ZOR00 บนโลกอันโหดร้าย (ประกวดเรื่องสั้นหัวข้อ 2012) - ZOR00 บนโลกอันโหดร้าย (ประกวดเรื่องสั้นหัวข้อ 2012) นิยาย ZOR00 บนโลกอันโหดร้าย (ประกวดเรื่องสั้นหัวข้อ 2012) : Dek-D.com - Writer

    ZOR00 บนโลกอันโหดร้าย (ประกวดเรื่องสั้นหัวข้อ 2012)

    ประกวดเรื่องสั้น 2012 บอร์ดนักเขียน (อันดับ 5 จาก 10)

    ผู้เข้าชมรวม

    473

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    473

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  3 ก.ย. 54 / 12:51 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
     
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ



      ZOR00 บนโลกอันโหดร้าย

       




       

      ค.ศ. 2012

      บนโลกที่เคยเต็มไปด้วยธรรมชาติสวยงามและเทคโนโลยีทันสมัยบัดนี้กลับกลายเป็นเพียงเศษซากของวัฒนธรรมที่เคยก่อเอาไว้เพราะภัยพิบัติทางธรรมชาติ เมืองที่เคยเต็มไปด้วยเทคโนโลยีกลับกลายเป็นเมืองร้างที่ไร้ซึ่งผู้คนเมื่อสิ่งต่างๆกลับร้ายแรงขึ้นทวีคูณทั้งฝุ่นละอองที่มากขึ้น ความร้อนที่มากขึ้น คาร์บอนไดออกไซด์ที่มากขึ้น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆตัวกลับเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมเมื่อไวรัสชนิดหนึ่งได้วิวัฒนาการตนเองแทรกเข้าไปกัดกินร่างของผู้ติดเชื้อเป็นอาหาร มันจะค่อยๆกลืนกินร่างของผู้ติดเชื้อช้าๆ ไวรัสนั้นจะกัดกินร่างกายโดยการแทรกซึมเข้าไปตามเซลล์ต่างๆในร่างกาย

      เมื่อมันแทรกซึมจนหมดทุกเซลล์ก็จะเกิดปฏิกิริยาการย่อยสลายทำให้ร่างกายกลายเป็นผุยผงในทันที ไวรัสดังกล่าวจะสามารถทำปฏิกิริยากับเซลล์ได้ในทันทีเมื่อสัมผัสแสงอาทิตย์ได้ ไวรัสในตอนนี้กลับอยู่ในร่างกายของคนทั่วโลก เหล่าผู้คนหลายชนชั้นต่างต้องแย่งชิงวัคซีนไวรัสที่ในตอนนี้มีเพียงแค่ 2 หลอดในโลกเนื่องจากผู้ผลิตได้ตายจากไปเพราะพิษของไวรัส โลก ณ ตอนนี้ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ใดๆมาขว้างกันจึงทำให้มีอิสระในการกระทำมากกว่าเมื่อก่อน จึงทำให้โลกที่เคยสวยงามกลับกลายเป็นโลกที่ดิบเถื่อน เต็มไปด้วยการฆ่าฟันและแย่งชิงไม่เว้นกระทั้งเด็กตัวเล็กๆก็ตามแต่ ไวรัส
      ร้ายนั้นมีชื่อเรียกว่า

      ZOR00

      เมืองหลวงของประเทศไทย เวลา 01 : 20 นาที

      เมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองคงเป็นได้แค่ความฝันในอดีตเพราะตอนนี้มันกลับกลายเป็นซากเมืองร้างเก่าๆ ผู้คนที่เหลือรอดต่างซ่อนอยู่ในที่ต่างๆตามตัวเมืองไม่ว่าจะเป็นในตัวตึก บ้าน หรือในท่อสกปรกก็ตามแต่ ในหัวของพวกเขาในตอนนี้คงจะคิดถึงแต่เรื่องของการมีชีวิตรอดจนลืมนึกถึงสิ่งสำคัญที่แท้จริงไปหมดแล้วก็ได้

      ตึก... ตึก... ตึก...

      เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาเหยียบย่ำเข้ามาในตัวตึกช้าๆราวความมืดของรัตติกาล แสงจันทร์ทราดวงเล็กทว่าสว่างจ้าส่องไปทั่วบริเวณ เขาได้เดินขึ้นบันไดจนถึงชั้นสามด้วยฝีเท้าที่มั่นคง แสงไฟในตึกสูงติดๆดับๆเหมือนกับเชิญชวนบางสิ่ง บุคคลหนึ่งก้าวย่างอย่างระมัดระวัง เขาเดินมายังห้องแห่งหนึ่งที่มีไฟเปิดอยู่ บุคคลปริศนาซุ่มแอบฟังในความมืดอย่างเงียบงัน

      “หึหึ ได้จะทำยังไงกับผู้หญิงพวกนี้ดีล่ะ”

      น้ำเสียงชายคนหนึ่งที่ฟังดูชั่วร้ายดังขึ้นเนื่องๆ เขาดูเหมือนกับพอใจกับผลงานตรงหน้าของเขา เมื่อเบื้องหน้าคือหญิงสาวอายุราวยี่สิบนั่งเรียงรายประมาณหกคนด้วยสภาพที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย พวกเธอถูกมัดแขนและขาเอาไว้อย่างหนาแน่น ริมฝีปากบางถูกปิดด้วยเทปหนา น้ำใสๆอาบรอบดวงตาและใบหน้าหวานจนไม่เหลือเค้าความงามเอาไว้เลยแม้แต่น้อย แววตาที่สื่อความหมายหวาดกลัวแสดงออกมาอย่างชัดเจน

      “สวยๆแบบนี้ก็ต้องฟันสิว่ะ”

      อีกคนตอบ เขาได้ยื่นมือที่สากและหนาจับใบหน้าหวานของหญิงสาวผู้หนึ่งอย่างรุนแรง ใบหน้าหื่นกระหายที่เกือบจะแนบชิดใบหน้าของอีกฝ่าย หญิงสาวคนนั้นหลั่งน้ำตาออกมามากกว่าเดิมเมื่อมือสากอีกข้างค่อยๆลวนลามเธอ ผู้ชายอีกคนยืนถึงกล้องถ่ายรูปเก่าพร้อมกดชัตเตอร์หลายๆครั้งติดต่อกันนับไม่ถ้วน

      กึก...

      ปลายคมดาบคาตานะจ่อเข้ากับหัวของชายที่ยืนถือกล้อง เมื่อเสียงชัตเตอร์หยุดลงทำให้ชายที่กำลังลวนลามหญิงสาวหันไปมองผู้ที่กำลังถือสิ่งอันตราย ปรากฏว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันช่างผิดกับที่เขาคิด

      หญิงสาวร่างสูงราว 165 เซนติเมตรมือสีแทนออกน้ำตาลถือดาบญี่ปุ่นยาวจ่อหัวเพื่อนตน ผมยาวสีดำสนิทแวววาวกระทบกับแสงไฟถูกรวมเป็นหางม้าสูง สวมใส่เครื่องแบบนักเรียนสีขาวแขนยาวที่เปื้อนเลือดสีแดงข้น กระโปรงเหนือเข่าสีกรมท่าสะบัดไปตามสายลมยามค่ำคืน แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นคือดวงตาข้างหนึ่งเป็นสีเหลือง และอีกข้างหนึ่งเป็นสีมรกตอันงดงาม

      “ยะ อย่าทำอะไรฉันนะ”

      เสียงสั่นคลอนของผู้ถูกกระทำดังขึ้นด้วยความกลัว เขายกมือสองข้างขึ้นเหมือนยอมจำนนต่อฝ่ายตรงข้าม การกระทำดังกล่าวสร้างความดีใจให้แก่บรรดาหญิงสาวทั้งหลาย

      “ปล่อยผู้หญิงพวกนั้นซะ”

      หญิงสาวผู้มีนัยน์ตาสองสีกล่าวขึ้น ผู้ชายที่ลวนลามหยุดการกระทำลง เขาปล่อยมือสากออกจากลำขาเรียวสวยแล้วก้มหน้าลงทำท่าทางจะปลดเชือกให้กับผู้หญิงทว่าเขากลับชักปืนขึ้นมาแล้วเหนี่ยวไกยิงหญิงสาวในทันที

      ปัง ! ปัง ! ปัง !

      กระสุนสามนัดลั่นขึ้นดังก้องไปทั่วแถบนั้น กระสุนสีเทาออกมาจากกระบอกปืนสีเงิน หญิงสาวเห็นดังนั้นจึงรีบคว้าคอเสื้อของผู้ชายอีกคนมาเป็นโล่กำบัง เมื่อกระสุนกระทบโล่มนุษย์จนหมดนัด เธอผลักร่างนั้นออกไปแล้วชักดาบสีเงินมุ่งไปข้างหน้าอย่างว่องไว

      “อย่านะ !!!!!!!!!!!!!!!

      ปัง !!

      กระสุนอีกนัดลั่นออกมาทว่าผู้มาเยือนกลับไวกว้าง ดาบสีเงินตวัดฉีกกระฉากแขนขวาของอีกฝ่ายจนขาดลงพื้น เลือดสีแดงฉานไหลทะลักราวกับเปิดก๊อกน้ำ โลหิตไหลย้อมไปทั่วพื้นหินอ่อนและเสื้อผ้า หญิงสาวที่อยู่ในห้องหลับตาลงแล้วกรีดร้องภายในใจเพราะมันคือภาพที่โหดร้ายเสียจนไม่นึกว่าผู้หญิงเป็นคนกระทำการแบบนี้ ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นกลับไม่ตาย เขาดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นดิน น้ำตาไหลอาบไปทั่วหน้า มืออีกข้างยกขึ้นโบกไปมาราวกับขอให้ไว้ชีวิต

      “อย่าฆ่าฉันเลยนะ... ฉันกลัวแล้ว !!

      “...”

      “ธะ เธออยากจะรู้ข้อมูลของวัคซีน ZOR00 ใช่ไหมล่ะ !

      หญิงสาวชะงักทั้งทีที่ได้ยินคำพูดดังกล่าว ไม่ว่าใครก็ตามในตอนนี้ก็ล้วนอยากจะรู้ข้อมูลและเบาะแสของวัคซีน ZOR00 ทั้งนั้น หญิงสาวตวัดสายตาเรียบเฉยสองสีมองบุคคลตรงหน้า

      “...บอกมาเดี๋ยวนี้ถ้าแกยังไม่อยากตาย”

      ในที่สุดเธอก็เอ่ยคำพูดออกมาเป็นประโยค เสียงหวานออกห่ามคล้ายชายสามารถข่มบุคคลตรงหน้าได้อย่างฉะงัก เขาค่อยๆเอ่ยน้ำเสียงสั่นระริก

      “ฉะ ฉันรู้แค่ว่าคือ... สถานที่ ZOR’

      หญิงสาวลดปลายคมดาบลงตามที่สัญญา เธอเดินอ้อมชายฉกรรจ์ไปด้านหลังก่อนจะนั่งย่องๆปลดเชือกของผู้หญิงทีล่ะคน ทว่าชายคนนั้นกลับยิ่งปืนจ่อหัวหญิงสาวเอาไว้ยามเธอเผลอ

      “หึหึ ตายซะเถอะยัยเด็กบ้า”

      ปัง !!!!!

      กระสุนสีเทาเงินโผล่ออกมาจากปลายกระบอกปืน หญิงสาวเบิกตาโผลงเมื่อคนที่โดนยิงไม่ใช่เธอ แต่หากเป็นผู้ชายตรงหน้า เขาถูกยิงด้วยฝีมือของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่อายุราว 20 ปีต้นๆ ผมจัดซอยสั้นสีเหลืองเงางามจนหน้าอิจฉา ผิวสีแทนถือกระบอกปืนพกสีเงิน ดวงตาสีน้ำตาลสนิมเปล่งประกายเป็นแวววาวและร่างสูงโปร่งดูแข็งแกร่งองอาจ ใบหน้าเข้มนั้นแสดงสีหน้าจริงจังทันทีที่ผู้ชายที่ตนยิงตาย

      “ระวังตัวหน่อยสิอริสา”

      เสียงทุ้มของเขาดังลอดออกมาจากปาก ชายหนุ่มไร้นามเดินเข้ามาหาหญิงสาวแล้วนั่งย่องๆค่อยๆปลดเชือกตามกัน ผู้ที่ขึ้นชื่อว่า อริสาเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างสงสัย

      “นี่เฮียมาทำอะไรที่นี่”

      “เอะอะอะไรก็เรียกแต่ เฮียๆ ฉันชื่อมุเมียวไม่ใช่เฮีย”

      มุเมียวถอนหายใจเฮือกใหญ่กับคำพูดของคนข้างๆ มือหยาบที่ผ่านการถืออาวุธมาหลายครั้งค่อยๆลอกเทปกาวออกจากปากของหญิงสาวผู้ถูกช่วยเหลือช้าๆอย่างใจเย็น ทั้งสองปลดเชือกที่พันธนาการตัวของผู้ช่วยเหลือจนหมด หญิงสาวราวหกคนยืนขึ้นกับพื้น สภาพเสื้อผ้าที่เสื่อมโทรมเต็มทีกับร่างกายที่ย่ำแย่ทำให้การยืนถือว่าเป็นเรื่องที่ฝืนมากเลยทีเดียว

      “เอ๊า ! คงจะเดินไหวนะ”

      ชายหนุ่มยืนเท้าเอว เขาใช้มือข้างหนึ่งดึงหญิงสาวทีล่ะคนให้ยืนขึ้นเสมอเทียบกับเขา ก่อนจะเก็บปืนหนึ่งกระบอกใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง หญิงสาวทั้งหลายก้มหน้าก้มตาไหว้คนตรงหน้าตน น้ำตาใสๆหลั่งออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง

      “ขอบคุณมากเลยนะคะ ที่ช่วยพวกเราไว้”

      ชายหนุ่มโบกมือทั้งสองข้างไปมาในอากาศเสมือนส่งสัญญาณบอกว่า ไม่เป็นไร ใบหน้ายิ้มแย้มของเขาสามารถทำให้คนตกหลุมรักได้อย่างรวดเร็วเลยทีเดียว อริสาหันไปมองกลุ่มคนที่อายุมากกว่าด้วยอารมณ์เบื่อหน่าย เธอเก็บดาบสีเงินเข้าฝักดาบสีน้ำเงินเข้ม มือเรียวประคองตัวดาบดุจว่ามันคือของสำคัญ ดวงตาสองสีมองตัวดาบและยิ้มออกมาบางๆ

      “เอาเถอะ ไปกันได้แล้ว”

      มุเมียวส่งยิ้มหวานให้กับหญิงสาวทั้งหกคน เขาหันหลังกลับเดินนำหน้าไปพร้อมกับอริสา แต่เมื่อเดินออกจากห้องได้ไม่กี่ก้าว หนึ่งในหญิงสาวหกคนนั้นได้หยิบปืนออกมาจากกระเป๋ากระโปร่งของเธออย่างรวดเร็ว รอยแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายเผยออกมา ปลายกระบอกหันไปทางมุเมียว เธอลั่นไกออกมา

      ปัง !!

      เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น อริสาเอี่ยวตัวหันหลังชักดาบสีเงินออกมาจากฝัก ดาบคาตานะเรียวบางนั้นฟาดผ่ากระสุนสีเทาด้วยความเร็วที่ชนิดตามองไม่ทัน หญิงสาวผู้ลั่นไกปืนเบิกตาด้วยความตกใจ มือของเธอนั้นเตรียมจะยิงอีกครั้ง แต่ดาบเล่มยาวกลับกลับแสดงเชิงชั้นเหนือกว่า มันฟากฟันศีรษะของเธอจนสะบั้นตกลงพื้นหินอ่อน เลือดเข้มข้นพุ่งออกมาจากลำคอที่ถูกตัดขาดราวกับน้ำพุเดือด หัวที่หลุดออกกลิ้งไปมากับพื้น ใบหน้าที่แสดงความหวาดกลัวก่อนตายยังคงเผยให้เห็น เลือดสีโนรีกระเด็นแปะบนใบหน้าของผู้หยิบยื่นความตาย อริสาย่างสามขุมเข้าหาห้าคนที่เหลือ หญิงสาวอีกห้าคนชักปืนสีเงินออกมา และเล็งเป้าหมายไปทางคนตรงหน้าอย่างแม่นยำ

      ปัง !!! ปัง !!! ปัง !!! ปัง !!! ปัง !!!

      กระสุนสีเทางามกระทบใส่จุดตายของหญิงสาวทั้งห้าอย่างรวดเร็ว ร่างทั้งห้าล้มลงไปนอนกับพื้นอย่างน่าอนาถโดยฝีมือของชายหนุ่มร่างสูง อริสาใช้ผ้าสีดำแห้งเชือดดาบที่ชโลมไปด้วยเลือด มุเมียวหันหลังทำท่าว่าจะเดินออกจากบริเวณนี้ อริสาหยุดการกระทำ นัยน์ตาสองสีมองซากศพที่ยังคงมีเลือดอุ่นๆหลั่งออกมา ใบหน้าของเธอก้มมองพื้น เสียงเศร้าสร้อยเอ่ยออกมาอย่างอ่อนแรง

      “...ทำไมคนพวกนี้ถึงจะฆ่าเราด้วย ทั้งๆที่เราช่วยออกมาแท้ๆ”

      เธอถาม มุเมียวหยุดเดิน เขาหันมามองหญิงสาวและเอียงคอมองเธอด้วยสายตาเศร้า เขาเดินเข้ามาประชิดตัวมือหยาบนั้นลูบหัวของผู้ที่เปรียบได้ว่าเหมือนน้องสาว รอยยิ้มอ่อนโยนของเขาได้ประจักอยู่บนใบหน้า อุ่นไอของมือหนาถ่ายทอดมายังตัวของหญิงสาวอย่างเบาบางทว่าหนักแน่น

      “บนโลกในตอนนี้ไม่มีใครเชื่อใจกันได้หรอกนะ มันเต็มไปด้วยคำหลอกลวงใบนี้ทำให้พวกเราต้องดิ้นรน... พวกเราจะต้องรอดจากโลกที่โหดร้ายนี้ให้ได้”

      อริสาเผยยิ้มขึ้นมา รอยยิ้มของเธอมันช่างเป็นรอยยิ้มจริงจังมากกว่าใครๆบนโลกนี้สำหรับเขา มุเมียวคว้ามือบางเข้ามาจับก่อนจะเดินจูงมือหญิงสาวไปข้างหน้า ชายหนุ่มเอ่ยคำพูดออกมาเป็นประโยคกับหญิงสาวข้างหลังตน

      “ไปหาวัคซีน ZOR00 กันเถอะ”




       

      ยามเย็นของวันถัดมา

      ในท่อน้ำสกปรกที่เต็มไปด้วยหนูท่อและสัตว์ชั้นต่ำมากมาย ทางเดินที่ทั้งมืดและหนาวเหน็บทว่ามันกลับเป็นทางเดินได้ดีในยามกลางวันของผู้ติดเชื้อไวรัส ZOR00 ที่ไม่อาจจะสัมผัสกับแสงอาทิตย์ได้เลย ชายหนุ่มนาม จูคุ มุเมียวยืนพิงกำแพงกางแผนที่ทางเดินของท่อ แล้วกุมขมับของตัวเองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ข้างๆของเขาคือหญิงสาวนาม อริสา อชิรญาณ์ที่เดินเข้ามาดูแผนที่ด้วยใบหน้าสงสัย

      “มีอะไรเหรอเฮีย” เสียงหวานดังขึ้นถามคนตรงหน้าตนที่มีอาการเคร่งเครียด

      “ฉันกำลังสงสัยว่า สถานที่ ZOR’ คือที่ไหนนะสิ แต่ที่แน่ๆมันต้องอยู่แถวๆตัวเมืองกรุงเทพฯ”

      มุเมียวใช้ดวงตาสีสนิมของตนเพ่งมองแผนที่ราวกับจะทิ่มแทง อริสาเงยหน้ามองขึ้นทำท่าทางคิด ทั้งสองรู้ว่าคำตรงหน้าคือรหัสลับแน่นอน แต่ปัญหาคือตัวอักษรที่ว่าจะบ่งบอกอะไร

      “ฉันนึกออกแล้ว !!

      อริสาพูดเสียงดังลั่นเมื่อตนนึกออก มุเมียวแทบจะทิ้งแผนที่ทันทีเมื่อได้ยินคำของอริสา เขาไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กน้อยที่อายุน้อยกว่าตนจะสามารถแก้รหัสดังกล่าวได้อยากง่ายดาย

      “2012 ยังไงล่ะ” สิ้นคำพูด มุเมียวทำหน้าเหวอทันที ปากของเขาจะเอ่ยประโยคขัดแย้ง แต่ว่าหญิงสาวกลับพูดไวกว่า

      “ฉันคิดออกตอนที่ฉันอ่านโคนันตอนจอมโจรคิดล่ะ !

      “แล้วมันเกี่ยวอะไรล่ะ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างไม่แน่ใจซักเท่าไร อริสายิ้มหน้าบานมากกว่าเดิมหลายเท่าเมื่อตนได้ไพ่เหนือกว่า

      “มันเป็นรหัสที่แปลมาจากเลข Z = 2 O = 0 R = 12  รวมกันได้ ZOR = 2012 !!

      มุเมียวชะงัก สมองของเขาเริ่มทบทวนอีกครั้ง ปรากฏว่ารหัสดังกล่าวตรงกับที่อริสาพูดไม่มีผิดเพี้ยน มุเมียวหยิบแผนที่อีกใบออกมาจากกระเป๋าเป๋ที่อยู่ด้านหลังของเขา กระเป๋าที่มีทั้งปืนกล ปืนพกสองกระบอก และลูกกระสุนอีกมากมายส่งผลให้กระเป๋าใบนี้แสนจะหนักอึ้ง แต่กระนั้นมุเมียวก็สามารถยกกระเป๋าใบนี้ด้วยมือข้างเดียวได้สบายๆ

      “แล้วสถานที่อะไรบ้างล่ะที่เกี่ยวกับ 2012” ผู้อายุมากกว่ากางแผนที่อีกใบ เขาลูบคางเรียวของตัวเองไปมา อริสาจ้องแผนที่ดังกล่าว เธอถอนหายใจออกมาเพราะสิ้นคิด หญิงสาวพึมพำขึ้นมา

      “...ถ้าเป็นที่สถานีวิจัยวิทยาศาสตร์ก็น่าจะดี”

      “ว่ายังไงนะ !!” ชายหนุ่มหันขวับไปทางหญิงสาว ท่าทีของเขาดูร้อนรนเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว

      “ถ้าเป็นสถานีวิจัยวิทยาศาสตร์ที่เพิ่งสร้างขึ้นเมื่อปี 2012 ก็น่าจะดี”

      อริสาพูดซ้ำอีกรอบ นัยน์ตาสองสีของเธอไม่ค่อยแน่ใจกับคำที่พูดไป มุเมียวถลึงตามองแผนที่พลางนึกถึงข่าวเมื่อไม่นานมานี้ และในที่สุดเขาก็นึกออก หัวข่าวที่มีชื่อว่า การทดลองทางวิทยาศาสตร์เคมีได้สำเร็จแล้ว โดยสิ่งที่ทดลองสำเร็จคือยาแก้ไวรัสพันธุ์ใหม่ 2012 ’ ความคิดดังกล่าวทำให้ชายหนุ่มรีบวิ่งไปข้างหน้า กระเป๋าเป๋ถูกสะพานบนไหล่กว้าง

      “จะไปไหนนะเฮีย !!

      อริสาตัดสินใจถามคนตรงหน้าตน การวิ่งของเธอทำให้ผมสีดำสนิทสะบัดไปมาจนน่ารำคาญ แววตาสีสนิมของมุเมียวได้เปลี่ยนไปเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น มือทั้งสองข้างของเขากำแน่นจนเลือดไหลออก ใบหน้าที่แสดงอารมณ์ออกมาชัดเจนเสียจนอริสาหวาดกลัว

      “ไปที่สถานีวิจัยวิทยาศาสตร์ปี 2012... ที่นั้นมีวัคซีนไวรัส ZOR00 อยู่แน่นอน !!!




       

      เวลา 23 : 53 รั้วสถานีวิจัยวิทยาศาสตร์ 2012 บริเวณถนน xx

      ทั้งสองได้ซุ่มอยู่บริเวณรอบรั้วลวดเหล็กที่ถูกสร้างขึ้นมาแบบหยาบๆ อริสาจับดาบคาตานะยาวราว 90 เซนติเมตรขึ้นแนบตัว มุเมียวเช็กกระสุนและปืน FN F2000 คู่ใจของตนอยู่เงียบๆ เมื่อทั้งสองแน่ใจว่าอาวุธของพวกเขาไม่เกิดอาการผิดปกติขึ้นอย่างแน่นอนจึงเริ่มทำการบุก อริสาย่องเงียบไปทางด้านหลังของสถานี เธอปีนรั้วกำแพงปูนที่สูงเหนือตัวเพียงเล็กน้อยอย่างว่องไวเช่นเดียวกับมุเมียว เมื่อทั้งสองกระโดดลงมากระทบพื้นหญ้าสูงเหนือเข่าเพราะไม่ได้ตัดมาหลายเดือน ทั้งสองค่อยๆเดินฝ่าความมืดและความเงียบไปสู่ประตูกระจกตรงแถบด้านหลังของสถานีช้าๆ อริสาใช้ลำตัวของเธอแนบชิดกำแพงสีขาว ข้างขวาของเธอคือทางเข้าที่เป็นกระจกฟิล์มสีดำ หญิงสาวใช้ทักษะหูของเธอฟังเสียงที่อยู่ข้างใน

      ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก

      สิ่งที่เธอได้ยินคือเสียงฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งกำลังเดินภายในตัวอาคาร คาดว่าพวกเขากำลังตรวจสอบสถานที่อยู่อย่างแน่นอนเพราะดูจากลักษณะเสียงการเดินเป็นเสียงที่เดินวกวนไปมา ในขณะนั้นนั้นเสียงเท้ากระทบกับพื้นก็ดังขึ้นผ่านมาทางประตูที่พวกเขาอยู่ อริสาใช้สัญญาณมือบอกคนข้างๆให้หมอบลงแนบกับพื้น เมื่อฝีเท้านั้นผ่านหายไปจนลับเสียง อริสาจึงลุกขึ้นพร้อมกับมุเมียว พวกเขาทั้งสองเปิดประตูโดยมีอริสาเดินนำก่อน พวกเขาได้เดินเข้ามาในทางที่มืดมิดเสียจนมองไม่เห็นสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย อริสาใช้หูของเธอสัมผัสเสียง

      “ผ่าน ไม่มีอยู่”

      สิ้นเสียงมุเมียวที่มีสายตาไวกว่าได้มองเห็นแสงเลเซอร์เล็กๆกำลังไล่ไปตามบริเวณเสื้อแถวหน้าอกของอริสา มุเมียวรีบหันไปมองทางต้นเลเซอร์ดังกล่าวเขาพบว่ามีบุคคลคนหนึ่งกำลังซุ่มยิงอยู่บนช่องอากาศด้านบน เขาคว้าปืนที่อยู่ในมือขึ้นมาแล้วกดลั่นไกรัวกระสุน

      ปังๆ !! ปังๆ !! ปังๆ !! ปังๆ !!!

      กระสุนนับสิบลูกถูกรัวไปข้างหน้าตรงเป้าหมายอย่างแม่นยำ กระสุนทั้งหลายทำให้ผู้ซุ่มยิงร่วงลงมาดับชีวิต เสียงยิงกราดดังทั่วศูนย์วิจัย ทำให้พวกเขาสองคนกลายเป็นเป้าหมายในตอนนี้ทันที รอบข้างของพวกเขา ตอนนี้มีแต่ศัตรูที่ทั้งถืออาวุธสารพัดล้อมรอบ ผู้ที่ยืนล้อมนั้นมีชายราวสิบคนและหญิงอีกสองคน พวกเขาสวมชุดที่เปื้อนไปด้วยเลือดตามประสาคนในยุคนี้ ปลายกระบอกปืนจ่อไปที่ทั้งสอง

      “ยิง !!!!!!!!

      ไม่พูดพร่ำทำเพลง ผู้ที่เป็นหัวหน้ายกสัญญาณมือขึ้นให้ยิงทั้งสอง ปืนหลายกระบอกยกขึ้นเสมอกับลำตัว แต่ก่อนที่จะยิงกระสุนออกมา อริสาผู้ว่องไววิ่งถลาเข้าหากลุ่มคนตรงหน้า เธอวิ่งผ่านคนตรงหน้าพร้อมๆกับมือที่จับด้ามดาบเอาไว้ จากนั้นร่างของคนจำนวนราวห้าคนก็ถูกฉีกขาดออกจากกัน ของเหลวข้นกว่าน้ำไหลกระฉูดออกมาจากบริเวณที่ถูกตัดขาด ชิ้นส่วนของหัว แขน ขา และลำตัวล้มไปนอนกับพื้นเลือด อริสาใช้กระบวนท่าอิไอที่เธอเชี่ยวชาญกระทำการกับศพเหล่านั้น มุเมียวยกปืนขึ้นและกราดยิงไปอีกสี่คน ปลอกกระสุนกระทบลงกับเลือดทำให้ไม่เกิดเสียง อีกคนหนึ่งที่เหลือรอดคาดว่าคงจะเป็นหัวหน้าใหญ่ เขาคนนั้นคลานไปกับพื้นเพื่อหาทางรอดออกจากเงื้อมมือของมัจจุราชในคราบมนุษย์

      “บอกมาซะ วัคซีนแก้ไวรัส ZOR00 อยู่ที่ไหน !!

      มุเมียวตะโกนเสียงดัง ใบหน้าดุเดือดของเขาฉายอีกรอบ มือหนาๆจิกผมสีน้ำตาลของฝ่ายตรงข้ามขึ้นมา ใบหน้าของเขาจ่อเข้ากับใบหน้าของผู้ชายวัยกลางคน ปลายปืนจ่อเข้ากับคางศัตรูอย่างเลือดเย็น

      “ยะ... อยู่... ที่ชั้นสอง... หะ... ห้องวิจั...”

      ยังไม่ทันจบประโยคคนตรงหน้ากลับหมดสติไปก่อน มุเมียวถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาปล่อยมือที่ดูราวกับกรงเล็บของสัตว์ร้ายออกจากหนังศีรษะ แววตาที่กลับมาเป็นปกติกำลังฉายแววเศร้าสร้อย

      “ชั้นสองห้องวิจัยตัวยา ที่นั้น... มีวัคซีนอยู่”

      ชายหนุ่มตอบอย่างมั่นใจ เขาสะพานกระเป๋าเป๋ด้วยไหล่ข้างเดียว มุเมียวเดินพร้อมกับใส่กระสุนปืนเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ดวงตาสีสนิมเหล็กของเขาเหม่อมองปืนที่อยู่ในมือ อริสาเก็บดาบของตัวเองเข้าฝักพร้อมเดินตามคนข้างหน้า เธอมองแผ่นหลังอันกว้างใหญ่ของเขาด้วยสายตาละห้อย ในใจลึกๆรู้สึกว่าทั้งตัวเองและเขาเปลี่ยนไปหลังจากโลกนี้เป็นโลกที่ดิบเถื่อน จากตัวเธอที่ไม่เคยกระทั้งทำร้ายคนกลับกลายเป็นว่าสามารถฆ่าคนอื่นได้อย่างสบายๆโดยไม่ต้องหลั่งน้ำตาเหมือนเมื่อก่อน คนตรงหน้าเมื่อก่อนเป็นคนใจดีและไม่เคยยึดติดกับชีวิต แต่ในตอนนี้กลับสามารถทำทุกอย่างเพื่อให้เธอสามารถมีชีวิตรอดอยู่บนโลกที่โหดร้ายนี้แม้จะต้องสละชีวิตตัวเองก็ตาม...

      ขายาวๆของทั้งสองก้าวขึ้นบันไดสูงอย่างระมัดระวัง สายตาทั้งคู่จับจ้องไปข้างหน้าพร้อมๆกับจับอาวุธไว้แนบกาย เมื่อหลุดพ้นบันไดแล้วก็ต้องพบว่าข้างหน้าของพวกเขามีห้องๆหนึ่งเปิดประตูเอาไว้ มุเมียวก้าวเดินก่อนอริสา สายตาคมกริบของเขาจ้องลอดผ่านความมืด แต่เมื่อตาทั้งสองคู่ชินกับความมืดแล้วต้องพบว่าภาพตรงหน้าคือภาพซากศพคนหลายสิบคนสวมชุดสีขาวเหมือนนักวิทยาศาสตร์ล้มเกลื่อนกลานเต็มไปทั่ว ทว่าท่ามกลางความมืดนั้นข้างหลังของเหล็กกั้นห้องกลับมีกล่องเรืองแสงสีฟ้าใบใหญ่ตั้งอยู่กลางห้องพร้อมกับโน๊ตบ๊คหนึ่งเครื่อง มุเมียวค่อยๆเดินเข้าไปหาวัตถุประหลาดที่ว่าอย่างช้าๆ เขารี่ตามองตัวอักษรที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอของโน๊ตบุ๊ค มันคือหน้าต่างกรอกรหัสผ่านเพื่อเปิดถังที่บรรจุบางสิ่งบางอย่างแสนสำคัญเอาไว้ ชายหนุ่มเห็นดังนั้นถึงกลับเบิกตาโพลงขึ้นด้วยความตื่นตะลึง

      “...ไม่น่าเชื่อ”

      ปังๆๆๆ !!!!!!!!!!!!!!!

      กระสุนหลายนัดกระทบเหล็กกั้นอย่างรุนแรง อริสาชักปลายดาบออกมาจากฝักอย่างรวดเร็วเตรียมตั้งท่าต่อสู้ มุเมียวกำลังจะเอ่ยปากห้ามแต่กลับมีเสียงหนึ่งดังขัดขึ้นมาภายใต้เสียงกระสุนมากมาย

      “เฮียแก้รหัสไปเถอะ เวลาของฉันก็เหลือไม่มากแล้วด้วย ไวรัสกำลังกัดกินร่างกายเรื่อยๆ อีกราว 10 นาทีฉันคงต้องตายล่ะนะ แต่ระหว่างนั้นฉันจะถ่วงเวลาเอาไว้ให้”

      คาดว่ามันคือประโยคที่ยาวที่สุดเท่าที่เธอเคยพูดมา ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยเสมือนไร้ความรู้สึกบัดนี้กลับยิ้มกว้างราวกับเต็มใจที่จะทำ ชายหนุ่มจำใจพยักหน้า รอยยิ้มอ่อนโยนของเขามอบให้แก่หญิงสาวผู้เป็นที่รักอีกครั้ง อริสาชูสองนิ้วพร้อมกับวิ่งออกจากกำแพงเหล็กกั้น ดาบคาตานะของเธอกวัดแกว่งอย่างรวดเร็วเท่าที่จะทำได้

      มุเมียวนั่งทรุดพิงกำแพงเหล็ก เขากุมขมับอย่างเคร่งเครียดอีกครั้งโดยไม่รู้ว่าอะไรคือรหัสที่ใช้แก้ ความคิดเก่าๆหลั่งไหลเข้ามาในสมอง ภาพของพ่อเขาที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นไวรัสที่ว่าขึ้น ภาพของเขาที่กำลังทะเลาะกับพ่อเรื่องการสร้างไวรัสที่น่ารังเกลียด ภาพของเด็กสาวนามอริสาที่ยิ้มแย้มลอยเข้ามาจนหัวแทบระเบิด น้ำตาของเขาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ชายหนุ่มปาดน้ำตาออกหลายครั้งแต่น้ำตาก็ไม่ยอมจางหาย

      “นักวิทยาศาสตร์ที่ยึดติดกับความยุติธรรมอย่างแกนะ ไม่มีทางที่จะเจริญได้หรอก !!!

      “การทดลองนะมันต้องอาศัยชีวิตเข้าแลกเพื่อให้รู้ว่าผลของสารนั้นๆเป็นยังไง !

      ชายหนุ่มสะดุ้งกับคำที่คิดได้ มันคือคำพูดนานแสนนานเมื่อหลายสิบปีที่พ่อเคยพูดเอาไว้ มุเมียวหันโน๊ตบุ๊คเข้าหาตน มือเรียวนั้นพิมพ์กรอกรหัสใส่อย่างรวดเร็ว รหัสของมันคือ สารซึ่งใช้ภาษาละตินที่นักวิทยาศาสตร์ใช้กำหนดชื่อสารต่างๆ


      Substantiam

      เมื่อกรอกรหัสเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลารอโหลดข้อมูลที่เหลือเพื่อเป็นการเปิดถังข้างหน้าเขา อีกด้านหนึ่ง ทางอริสาที่กำลังเสียเปรียบสุดๆกำลังฟากฟัดคู่ต่อสู้ที่นับได้ราวสามสิบคน แต่ล่ะคนถือทั้งอาวุธครบมือทั้งปืน ดาบ มีด และอื่นๆอีกมากมาย เธอใช้คมดาบเงินตวัดฟันผู้คนล้มลงไปราวสิบกว่าคน ดาบของเธอเปื้อนเลือดเสียจนใช้การแทบไม่ได้เนื่องจากคมดาบเริ่มลดหาย อริสาเริ่มหมดแรง กำลังมากมายที่เก็บสะสมเมื่อกลางวันถูกผลาญออกมาอย่างรวดเร็ว กระสุนหลายนัดยิงทะลุผ่านไหล่ขวาไปจนเลือดไหลเต็มไปหมด แม้จะเจ็บปวดซักเพียงใดแต่อริสาก็ยังลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง นัยน์ตาสองสีเริ่มมองเห็นเลือนรางมากขึ้นบ่งบอกว่าไวรัสในร่างกายกำลังจะกัดกินเธอจนหมดสิ้น แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่อริสายังคงจับดาบฟันอีก เธอเลือกที่จะต่อสู้ให้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แขน ขารวมถึงศีรษะมากมายของศัตรูตกหล่นลงพื้น เหลืออีกเพียงหนึ่งคนสุดท้ายเธอก็จะชนะ เสื้อผ้าชุดนักเรียนแขนยาวชุ่มไปด้วยเลือดของเธอและศัตรู ร่องรอยฟันดาบที่แขนซ้ายและต้นขาขวา รอยกระสุนยิงทะลุที่ไหล่ขวา สภาพของเธอสะบัดสะบ้อมไม่แพ้ซากศพ ชายฉกรรจ์คนสุดท้ายถือปืนที่ไม่ทราบขนาดและชื่อเล็งไปทางลำตัวของหญิงสาว อริสาขยับตัวดาบของเธอนั้นพุ่งไปทางหัวใจของคนข้างหน้า กระสุนมากมายยิงออกมาแต่มันกลับไม่ถูกตัวเธอเลยแม้แต่น้อย คมดาบแหลมแทงทะลุหัวใจของฝ่ายตรงข้าม ของเหลวข้นสีแดงฉานไหลออกมาจากปากแผลใหญ่ชโลมไปทั่วคมดาบ ร่างไร้ลมหายใจนั้นล้มลงไปช้าๆพร้อมๆกับร่างกายของหญิงสาวที่ล้มตามลงไป

      เธอนอนเงยหน้ามองเพดานห้องอย่างหมดแรง ลมหายใจเริ่มขาดห้วงหัวใจเต้นแรงและเร็วขึ้นทวีคูณก่อนจะค่อยๆเต้นช้าลง นัยน์ตาสองสีมองเห็นเพดานห้องได้เพียงแค่ลางๆ เธอหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน มือที่จับดาบแน่นหลุดออกจากมือนุ่มบาง ผมสีดำสนิทบัดนี้กลับแปลกเปื้อนไปด้วยเลือด ภาพความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ในสมองหลั่งออกมา ภาพของเธอและพ่อกับแม่กำลังฉลองวันเกิด ภาพของมุเมียวที่ลูบผมสีดำของเธอ ภาพของเพื่อนที่ตายจากไปต่อหน้า ภาพของตัวเองที่กำลังฆ่าผู้อื่น ภาพของน้ำตาที่หลั่งออกมาไม่รู้จักสิ้น จากนั้นภาพทั้งหลายก็เริ่มหายไปจนเห็นแค่ความมืดที่อยู่รอบกายเท่านั้น...



       

                  อุ่น... จังเลย...

      หญิงสาวสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่กระทบผิวหน้าของตน ดวงตาสีมรกตและสีโทแพซงามค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น แสงสีทองสง่าฉายเข้านัยน์ตาที่เคยเห็นเพียงแค่ความมืด เธอกระพริบตาอยู่หลายครั้งจนดวงตามองเห็นได้ถึงแสงสว่างของพระอาทิตย์ ภาพของดวงอาทิตย์กำลังขึ้นท่ามกลางซากตึกมากมาย ภาพของผู้ชายที่ตนรักกำลังแบกตนเอาไว้แนบหลัง เธอมองแผลที่ยังคงเจ็บของตัวเองก็พบว่าบาดแผลบนตัวของเธอนั้นถูกล้างให้สะอาดและพันด้วยผ้าพันแผลขาวสะอาดที่หลงเหลือในห้องวิจัย แม้กลิ่นเลือดยังคงติดอยู่บนปลายจมูกแต่กลับมีกลิ่นอายของไออุ่นจากแผ่นหลังของเขาแทรกซึมเข้าผ่านตัวเธอจนเกือบจะหลั่งน้ำตาออกมา

      “...ทำไม”

      “ความจริงอีกไม่กี่นาทีเธอก็จะตายแล้ว แต่ฉันฉีดวัคซีนให้เธอทันยังไงล่ะอริสา”

      คำถามที่จะถามคนผู้แบกรับตนกำลังจะเอ่ยขึ้นมา แต่มีเสียงหนึ่งขัดขึ้นเสียงก่อน รอยยิ้มที่อ่อนโยนกลับมาอีกครั้ง หญิงสาวมองรอยยิ้มนั้นก่อนจะร้องไห้ออกมา น้ำจากด้วยตาหลั่งไหลเปื้อนเสื้อของชายหนุ่มจนเปียกโชก เสียงร้องของเธอดังขึ้นก้องไปทั่ว สิ่งนั้นบ่งบอกว่าเธอเก็บกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมามากแค่ไหน ดวงตาของมุเมียวบัดนี้ก็กำลังหลั่งน้ำใสๆออกมาเช่นกัน เขาแบกรับตัวที่เบาหวิวของอริสาเอาไว้แน่นหนา ไออุ่นจากกายของเธอก็คงตกทอดมาหาเขาเช่นกัน

      “...แล้วจะไปไหนเหรอมุเมียว”

      “เลิกเรียกฉันว่าเฮียแล้วเหรอ”

      อริสาพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นจนมุเมียวหัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทีไร้เดียงสาของเธอ ชายหนุ่มหันใบหน้าไปยิ้ม รอยยิ้มนั้นคงออกมาจากใจจริงของเขา

      “ก็จะไปสร้างโลกที่ดีกว่านี้ยังไงล่ะ”

      คำพูดทรงพลังของเขาปลอบหญิงสาวให้เงียบลง น้ำตาที่เคยหลั่งออกมาได้หายไป อริสาเช็ดน้ำตาออกจากดวงตาจนหมด หญิงสาวเผยยิ้มออกมาอีกครั้ง เธอชูมือไปข้างหน้าและแผ่เสียงตะโกนก้อง

      “ไปกันเลย !!!!

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×