงึมพะงำ

     

    ไม่นาน(ซะเมื่อไหร่)ประตูเล็กก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง   ศาสตราจารย์หญิงคนหนึ่งเดินออกมา   เธอสวมชุดสีเขียวสะอาดเรียบร้อย   ใบหน้าขาวและดูเยาว์วัยนั้นเปื้อนรอยยิ้มเสมอ   ในมือเธอมีแฟ้มสีดำถืออยู่   ตามมาข้างหลังเธอ   ชายร่างสูงในชุดดำเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งขรึมและแววตาที่ดุดันดุจเหยี่ยวจนอาจขนลุกได้   เขาเดินมายืนเบื่อหน้าทุกคนที่ตอนนี้ประจำตำแหล่งเรียบร้อยแล้ว

     

    สวัสดีนักเรียน   พวกเธอที่นี่เกือบทุกคนคงรู้จักฉันมาบ้างแล้วสินะ   จากพวกรุ่นพี่ของเธอ   ฉันศาสตราจารย์เมรอส   บัสเลอร์   เป็นครูฝ่ายปกครองและเป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ปี 1 ถึง 3... ปกติแล้วตอนนี้พวกเธอจะต้องรับฟังคำชี้แจงเรื่องกติกากัน   แต่ปีนี้ทางโรงเรียนได้ประชุมกันเอาไว้เกี่ยวกับการสอบ   เนื่องจากการสอบนี้อันตรายมาก   หากพวกเธอเป็นอะไรไปถึงแก่ชีวิตทางโรงเรียนจะไม่รับผิดชอบ   จึงขอให้เซ็นใบยินยอมนี้ก่อน   หรือพวกเธอจะไม่เซ็นก็ได้แต่ก็จะไม่มีสิทธิสอบเช่นกัน   มีอะไรสงสัยไหม เขาเงียบอยู่ครู่เปิดโอกาสให้ซักถาม   แต่เนื่องด้วยประวัติที่ไม่น่าพิสมัยของเขาจึงไม่มีแม้ใครหน้าไหนกล้าขัด   หรือแม้แต่จะปริปากปรึกษาอะไร งั้นก็ดีแล้ว   ขอให้คนที่จะสอบมาเข้าแถวด้านนี้   ส่วนคนที่จะกลับเดินออกทางประตูด้านหลัง พูดเสร็จก็รับเอกสารชุดหนึ่งจากศาสตราจารย์แซนลิด้า   เจฟฟรี   ที่ยืนอยู่ข้างหลัง   มาวางไว้บนโต๊ะหน้าเวที

     

    คนส่วนใหญ่เริ่มทยอยกันไปต่อแถวเซ็นชื่อยินยอม   พร้อมกับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ลุกเดินออกไปทางประตู   หลายคนที่ยังคงนั่งคิดปรึกษาหาลือกันอยู่ที่เก้าอี้   ส่วนศาสตราจารย์เมรอสนั้นได้เดินไปคุยอะไรบางอย่างกับครูผู้หญิง

     

    เอาไง   จะสอบไหมมินท์ ซาเดีร์ยหันไปถามน้อง

     

    แล้วพี่ว่าไงล่ะ   ถึงตายเชียวนา   แต่ถ้าสอบผ่านมันก็ดี ใบหน้าขาวทิ้งรอยกังวลอย่างเห็นได้ชัด   ท่าทางที่ซาเดีร์ยทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่

     

    เค้าก็ขู่ไปงั้นแหละ   นี่คิดจะหาทางลดจำนวนคนเข้าสอบเป็นแน่ พูดเชิงปลอบน้องชาย

     

    แต่ฉันได้ยินข่าวมาว่า   ปีที่แล้วมีคนตายกับการสอบด้วยนะจ๊ะ ประโยคต่อมาของไมรอนเล่นงานมินท์ให้หน้าซีดเป็นไก้ต้มอบเผือก   ส่วนซาเดีร์ยได้แต่นั่งเกาหัวอย่างกับศีรษะเธอเป็นแหล่งเพาะรังแคยังไงยังงั้น (เริ่มซกมกแล้วแฮะเรา -- --)

     

    แต่ฉันจะสอบ   ยังไงมาถึงขั้นนี้แล้วลองดูสักตั้งก็ไม่เสียหาย   ฉันเริ่มรู้สึกว่ามันน่าสนุกขึ้นแล้วสิ คำกล่าวที่มินท์และไมรอนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตรงไหน

     

    ซาเดีร์ยหัวเราะแหะๆก่อนแววตาจะเปล่งประกายความมุ่งมั่น   เธอต้องสอบผ่านให้ได้เพราะสัญญากับท่านพ่อเอาไว้แล้ว   หากคำสัญญานั้นจะไม่มีทางทำให้สำเร็จได้ก็อย่าสัญญาให้เสียเวลาเลยจะดีกว่า  คิดได้จึงลุกเดินไปต่อแถวพร้อมกับมินท์และไมรอนที่เดินตามมาโดยไม่มีข้อแม้

    ………………………………………….

    หลังจากเซ็นใบยินยอมแล้วสังเกตได้ชัดว่าจำนวนผู้เข้าสอบลดลงกว่าครึ่ง   เมื่อทุกคนกลับไปนั่งที่แล้วศาสตราจารย์แซนลิด้า   เจฟฟรี   ก็เดินออกมาเพื่อจะชี้แจงต่อ

     

    สวัสดีจ้ะทุกคน   ตกลงที่เหลือนี้สอบใช่ไหมจ๊ะ   เอาล่ะ   ครูก็ขอแนะนำตัวก่อนเลย   ครูมีชื่อว่าศาสตราจารย์แซนลิด้า   เจฟฟรี   หรือเรียกสั้นๆว่ามิสแซนดี้ก็ได้นะจ๊ะ   ครูเป็นครูสอนวิชาเวทย์พยากรณ์   และวันนี้ก็มารับหน้าที่อธิบายกติกาการสอบ   การสอบในครั้งนี้จะแบ่งออกเป็น   2   รอบด้วยกัน   รอบแรกคือรอบที่กำลังจะเริ่มในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้   และรอบที่สองคิดว่าน่าจะมะรืน   งั้นครูก็จะขออธิบายกติการอบแรกก่อนเลย   รอบแรกนี้จะเป็นการสอบทักษะไหวพริบและพละกำลังโดยใช้ดาบ

     

    ดาบ!!  ลักกี้   เธอทำได้สบายอยู่แล้ว   สำหรับเธอการฟันดาบมันเป็นกิจกรรมโปรดยามว่างที่จิ๊บจ้อยมาก   แต่สำหรับร่างบางที่ยืนอยู่ข้างเธอนี่สิที่อาการหนัก   มินท์หน้าถอดสีหัวใจหล่นตุบลงเกือบจะถึงพื้น   อันที่จริงมันเหี่ยวไปแล้วตั้งแต่คำว่าทดสอบโดยใช้พละกำลังถูกเปล่งออกมา   มันแหงอยู่แล้วสำหรับเด็กหนุ่มที่เกิดมาเคยจับดาบไม่ถึงสิบครั้ง   ไม่เหลือซากแน่ๆงานนี้   มินท์คิดในใจ   ซาเดีร์ยตัดสินใจเอื้อมมือข้างหนึ่งไปจับมือเขาเป็นเชิงปลอบก่อนลอบถอนหายใจ

     

    ครูจะอธิบายกติกาอย่างป็นทางการสักทีนะ   อืม   ข้อแรกเราจะไม่จำกัดวิธีการโจมตีหรือตั้งรับในการสู้ของแต่ละคน   ใครมีท่าเด็ดอะไรก็ควักเอามาใช้ได้หมดเลยนะจ๊ะ   ข้อที่สองสำหรับบางคนที่ใช้เวทย์เป็นมาบ้าง   เราไม่อนุญาตให้ใช้เวทมนตร์ในการแข่งขันรอบนี้   ใครฝ่าผืนก็จะถูกตัดสิทธิจากการแข่งขัน   และข้อที่สามสู้จนกว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้   ที่ว่ามาสามข้อนี้ใครมีคำถามบ้างจ๊ะ มิสแซนดี้เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น

     

    ศาสตราจารย์คะ   ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมพูดยอมแพ้ละค่ะเด็กสาวคนหนึ่งยกมือขึ้นถามยังไม่ทันที่มิสแซนดี้จะตอบอะไร   ก็ถูกขัดขึ้นโดยเสียงเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง

     

    ก็ฆ่าซะสิเขาพูดเรียกเสียงฮือฮาได้ดีเยี่ยม

     

    ไม่ได้หรอก   ครูลืมบอกกติกาข้อสุดท้ายไป ห้ามสู้จนอีกฝ่ายถึงแก่ชีวิต   ถ้าหากอีกฝ่ายตายผู้ฆ่าจะถูกปรับแพ้ทันที   และในกรณีที่เขาไม่ยอมแพ้เราก็ต้องสู้จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหมดแรงสู้ไม่ไหวไปเอง   และผู้ชนะจะต้องยืนหยัดอย่างน้อยสามสิบวินาที   ถ้ามิเช่นนั้นจะถือว่าเสมอและตกรอบไป

     

    ส่วนการแข่งขันเราจะให้พวกเธอจับฉลากเลือกคู่ต่อสู้   นั่นก็หมายถึงพวกเธอจะไม่มีสิทธิเลือกเองและในระหว่างการแข่งพยายามอย่าฝ่าฝืนกติกาละเพราะในสนามจะมีผู้คุมอยู่เต็มไปหมด   กติกามีอยู่แค่นี้แหละ   เอาละ   ครูก็ขอให้ทุกคนโชคดีกับการสอบนะจ๊ะเธอยิ้มหวานให้นักเรียนทุกคนในห้องโถง   แล้วเดินไปคุยกับศาสตราจารย์เมรอสต่อ  

     

    มิสแซนดี้นี่สวยเด็ดขาดไปเลยแฮะ   แถมยังใจดีอีก ซาเดีร์ยชื่อชมอย่างยิ้มๆก่อนเสียงหนึ่งจากเด็กผู้ชายข้างหลังจะดังแว่วเข้าหู

     

    เฮ้ย   ยัยนี่เป็นเลสเบี้ยนว่ะ   แม้แต่ครูยังไม่เว้น…” คำพูดหยุดไปแค่นั้นเมื่อหมัดตรงพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วระดับไฮท์สปีเฉาะปากเจ้าคนปากมอม

     

     

    นายนี่นินทาเบาจริงๆจนฉันแทบจะไม่ได้ยินแนะ   คราวหน้าคราวหลังหัดพูดให้ดังๆกว่านี้หน่อยนะ คำพูดทิ้งท้ายจากคนปล่อยหมัดเต็มแรงด้วยความหวังดี   ทำเอาคนนินทาเบาเกือบสลบเมือกคาที่   เจ็บนี้คงจะจำไปอีกนานว่าการจะนินทาคน   คงต้องดูเวลาและสถานที่   และสิ่งสำคัญบางทีการพูดดังมันอาจไม่เป็นสิ่งที่ดีนัก

     

    ซาเดีร์ยลุกพรวดเดินนำออกไปจากห้องโถงตามคนส่วนใหญ่ใน   ขณะที่มินท์กับไมรอนได้แต่นั่งตาค้างไปนานกว่า   3  นาที   จึงได้สติรีบเดินตามไป  

    ……………………………………………….
    มีคนเคยบอกเอาไว้ว่าชื่อโรงเรียนของข้าน้อยนั้นแปลกมากมาย  เหอๆสงสัยจะเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง  ก็ข้ามันชอบของแปลก  แต่ถึงไงมันก็ไม่มีใครมาอ่านอยู่แล้วแหละ  ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะว่าจะลงไปทำไม 555+

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×