คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 โรงเรียนแชงกรีร่า
เบื้องหน้าของพวกเขาคือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ อาคารหินอ่อนที่อยู่ตรงกลางมันดูจะเด่นและงดงามที่สุดและมันคล้ายปราสาทเสียมากกว่าจะเรียกว่าโรงเรียน ถูกรายล้อมไปด้วยตึกอีกสามตึกเป็นครึ่งวงกลม แต่ละตึกมีจุดเด่นต่างกัน ตึกแรกเป็นอาคารสีขาวสูงสะอาดตาเน้นแบบโรมันนิดๆมีธงสีขาวโบกไสวเป็นสัญลักษณ์ ต่อมาสร้างด้วยหินแกร่งสีออกน้ำตาลที่เด่นสะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นยอดแหลมของหอคอยที่ตั้งสง่าเทียมฟ้าอยู่ตรงกลางของตึกและธงสีเหลืองอยู่บนยอดหอคอย สุดท้ายตึกสีเทาที่โบกด้วยปูนจะมีหินแซมอยู่บ้างเล็กน้อย และมีหอคอยที่ต่างจากตึกหลังที่สองอยู่ขนาบทั้งสองด้านขาดไม่ได้เห็นจะเป็นธงสีที่ตึกนี้เป็นสีแดง เด่นไม่แพ้ตึกใดๆ โรงเรียนนี้ใหญ่โตมโหฬารจริงๆ ถ้าพวกเขาเผลอเข้าไปคงจะต้องหลงหาทางออกไม่เจอเป็นแน่ บรรยากาศรอบๆดูร่มรื่นต้นไม้ใหญ่น้อยถูกตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ซาเดีร์ย มาทอร่า เด็กสาวอายุ 15 ปี ที่จริงน่าจะเรียกว่าเจ้าหญิงเสียมากกว่า เธอมีเรือนร่างสูงโปร่งแลดูบอบบางแต่ก็แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ผมยาวสลวยสีน้ำตาลอ่อนถูกรวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง นัยน์ตาสีฟ้ามีแววรั้นจ้องมองไปยังเบื้องหน้า เธอเป็นคนที่สวยคนหนึ่งในสายตาผู้คนรอบข้าง จะติดก็แค่นิสัยห้าวของเธอที่แก้ยังไงก็ไม่หายและเด็กหนุ่มหน้าหวาน หรือจะเรียกว่าสวยซะจนเกือบงดงาม หากไม่สังเกตดีๆอาจคิดไปได้ว่าเป็นเด็กผู้หญิง กำลังยืนข้างๆเธอจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก มินชาโร มาทอร่าหรือที่เรียกสั้นๆว่ามินท์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องชายแต่จริงแล้วอายุเท่ากัน กำลังยืนทึ่งอยู่กับภาพเบื้องหน้าดวงตาสีเขียวมรกตจ้องอย่างไม่กระพริบ ใบหน้าขาวได้รูปสวยริมฝีปากบางใสเหมือนเยลลี่ที่เพิ่งทำเสร็จ เขามีผมสีดำขลับเป็นเงาบอกถึงการดูแลเป็นอย่างดี
พื้นที่โดยรอบเนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ที่เดินทางมาจากทุกสารทิศของอาณาจักร เด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขาไม่น้อยมาที่นี่เพื่อเข้ารับการสอบ โรงเรียนแชงกรีร่าจัดได้ว่าเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียง คนที่จะไปเรียนนั้นต้องมีความสามารถสูงทั้งด้านการเรียนการสอนที่ยอดเยี่ยมและความเพียบพร้อมทางด้านฐานะ เนื่องจากเป็นโรงเรียนชื่อดังในแต่ละปีจึงมีผู้เข้ารับการสอบหลายร้อยคนและอาจรวมไปถึงพวกเจ้าหญิงเจ้าชายของแต่ละเมืองที่ยกทัพมาเพื่อนเรียนที่นี่แต่ผู้ที่จะได้เข้าเรียนจริงๆนั้นมีน้อยมากถึงขั้นน้อยที่สุด แม้จะรู้ว่ามีความเป็นไปได้ต่ำแต่ผู้คนส่วนใหญ่กลับคิดว่าคุ้มถ้าหากได้เรียน
“คนเยอะแบบนี้เห็นแล้วสยองพิลึกแฮะ” ซาเดีร์ยบ่นพึมพำตามประสา...นิสัย
“แล้วเราต้องทำยังไงต่อล่ะ” มินท์เอ่ยถามอย่างคนใคร่รู้ ในขณะที่สายตายังกวาดมองรอบข้างราวกับกำลังหาอะไรสักอย่าง
“อ้าว มาถามพี่แล้วพี่จะไปถามใครล่ะ” ซาเดีร์ยตอบน้อง
“เออนั่นสิเนอะ” เขาพูดแล้วยิ้มแห้งๆ
“ลองไปตรงโน้นก่อนดีไหม” เธอชี้ไปทางที่คิดว่าน่าจะใช่ที่สุด อันที่จริงจะเรียกว่าเดินตามคนส่วนมากไปก็ไม่แปลก
พวกเขาหอบสัมภาระที่เตรียมมาแล้วไปต่อแถว ซาเดีร์ยมองผู้คนที่แบกของมาพะรุงพะรังบางคนยิ่งกว่าบ้าหอบฟางอีกไม่รู้ขนอะไรมานักหนาก็แค่สอบ ก่อนคิดเสียดายที่ต้องแบกของมาฟรี ถ้าหากไม่ได้รับการคัดเลือก มินท์เดินไปต่อแถวก่อนตามด้วยซาเดีร์ย เมื่อลงชื่อเสร็จมีเวลาให้สิบห้านาทีเพื่อทำธุระและเตรียมตัว จากนั้นให้ไปรวมกันที่ห้องโถงใหญ่ซึ่งพวกเขาได้รับแผนที่เรียบร้อยแล้ว
“พี่ เราไปกัน...ตุบ” มินท์ทักพี่สาวเลยไม่ทันมองข้างหน้าจนไปชนกับใครคนหนึ่งเข้า หนังสือหลายเล่มตกจากมือผู้ถูกชนกระจัดกระจายเต็มพื้น
“ขะ...ขอโทษค่ะ เอ่อ...คือฉันไม่ระวังเอง” เขาพูดแล้วรีบเก็บหนังสืออย่างรีบเร่ง
“อะ...เออไม่ต้องขอโทษหรอก...เอ่อ...ฉันไม่ทันมองเองต่างหาก”มินท์พูดแล้วรีบช่วยเก็บทันที
เด็กสาวคนนั้นตัวไม่ใหญ่นัก อายุก็คงประมาณเท่าพวกเขา เธอใส่แว่นตาหนาเตอะแต่ก็จัดว่าหน้าตาดี ผมของเขาเป็นสีดำมันวาวถูกมัดไว้สองข้างพาดบ่ามันดูยุ่งนิดๆ นัยน์ตาสีดำนั้นบอกชัดถึงความเฉลียวฉลาดรอบรู้ที่เจ้าตัวมีอยู่แต่เธอดูไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองนัก
“โห หอบหนังสือมาซะเยอะเชียว”ซาเดีร์ยทัก แล้วจ้องมองไปยังกองหนังสือกองโตในมือหล่อนพลางคิดว่าชาตินี้เธอจะมีโอกาสสนใจหนังสือได้สักครึ่งของหล่อนรึเปล่า
“เอ่อ ฉันจำเป็นต้องอ่านมันน่ะค่ะ” หล่อนยังคงใช้คำสุภาพอยู่ ก่อนก้มลงมองนาฬิกา“ฉันต้องไปแล้วขอตัวก่อนนะคะ” เธอรีบพูดแล้วเดินจากไป
“จะรีบอะไรกันนักหนานะ” เธอบ่น “ช้านิดช้าหน่อยไม่เห็นเป็นไรเลยเหลือเวลาอีกตั้งเยอะ”ปากเธอก็พูดไปแบบนั้นแต่จริงๆแล้วเธอตื่นเต้นมาก เธอเกลียดการสอบเป็นที่สุด ถ้าหากเป็นไปได้ขอเดินเข้าไปสมัครเรียนเลยคงจะดี แต่ถึงเธอจะตื่นเต้นหรืออยากหนีแค่ไหนเธอก็ต้องพบกับมันอยู่ดีในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
ขณะนี้ที่ห้องโถงเต็มไปด้วยผู้คนที่จะมาเข้ารับการสอบ ทำให้พื้นที่กว้างๆดูแคบไปถนัดตา เสียงพูดคุยดังก้องไปทั่วห้องจนฟังไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร แต่ที่รู้ๆก็คือหลายเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ตื่นตาและตื่นใจ ถึงแม้ทุกคนจะมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะเฮฮาครื้นเครง แต่บรรยากาศก็ดูกดดันอย่างบอกไม่ถูก
ภายในห้องสี่เหลี่ยมนี้จะเน้นโทนสีแดงเป็นหลัก ทั้งประตู เวที ย่อมตกแต่งไปด้วยม่านสีแดง หรือแม้หระทั่งเก้าอี้ที่นุ่มสบายนี้ยังเป็นสีแดง ยิ่งสร้างบรรยากาศให้กดดันยิ่งขึ้น เวทีใหญ่ตรงหน้าสูงจากพื้นประมาณเกือบเมตรทำจากไม้ชั้นดีขัดจนเป็นเงา ข้างหลังเวทีมีประตูบานเล็กอยู่บานหนึ่ง ซึ่งเป็นที่จับตามองของเหล่าผู้เข้าสอบเป็นอันมาก
สักครู่ก่อนที่ชายชราคนหนึ่งจะเดินออกมาจากหลังประตู เสียงคุยก็เงียบหายไปเหลือเพียงความกดดันที่ยิ่งทวีขึ้น ใบหน้าที่เหนื่อยอ่อนของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยบ่งชัดถึงอายุ ผมยาวสีขาวหงอกทั้งหัว นัยน์ตาสีน้ำเงินคมกริบที่เยือกเย็นแต่ก็แฝงความอ่อนโยนไว้ลึกๆกับแว่นตาที่จะอยู่ห่างจากตัวไม่ได้ ยิ่งทำให้เขาดูน่านับถือที่สุดสมกับเป็นมหาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาเดเนต
“ขอบคุณที่กรุณาช่วยเงียบ เป็นเกียตอย่างสูงที่ทุกคนให้ความไว้วางใจในโรงเรียนแชงกรีร่านี้ หลายคนคงรู้จักฉันดีใช่ไหม ฉันชื่อ รูสเทล พาเซนต้า หรือที่รู้จักกันในนาม มหาปราชญ์ ไฮท์ เซราธี ที่ 14 เป็นครูใหญ่ผู้ดูแลที่นี่ โรงเรียนของเราถูกตั้งขึ้นเมื่อพันกว่าปีก่อน เปลี่ยนผู้ดูแลมาก็มากแล้ว เราจะแบ่งหอนอนออกเป็น 3 หลังด้วยกันคือ ปราการขาว ศิลาจันทรา และหอคอยนักรบ ส่วนใครจะได้อยู่บ้านไหนนั้นก็คงสุดแล้วแต่ผลการสอบ โดยประตูแต่ละบ้านจะเป็นคนเลือกพวกเธอเอง สุดท้ายนี้ฉันก็ขอให้พวกเธอทุกคนโชคดีกับการสอบ ตอนนี้ขอให้พวกเธอทำตัวให้สบาย รอจนกว่าศาสตราจารย์แซนลิด้า เจฟฟรี จะออกมาอธิบายกติการสอบต่อนะ”
ร่างของเขาเดินหายเข้าไปในประตูบานนั้นพร้อมกับความโล่งใจของนักเรียนหลายคน เสียงคุยเริ่มดังจิ๊ก จั๊กขึ้นอีกครั้ง ซาเดีร์ยหันไปคุยกับมินท์ที่กำลังนั่งชื่นชมบรรยากาศของสวนหญ้าข้างนอกหน้าต่างบานโตให้หายเซ็งแต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยปากเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลัง เธอจึงตัดสินใจหันไปดู เด็กผู้หญิงสี่ห้าคนนั่งจับกลุ่มคุยกันตามประสา
“ศิลาจันทราหรอ ชื่อแปลกชะมัด” เด็กสาวคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้น เธอจัดได้ว่าเข้าขั้นหน้าตาดี ผิวขาวเนียนละเอียดนั้นออกสีชมพูระเรื่อ
“อืม ฉันได้ยินมาว่า ที่บนยอดหอคอยนั่นน่ะมีศิลาจันทราอยู่ เค้าเล่ากันว่าทุกครั้งที่เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงแท่นศิลาที่อยู่บนหอคอยนั่นจะส่องแสงรับกับแสงจันทร์สวยมากเลยล่ะ” เด็กสาวอีกคนกล่าว เรียกความสนใจของซาเดีร์ยให้หันไปร่วมวงด้วย เจ้าตัวเลยตัดสินใจมุดเข้าแทรกหน้าตาเฉย แต่รู้สึกจะไม่มีใครสนใจนัก บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆก่อนจะมีคนรอบข้างแห่กันเข้ามาตั้งวงใหญ่
“ฉันว่าฉันต้องได้อยู่ปราการขาวแน่เลย ถ้าสอบผ่านนะ” เสียงฮาดังขึ้นจากผู้ร่วมวงคนอื่นๆยกเว้นซาเดีร์ยที่ไม่เข้าใจความหมาย เลยบากหน้าลองกระซิบถามคนข้างๆ ซึ่งดูจะพูดด้วยได้ง่ายที่สุด และจะหน้าแตกน้อยที่สุด
“เออ...หวัดดี ปราการขาวนี่มันทำไมหรอ” นัยน์ตาสีฟ้าในเบื่อนมาสบอย่างงงๆ ผมสีทองยาวสลวยที่ปกอยู่รอบใบหน้ารูปไข่นั้นช่างดึงดูดสายตาให้ชวนมอง ริมฝีปากสีกุหลาบแย้มรอยยิ้มให้เธอก่อนขยับพูด
“หวัดดีจ้ะ...ปราการขาวก็เป็นหอนอนหนึ่งนั่นแหละที่ส่วนใหญ่คนที่อยู่จะเป็นพวกเก่งๆฉลาดๆรอบรู้โดยเฉพาะความสามารถด้านเวทมนตร์ มหาปราชญ์เองก็จบจากบ้านนี้แหละจ้ะ” รอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร และกริยาท่าทางเรียบร้อยน่าคบหาเสมือนผ้ายับ...เอ๊ย...ผ้าขาวบางที่รีดไว้ สำหรับผ้ายับที่ไม่สามารถพับได้นั่นคงจะเป็นเธอเสียมากกว่า
“อาฮะ...แล้วหอคอยนักรบล่ะ” ได้โอกาสจึงถามต่อ ผู้ถูกถามมองหน้าซาเดีร์ยงงๆระคนสงสัย ว่าเธอไปขุดหลุมรี้ภัยยู่ที่ไหนถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย เหมือนเจ้าคนถามจะรู้ตัวจึงได้ยิ้มแหยๆแก้เก้อ
“ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกที่กล้าหาญ มุ่งมั่นน่ะจ้ะ มีคนเคยบอกว่าบ้านนี้มีแต่พวกซาดิสม์ ป่าเถื่อน แต่ฉันว่าคงไม่หรอก” การอธิบายที่เข้าใจง่ายทำให้ซาเดีร์ยอยากจะซักต่อ แต่ยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากถามอะไร ผู้ชี้แจงก็ตัดหน้าซะก่อนอย่างรู้ทัน “ส่วนศิลาจันทรา เค้าว่าเป็นพวกที่ใจดี อ่อยโยน น่าคบหาเป็นกันเอง แต่ก็แข็งแกร่งมากๆเลยล่ะ เหมือนดาบซ่อนคมนั่นล่ะมั้งจ๊ะ” คำอธิบายยิ้มๆจากผู้รู้ดี หรือจะเรียกว่าเธอโง่เกินไปก็ไม่ผิด
“พี่พูดอะไรกันอยู่น่ะ” เด็กหนุ่มหน้าหวานที่นั่งข้างๆเธอทิ้งความสนใจจากสวนกว้างเข้ามาพูดด้วย นัยน์ตาสีเขียวมรกตมองเด็กสาวทั้งสองสลับกันไปมา อย่างจะถามว่า ‘ผู้หญิงคนนี้ใคร’
“อะ...อ๋อ ฉันไมรอน คิมโทรอสจ๊ะ มาจากคาเรส ยินดีที่ได้รู้จัก แล้วพวกเธอล่ะ”
“ซาเดีร์ย มาทอร่า แล้วนี่ มินชาโร มาทอร่า น้องชายของฉัน เออ...อันที่จริงก็เพื่อนกันนั่นแหละนะ พวกเรามาจาก โรบาเลีย” ซาเดีร์ยแนะนำตัวพลางหยิบปลาหมึกทอดกรอบชนิดถุงที่ซ่อนไว้ในกระเป๋าออกมาแกะเข้าปาก แล้วยื่นออกไปข้างหน้า “เอ้า เอามาจากที่เค้าแจกหน้าโรงเรียน กินไหม รสชาติแหม่งๆแฮะ” ประโยคหลังเรียกว่าบ่นขึ้นมาลอยๆมากกว่า มินท์มองหน้าวาเดีร์ยอย่างสงสัยว่าทันไปเอามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็ไม่วายหยิบมาเข้าปากเคี้ยวตุ่ยๆ
“อร่อยดีออก” พูดเสร็จก็พยักพเยิดให้ไมรอนกินด้วย
เสียงคุยดังเซ็งแซ่ของเหล่านักเรียนที่จับกลุ่มคุยกันเป็นจุดๆ แรงกดดันที่กระหน่ำมาเป็นครั้งเป็นคราได้เริ่มกลับมาอีก ทำให้ทั้งห้องชวนอึดอัดเป็นอย่างยิ่งจนซาเดีร์ยเริ่มไม่อยากจะอยู่ต่อ ได้แต่ภาวนาให้ศาสตราจารย์อะไรสักอย่างนั่นเพราะเธอจำชื่อไม่ได้รีบๆมา อย่างน้อยก็ก่อนที่ปลาหมึกทอดถุงสุดท้ายจะหมดและเธอจะไม่มีกิจกรรมทำข้ามเวลา
“เขาจะสอบกันยังไงหรอพี่” น้องชายสุดที่รักส่งคำถามชวนปวดกะบาลมาอีกแล้ว นี่ก็อยู่ด้วยกันตลอดถ้าเขาไม่รู้แล้วเธอจะรู้ไหมเนี่ย
“คงเหมือนทุกปีล่ะมั้ง” คำตอบง่ายๆที่คนโง่แค่ไหนก็คงตอบได้ถูกส่งไปไขความให้กระจ่าง แต่มันจะมีประโยชน์สักเท่าไหร่กันนั่น ช่วยได้มากจริงๆพี่เรา คำที่ผู้เป็นน้องได้แต่คิดพะงึมพะงำ
ไม่นาน(ซะเมื่อไหร่)ประตูเล็กก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง ศาสตราจารย์หญิงคนหนึ่งเดินออกมา เธอสวมชุดสีเขียวสะอาดเรียบร้อย ใบหน้าขาวและดูเยาว์วัยนั้นเปื้อนรอยยิ้มเสมอ ในมือเธอมีแฟ้มสีดำถืออยู่ ตามมาข้างหลังเธอ ชายร่างสูงในชุดดำเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งขรึมและแววตาที่ดุดันดุจเหยี่ยวจนอาจขนลุกได้ เขาเดินมายืนเบื่อหน้าทุกคนที่ตอนนี้ประจำตำแหล่งเรียบร้อยแล้ว
“สวัสดีนักเรียน พวกเธอที่นี่เกือบทุกคนคงรู้จักฉันมาบ้างแล้วสินะ จากพวกรุ่นพี่ของเธอ ฉันศาสตราจารย์เมรอส บัสเลอร์ เป็นครูฝ่ายปกครองและเป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ปี 1 ถึง 3... ปกติแล้วตอนนี้พวกเธอจะต้องรับฟังคำชี้แจงเรื่องกติกากัน แต่ปีนี้ทางโรงเรียนได้ประชุมกันเอาไว้เกี่ยวกับการสอบ เนื่องจากการสอบนี้อันตรายมาก หากพวกเธอเป็นอะไรไปถึงแก่ชีวิตทางโรงเรียนจะไม่รับผิดชอบ จึงขอให้เซ็นใบยินยอมนี้ก่อน หรือพวกเธอจะไม่เซ็นก็ได้แต่ก็จะไม่มีสิทธิสอบเช่นกัน มีอะไรสงสัยไหม” เขาเงียบอยู่ครู่เปิดโอกาสให้ซักถาม แต่เนื่องด้วยประวัติที่ไม่น่าพิสมัยของเขาจึงไม่มีแม้ใครหน้าไหนกล้าขัด หรือแม้แต่จะปริปากปรึกษาอะไร “งั้นก็ดีแล้ว ขอให้คนที่จะสอบมาเข้าแถวด้านนี้ ส่วนคนที่จะกลับเดินออกทางประตูด้านหลัง” พูดเสร็จก็รับเอกสารชุดหนึ่งจากศาสตราจารย์แซนลิด้า เจฟฟรี ที่ยืนอยู่ข้างหลัง มาวางไว้บนโต๊ะหน้าเวที
คนส่วนใหญ่เริ่มทยอยกันไปต่อแถวเซ็นชื่อยินยอม พร้อมกับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ลุกเดินออกไปทางประตู หลายคนที่ยังคงนั่งคิดปรึกษาหาลือกันอยู่ที่เก้าอี้ ส่วนศาสตราจารย์เมรอสนั้นได้เดินไปคุยอะไรบางอย่างกับครูผู้หญิง
“เอาไง จะสอบไหมมินท์” ซาเดีร์ยหันไปถามน้อง
“แล้วพี่ว่าไงล่ะ ถึงตายเชียวนา แต่ถ้าสอบผ่านมันก็ดี” ใบหน้าขาวทิ้งรอยกังวลอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางที่ซาเดีร์ยทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เค้าก็ขู่ไปงั้นแหละ นี่คิดจะหาทางลดจำนวนคนเข้าสอบเป็นแน่” พูดเชิงปลอบน้องชาย
“แต่ฉันได้ยินข่าวมาว่า ปีที่แล้วมีคนตายกับการสอบด้วยนะจ๊ะ” ประโยคต่อมาของไมรอนเล่นงานมินท์ให้หน้าซีดเป็นไก้ต้มอบเผือก ส่วนซาเดีร์ยได้แต่นั่งเกาหัวอย่างกับศีรษะเธอเป็นแหล่งเพาะรังแคยังไงยังงั้น (เริ่มซกมกแล้วแฮะเรา -- --“)
“แต่ฉันจะสอบ ยังไงมาถึงขั้นนี้แล้วลองดูสักตั้งก็ไม่เสียหาย ฉันเริ่มรู้สึกว่ามันน่าสนุกขึ้นแล้วสิ” คำกล่าวที่มินท์และไมรอนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ตรงไหน’
ซาเดีร์ยหัวเราะแหะๆก่อนแววตาจะเปล่งประกายความมุ่งมั่น เธอต้องสอบผ่านให้ได้เพราะสัญญากับท่านพ่อเอาไว้แล้ว หากคำสัญญานั้นจะไม่มีทางทำให้สำเร็จได้ก็อย่าสัญญาให้เสียเวลาเลยจะดีกว่า คิดได้จึงลุกเดินไปต่อแถวพร้อมกับมินท์และไมรอนที่เดินตามมาโดยไม่มีข้อแม้
.
หลังจากเซ็นใบยินยอมแล้วสังเกตได้ชัดว่าจำนวนผู้เข้าสอบลดลงกว่าครึ่ง เมื่อทุกคนกลับไปนั่งที่แล้วศาสตราจารย์แซนลิด้า เจฟฟรี ก็เดินออกมาเพื่อจะชี้แจงต่อ
“สวัสดีจ้ะทุกคน ตกลงที่เหลือนี้สอบใช่ไหมจ๊ะ เอาล่ะ ครูก็ขอแนะนำตัวก่อนเลย ครูมีชื่อว่าศาสตราจารย์แซนลิด้า เจฟฟรี หรือเรียกสั้นๆว่ามิสแซนดี้ก็ได้นะจ๊ะ ครูเป็นครูสอนวิชาเวทย์พยากรณ์ และวันนี้ก็มารับหน้าที่อธิบายกติกาการสอบ การสอบในครั้งนี้จะแบ่งออกเป็น 2 รอบด้วยกัน รอบแรกคือรอบที่กำลังจะเริ่มในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ และรอบที่สองคิดว่าน่าจะมะรืน งั้นครูก็จะขออธิบายกติการอบแรกก่อนเลย รอบแรกนี้จะเป็นการสอบทักษะไหวพริบและพละกำลังโดยใช้ดาบ”
ดาบ!! ลักกี้ เธอทำได้สบายอยู่แล้ว สำหรับเธอการฟันดาบมันเป็นกิจกรรมโปรดยามว่างที่จิ๊บจ้อยมาก แต่สำหรับร่างบางที่ยืนอยู่ข้างเธอนี่สิที่อาการหนัก มินท์หน้าถอดสีหัวใจหล่นตุบลงเกือบจะถึงพื้น อันที่จริงมันเหี่ยวไปแล้วตั้งแต่คำว่าทดสอบโดยใช้พละกำลังถูกเปล่งออกมา มันแหงอยู่แล้วสำหรับเด็กหนุ่มที่เกิดมาเคยจับดาบไม่ถึงสิบครั้ง ไม่เหลือซากแน่ๆงานนี้ มินท์คิดในใจ ซาเดีร์ยตัดสินใจเอื้อมมือข้างหนึ่งไปจับมือเขาเป็นเชิงปลอบก่อนลอบถอนหายใจ
“ครูจะอธิบายกติกาอย่างป็นทางการสักทีนะ อืม ข้อแรกเราจะไม่จำกัดวิธีการโจมตีหรือตั้งรับในการสู้ของแต่ละคน ใครมีท่าเด็ดอะไรก็ควักเอามาใช้ได้หมดเลยนะจ๊ะ ข้อที่สองสำหรับบางคนที่ใช้เวทย์เป็นมาบ้าง เราไม่อนุญาตให้ใช้เวทมนตร์ในการแข่งขันรอบนี้ ใครฝ่าผืนก็จะถูกตัดสิทธิจากการแข่งขัน และข้อที่สามสู้จนกว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้ ที่ว่ามาสามข้อนี้ใครมีคำถามบ้างจ๊ะ” มิสแซนดี้เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น
“ศาสตราจารย์คะ ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมพูดยอมแพ้ละค่ะ”เด็กสาวคนหนึ่งยกมือขึ้นถามยังไม่ทันที่มิสแซนดี้จะตอบอะไร ก็ถูกขัดขึ้นโดยเสียงเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง
“ก็ฆ่าซะสิ”เขาพูดเรียกเสียงฮือฮาได้ดีเยี่ยม
“ไม่ได้หรอก ครูลืมบอกกติกาข้อสุดท้ายไป ห้ามสู้จนอีกฝ่ายถึงแก่ชีวิต ถ้าหากอีกฝ่ายตายผู้ฆ่าจะถูกปรับแพ้ทันที และในกรณีที่เขาไม่ยอมแพ้เราก็ต้องสู้จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหมดแรงสู้ไม่ไหวไปเอง และผู้ชนะจะต้องยืนหยัดอย่างน้อยสามสิบวินาที ถ้ามิเช่นนั้นจะถือว่าเสมอและตกรอบไป
ส่วนการแข่งขันเราจะให้พวกเธอจับฉลากเลือกคู่ต่อสู้ นั่นก็หมายถึงพวกเธอจะไม่มีสิทธิเลือกเองและในระหว่างการแข่งพยายามอย่าฝ่าฝืนกติกาละเพราะในสนามจะมีผู้คุมอยู่เต็มไปหมด กติกามีอยู่แค่นี้แหละ เอาละ ครูก็ขอให้ทุกคนโชคดีกับการสอบนะจ๊ะ” เธอยิ้มหวานให้นักเรียนทุกคนในห้องโถง แล้วเดินไปคุยกับศาสตราจารย์เมรอสต่อ
“มิสแซนดี้นี่สวยเด็ดขาดไปเลยแฮะ แถมยังใจดีอีก” ซาเดีร์ยชื่อชมอย่างยิ้มๆก่อนเสียงหนึ่งจากเด็กผู้ชายข้างหลังจะดังแว่วเข้าหู
“เฮ้ย ยัยนี่เป็นเลสเบี้ยนว่ะ แม้แต่ครูยังไม่เว้น ” คำพูดหยุดไปแค่นั้นเมื่อหมัดตรงพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วระดับไฮท์สปีเฉาะปากเจ้าคนปากมอม
“นายนี่นินทาเบาจริงๆจนฉันแทบจะไม่ได้ยินแนะ คราวหน้าคราวหลังหัดพูดให้ดังๆกว่านี้หน่อยนะ” คำพูดทิ้งท้ายจากคนปล่อยหมัดเต็มแรงด้วยความหวังดี ทำเอาคนนินทาเบาเกือบสลบเมือกคาที่ เจ็บนี้คงจะจำไปอีกนานว่าการจะนินทาคน คงต้องดูเวลาและสถานที่ และสิ่งสำคัญบางทีการพูดดังมันอาจไม่เป็นสิ่งที่ดีนัก
ซาเดีร์ยลุกพรวดเดินนำออกไปจากห้องโถงตามคนส่วนใหญ่ใน ขณะที่มินท์กับไมรอนได้แต่นั่งตาค้างไปนานกว่า 3 นาที จึงได้สติรีบเดินตามไป
.
มีคนเคยบอกเอาไว้ว่าชื่อโรงเรียนของข้าน้อยนั้นแปลกมากมาย เหอๆสงสัยจะเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง ก็ข้ามันชอบของแปลก แต่ถึงไงมันก็ไม่มีใครมาอ่านอยู่แล้วแหละ ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะว่าจะลงไปทำไม 555+
ความคิดเห็น