คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บันทึกที่ 1
โรงเรียนเทพีธารา ห้องเรียนมัธยมปลายปีสอง
ในห้องเรียนบรรยากาศวุ่นๆของเด็กวัยคึกคะนอง บ้างจับกลุ่มคุย บ้างนั่งอ่านการ์ตูน
เด็กหนุ่มผมสีดำรองทรงสูงตามแบบมารฐานทั่วไปของนักเรียกไทย กำลังจดบันทึกบางอย่างลงสมุดของเขา ดวงตาสีเหลืองนวลกรอกไปมาอย่างรวดเร็ว คิ้วขมวดกันเป็นปม ใช่แล้วนี่คือตัวหลักของเรื่อง สายธาร จันทรา
‘วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ต้องมาสถานที่น่าเบื่อที่เดิม ที่ที่ถูกเรียกว่า “โรงเรียน” ที่นี่จะมีการแบ่งชนชั้นกันไปตามปีการเรียน แล้วแบ่งเขตเดนตามระดับความสามารถ ผมผู้ที่เก่งที่สุดในโลก อยู่ชั้นปีที่ 5 (ม.5) เขตเดนห้อง 5 ช่างเป็นการแบ่งที่ไม่ถูกต้อง ผมที่เก่งที่สุด มาอยู่ห้องห่วยที่สุดเป็นไปไม่ !@#$%^%^&* ’
“เฮ้ย ! ยังเขียนบันทึกมืดมนอยู่เหรอ นที” เพื่อนหัวเกรียนในห้องทักเขา
“เห้ย อย่ามาเขียนเล่นดิ..”
“ไปๆ คาบพละแล้วนะเว้ย ไปสายได้วิ่งรอบสนามเพิ่มนะ”
“เฮ้ย รอด้วย” นทีพูดและวิ่งตามไป
สนามกีฬาประจำโรงเรียน
“วิ่งไป ไอ้พวกขี้เกียจทั้งหลาย ฮ่าๆๆ ”
อาจารย์ประจำวิชาตะโกนเร่งอย่างสบายใจ เขานั่งดูพวกนักเรียนที่วิ่งกันแทบตายอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ข้างสนาม
“เพราะพวกกรรมการนักเรียนแท้ๆเล้ย”
นทีบ่นอุบอิบ เพราะตอนที่วิ่งมาที่สนามพละกลุ่มของนทีเจอกับกรรมการนักเรียนจึงถูกว่ากล่าวตักเตือนอยู่นานทำให้มาสาย และพออธิบายให้อาจารย์ฟังก็โดนสั่งให้วิ่งรอบสนามทันที
กิ๊ง.. ก๊อง.. กิ๊ง.. ก๊อง..
เสียงกริ่งหมดคาบเรียนดังขึ้นช่วยชีวิตนทีไว้ คาบเรียนพละของเขาเป็นชั่วโมงสุดท้ายก่อนกลับบ้านพอดี เหล่าบรรดานักเรียนส่วนมากต่างทยอยเดินกลับบ้านผ่านสนามกีฬา
“ไปนะเว้ย ไอ้ที”
เพื่อนสนิทของนทีบอกลาก่อนจะออกไปกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง นทีถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายแล้วจึงเดินออกจากห้องเรียนเพื่อกลับบ้าน
“ทำไม ไม่มีอะไรน่าทำบ้างนะ ทุกวันมาแต่โรงเรียน น่าเบื่อจะตาย ..” เขาบ่นระหว่างทางที่กลับบ้าน
เอี๊ยดดด !!
เสียงรถเบรกที่ดังสนั่นทำให้นทีสนใจเพราะว่าสามแยกตรงนี้มักจะเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง
“เดินไม่ดูทางแบบนี้ อยากตายเหรอยัยหนู”
คนขับรถบรรทุกชะโงกหน้าออกมาต่อว่าและขับรถไปต่อโดยไม่สนใจคนที่ถูกเฉี่ยว
นทีเดินมาจนถึงที่เกิดเหตุก็เห็นว่ามีผู้หญิงผมสีน้ำตาลคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างถนน เขาจึงเดินเข้าไปช่วยตามประสาคนดีทั่วๆไป
“เป็นอะไรไหมครับ”
นทีพูดและยื่นมือไปให้เธอ เขาแอบลอบพิจารณาใบหน้าอ่อนหวานของเธอด้วยความสนใจ
“kara owa shichi ?” เธอพูดและจับมือนที ที่งงกับภาษาที่ไม่เคยได้ยิน
“อะ .. are you okay ?” นทีลองใช้ภาษาอังกฤษพูดด้วย
“watashi odite ra” เธอพูดออกมาและทำท่างงๆ
“ซวยแล้วไง .. ช่วยคนต่างประเทศเหรอเนี้ย ทำไงดีอ่ะ”
หลังจากที่พยายามสื่อสารกับเธอหลายๆวิธีสุดท้ายนทีก็กวักมือเรียกเธอไปที่ป้อมตำรวจใกล้ๆ เจ้าหน้าที่ก็พยายามช่วยแต่ว่าสื่อสารกันไม่รู้เรื่องกินเวลาไปกว่าสองชั่วโมงนทีจึงขอตัวกลับก่อน
พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าไปแล้ว ไฟกิ่งตามถนนเริ่มสว่างขึ้น นี่เป็นเวลาที่นทีชอบที่สุด เพราะจะได้นั่งเล่นคอมที่บ้านอย่างสบายใจ แต่ว่า..
“หวา.. เวลาขนาดนี้แล้วเหรอเนี้ย” นทีพูดก่อนจะวิ่งกลับบ้าน
เมื่อนทีกำลังจะเข้าบ้านก็ได้สังเกตด้านหลังของเขามี 'เธอ' ที่พูดไม่รู้เรื่องวิ่งตามมา ยืนหอบหน้าตาจะร้องไห้คล้ายลูกหมาที่รู้สึกว่าจะถูกทิ้ง
“เฮ้ย !! มาได้ไง”
นทีตกใจพูดขึ้นอย่างลืมตัว เธอทำหน้าจะร้องไห้พอดีกับที่น้องสาวของนทีเปิดประตูออกมาหน้าบ้าน
“อ่าว พี่ กลับซะค่ำเลยนะ..”
ผมสีเทาทรงทวินเทลของเธอสะบัดน้อยๆ คิ้วบนหน้าขมวดเป็นปม ดวงตาสีเหลืองนวลจ้องไปที่คนที่อยู่หลังพี่ชายของเธอ
“พี่.. นั้นใครอ่ะแฟนเหรอ...”
โครม ! เสียงเปิดประตูดังขึ้นอีกครั้ง
“ในที่สุด นทีลูกแม่ก็มีแฟนแล้วเหรอฮือๆ”
ผู้หญิงผมสีเทา นัยน์ตามีสีเหลืองนวลอีกคนนึงพูดและทำท่าซับน้ำตาเดินออกมา
“แม่ ป่าวนะมันไม่ใช่..”
“ไหนๆ ขอแม่ดูหน่อยสิ แฟนลูกหน่อยนะ”
แม่ของนทีพูดขัดโดยไม่สนนที เธอเดินไปดูหน้าเด็กสาวคนนั้นทันที แม่ของเขาจับไหล่เธอแล้วหมุน
“อายุเท่าไหร่จ๊ะ สาวน้อย ”
“nanda kode kasa”
เด็กผู้หญิงคนนั้นพูดพร้อมกับเดินไปหลบด้านหลังของนที แม่ของนทีมีสีหน้าตกใจกับสิ่งที่ได้ยินก่อนจะยิ้มตามเดิมโดยไม่มีใครสังเกตทันเพราะมัวแต่มองที่ผู้หญิงปริศนาคนนั้น
“วะ..ว้าว นี่ลูกได้แฟนเป็นคนต่างประเทศด้วยเหรอ แล้วนั้นภาษาอะไรสอนแม่หน่อย แม่อยากพูดกับแฟนลูก”
“น่ารักจัง แฟนพี่ชื่ออะไรค่ะ”
“ทั้งสองคนครับจะบ้าก็น้อยๆหน่อย นี่ใครก็ไม่รู้ไม่ใช่แฟนผมแน่นอน ผมเจอเธอตอนที่ถูกรถเฉี่ยวเลยช่วยแล้วก็พาตัวไปส่งป้อมตำรวจแล้ว พอกลับมาก็พึ่งรู้ว่าเธอตามมานี่แหละ ส่วนที่เธอพูดภาษาอะไรผมก็ไม่รู้เข้าใจรึยังเนี้ย”
“ห๊า ..!!” ทั้งแม่และน้องของเขาหลุดปากพร้อมกัน
เย็นนั้นที่บ้านของเขาจึงมีแขกพิเศษอยู่กินข้าวเย็นและค้างด้วย แม่และน้องสาวของนทีดูแลเอาใจใส่เธอเป็นพิเศษ จนนทีเซ็งเลยขึ้นไปที่ห้องของตัวเองโดยไม่สนใจสายตา ‘หมาน้อยจะโดนทิ้ง’ ของเด็กผมสีน้ำตาล
วันที่ 1/10/200X เวลา 20.00 น.
‘วันนี้ผมได้ช่วยเด็กสาวที่พูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ไว้ และเธอก็กำลังอาบน้ำอยู่ด้านล่างกับแม่และน้องของผม ซึ่งส่งเสียงดังมาก ผมไม่ได้คิดอยากแอบดูนะแค่รู้สึกรำคาญ แม่กับน้องพากันเรียกเธอว่า “เอด้า” นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตน่าเบื่อของผมกัน.. บางทีพรุ่งนี้ผมอาจไปอยู่ต่างโลกก็ได้ 555 ’
ก่อนที่จะได้เขียนมากไปกว่านี้ ประตูห้องของเขาก็เปิดออกและยังไม่ทันรู้ว่าใครเข้ามาก็ถูกกระแทกจนตกเก้าอี้
“เฮ้ย ! เธอ..” นทีสังเกตเห็นคนที่กอดตัวเองอยู่ใส่ชุดโกธิคโลลิต้าอยู่ก็พูดไม่ออก
“เอด้าจ๊ะ มาใส่ชุดนี้ก่อนนน”
“พี่เอด้ามาลองชุดนี้ด้วยค่า”
เอด้าถูกจับให้ลองชุดเล่นเหมือนตุ๊กตา เมื่อทนไม่ไหวจึงได้วิ่งมาที่ห้องของนที นทีจึงได้จัดการอบรมสั่งสอนทั้งคนอายุมากและคนอายุน้อยแล้วจึงให้เอด้าเปลี่ยนเป็นชุดนอนธรรมดาที่ยืมจากน้องเขา หลังจากนั้นเขาก็ทำการบ้านโดยมีเอด้าเฝ้าอยู่ข้างๆ
“ไปส่งเอด้านอนได้แล้วลูก”
แม่ของเขาพูดเมื่อเห็นว่าสาวน้อยทำท่าจะหลับอยู่ข้างๆนทีแล้ว
“เอด้า ไปนอนได้แล้ว” นทีพูดพร้อมกับจูงมือเธอไปที่ห้องที่จัดไว้เพื่อเธอ
“เธอคงเหงามาก ที่พูดกับใครไม่ได้ ดูแลดีๆนะ” เมื่อออกมาจากห้อง แม่ของเขาก็พูดให้ฟังก่อนจะเดินจากไป
“เหงา.. เหรอ ”
นทีพูดแล้วก็เดินกลับห้องของตัวเอง คืนนี้นทีนอนไม่หลับเพราะคิดเรื่องต่างๆของเอด้า จนในที่สุดเขาก็ออกไปยืนตากลมที่ริมหน้าต่างห้องตัวเอง
“เหงาเหรอ..”
เขาคิดถึงคำพูดของแม่ระหว่างยืนมองท้องฟ้ายามค่ำคืน เพราะความเงียบในเวลานี้ทำให้ได้ยินเสียงมาจากห้องข้างๆนทีจึงตัดสินใจเข้าไปดู เมื่อเข้ามาก็พบว่าเอด้านอนละเมอร้องไห้พูดอะไรบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ นทีนั่งลงข้างๆเธอและลูบหัวเธอพลางปลอบด้วยวิธีที่แม้ของเขาทำให้เขาบ่อยๆเวลานอนไม่หลับหรือตื่นเพราะฝันร้าย
“นอนหลับเถอะเด็กน้อย.. ตอนนี้คนที่คอยปกป้องเธออยู่ตรงนี้แล้ว.. เพราะงั้นหลับให้สบายเถอะ”
เอด้าหยุดละเมอและเอามือของนทีที่ลูบหัวเธออยู่ไปกุมไว้อย่างไม่รู้ตัว คนที่เข้ามาปลอบหายห่วงจนง่วงตาม นทีคิดว่าจะอยู่ดูเธออีกสักนิดก่อนจะออกไป แต่สุดท้ายก็เผลอหลับไปข้างเตียงของเอด้า
“หลับแล้วสินะทั้งสอง..”
แม่ของนทีเดินเอาผ้าห่มเข้ามาห่มให้นทีก่อนจะคิดสงสารสาวน้อยที่พลัดหลงมา
“ที่รักคะ ขอให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกันในที่ๆเหมาะสมและไม่มีอะไรมาพลัดพรากเขาทั้งสองเหมือนอย่างเราเลยค่ะ”
เธอพูดพลางแหงนมองท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่างห้อง ลมพัดพาเอาถ่อยคำวิงวอนนี้ลอยออกไปเบาๆ จนทำให้คนๆนึงนอนน้ำตาไหล แม้จะอยู่ห่างกันแสนไกลแต่ลมก็พัดโบกความคำนึงไปให้เขา
ความคิดเห็น