คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่๑
บทที่ ๑
เสียงเพลงที่นุ่มนวลหากแฝงไปด้วยความหนักแน่น เงาของมือที่กำลังโบกสะบัดพลิ้วไหวท่ามกลางแสงไฟขาวที่สว่างจ้าไปทั่วห้อง สุริย์สากำลังสะบัดปลายพู่กันไปมา วาดลวดลายที่เต็มไปด้วยสีสันลงบนเนื้อกระดาษอย่างชำนาญ ขณะเดียวกันก็ร้องคลอตามดนตรีไปด้วย
ทันใดนั้นเด็กสาวสะดุ้ง เมื่อเสียงเคาะประตูพุ่งผ่านโสตประสาทเข้ามาอย่างเร็วจี๋ ตามด้วยเสียงที่คุ้นหู
“สาไปโรงเรียนได้แล้ว พี่รอหน้าบ้านนะ”เจต พี่ชายของสุริย์สาตะโกนผ่านประตูห้องเข้ามา
“ จ้า ” สุริย์สาตอบกลับ แล้วนั่งพิจารณารูปที่ตนวาดสักพัก พลางยิ้มมุมปาก ก่อนเก็บอุปกรณ์เครื่องเขียนบางส่วนที่จำเป็นในการเรียนอย่างเร่งรีบ เธอเหลือบมองกระจกแป๊ปนึง เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องแบบเรียบร้อย
สุริย์สารู้สึกประหม่ากับการย้ายเข้าเรียนกระทันหันในครั้งนี้ สาเหตุที่ต้องย้ายเนื่องจากเพื่อนในละแวกบ้านของคุณยายที่เคยอาศัยอยู่ด้วย มีแต่เด็กช่างเที่ยว ไม่รักเรียน แม่ของสุริย์สากลัวลูกตนจะเสียคนเลยให้ย้ายมาอยู่กับเจตในตัวเมืองเสีย
สุริย์สารีบสาวเท้าลงบันได ผ่านตัวบ้านก่อนจะหยุดลงกลอนประตู ขณะที่เจตยืนพิงรถเวสปาร์ รุ่น90SuperSprintสีแดงเจิดจ้า พลางผิวปากหวีดหวิวล้อเจ้านกตัวจ้อยที่โผบินผ่านหน้าไป
เจตยื่นหมวกกันน็อคให้น้องสาวของตน แล้วสตาร์ทเครื่องก่อนจะบิดคันเร่งตรงไปยังโรงเรียน
“สา ปีนี้เราก็ ม.4 แล้วนะอีกไม่นานก็เอนท์แล้ว ตัดสินใจได้หรือยังว่าจะเรียนต่อเข้าคณะไหน” เจตถามขึ้น
“สาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน คงเรียนคณะวิทย์เหมือนพี่เจตหล่ะมั้ง” สุริย์สาพูดเรียบๆ ขณะกำลังหรี่ตาเมื่อแรงลมปะทะหน้า
“เฮ้ย!สาชอบวาดรูปไม่ใช่เหรอ?” เจตอุทานอย่างแปลกใจ ทำเอาสุริย์สาอึ้งเงียบไป เจตพอจะเดาสาเหตุ ที่น้องสาวเลือกเรียนด้านที่ขัดกับความชอบ ได้ว่า คงไม่พ้นพ่อกับแม่
“สา ถ้าเรียนคณะวิทย์แล้วมีความสุขพี่ก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่จำไว้อย่างหนึ่ง บางครั้งความสุขจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อตัวเราเป็นผู้ที่ค้นพบด้วยตนเอง”
คำพูดของเจตเหมือนตัวจุดประกายความหวังของสุริย์สา อย่างน้อยๆสุริย์สาก็รู้ได้ว่าความคิดของเธอที่ถูกพ่อแม่คัดค้านมาตลอดก็มิได้ผิดเสมอไป
เจตขับรถผ่านประตูใหญ่ของโรงเรียนวิทยาการศาสตร์ มุ่งตรงไปยังหอประชุม ระหว่างทางสุริย์สาสังเกตเห็นว่ามีนักเรียนหญิงหลายคนที่มองพี่เจต บ้างก็ส่งเสียงกรี๊ดเบาๆ บ้างก็พึมพำชื่อพี่เจตออกมา
“สาพึ่งรู้นะเนี่ย ว่าพี่เจตก็เนื้อหอมเหมือนกัน” สุริย์สาล้อ แต่เจตแกล้งไม่ได้ยิน
เจตจอดรถใต้ซุ้มกระดังงาที่เลื้อยคดตามโครงเหล็กซึ่งทอดยาวเป็นแนวขวางตามกำแพง สำหรับเป็นที่จอดรถ
เจตดึงมือสุริย์สาที่ยืนเงอะงะขึ้นหอประชุม ทันทีที่ไปถึงมีนักเรียนมานั่งรอฟังคำปราศรัยของ ผ.อ.(ผู้อำนวยการโรงเรียน)มากพอ ที่จะหันมามองคนที่พึ่งมาถึง สุริย์สารู้สึกว่าแต่ละก้าวที่เดินไปยังที่นั่งของนักเรียนหญิงเข้าใหม่มันช่างยาวนานเหลือเกิน ในขณะที่เจตก้าวฉับๆไปที่นั่งของตนอย่างไม่เกรงสายตาผู้คนที่จ้องมอง
เมื่อนักเรียนมากันครบ ผ.อ.เริ่มกล่าวทักทายนักเรียนที่เข้าใหม่และการพัฒนาปรับเปลี่ยนการสอนในทิศทางที่ดีขึ้น ระหว่างนั้นเองก็มีนักเรียนบางคนที่ผล็อยหลับ บ้างก็พูดคุย กระเซ้าเย้าแหย่กับเพื่อน บ้างก็แอบอ่านการ์ตูน
“ขอให้นักเรียนแยกย้ายเข้าชั้นเรียนของตน ดูรายละเอียดได้ที่บอร์ดประชาสัมพันธ์ด้านล่าง”ผ.อ.จบคำปราศรัยลงอย่างสั้นๆนักเรียนปรบมือกึกก้อง ตามมาด้วยเสียงเก้าอี้ที่ลากพื้นและเสียงพูดคุยของนักเรียน
เจตเดินเข้ามาจับมือสุริย์สาดึงฝ่าผู้คนเพื่อตรงไปยังบอร์ดประชาสัมพันธ์
“คนเยอะจริงๆ สาอยู่ห้อง4/6นะ ส่วนพี่อยู่ห้อง6/5.............อยู่คนละอาคาร” เจตบอกน้องสาวอย่างเร่งรีบ พลางดึงแขนให้ออกจากชุมนุมชนที่วุ่นวาย
สุริย์สาเดินไปยังอาคาร 6 กับเจต
“ไม่อยากจะเชื่อว่า สาอยู่อาคาร6” เจตโพล่งขึ้นมา จนสุริย์สางงงันไป
“ทำไมเหรอพี่เจต?”
“ไปเห็นแล้วเธอจะรู้เอง” คำพูดของพี่ชายทำให้สุริย์สาอดคิดไม่ได้ว่าอาคาร 6 จะพิลึกพิลั่นเพียงใด
สองพี่น้องเดินผ่านอาคาร4ไป ทันทีที่โผล่พ้นอาคาร5 ภาพที่ปรากฎเบื้องหน้าคืออาคารที่สูงตระหง่านขาวสะอาด แวดล้อมด้วยหมู่แมกไม้ เป็นอาคารที่ดูดีมากที่สุดเท่าที่สุริย์สาเคยพบเห็นมา มีหมายเลข ๖ ติดโดดเด่นอยู่กลางอาคารซึ่งต่างจากอาคาร1-5ที่เป็นเลขอารบิก
“สาต้องเดินไปหาอาจารย์ที่ยืนตรงนั้นนะ งั้นพี่ไปก่อน เจอกันหลังเลิกเรียน” เจตขยี้ผมน้องสาวจนยุ่งมากกว่าเดิม แล้วเดินจากไป
สุริย์สามองพี่ชายจนลับสายตา แล้วหันไปมองอาจารย์ร่างบาง สูงเพรียว ผมบ๊อบสั้นเลยติ่งหูมีหน้าม้าดูแล้วเหมือนหลุดมาจากยุค60 สุริย์สาเดินตรงไปหาอาจารย์ที่กำลังส่งยิ้มให้นักเรียนคนอื่นที่กำลังขึ้นอาคารเรียน
“อาจารย์คะ ห้อง4/6อยู่ไหนคะ”สุริย์สาถาม แล้วอาจารย์ก็ส่งยิ้มให้
“เธอคงเป็นเด็กที่ย้ายมาใหม่สินะ ครูชื่อรัตติยา เรียก ครูรัต ก็ได้ ครูสอนวิชาภาษาอังกฤษเป็นครูประจำชั้นห้อง 4/6 เดี๋ยวครูจะพาชมรอบๆอาคารเรียนแล้วกัน” พูดจบครูรัตก็รูดบัตรสีทองที่ช่องสี่เหลี่ยมเล็ก เกิดเสียงตื้ดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วประตูก็เลื่อนออก ก่อนจะก้าวขึ้นอาคารไป สุริย์สาที่งงงันกับทช่องรูดบัตรอยู่นั้นได้แต่เดินตามครูรัตขึ้นไปอย่างไม่รู้อะไรเลย
ครูรัตพาสุริย์สาเดินชมตั้งแต่ฝั่งซ้ายสุดของชั้น1 ไล่ไปจนถึงชั้นบนสุด ซึ่งล้วนแต่สร้างความตะลึงพรึงเพริดแก่เด็กสาวเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกความเป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์เลยแม้แต่นิดเดียว ทุกห้องที่เดินผ่านจะมีชื่อประจำซึ่งมีป้ายติดไว้เป็นภาษาอังกฤษบ้าง ภาษาฝรั่งเศสบ้าง เช่น ห้องmise-en-scene เป็นที่เก็บอุปกรณ์จัดฉากบนเวที ห้องart gallery ที่จัดแสดงผลงานของนักเรียนโดยจะผลัดเปลี่ยนตามระดับชั้นทุกสัปดาห์ ห้องart work ซึ่งมีตัวอย่างผลงาน และ ภาพถ่าย หน้าปกนิตยสาร ถูกปะติดบนบอร์ดกระดาษรอบห้อง โดยเฉพาะห้องdrawing ที่สะดุดตาสุริย์สาตั้งแต่แรกเห็น เพราะมีบรรยากาศคล้ายห้องนอนของตน ในห้องนั้นเต็มไปด้วยไม้กระดานตั้งพื้นไว้รองกระดาษสำหรับวาดรูป กลางห้องเป็นเวทีขนาดย่อยสำหรับตั้งรูปปั้นหรืออื่นๆเพื่อเป็นแบบ ฝั่งหนึ่งของห้องมีถังสี พู่กัน จานประสมสี ถ่านชาโคล หนังสือพิมพ์ และสีชนิดต่างๆ
นอกจากนี้ อาคารยังมีลิฟต์ และมีล็อกเกอร์เก็บของสำหรับนักเรียนแต่ละคนในทุกชั้นของอาคาร อยู่ใกล้มุมติดหน้าต่างที่มีเฟอร์นิเจอร์ทันสมัย สะดวก สบาย ไว้สำหรับนั่งพักอยู่ข้างๆ และที่แปลกไปกว่านั้นคือ นักเรียนทุกคนจะต้องมีบัตรที่ใช้รูดช่องอัตโนมัติตรงทางเข้า
“ที่อาคาร6 นี้จะมีทุกระดับชั้นซึ่งเป็นห้อง6 ทั้งหมด โดยจะเรียงตั้งแต่ม.1-ม.6ตามจำนวนชั้นของอาคาร ส่วนชั้นที่ชั้น7นั้นจะเป็นห้องพักอาจารย์” ครูรัตอธิบายขณะกำลังพาสุริย์สาเข้าห้อง4/6
ทันทีที่สุริย์สาก้าวเข้าไปในห้องเรียน สายตาทุกคู่หันมามองเด็กสาวเป็นตาเดียว ความเงียบกริบเข้าปกคลุมอย่างไม่ทันตั้งตัว
“สุริย์สา ช่วยแนะนำตัวให้เพื่อนๆรู้จักหน่อยสิจ๊ะ” ครูรัตพูดพลางยิ้มกว้าง
“......เอ่อ......สวัสดีค่ะ ชื่อ สุริย์สา สุขติวงศ์ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”เด็กสาวกล่าวแนะนำตัวอย่างสั้น
ทันใดนั้น มือหนึ่งก็ชูหวือขึ้นกลางอากาศซึ่งเรียกสายตาจากผู้คนโดยรอบได้เป็นอย่างดี เธอเป็นสาวผมบลอนด์ เจาะหูสองรู ท่าทางเชื่อมั่นในตนเองสูงแต่อีกมุมมองหนึ่งนั้นดูร่าเริงและสดใส
“สวัสดี ฉันชื่อเจนนี่ ขอถามหน่อยนะเธอถนัดอะไร?” เธอถามออกมา ทำเอาสุริย์สาถึงกับฉงนในคำถาม
“สุริย์สาจ๊ะ เจนนี่หมายความว่าเธอถนัดหรือมีความสนใจเกี่ยวกับศิลปะด้านไหนเป็นพิเศษ”ครูรัตชี้แจงเมื่อสุริย์สาเงียบไป ถึงกระนั้นเด็กสาวก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าทำไมต้องศิลปะ
“.......ฉันชอบวาดลายเส้น” สุริย์สากล่าวอย่างไม่แน่ใจในคำตอบ แต่ปฏิกิริยาของเพื่อนๆที่พยักหน้าหงึกหงัก ตามมาด้วยเสียงพูดคุย ก็ทำให้เธอโล่งขึ้นบ้าง
ครูรัตยื่นบัตรสีเงินที่ใช้รูดช่องบัตรอัตโนมัติให้สุริย์สา ก่อนจะบอกให้เด็กสาวตรงไปนั่ง ตรงโต๊ะว่างติดริมหน้าต่างหลังห้อง ซึ่งอยู่หลังโต๊ะเจนนี่ และเด็กสาวก็ตรงไปนั่งอย่างเร็วปรื๋อโดยไม่สบตาใคร
ทันทีที่สุริย์สานั่งลง เสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้น ผู้ชายร่างสูง ผมดำขลับ เดินเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต ก่อนจะเหลือบมองหาโต๊ะว่างแล้วก้าวฉับๆมานั่งโต๊ะที่อยู่ด้านข้างสุริย์สา มีผู้หญิงหลายคนหันหลังมามองเขา ชั่วขณะหนึ่งสุริย์สารู้สึกคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้มากแต่คิดยังไงก็นึกไม่ออก
“เฮ้ย กิต!ไม่รอกันเลย” และแล้วชายผมสีน้ำตาล ร่างบางก็เดินตามเข้ามาติดๆ เพื่อนผู้หญิงหลายคนหัวเราะ
“กิตติกรณ์! คราวหน้าขออนุญาตก่อนเข้าห้องด้วยนะ เอาเถอะครั้งนี้ถือว่าเปิดเทอมวันแรก” ครูรัตตำหนิ แต่เจ้าตัวกลับนิ่งเฉยทำเป็นทองไม่รู้ร้อนซะอย่างนั้น
ชายผมน้ำตาล ชื่อ โจ สะกิดกิตติกรณ์ก่อนจะพูดขึ้น
“เฮ้ย!กิตแกเป็นอะไรวะ บื้อตั้งแต่เช้า......ไอ้ธันญ์ก็ยังไม่โผล่หัวให้เห็นเลย”
“สงสัยหลับไม่ตื่น” กิตติกรณ์ตอบไป
“เดี๋ยวโทรปลุกดีกว่า” ว่าแล้วโจก็หยิบมือถือขึ้นกดหมายเลขไปยังเพื่อนจอมหลับ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าครูรัตยืนท้าวสะเอว คิ้วชนกัน อยู่ข้างหลัง
“โจ เธอควรจะให้เกียรติผู้สอนบ้างนะ ถ้าอยากจะคุยโทรศัพท์ก็ออกไปคุยข้างนอก” ครูรัตพูดเสียงเรียบก่อนจะชี้นิ้วไปยังประตู ทุกคนเงียบ รอฟังคำตอบโต้จากโจ
“โธ่....ครูก็รู้นี่ครับว่าผมน่ะให้เกียรติครูเสมอ ถึงขนาดโทรตามเพื่อนให้มาเรียนเลยนะครับเนี่ย” โจทำเสียงอ้อนวอน
“เฮ้อ...ครูล่ะเบื่อกับพวกเธอจริงๆ ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัน ไม่งั้นระวังจิตพิสัยจะไม่เหลือ” พูดจบครูรัตก็เดินไปหน้าห้อง
ระหว่างที่ครูรัตแจกจุดประสงค์แก่นักเรียนแล้วอธิบายนั้น สุริย์สาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะมองไปรอบๆห้องแล้วก็ต้องหยุดเมื่อสบสายตากับกิตติกรณ์เข้าอย่างจัง เธอไม่ชอบสายตาคู่นี้เท่าใดนัก เพราะยามใดที่มองมันรู้สึกราวกับถูกล้วงความลับในจิตใจไปเรื่อยๆ เด็กสาวรีบเบือนหน้าหนีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วเปลี่ยนมาตั้งใจฟังครูรัตอธิบายต่อ
“เอาล่ะ ครูอยากให้มีหัวหน้าห้อง,รองหัวหน้า,เลขานุการ และเหรัญญิก สำหรับคอยติดต่อประสานงานกับครู ขอให้ทุกคนเสนอชื่อแล้วลงคะแนนเสียงด้วย”
มีหลายมือชูขึ้นเสนอชื่อ และแล้วสุริย์สาก็ต้องสะดุ้งเมื่อเจนนี่หันหลังมามองเธออย่างมีเลศนัย พลางยกมือขึ้นสูง
“ครูขา! หนูขอเสนอชื่อสุริย์สาเป็นหัวหน้าห้องค่ะ” สิ่งที่เจนนี่พูดออกไป ทำเอาสุริย์สากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในขณะที่กิตติกรณ์หัวเราะเบาๆในลำคอเมื่อเห็นสีหน้าที่อึ้งจังงังราวกับโดนผีหลอกของเด็กสาว ก่อนจะเป็นฝ่ายโดนผีหลอกซะเองเมื่อผู้หญิงผมซอยสั้นคนหนึ่งเสนอชื่อเขาขึ้น
“เฮ้ย!” กิตติกรณ์โพล่งออกมา ทำให้เกิดเสียงฮาขึ้นทั้งห้อง
ผลมติจากการลงคะแนนเสียงคือ สุริย์สาได้เป็นหัวหน้าห้อง เพราะนักเรียนเก่าไม่มีใครอยากเป็น ส่วนรองหัวหน้าคือ กิตติกรณ์ ที่สาวๆทั้งห้องพากันเทคะแนนให้ เลขานุการคือ นุช และเหรัญญิกที่สุริย์สาเสนอชื่ออย่างจงใจคือ เจนนี่
พักเที่ยง
“นี่ยัยหยอง ผมเธอหน่ะดัดมาหรือเปล่า”เจนนี่ถาม พลางแตะผมที่หยักเป็นลอนของสุริย์สา
“อ๋อ....เปล่าหรอก เป็นกรรมพันธุ์หน่ะ”สุริย์สาตอบ ขณะที่เลือกอาหารอยู่ โดยไม่รู้ตัวเลยว่า เจตแอบมาอยู่ข้างหลังแล้วขยี้ผมเธอจนยุ่งหนักกว่าเดิมเข้าไปอีกอย่างเอ็นดู สุริย์สาจับมือพี่ชายออกอย่างรำคาญ
“พี่เจตอย่าทำแบบนี้อีกนะ สาไม่ชอบ” สุริย์สาบ่นอุบอิบ
“อย่าโกรธสิ เดี๋ยวแก่ไว”เจตพูดพลางยื่นไอศครีมโคนให้ แล้วเดินออกจากโรงอาหารไปกับกลุ่มเพื่อน
“กรี๊ด!!!!!!!!!!”
สุริย์สาถึงกับผงะ เมื่อเจนนี่กรี๊ดลั่นโรงอาหารจนผู้คนหันมามองว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูท่าเจ้าตัวจะไม่สนใจเลย
“เจนนี่เป็นอะไร?” สุริย์สาถามอย่างตกใจ แทนที่เจนนี่จะตอบคำถามแต่เธอกลับเขย่าตัวสุริย์สาจนโงนเงน แล้วถามเสียงดัง
“ สา เธอเป็นแฟนกับพี่เจตเหรอ”
คำถามนี้ ทำเอาผู้หญิงหลายคนแอบเงี่ยหูฟังการสนทนาของทั้งคู่อย่างใจจดใจจ่อ
“....เอ่อ...เปล่าหรอก ฉันเป็นน้องสาวน่ะ”สุริย์สาตอบกลับไปอย่างงงๆ เธอคงไม่รู้หรอก ว่าคำตอบสั้นๆเพียงแค่นี้จะเป็นตัวจุดประกายไฟให้สาวๆหลายคนอยากตีสนิท หวังเป็นพี่สะใภ้ แต่คงยากเพราะดูท่าเจนนี่คงไม่ยอมปล่อยให้เจตกับสุริย์สาหลุดมือไปง่ายๆ
“ สา คราวหน้าแนะนำให้ฉันรู้จักกับพี่เจตหน่อยสิ” เจนนี่อ้อนวอนด้วยสายตาที่เจ้าหล่อนคิดว่าใสซื่อที่สุด แต่อนิจจาสำหรับคนรอบข้างแล้วมันน่าถอยห่างมาก สุริย์สารู้สึกสงสารตัวเองกับเจตขึ้นมาตะหงิดๆเพราะยังไงผู้หญิงในอุดมคติของเจตต้องดูเป็นผู้หญิง และเรียบร้อยกว่าเจนนี่
“ตกลง ฉันจะช่วยเธอ” สุริย์สาตกปากรับคำไป เจนนี่ถึงกับโผกอดเด็กสาวอย่างลิงโลด
หลังจากกินข้าวเสร็จ เจนนี่ก็พาสุริย์สาไปชมโรงเรียนจนทั่ว สุริย์สาเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าโรงเรียนกว้างขวางขนาดไหน ทันทีที่ไปถึงอาคารเรียนอื่นๆสุริย์สาก็นึกคำถามที่ค้างคาใจขึ้นได้
“เจนนี่ ทำไมอาคารเรียนอื่นๆถึงไม่เหมือนกับอาคารของเราเลยหล่ะ” สุริย์สาถามไป ซึ่งสร้างความงงงันแก่เจนนี่อยู่พอควร
“อ้าว สาไม่ใช่นักเรียนทุนหรอกเหรอ?”
“นัก-เรียน-ทุน” สุริย์สาทวนคำถามของเจนนี่
“เป็นไปได้ยังไง เด็กที่จะเข้าเรียนอาคาร6ได้ตองสอบชิงทุนวิชาศิลปะเข้ามาเท่านั้น เว้นเสียแต่ว่าเคยชนะรางวัลใหญ่ระดับประเทศด้านศิลปะมาก่อน เพราะคนที่สร้างอาคาร6น่ะคือ คุณบ๊อบ ความจริงคุณบ๊อบแกเป็นคนไทยแต่ไปอยู่ฝรั่งเศสตั้งแต่เด็ก แล้วแกชอบศิลปะมากรู้สึกว่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ พอกลับมาเมืองไทยก็เลยตั้งใจจะสร้างโรงเรียนศิลปะโดยเฉพาะขึ้น พอมาเห็นเนื้อที่ของโรเรียนเราแกคงติดใจในบรรยากาศล่ะมั้ง เลยสร้างอาคาร6ขึ้นมาพร้อมๆกับตอนที่เพิ่งก่อตั้งโรงเรียนใหม่ๆ อาคาร6นี้เป็นงบของแกหมด โดยที่ผ.อ.ไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกฏของอาคารเราโดยเด็ดขาด ว่าแต่เธอเคยลงแข่งศิลปะรายการใหญ่ๆแล้วได้รางวัลชนะเลิศมาหรือเปล่า?” เจนนี่ชี้แจง
“....ฉันเคยลงแข่งวาดลายเส้นแค่ตอนประถม6ครั้งเดียวเองนะ แถมยังได้ที่โหล่มาอีก”สุริย์สาบอก
ติ๊งต่อง...ขณะนี้เวลา 13.00 น. ขอให้นักเรียนทุกระดับชั้นขึ้นอาคารเรียนด้วยค่ะ
เสียงเครื่องอัตโนมัติจากฝ่ายประชาสัมพันธ์เตือนขึ้น สุริย์สากับเจนนี่จึงรีบบึ่งไปอาคาร6 เพื่อให้ทันเรียนช่วงบ่าย โชคยังดีที่อาจารย์ยังไม่เข้าสอน
แล้วสุริย์สาก็พบว่า อาจารย์ที่นี่มีชาวต่างชาติด้วย
“นี่เธอน่ะ! หยิบดินสอให้ฉันหน่อย” กิตติกรณ์บอกสุริย์สา ในชั่วโมงเรียน drawing น้ำเสียงที่ไม่ชวนฟังของเด็กชาย ทำเอาสุริย์สาไม่เต็มใจที่จะหยิบให้เท่าใดนัก
หลังเลิกเรียน สุริย์สากับเจนนี่นั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดชั้น1 พลางคุยถึงเรื่องอาชีพในอนาคต ระหว่างนั้นเจนนี่ก็สังเกตเห็นเจตกำลังยืนมองนาฬิกา อยู่แถวใต้ต้นคูณที่ชูช่อเหลืองสดอร่ามตรงหน้าอาคาร
“ว้าย!พี่เจตนี่” เจนนี่บอกพลางชี้ให้สุริย์สาเห็น ก่อนจะฉุดแขนสุริย์สาตรงไปยังต้นคูณ
“ พี่เจต ” สุริย์สาเรียก
“ทำไมลงมาช้าจัง?” เจตถาม ก่อนจะหันไปมองเจนนี่ที่ตามมาด้วย
“สานั่งรออยู่ที่ห้องสมุดน่ะ....เอ่อ....พี่เจต นี่ เจนนี่ อยู่ห้องเดียวกับสา” สุริย์สาแนะนำเจนนี่ให้เจตรู้จัก ซึ่งเจตก็แค่พยักหน้าเฉยๆ
“เอาล่ะงั้นกลับบ้านได้แล้ว” เจตพูด พลางดึงมือน้องสาวขึ้นรถ ทำเอาเจนนี่งงกับพฤติกรรมของเจต
“เอ๊ะ!จะกลับเลยเหรอ” สุริย์สาถาม ก่อนจะหันไปมองเจนนี่อย่างเหรอหรา ซึ่งมีสีหน้าไม่ต่างกัน
เจตสตาร์ทเครื่องแล้วบึ่งเวสปาร์ ผ่านห้องสมุดเครือข่าย ศูนย์กีฬา ก่อนจะเลี้ยวขวาผ่านอาคาร1 แล้วออกประตูใหญ่โรงเรียนไป
สุริย์สารู้สึกสงสารเพื่อนสาวของเธอขึ้นมาจับใจ ป่านนี้เจนนี่อาจจะนั่งเสียใจอยู่ก็ได้ หรือไม่ก็กรี๊ดจนลั่นโลก อย่างไรเสียเธอก็จะพยายามรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเจนนี่ให้ได้ ถึงแม้เปอร์เซ็นต์ที่ได้จะเป็นศูนย์ก็ตาม
เจตดับเครื่องลงตรงหน้าซุปเปอร์มาเก็ต
“เย็นนี้กินอะไรดี” เจตถามสุริย์สาที่กำลังทำหน้าบอกบุญไม่รับ
“ทำไมพี่เจตต้องรีบขับรถออกมาด้วย รู้หรือเปล่าว่าเจนนี่อยากรู้จักพี่เจตมากขนาดไหน”เด็กสาวเอ่ยถาม
“คราวหน้าอย่าไปยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นอีกนะ”เจตบอก
“ทำไมล่ะ? เจนนี่นิสัยดีมากนะ” สุริย์สาแย้ง
“ดูท่าทางช่างเที่ยวออกอย่างนั้น เดี๋ยวสาจะได้เสียคนกันพอดี อีกอย่างสาเพิ่งรู้จักกับเขาได้ไม่นาน ทำไมถึงมั่นใจนักว่าเขาเป็นคนดี” คำพูดที่มีเหตุผลของเจตทำเอาสุริย์สาชะงักไป
“...แต่..” ยังไม่ทันที่สุริย์สาจะอธิบาย เจตก็เดินดุ่มๆเข้าซุปเปอร์มาเก็ตไป ไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมามอง นั่นยิ่งทำให้เด็กสาวเกิดโทสะมากขึ้นไปอีก เธอเดินอย่างเร็วไปที่ขวดแก้วซึ่งวางขวางทางเดินอยู่ เธอเหลือบมองขวด ก่อนจะเดินผ่านเลยไป ถึงยังไงลึกลงไปในก้นบึ้งของหัวใจ เธอก็ยังแอบสุขกับความหวังดีของพี่ชาย
สุริย์สาเข้าไปหยุดอยู่ในแผนกน้ำของซุปเปอร์ฯ แล้วมองหานมไวตามิ้ล เธอไล่สายตาไปทีละชั้นก่อนจะหยุดลงที่ชั้นบนสุด
“เฮ้อ!!ไม่น่าเกิดมาเตี้ยเลย” สุริย์สาบ่น ขณะกำลังเขย่งปลายเท้า ยืดแขนจนสุดเพื่อจะคว้าให้ถึง ก่อนจะตัดใจแล้วเหลือบมองไปทั่วเพื่อหาคนช่วยหยิบ และแล้วสุริย์สาก็ถึงกับสะดุ้งเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสอุ่นๆของมือกำลังไล้เส้นผมของเธอ เด็กสาวหันไปมองในทันที แล้วเธอก็ได้พบกับคนที่คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอที่นี่
“ถ้ายังคิดไม่ออกว่าจะดื่มอะไรหล่ะก็ ช่วยเขยิบไปหน่อย” เจ้าของเสียงคือ กิตติกรณ์นั่นเอง
สุริย์สาเขยิบออกไป เพราะเธอไม่อยากมีเรื่อง กิตติกรณ์เปิดประตูตู้แล้วหยิบนมดัชมิลล์รสสตอร์เบอร์รีมา 2 ขวด นั่นทำให้สุริย์สานึกขำอยู่ในใจ เขากำลังจะเดินไปจ่ายเงินแต่แล้วก็ต้องหยุดลง ก่อนจะหันหลังมามองสุริย์สาที่กำลังดึงเสื้อยืดของเขาอยู่
“ทำอะไรของเธอ” กิตติกรณ์ถาม
“เอ่อ....ช่วยหยิบนมไวตามิ้ลชั้นบนสุดให้หน่อยสิ คือฉันเอื้อมไม่ถึง” เสียงใสๆของเด็กสาวเอ่ยออกมา
กิตติกรณ์รู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงไม่เป็นจังหวะ เมื่อพบว่าเด็กสาวที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังเขานี้ ช่างน่ารักเสียเหลือเกิน
“แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก!” กิตติกรณ์พูดเสียงดังเพื่อแก้เขิน แล้วหยิบนมไวตามิ้ลให้สุริย์สา
“ขอบคุณมากนะ” สุริย์สาเอ่ยอย่างแผ่วเบา พลางรับกล่องนมที่กิตติกรณ์ยื่นให้
“ไม่เป็นไร” พูดจบเด็กชายก็รีบตรงไปจ่ายเงินที่เคาเตอร์ ก่อนจะรีบวิ่งออกจากร้านไป
ระหว่างทางกลับบ้าน สุริย์สารู้สึกเหมือนกับความสุขนั้นโผล่ขึ้นมาจากซอกหนึ่งของจิตใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนลืมเรื่องของเจนนี่เสียสนิท
ความคิดเห็น